Cruenta elephantus 11. Cruenta elephantus
THE OFFICIAL DOCUMENTARY MAGAZINE FROM CREATOR OF “ช้างเป็นสัตว์กินเลือด”
สํานักพิมพ์ สยามไฉไล หวั่นใจเสนอ
Academic ephemeribus in research in barrinus occulto.
วารสารทางวิชาการว่าด้วยการวิจัยเกี่ยวกับความลับของช้าง
เผยแพร่ทางสื่ออิเลคโทรนิค ครั้งที่ 1
แปลเป็นภาษาไทยโดยทีมงานสยามไฉไล
BOOK ONE
Basic notitia super elephanti. 1เผยแพร่เพื่อความสงบสุขของโลกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
Dr. Dr. Medax Verhaal Phd. Abc. Lo.l
บรรณาธิการ
2. วารสารทางวิชาการฉบับพิเศษที่ท่านได้ถืออยู่นี้ ความจริงเป็นหนังสืออรรถธิ
บายเรื่องของช้าง ที่เคยได้รับการนําเสนอไปแล้วส่วนใหญ่ ในเพจ “ช้างเป็น
สัตว์กินเลือด” ที่บรรยายเป็นภาษาไทยโดยชุมนุมนักวิจัยประจําศูนย์วิจัย
ประจําจาเมกา โดยนักวิจัยชุดปัจจุบัน ได้นําข้อมูลดิบจํานวน ที่ได้รับการ
บันทึกแยกไว้เป้นจํานวนสามเล่มเป็นภาษาละติน มารวบรวมและแปลใหม่
โดยยังคงแยกไว้เป็น 3 เล่มเช่นเดิม เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา
ราบละเอียดของทั้ง 3 เล่ม ประกอบด้วยเรื่องราวดังต่อไปนี้
ในเล่มที่ 1 เน้นที่การรวบรวมความรู้พื้นฐานโดยคร่าว สําหรับผู้เริ่มศึกษา
ความจริงของช้าง ให้ได้ทราบถึงข้อมูลโดยสังเขป
เล่มที่ 2 ได้เน้นที่ข้อมูลหนหลังที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับพลัง
อํานาจ ตํานาน และการแทรกซึมของช้าง รวมถึงงานวิจัยด้านชาติพันธ์วิทยา
ของช้างอีกด้วย
เล่มที่ 3 เน้นที่ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ และงานวิจัยล่าสุดที่ได้รับการค้น
พบและเผยแพร่ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลยิบย่อยต่างๆ
โดยเล่มต่อๆไป คือเล่มที่ สอง และสาม จะได้รับการรวบรวมตรวจแก้และเผย
แพร่อีกครั้ง ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
อนึ่ง ข้อมูลที่เราได้รวบรวมนี้ เป็นข้อมูลในศูนย์วิจัย ที่ได้รับการกู้ขึ้นมา จึงมี
สถานะ อัพเดท ครั้งสุดท้าย ในช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน โดยข้อมูลอื่น ที่ยังไม่
ได้รับการเผยแพร่ หรือ เป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ค้นพบ ทางคณะวิจัยจักได้
รวบรวมเผยแพร่ไว้ในโอกาสต่อไป
อาจมีข้อผิดพลาดในการใช้ภาษาไปบ้าง ด้วยว่าทีมวิจัยส่วนใหญ่เติบโตในพื้น
ที่ๆคีย์บอร์ดไม่มีภาษาไทย ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่าน จงรอดพ้นจากการถูกโฉบ และเป็นกําลังสําคัญให้แก่
โลกใบนี้ต่อไปด้วยเถิด
Dr. Medax Verhaal Phd. Abc. Lo.l
บรรณาธิการ
ต้นเล่ม
i
3. Cruenta elephantus
Academic ephemeribus in research in barrinus occulto.
วารสารทางวิชาการว่าด้วยการวิจัยเกี่ยวกับความลับของช้าง
เผยแพร่ทางสื่ออิเลคโทรนิค ครั้งที่ 1
แปลเป็นภาษาไทยโดยทีมงานสยามไฉไล
BOOK ONE
Basic notitia super elephanti.
1
Dr. Medax Verhaal Phd. Abc. Lo.l
บรรณาธิการ
4. การวิจัยเรื่องความลับของช้างในเมืองไทย ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง
ในทางลับ เมื่อไม่นานมานี้เอง เนื่องจากประเทศไทย มีความเชื่อในเรื่อง
ของการนับถือช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมานาน ทําให้ความพยายามของ
นักวิจัยต่างชาติที่เข้ามาเผยแพร่ในทางลับในไทย ไม่ได้รับความนิยมจาก
นักวิจัย และนักศึกษา บางครั้งถึงกับถูกยุยงโดยถุงมือช้าง ทําให้ถูกจับฆ่า
ไปก็หลายคน การเริ่มการวิจัยอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเกิดเหตุการ์ณหนึ่ง
ขึ้นกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่งบนภูกระดึง
ปีพุทธศักราช 2541 ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลได้นําลูกทีมสํารวจขึ้นไปเช็คจํานวน
ประชากรช้างบนภูกระดึง เหตุการ์ณก็เป็นไปตามปกติเหมือนทุกๆครั้งจน
กระทั่งเมื่อช้างเริ่มโจมตีคณะสํารวจด้วยการโหนเถาวัลย์ลงมาโฉบ ด็อก
เตอร์ดูลิตเติ้ลและลูกทีมที่รอดชีวิตพยายามหนีตายลงจากเขา แต่ไม่
สามารถทําได้เนื่องจากถูกช้างปิดล้อม
พวกเขาจึงได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เริ่มการค้นคว้า ในครั้งแรกสุด
นั้นเป็นเพียงการศึกษาและค้นค้วาเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากช้าง
โดยด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลใช้เวลา 3 เดือนค้นพบวิธีใช้ค่ายกลจากไม้ไล่ช้างที่
เรียกว่า Triceratops position ได้สําเร็จและค่ายกลนี้แหวกฝูงช้างที่ิล้อม
ออกมาได้จนถึงผาหล่มสัก
3
ความเป็นมาของการวิจัยที่
เต็มไปด้วยเลือดและน้ําตา
5. ณ ผาหล่มสัก ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลได้เสียสละชีวิตสู้กับช้างที่ถูกกรมป่าไม้ขนาน
นามว่า "ไอ้แหว่ง" และที่ชะง่อนหินปลายผาท่ามกลางพระอาทิตย์อัศดงนั้นเอง
เป็นจุดที่ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลต่อสู้กับไอ้แหว่งจนตกลงไปสู่ก้นเหว ทําให้ทีม
สํารวจคนอื่นรอดชีวิตลงจากเขาพร้อมข้อมูลที่แลกมาด้วยเลือดและน้ําตาได้
สําเร็จ
ผาหล่มสักจึงเป็นที่จารึกวรีกรรมอันห้าวหาญนี้ ที่ผู้เยี่ยมเยือนภูกระดึงมักจะไป
สักการะพร้อมระลึกถึงด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ล ร์จนตะวันลับขอบฟ้าไป
ทางทีมสํารวจผู้รอดชีวิตได้เริ่มทํางานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างลับๆไม่กล้าเปิดเผย
ต่อสาธารณะชน(ทั้งนี้ผู้วิจัยบางส่วนที่ทําการเปิดเผยได้เสียชีวิตไปหลายท่าน)
จากการค้นคว้าข้อมูลทําให้ได้ทราบว่ามีผู้วิจัยอื่นๆอีกมากมายในทั่วทุกมุมโลก
หลังจากเวลาผ่านพ้นมาอย่างยาวนานและความก้าวหน้าในระบบ Social net-
work ทีมวิจัยจึงตัดสินใจขอเปิดเผยข้อมูลชุดนี้ให้แก่สายตาชาวโลกได้รับรู้
อย่างเป็นทางการใน ณ ทีนี้
ขอขอบคุณที่ท่านที่เข้ามารับชมข้อมูลครับ
ขอไว้อาลัยให้แก่ทุกท่านที่จากไปเพราะน้ํามือช้าง และขอสดุดีให้กับความกล้า
หาญของด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลที่ทําให้พวกเรายังมีวันนี้
in loving memory of the elephant victims
4
6. ว่าด้วยสมุดบันทึกของ DOCTOR DOLITTLE
เป็นบันทึกเดินทางของด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลและชาวคณะ)หลังจากการพยายาม
เอาตัวรอดอยู่หลายวันบนเขาแห่งนั้น โดยDoctor ได้ทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้บน
ร้านกาแฟแห่งหนึ่งบนเขา เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ และเป็นข้อมูลเอาไว้ ให้กับ
นักเดินทาง ให้ระแวดระวังพลังและความน่าสะพรึงกลัวของช้าง โดยได้รับการ
เก็บรักษาเอาไว้อย่างลับๆและแอบเนียนออกมาให้นักท่องเที่ยวได้เห้นอย่าง
ลับๆอีกเช่นกัน
บันทึกที่พบที่หล่มสักนั้น สร้างความตื่นตกใจให้กับคณะทํางานในต่างประเทศ
เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการบันทึกพฤติกรรมทางชาติพันธ์วิทยาของช้าง
ที่ชัดเจนมากที่สุดฉบับหนึ่ง เท่าที่ได้เคยพบมา ทําให้ต่อยอดการวิจัยในเรื่อง
ความลับของช้างได้มาขึ้นอีกมาก นับว่าเป็นบันทึกที่้ได้รับการยอมรับว่าช่วย
เหลืองานวิจัย และ เปิดโลกทัศน์การศึกษาช้างในโลกเบื้องหลังได้อย่างมาก
ต้องขอบคุณคุณ @SunNy BlackWing ที่พบเห็นและถ่ายรูปเก็บไว้ให้กับทาง
ทีมวิจัย เนื่องจากคิดว่าบันทึกที่สําคัญเล่มนี้(ที่จะถูกนํามาตีความในบทต่อๆ
ไป) จะหายสาปสูญเสียแล้ว
5
เครดิตภาพ http://student.nu.ac.th/janarin/web%20browser/customers-say.html
7. 6
ส่วนหนึ่งจากบันทึกของ Doctor Dolittle กล่าวถึง (ซ้าย) ความสามารถในการเคลื่อนที่ของช้าง ช้างโฉบ และถุงมือช้าง (กลาง) ประเพณีการชูงวงถุงมือในคืนพระจันทร์เต็มดวง (ขวา) ภาพ
โครงสร้างกายวิภาคของช้าง
10. 9
ทีมวิจัย จะขอข้ามการพูดถึง อนาโตมีพื้นฐานของช้างไป เนื่องจาก พิสูจน์แล้วว่า เป็น Propaganda ที่ช้างทําให้เราเชื่อว่ามันไม่มีพิษภัย
เบื้องต้น การแบ่งแยกลักษณะสายพันธ์หลักของช้างแบ่งเป็น ช้างไทยกับช้างแอฟริกา
โดยช้างเอเชีย (หรือช้างอินเดีย) มีขนาดเล็ก กระทัดรัด ฉลาดและแข็งแรงกว่าช้างแอฟริกัน ส่วนช้างแอฟริกันมีขนาดเทอะทะ และไม่เฉลียวฉลาดเท่า
ในด้านความดุร้ายแล้ว ค่อนข้างจะพอๆกัน แต่ในเรื่องความสามารถทางกายภาพจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนถ้าอธิบายตามหลักการทางโครโมโซมอาจจะฟังเข้าใจยาก
จึงขอเปรียบเทียบง่ายๆให้เห็นภาพ ช้างแอฟริกาคือ knight สาย vit+str ส่วนช้างสายพันธุ์เอเชีย จะเป็น ไนท์ สาย Agi
การสังเกตุเพศของช้าง มีจุดสังเกตุคือดูที่หู หูตกกับหูชี้ แต่อันนี้จะดูลําบากหน่อยตรงว่าช้างตัวเมียทุกสายพันธุ์จะหูชี้ และหางชี้ครับ ค่อนข้างจะต้องใช้ความชํานาณใน
การแยกแยะพอสมควร
ซึ่งนอกจากการแบ่งสายพันธ์หลัก ระหว่างช้างไทย และ แอฟริกันแล้ว ยังมีสายพันธ์ย่อยต่างๆ ที่น่าสนใจ และน่าสะพรึงกลัวอีก ดังที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
ชาติพันธ์วิทยา ของช้าง โดยสังเขป
12. ภาพวาดช้างดือจากบันทึกภาษา Icelandic ชื่อ Big risastór skepna. ชื่อภาพ “ความน่ากลัว
ใต้ผิวดิน” (Terror undir yfirborðinu.)
ช้างดือ หรือ ช้างดิน เป็นสิ่งมีชีวิตก้ํากึ่งว่าจะถูกจัดเป็นประเภทไหนดี แต่
ด้วยรูปลักษณ์ทางกายภาพถึงถูกจัดอยู่ในหมวดของ สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสัน
หลัง Diplopoda ส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่บริเวณชั้นแก่นโลก (core) แต่ใน
ความเป็นจริงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในมวลหินร้อนชั้นเนื้อโลก (mantle) ได้
ด้วยแต่ท่าทางมันไม่ค่อยชอบนักเพราะไม่อยากผิวสีแทน
ช้างดือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้เกียจ และเคลื่อนตัวได้ช้าพบว่าสามารถกินได้ทุก
อย่างแต่ไม่ออกล่าอาหาร ตามปกติมักจะกินดินบริเวณรอบๆตัวเอง{ซึ่ง
ประกอบไปด้วยแร่ธาตุ ซากสัตว์ หรือซากอ้อย}
ช้างดือ สามารถผลิตสารพิษที่ชื่อว่า (Hydrogen cyanide) หรือกรดไฮโดร
ไซยานิค ผู้ที่โดนเข้าไปจะทําให้การหายใจระดับเซลล์ล้มเหลว และถึงแก่
ความตายได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีบันทึกว่ามีผู้เสียชีวิตจากช้างดือ เพราะ
ทุกครั้งที่มีคนเสียชีวิตด้วยพิษ ไฮโดรไซยานิค ความผิดมักจะถูกป้ายให้กับ
สัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น แพะ
ถึงแม้ ช้างดือ จะไม่มีอุปนิสัยจู่โจมสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักวิจัยเป็น
ห่วงไม่ใช่อุปนิสัยและการเป็นอยู่ของมัน แต่เป็นขนาดตัวอันบักควายของ
มันต่างหาก มันสามารถสั่นสะเทือนหรือเขย่าของพื้นผิวโลกได้เมื่อมันขยับ
ตัวจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวซึ่งจะรุนแรงถึง 7 ริกเตอร์ขึ้นไปเลยทีเดียว
ดังนั้นความเชื่อโบราณเกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่ว่า ปลาอานนท์ ปลาดุกนา
ปลาแขยงยัก ปาปิก้า กลับตัวทําให้เกิดแผ่นดินไหวนั้นล้วนไม่จริง ความ
จริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ
ช้างดือเคลื่อนที่
ถ้าให้เปรียบเทียบช้างดือออกมาเป็นสมการง่ายๆ ก็คงเปรียบได้กับ pala-
din สาย int vit ใจดีสงบนิ่งไม่ไหวติงแต่เปี่ยมไปด้วยอันตราย
11
ช้างดือ
13. 12
นินเจน
นักชีววิทยาทางทะเลไม่อยากยอมรับความจริงในข้อนี้เท่าใดนักว่ายังมี
ช้างสายพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในทะเล มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการ ว่า Ningen
โดย
มีลักษณะเป็นช้างแต่มีเท้าเพียง 2 เท้าหน้า ลําตัวและหางเป็นปลาทั้งหมด
โดยมีความยาวถึง 20-30 เมตร ซึ่งตรงกับความเชื่อโบราณ ในเรืองสัตว์
หิมพานต์ ของไทยที่ชื่อว่าที่เรียกว่า วารีกุญชร หรือเรียกง่ายๆว่า ช้างน้ํา
หรือ นินเจน( Ningen) (ตรงกับความเชื่อพื้นบ้านของญี่ปุ่นด้วยครับชื่อว่า
นินเง็น) ส่วนตัวผมขอเรียกว่า นินเจน ล่ะกันน่ะครับเพราะเป็นที่เข้าใจใน
สากลมากกว่า
จากหลักฐานเท่าที่ค้นพบ พบว่า นินเจน ไม่สามารถที่จะ โฉบ ได้ เหมือน
ช้างในสายพันธุ์อื่นๆ เพราะต้องใช้เหงือกในการหายใจ{ขึ้นจากน้ําไม่ได้}
และไม่สามารถบินได้ แต่ในทางกลับกัน นินเจนมีความสามารถในการยืด
งวงและแตกหน่อเพิ่มจํานวนงวงได้คล้ายๆหนวดปลาหมึก ใช้จับสัตว์มา
เป็นเหยื่อได้ดีและรวดเร็วมาก
เคราะห์ดีที่ นินเจน ไม่ใช่สัตว์กินเลือด เป็นเพียงแค่สัตว์กินมนุษย์เท่านั้น
ปกตินินเจนอาศัยอยู่ระดับน้ําลึก ประมาณ 5000 feetแต่ก็มักจะชอบขึ้นมา
เกือบๆจะผิวน้ําเผื่อล่มเรือหาอาหาร จึงเกิดเป็นความเชื่อในอดีตเกี่ยวกับ
สัตว์ประหลาดในท้องทะเลหรือปลาหมึกยักษ์[kraken]โจมตีเรือ ซึ่งจริงๆ
แล้วนั้นเป็นงวงของ นินเจนครับ
เคราะห์ดีอีกอย่างคือ เนื่องจาก นินเจน เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขตน้ํา
ลึกมาก สายตานินเจนจะไม่ค่อยดีครับเพราะในน้ําลึกน้ําไม่จําเป็นต้องใช้
ประสาทสัมผัสทางการมองเห็นเท่าใดนัก จึงทําให้ นินเจน โจมตีผิดเป้า
หมายบ่อย อารมณ์ง่ายๆก็เหมือน knight สาย vit str ที่ไม่อับ dex ครับ
อึด ถึก ตีหนัก แต่ตีเว่า
14. http://fc02.deviantart.net/fs47/i/2009/176/f/c/Sheep_elephant_by_roerjm.jpg
นักวิจัยประวัติศาตร์และการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด นาม Mr
Gotang และทีมงานได้ถกเถียงกันหลังไมค์เรื่อง ช้างสายพันธุ์
ใหม่อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงแกะ ว่าควรจะเรียกว่า แกะช้าง
หรือ ช้างแกะ
หลังจากการเจรจากันอย่างสันติวิธีจบลงด้วยการที่คุณบัวขาว
เดินผ่านมาแล้วต่อยปากทั้งสองฝ่ายแตก จึงได้ข้อสรุปชื่อของ
ช้างสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า " ช้างสายไหม " (ตั่งตามขนมโปรดของ
คุณบัวขาว)
ช้างสายไหม มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแอตแลนติก ซึ่ง
ปัจจุบันผืนดินได้เคลื่อนที่มาอยู่ในแอฟริกาใต้ เป็นช้างทีมีขน
ยาวปุกปุยสีชมพูน่ารักคิกขุปกคลุมไปทั้งตัว
ว่ากันว่ารสชาติของขนช้างชนิดนี้หวานละมุนละลายในปากไม่
ละลายในมือนุ่มลิ้นชุ่มฉ่ําจริงๆครับคุณชาคริตครับ!
เนื่องด้วยอากาศที่หนาวเย็นของภูมิประเทศ จึงเป็นเหตุจําเป็น
ให้"ช้างสายไหม" มีขนที่หนาปกคลุมร่างกาย เพื่อป้องกันจาก
สภาพอากาศที่หนาวเย็น
.... ความปุกปุยของขนช้างนั้น เป็นประโยชน์มนุษย์ในยุคหิน
เก่า นํามาใช้ถักทอเป็นเคลื่องนุ่งห่ม และเป็นอาหารว่างตามงาน
วัดในบางโอกาศ เนื่องจากรสชาติมันถูกปากคนมาก จึงเกิดการ
ไล่ล่าอย่างหนัก
ช้างสายพันธ์นี้ จัดเป็นช้างสาย int สกิลในการต่อสู้จัดว่าด้อย
กว่าช้างสายอื่นๆมากถ้าไม่มีแท็งเกอร์ ช้างสายไหมจึงได้
พยายามหดตัวลงเพื่อให้ถูกพบเห็นได้ยาก และพยายามตัดต่อ
พันธุกรรมตัวเอง จนกลายเป็นสัตว์ตัวเล็ก เล็กกว่าช้างสายพันธ์
เดิมถึง 5 เท่า มีขนาดใหญ่กว่าน้องหมาปากเปราะพันธุ์ ปอม
ปอมนิดหน่อยเท่านั้น และอับเกรดตัวเองให้มีขนที่ปุกปุยมากขึ้น
ปัจจุบันช้างสายพันธุ์นี้ค้นพบได้ยากจัดเป็นช้างระดับแรร์เลยที
เดียวแต่ก็ไม่สมควรแก่การอนุรักษณ์มันอยู่ดีเพราะมันกินเลือด!
ช้างแกะ
15. 14
นักวิจัยหนุ่ม Napadon Sridee ผู้เชี่ยวชาญการทํากิลวอและดีเฟนบ้าน ได้ส่งข้อมูลที่สําคัญเกี่ยวกับช้าง
อีกชนิดมาให้ ณ ทีนี้
" ช้างเทนทาเคิล " ( tentacle ) หรือในชื่อไทยๆว่า "ช้างหนวดจิ๋ม"
จัดอยู่ในสปีชีส์ Elephantidae ซึ่งเป็นสปีชีส์เดี๋ยวกับวงศ์วานของช้่างดึกดําบรรพ์และอยู่ในไฟลัม
มอลลัสกาเช่นเดียวกับหมึกในท้องทะเล ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าผู้ค้นพบยิ่งนัก
จากการศึกษาพฤติกรรมได้ซักพัก มันมักจะปรากฏตัวทามกลางหมอกหนาจัด มีขนาดลําตัวใหญ่กว่ารถ
บรรทุก พร้อมกับมีเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ว่า ปิ๊วปิ้ว ปิ็วปิ้ว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลที่เล็ก
น้อยมากเพราะว่ากลุ่มผู้ค้นพบเหล่านั้นได้สาปสูญ
ช้างหนวดจิ๋ม ถูกค้นพบในไทยครั้งแรกโดย นายคร้าว
จากปากคําให้การของนายคร้าว กล่าวว่า " วันนั้นผมช้ําใจครับ พ่อตาเรียกสินสอด
อีทองกวาวตั่งสิบหมื่น ผมไม่รู้จะทําอะไรเลยไปนั่งนับงวงช้างเล่นในป่าระบายอารมณ์ ปรากฏว่ายิ่งนับ
งวงมันยิ่งงอกเพิ่มออกมาเรื่อยๆ ผมตกใจกลัวมากทําอะไรไม่ถูก
เลยรีบวิ่งกลับบ้านเอามาตีเลขแทงหวย ตัวเลขผมขอไม่บอกล่ะกันเดี๋ยวไม่ขลัง
นี่ไม่ได้โม้น่ะ ผลออกมาปรากฏว่าถูกหวยครับ ได้เงินไปหมั้นน้องทองกวาว พ่อตาผมแม่งช๊อคตกกะได
บ้านเลยครับ หลังจากนั้นผมเลิกเลี้ยงควายเลย พอใกล้วันหวยออกเมื่อไหร่ผมก็จะไปนั่งนับงวงช้างในป่า
รู้ครับว่ามันอันตรายแต่เลิกไม่ได้ ของเขาแม่นจริง"
เครดิต นักวิจัยหนุ่ม Napadon Sridee ผู้เชี่ยวชาญการทํากิลวอและดีเฟนบ้านhttp://
www.facebook.com/napadon.sridee
ช้างหนวดจิ๋ม
16. เหาช้าง
คุณเคยสํารวจเวลาจับเหาให้เด็กๆบ้างไหมครับ?
นักวิจัยเส้นผมสลวยด้วยมือเรา คุณ "โป้ง ปิ้ว" นึกสนุกนําเหาจากหวีส
เนียดของลูกค้าไฮโซในร้านมาส่องกล้องจุลทรรศน์เล่น และสิ่งที่ได้พบ
หลังจากนั้น เป็นข้อมูลที่ช็อคโลกเลยทีเดียว "ใบหน้าและลักษณะของ
เหาที่พบนั้น คล้ายคลึงกับช้างทุกประการ"
"เหาช้าง" จัดอยู่ในหมวดของ ปรสิตนอกร่างกาย(ectoparasite)
กินเลือดเป็นอาหาร เหาช้าง แบ่งระยะเวลาการใช้ชีวิตเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะเป็นตัวอ่อน ระยะเป็นตัวแก่ และระยะหมดประจําเดือน
จากการศึกษาเพิ่มเติมของทีมวิจัยในแมสซาชูเซตส์ พบว่า ความน่า
กลัวที่แท้จริงของเหาช้าง ไม่ใช่ตัวของมัน แต่เป็นเพราะ เหาช้าง ทํา
หน้าที่เหมือนเป็นเรดาร์ ทําให้ช้างรู้ตําแหน่งของเหยื่อ มีที่เหาชนิดนี้
เกาะอยู่แล้วตามมาโฉบ ได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้มีหลายกระแสว่า ช้างจะปล่อยเหาช้างออกจากงวงให้ลอยมาตาม
ลมเพื่อไปเกาะและแพร่พันธุ์ตามมนุษย์นั้นเอง จึงควรหมั้นรักษาความ
สะอาดหัวกบาลตัวเองและบุตรหลานอย่างสมําเสมอ
สุดท้ายนี้ฝากไว้ว่า ควรจะเช็คให้ดีเวลาจะ บี้เหา เนื่องจากถ้าทําการบี้
เหาช้าง เหาช้างจะแตกตัวจะหนึ่งกลายเป็นสอง สองเป็นสี่ ทวีคุณทุก
ครั้งที่เกิดการบี้ ทางที่ดีวิธีแก้หากพบเห็นเหาช้าง ให้นําพาหะที่มีเหา
ช้างไปเผาไฟแล้วตากให้แห้ง จะทําให้เหาช้างตายอย่างแน่นอน จึง
สมควรต้องระวังให้ดี
ดั่งคําโบราณที่ว่า อย่าหาเหามาใส่หัวนั้นเอง ดังนั้นอย่าแปลกใจครับที่
เวลาเห็นญาติผู้ใหญ่ท่านกังวลมากเวลาเห็นเด็กๆมีเหา ท่านคงจะทราบ
เรื่องนี้ดีแต่ไม่กล้าบอกก็เป็นได้
เครดิตภาพ นักวิจัยเส้นผมสลวยด้วยมือเรา คุณ "โป้ง ปิ้ว"
http://www.facebook.com/Pongpiiwz
17. ประเพณี ความเป็นอยู่ กายวิภาค ความรู้ในแง่
วัฒนธรรมและการดํารงอยู่ของช้าง โดย
สังเขป
ความเข้าใจเก่าๆที่บอกว่าช้างเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ที่มีขนาดใหญ่ เป็น
เครื่องมือการทํามาหากิน และการสงครามให้กับมนุษย์มานับยุคสมัยนั้น
ไม่เป็นความจริงเสียเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์ต่างหาก ที่เป็นเหยื่อและ
เป็นเครื่องมือของช้างในการดํารงชีพและควบคุมชีวิตั้งหลายในโลกนี้
ในบทนี้จะพูดถึงสภาวะ ทางสังคม การกินอยู่ ประเพณีวัฒนธรรมของช้าง
โดยคร่าว ตามที่ทีมวิจัยต่างๆได้มีการพบเห็น และบันทึกไว้ เพื่อให้เข้าใจ
และเท่าทันกลอุบายของช้าง
16
25. โบราณว่าเอาไว้ว่า เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ นั้นก็เพราะว่าในความเป็น
จริงแล้ว สัตว์กินเนื้อทุก ชนิดในป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสือ นั้นอยู่ภาย
ใต้คําสั่งของช้าง เสือต้องนําส่วยมาส่งช้างมากน้อยแล้วแต่ตาม
จํานวนลูกเสือที่มีอยู่ในครอบครัว จึงให้ทําเสือ เป็นสัตว์ที่ให้กําเหนิด
ลูกครั้งล่ะไม่มาก นอกจากนี้ เสือ ที่คลุกคลีอยู่กับช้างเป็นเวลานาน
มักจะมีสาร เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol)
ตกค้างอยู่ตามลําตัว ส่งผลให้สร้างอาการประสาทหลอนหลอกตาได้
ในระดับหนึ่ง ทําให้ผู้ที่พบเห็นเสือชนิดนี้มักมองเห็นร่างของเสือเปลี่ยน
ไปตามความฟินของผู้พบเห็น
ตามจดหมายเหตุกรุงศรี บันทึกไว้ว่า นายพรานสมัยก่อนที่เข้าป่าล่า
สัตว์เป็นเวลานาน จนเกิดอาการเปลี่ยวมักจะมองเห็นเสือประเภทนี้
กลายเป็นสาวเปลือยกายทําให้ไม่ระมัดระวังตัว และถูกเสือคาบไปให้
ช้างกินเลือดในที่สุด ภายหลังเสือชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า เสือสมิง และถูก
บันทึกลงเป็นหนึ่งในความเชื่อของคนไทยที่เชื่อถือได้
นักโบราณคดีและผู้ศึกษาตํานานพื้นบ้านไทยชื่อดังผู้สืบเชื้อสายมา
จากไทยเดิมแท้ๆ ศาสดาจารย์ Robert Hennessy ได้แจงถึงข้อมูล
ชุดนี้ว่า นี่ก็เป็นที่มาของ วลี เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ(เพราะเสือทํางานให้
กับช้างนั้นเอง) แต่ถ้าถามว่า ทําไมถึงไม่เป็นวลีว่า "เข้าป่าห้ามพูดถึง
ช้าง"แทนล่ะ นั้นก็เพราะว่าคนที่เข้าป่าแล้วพูดถึงช้างนั้นไม่เคยมีใครมี
ชีวิตรอดกลับมาเล่านีสิครับ
27. Type to enter text
เมื่อพูดถึงความรวดเร็วและว่องไวของสิ่งมีชีวิต
จากทั่วทุกมุมโลก อันดับหนึ่งคงต้องยกให้กับ
ช้างเฟี้ยวฟ้าว
ซึ่งเป็นช้างเพียงสายพันธุ์เดียวที่สามารถ
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือเสียง ด้วยรูปร่างที่
ออกแบบมาเพื่ออากาศกลศาสตร์
ทําให้มันสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดโดย
เฉพาะตอนออกล่า โดยเหยื่อจะได้ยินเสียง
แปร้นน!! หลังจากที่ตัวเองโดนจู่โจมไป
เรียบร้อยแล้ว 3 นาที
29. ช้างเมื่อโตเต็มวัยจะทําการลอกคราบ(shedding) การลอกคราบใน
ครั้งแรกนั้นเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่แสดงให้รู้ว่า เข้าสู่ระยะโตเต็มวัย
และพร้อมที่จะผสมพันธุ์แล้ว(ตัวผู้หลังลอกคราบต้องออกไปหาถุงมือ
ช้างเพื่อมาล่อใจตัวเมีย) การลอกคราบครั้งแรกนี้เพื่อเปลี่ยนผิวหนัง
ขั้นนอกใหม่(Epidermis)ให้มีขนอุยเพื่อพร้อมจับคนทําถุงมือ
หลังจากนั้นช้างจะทําการลอกคราบในทุกๆ 4 ปี
(บางงานวิจัยกล่าวว่าช้างจะทําการลอกคราบแค่ในปี อธิกสุรทินแต่
ไม่น่าจะเป็นไปได้ ) เพื่อขยายขนาดร่างกายและรักษาขนอุยให้แข็ง
และชูชันเสมอนั้นเอง
จากตัวอย่างช้างทดลองที่ คุณ yujiro จับมาให้ทําให้ทางทีมวิจัยพบ
ว่า
ปัจจัยที่สําคัญในการลอกคราบนั้น ได้แก่อุณภูมิโดยช้างจะหยุดการ
ลอกคราบที่ อุณหภูมิต่ํากว่า 17-18 นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทําไมถึงพบ
ช้างกระจายอยู่ตามพื้นที่เขตร้อน และ พื้นที่ใน เกาะทาง
ใต้(tropical island) เพราะสภาพอุณภูมินั้นเหมาะแก่การลอก
คราบนั้นเอง
ในระหว่างลอกคราบช้างจะหันกลับมากินพืชเพื่อรักษาระดับคาร์โบ
ไฮเดรทในเลือด
ในระหว่างลอกคราบนั้นปริมาณของคาร์โบไฮเดรทในเลือดก็เช่น
เดียวกันกับโปรตีนจะอยู่ในระดับ 70.08+4.74 มิลลิกรัมต่อเดลิ
ลิตร ในระยะคราบแข็ง ปริมาณของคาร์โบไฮเดรทในเลือดจะค่อย
เพิ่มสูงขึ้นในระดับ 81.38+5.42 มิลลิกรัมต่อเดลิลิตร,
107.33+13.66 มิลลิกรัมต่อเดลิลิตร และ 83.02+11.00
มิลลิกรัมต่อเดลิลิตร ในช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงปลายของระยะ
ก่อนลอกคราบตามลําดับ
ช้างหลังลอกคราบจะมีผิวหนังที่อ่อนนุ่มดุจแพรไหมแต่อย่างไรก็ตาม
กระสุนธรรมดานั้นก็ไม่สามารถเจาะทะลวงร่างได้อยู่ดี และทั้งนี้เมื่อ
การลอกคราบสิ้นสุดลงช้างจะกลับมากินเลือดตามเดิมอย่างที่ทุกคน
เข้าใจครับ
30. สารคดีทางวิชาการฉบับพิเศษชุดนี้ เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงอันตรายของ
การเก็บรักษาข้อมูล หัลงจากเหตุการ์ณการโจมตีศูนย์วิจัยจาเมกาในเดือน
พฤศจิกายน ปี 2012 ถึงแม้คณะเก็บกู้ และผู้กล้าทั้งหลาย ได้ทําการปราบ
ปรามจนกระทั่งศัตรูถอยร่นไปชั่วคราวแล้วก็ตาม ทางกลุ่มนักวิจัยชุดใหม่ ได้มี
การตระหนัก ถึงอันตรายและความเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล ที่เป็นสิ่งสําคัญ
ในการอบกู้โลกของเรา จึงได้มีความพยายามรวบรวมข้อมูลสําคัญควรทราบ
เพื่อเผยแพร่ให้กับท่านทั้งหลาย เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์
การเก็บกู้ข้อมูลเป็นเป็นด้วยความลําบาก อีกทั้งความเสียหายเนื่องจากการ
โจมตีของช้าง ทําให้การจัดการข้อมูลเป็นไปด้วยความยากลําบาก อาจมี
ข้อมูลตกหล่นไปบ้าง ซึ่งน่าจะมีการแก้ไขตามหลัง ตามแต่โอกาสและเวลา
ขอบพระคุณ ที่ติดตาม
อรรถธิบาย เรื่องช้างที่รวบรวมไว้ในเล่มที่ 2 และ 3 จะตีพิมพ์เผยแพร่ในกาล
ต่อไป
Dr. Medax Verhaal Phd. Abc. Lo.l
บรรณาธิการ
ท้ายเล่ม
xxix