More Related Content
Similar to ณัฐวุฒิ-สหรัฐ-ชคพ1-3 (20)
ณัฐวุฒิ-สหรัฐ-ชคพ1-3
- 1. RAM คือหน่วยความจาหลักของคอมพิวเตอร์ (เป็ นหน่วยความจาแบบชั่วคราว ซึ่งหมายถึงจะสามารถ
ทางานได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้ ามาหล่อเลี้ยง เมื่อมีการตัดกระแสไฟฟ้ าหรือปิ ดเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมูลใน
RAM ก็จะหายไป) RAM เป็นองค์ประกอบที่มีความสาคัญอย่างยิ่งยวดต่อประสิทธิภาพการทางานโดยรวม
รวมถึงความเร็วในการทางานของระบบคอมพิวเตอร์
- 2. RAM ทาหน้าที่อะไร
RAM ทาหน้าที่รับข้อมูลหรือชุดคาสั่งจากโปรแกรมสาเร็จรูปต่างๆที่กาลังเปิดใช้งานอยู่ในคอมพิวเตอร์ แล้วส่งต่อไปยัง
CPU หรือ Central Processing Unit ซึ่งเป็นหัวใจหรือสมองของคอมพิวเตอร์นั้นๆให้ประมวลผล คานวณ
และวิเคราะห์ข้อมูลตามต้องการ เมื่อ CPU คานวณเสร็จแล้ว จะส่งผลการคานวณหรือวิเคราะห์นั้นๆกลับมายัง RAM
เพื่อส่งต่อไปยังโปรแกรมเจ้าของชุดคาสั่ง ก่อนจะแสดงผลของการคานวณออกมาทาง Output devices ต่างๆ เช่น
ทางหน้าจอมอนิเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
การทางานของ RAM นั้น จะเป็นการทางานหรือการเขียน/บันทึกข้อมูลแบบสุ่ม ซึ่งหมายถึง หน่วยประมวลผล
กลางหรือ CPU สามารถเข้าถึงทุกส่วนของ RAM ได้ สามารถบันทึกข้อมูลลงตรงจุดไหนก็ได้ วัตถุประสงค์ก็
เพื่อเพิ่มความเร็วในการบันทึกและอ่านข้อมูลนั่นเอง ตรงนี้เองที่เป็นที่มาของคาว่า Random access
- 3. RAM สามารถแบ่งออกเป็ น 4 ส่วนหลัก ดังนี้
1. Input Storage Area
เนื้อที่ RAM ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่รับข้อมูลจาก Input devices เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ Barcode
reader และอื่นๆ โดยจะเก็บไว้เพื่อส่งให้ CPU ทาการประมวลผล คานวณหรือวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นต่อไป
2. Working Storage Area
เนื้อที่ RAM ส่วนนี้เป็นพื้นที่สาหรับจัดเก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผลของ CPU
3. Output Storage Area
เนื้อที่ RAM ส่วนนี้เป็นพื้นที่สาหรับจัดเก็บข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล คานวณ และวิเคราะห์โดยหน่วย
ประมวลผลกลางหรือ CPU แล้วและอยู่ระหว่างรอส่งผลการประมวลดังกล่าวกลับคืนไปให้โปรแกรมเจ้าของ
ชุดคาสั่ง เพื่อแสดงผลทาง Output devices ตามที่ผู้ใช้งานกาหนดไว้
4. Program Storage Area
เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคาสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคาสั่งชุดดังกล่าว
หน่วยควบคุมจะทาหน้าที่ดึงคาสั่งจากส่วนนี้ทีละคาสั่งเพื่อทาการแปลความหมาย ว่าคาสั่งนั้นสั่งให้ทาอะไร จากนั้น
หน่วยควบคุมจะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทางานดังกล่าวให้ทางานตามคาสั่งนั้นๆ หน่วยความจาจะจัดอยู่ใน
ลักษณะแถวแนวตั้ง (CAS:Column Address Strobe) และแถวแนวนอน (RAS:Row
Address Strobe) เป็นโครงสร้างแบบเมทริกซ์ (Matrix) โดยจะมีวงจรควบคุมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงจร
ในชิปเซต (Chipset) ควบคุมอยู่ โดยวงจรเหล่านี้จะส่งสัญญาณกาหนดแถวแนวตั้ง และสัญญาณแถวแนวนอน
ไปยังหน่วยความจาเพื่อกาหนดตาแหน่งของข้อมูลในหน่วยความจาที่จะใช้งาน
- 4. เมื่อพิจารณาจากหน้าที่ของ RAM ในระบบการทางานของคอมพิวเตอร์ก็จะเห็นว่า RAM เป็นองค์ประกอบที่มี
ความสาคัญยิ่ง และเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ยิ่งคอมพิวเตอร์เครื่องใดมี RAM มาก ก็จะมีประสิทธิภาพการทางาน
สูงขึ้นด้วย แต่การจะเพิ่ม RAM ให้กับระบบคอมพิวเตอร์นั้นเราต้องคานึงถึงหลายปัจจัย เช่น งบประมาณ ความ
ต้องการแรมของโปรแกรมที่เราใช้งาน และจานวนช่อง (Slot) ในแผลวงจรหลักที่สามารถรองรับ RAM ได้เพิ่มอีก
หรือไม่ เป็นต้น
RAM มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
แรมมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ขึ้นอยู่กับการนาไปใช้งาน เช่น
- SRAM (Static RAM)
- NV-RAM (Non-volatile RAM)
- DRAM (Dynamic RAM)
- Dual-ported RAM
- Video RAM
- WRAM
- FeRAM
- MRAM
- 5. RAM ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทคือ
- SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory)
- DDR RAM หรือ DDR-SDRAM (Double Data Rate SDRAM)
โดยที่ DDR SDRAM นั้นได้รับความนิยมมากกว่าในปัจจุบันเนื่องจากมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลมากกว่าแบบ
SDRAM ธรรมดา ส่วนราคานั้นก็ไม่แตกต่างกันมาก
Module หรือ รูปแบบของ RAM ที่นิยมใช้มีดังนี้
- Single in-line Pin Package (SIPP)
- Dual in-line Package (DIP)
- Single in-line memory module (SIMM)
- Dual in-line memory module (DIMM)
- Small outline DIMM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาดเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป
- Small outline RIMM (SO-RIMM)
- 6. การ์ดแสดงผลอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการ์ดวีดีโอหรือการ์ดจอ เป็นส่วนที่ทาหน้าที่นาผล การประมวล
จากซีพียูไปแสดงบนจอภาพ การ์ดแสดงผลมีอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะการนาไป ใช้งาน ถ้าหาก
เป็นการใช้งานทั่วๆ ไป เช่น พิมพ์งานในสานักงาน ใช้อินเตอร์เน็ต อาจใช้การ์ดแบบ 2 มิติ ก็เพียงพอ
แล้ว แต่หากเป็นการ เล่นเกมใช้โปรแกรมประเภทกราฟิก 3 มิติ ก็ควรเลือกการ์ดจอ ที่จะ ช่วย
แสดงผลแบบสามมิติหรือ 3D การ์ด
การ์ดจอบางแบบอาจถูกออกแบบติดไว้กับเมนบอร์ด โดยเฉพาะเมนบอร์ดแบบ ATX ซึ่งมี อยู่
หลายยี่ห้อที่ได้รวมการ์ดจอเข้ากับเมนบอร์ด อาจสะดวกและ ประหยัด แต่หากพูดถึงประสิทธิภาพ
โดยรวมของเครื่องแล้ว อาจจะไม่ดีเท่ากับการ์ดที่แยกต่างหากจากเมนบอร์ด ซึ่งอาจแบ่งช่วงของการ
ใช้การ์ดจอได้ดังนี้
- 7. 1. การ์ดจอแบบ ISA และ VL
เป็นการ์ดจอที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า 386 และ 486 รุ่นแรกๆ การ์ดรุ่นนี้
สามารถ แสดงสีได้เพียง 256 สีเท่านั้น การดูภาพ จึงอาจจะไม่สมจริงเท่าไรนัก
เพราะขาดสีบางสีไป
- 9. 3. การ์ดจอแบบ AGP
เป็นการ์ดจอที่แสดงผลได้เร็วที่สุด เริ่มใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น AMD K6-
II/III, K7, Duron, Thunderbird, Athlon XP, Cyrix
MII,MIII,VIACyrix III, Pentium II, III, IV และ Celeron
เป็นการ์ดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
การ์ดจอบางรุ่นจะมีช่อง TV Out สามารถต่อสายไปยังทีวีได้ กรณีที่ต้องการดูหนัง
หรือร้อง คาราโอเกะ ก็ต่อเข้าจอ 29" ร้องกันให้สะใจไปเลย
- 10. 4. การ์ดจอแบบ 3 มิติ
การ์ดจอสาหรับงานกราฟิค เล่นเกมสามมิติ ตัดต่อวีดีโอ ราคาแพงกว่า
การ์ด จอสามประเภทแรก และผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคอเกมเมอร์
ทั้งหลาย เพราะคนใช้งาน ทั่วๆ ไป อย่างเราๆ การ์ดธรรมดา ก็พอแล้ว
มันแพงครับ บางตัว 20,000 กว่าบาท เกือบซื้อเครื่องดีๆ ได้อีกตัว
การ์ดจอต่างๆ เหล่านี้จะมี ตัวประมวลผล (GPU) ช่วยประมวลผล
หรือคานวณเกี่ยวกับการสร้างภาพให้ปรากฏบนจอ ซึ่งจะทาให้ การ
แสดงภาพทาได้ดีมากกว่าการ์ดจอทั่วๆไป จึงต้องมีพัดลมช่วยระบาย
ความร้อน ด้วยการ์ดจอแบบนี้ อาจมีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการ
เชื่อมต่อแบบ PCI หรือ AGP แต่ส่วนใหญ่ในตอนนี้จะเป็นแบบ
AGPมากกว่า
ตัวอย่างการ์ดจอ 3 มิติ Asus V7700 Ultra, Winfast
GF2 Ultra, Hercules 3D Prophet II Ultra,
Ati Radeon All-In-Wonder เป็นต้น