More Related Content Similar to ส่วนประกอบต่างๆของคอมพิเตอร์ (20) ส่วนประกอบต่างๆของคอมพิเตอร์1. ส่วนประกอบต่างๆของคอมพิเตอร์
ส่วนประกอบ ในคอมพิวเตอร์
1 (Central Processing Unit : CPU)
ซีพียู(CPU)หรือหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง (central
processing
unit)
หรือที่นิยมเรียกย่อๆ ว่า ซีพียู
(CPU)
เป็นส่วนตีความ
และประมวลผลตามชุดของคําสั่งเครื่องจากซอฟแวร์หน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเ
ป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ในการทําหน้าที่ตัดสินใจ หรือคํานวณ จากคําสั่งที่ได้รับมา
เช่น การเปรียบเทียบ การกระทําการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ
โดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ
*
อ่านชุดคําสั่ง (fetch)
*
ตีความชุดคําสั่ง (decode)
*
ประมวลผลชุดคําสั่ง (execute)
*
อ่านข้อมูลจากหน่วยความจํา (memory)
*
เขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write
back)
2. Cpu Fan
พัดลม CPU
นับเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ต้องเลือกให้ดีเพราะเนื่องจาก CPU
มีความร้อนสูงการเลือกพัดลมที่ไม่เหมาะกับการ CPU
อาจเกิด ความเสียหายต่อ
CPU
หรือทําให้ระบบคอมฯไม่มีเสถียรภาพ ได้ ปัจจุบัน พัดลม CPU
ได้ถูกออกแบบมาเฉพาะกับ CPU
แต่ละรุ่น ซึ่งจะมีรูปร่าง และวัสดุที่ใช้ทําต่างกัน
มีการนําทองแดงมา ใช้เป็นวัสดุ ในการทําแทน อลูมิเนียม เพื่อช่วยระบายความร้อน
ใส่พัดลมที่มีกําลัง แรงและมีขนาดใหญ่มีการออกแบบครีบให้มากเพื่อ
ช่วยระบายความ ร้อน
Mainboard
3. เมนบอร์ด
(Mainboard)
เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นวงจรหลักสําหรับติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอ
ร์ต่างๆ
เกือบทั้งหมด
โดยจะมีหน้าที่ในการประสานงานและติดต่อรับส่งข้อมูลโดยผ่านระบบบัส
บนเมนบอร์ดก็จะมีอุปกรณ์ที่สําคัญๆ
รวมอยู่ด้วย
เช่น
สล็อต,ซ็อกเก็ตสําหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
ชิพเซ็ตที่ทําหน้าที่เหมือนแม่บ้าน
คอยจัดการและประสานงานให้กับอุปกรณ์ที่นํามาติดตั้งบนเมนบอร์ด
นอกจากนี้ก็ยังรวมเอาแผงวงจรและชิพควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ
เช่น
ตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์
(Harddisk
Controller)
พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก
เช่น
พอร์ตขนาน
(Parallel
Port) พอร์ตอนุกรม
(Serial
Port)
และพอร์ตยูเอสบี
(USB
Port)
เป็นต้น
แรม (RAM
–
Random
Access
Memory)
4. RAM ย่อมาจาก (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจําหลักที่จําเป็น
หน่วยความจํา ชนิดนี้จะสามารถเก็บข้อมูลได้
เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า มาเลี้ยง
ข้อมูลที่อยู่ภายในหน่วยความจําชนิดจะหายไปทันที หน่วยความจําแรม
ทําหน้าที่เก็บชุดคําสั่งและข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กําลังทํางานอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการนําเข้าข้อมูล (Input) หรือ การนําออกข้อมูล (Output)
โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจําหลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนําเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย
ข้อมูลนี้จะถูกนําไปใช้ในการประมวลผลต่อไป
2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล
3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก
ยังหน่วยแสดงผลอื่นที่ผู้ใช้ต้องการ
4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคําสั่ง
หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคําสั่ง
ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุมจะทําหน้าที่ดึงคําสั่งจากส่วน
นี้ไปที่ละคําสั่งเพื่อทําการแปลความหมาย ว่าคําสั่งนั้นสั่งให้ทําอะไร
จากนั้นหน่วยควบคุม
จะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทํางานดังกล่าวให้ทํางานตามคําสั่งนั้นๆ
5. Module ของ RAM
RAM ที่เรานํามาใช้งานนั้นจะเป็น chip เป็น ic ตัวเล็กๆ
ซึ่งส่วนที่เรานํามาใช้เป็นหน่วยความจําหลัก จะถูกบัดกรีติดอยู่บนแผงวงจร หรือ
Printed Circuit Board เป็น Module ซึ่งมีหลัก ๆ อยู่ 2 Module คือ SIMM กับ DIMM
SIMM หรือ Single In-line Memory Module
โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ data path 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuit board
จะให้สัญญาณ เดียวกัน
DIMM หรือ Dual In-line Memory Module
โดย Module นี้เพิ่งจะกําเนิดมาไม่นานนัก มี data path ถึง 64 บิต โดยทั้งสองด้านของ
circuited board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน ตั้งแต่ CPU ตระกูล Pentium เป็นต้นมา
ได้มีการออกแบบให้ใช้งานกับ data path ที่มากว่า 32 bit เพราะฉะนั้น
เราจึงพบว่าเวลาจะใส่ SIMM RAM บน slot RAM จะต้องใส่เป็นคู่ ใส่โดด ๆ แผง
เดียวไม่ได้
Memory Module ปัจจุบันมีอยู่ 3 รูปแบบคือ 30-pin, 72-pin, 168-pin
ที่นิยมใช้ในเวลานี้คือ 168-pin
ชนิดและความแตกต่างของ RAM
Dynamic Random Access Memory (DRAM)
DRAM จะทําการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ (Capacitor) ซึ่งจําเป็นต้องมีการ refresh
เพื่อ เก็บข้อมูล ให้คงอยู่โดยการ refresh
นี้ทําให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่องจากที่มันต้อง refresh
ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เองจึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM
Static Random Access Memory (SRAM)
จะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM ต้องทําการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูล นั้น ๆ ไว้ และจําไม่ทําการ refresh โดยอัตโนมัติ
ซึ่งมันจะทําการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมันก็คือความเร็ว
ซึ่งเร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมัน
DRAM
คือ เมโมรี่แบบธรรมดาที่สุด ซึ่งความเร็วขึ้นอยู่กับค่า Access Time
6. หรือเวลาที่ใช้ในการเอาข้อมูลในตําแหน่งที่เราต้องการออกมาให้
มีค่าอยู่ในระดับนาโนวินาที (ns) ยิ่งน้อยยิ่งดี เช่น ชนิด 60 นาโนวินาที เร็วกว่าชนิด 70
นาโนวินาที เป็นต้น รูปร่างของ DRAM เป็น SIMM 8 บิต (Single-in-line Memory
Modules) มี 30 ขา DRAM ย่อมาจาก Dynamic Random Access Memory
Fast Page DRAM
ปกติแล้วข้อมูลใน DRAM จึงถูกเก็บเป็นชุด ๆ แต่ละชุดเรียกว่า Page ถ้าเป็น Fast Page
DRAM จะเข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่าปกติสองเท่าถ้าข้อมูลที่เข้าถึงครั้งที่แล้ว
เป็นข้อมูลที่อยู่ใน Page เดียวกัน Fast Page DRAM เป็นเมโมรี่ SIMM 32 บิตมี 72ขา
(Pentium มีดาต้าบัสกว้าง 64 บิตดังนั้นจึงต้องใส่ SIMM ทีละสองแถวเสมอ)
EDO RAM
EDO Ram นําข้อมูลขึ้นมาเก็บไว้ใน Buffer ด้วย เพื่อว่า ถ้าการขอข้อมูลครั้งต่อไป
เป็นข้อมูลในไบต์ถัดไป จะให้เราได้ทันที EDO RAM จึงเร็วกว่า Fast Page DRAM
ประมาณ 10 % ทั้งที่มี Access Time เท่ากัน เพราะโอกาสที่เราจะเอาข้อมูลติด ๆกัน
มีค่อนข้างสูง EDO มีทั้งแบบ SIMM 32 บิตมี 72 ขา และ DIMM 64 บิตมี 144 ขา คําว่า
EDO ย่อมาจาก Extended Data Out
SDRAM
เป็นเมโมรี่แบบใหม่ที่เร็วกว่า EDO ประมาณ 25 %
เพราะสามารถเรียกข้อมูลที่ต้องการขึ้นมาได้ทันที โดยที่ไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปเท่ากับ
Access Time ก่อน หรือเรียกได้ว่า ไม่มี Wait State นั่นเอง ความเร็วของ SDRAM
จึงไม่ดูที่ Access Time อีกต่อไป แต่ดูจากสัญญาณนาฬิกาที่ โปรเซสเซอร์ติดต่อกับ Ram
เช่น 66, 100 หรือ 133 MHz เป็นต้น SDRAM เป็นแบบ DIMM 64 บิต มี 168 ขา
เวลาซึ้อต้องดูด้วยว่า MHz ตรงกับเครื่องที่เราใช้หรือไม่ SDRAM ย่อมาจาก Sychronous
DRAM เพราะทํางาน "sync" กับสัญญาณนาฬิกาบนเมนบอร์ด
SDRAM II (DDR)
DDR (Double Data Rate) SDRAM มีขา 184 ขา มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 2
เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 2 ทิศทางในการรับส่งข้อมูล
และมีความเร็วมากกว่า SDRAM เช่น ความเร็ว 133 MHz คูณ 2 Pipline เท่ากับ 266
MHz
RDRAM
7. RDRAM หรือที่นิยมเรียกว่า RAMBUS มีขา 184 ขา ทํามาเพื่อให้ใช้กับ Pentium4
โดยเฉพาะ(เคยใช้กับ PentiumIII และ Chipset i820 ของ Intel
แต่ไม่ประสบผลสําเร็จเนื่องจากมีปัญหาเรื่องระบบไฟจึงยกเลิกไป)
มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 4 เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 4
ทิศทางในการรับส่งข้อมูล เช่น RAM มีความเร็ว BUS = 100 MHz คูณกับ 4 pipline
จะเท่ากับ 400 MHz เป็นเมโมรี่แบบใหม่ที่มีความเร็วสูงมาก คิดค้นโดยบริษัท Rambus,
Inc. จึงเรียกว่า Rambus DRAM หรือ RDRAM อาศัยช่องทางที่แคบ
แต่มีแบนด์วิทด์สูงในการส่งข้อมูลไปยังโปรเซสเซอร์
ทําให้ความเร็วในการทํางานสูงกว่า SDRAM เป็นสิบเท่า RDRAM
เป็นทางเลือกทางเดียวสําหรับเมนบอร์ดที่เร็วระดับหลายร้อยเมกกะเฮิร์ดซ์
มีแรมอีกชนิดหนึ่งที่ออกมาแข่งกับ RDRAM มีชื่อว่า Synclink DRAM
ที่เพิ่มความเร็วของ SDRAM ด้วยการเพิ่มจํานวน bank เป็น 16 banks แทนที่จะเป็นแค่
4 banks
Hard drive : Hard disk
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูล หรือ Software ที่เราต้องการ เก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
Harddrive(Harddisk)
ปัจจุบัน มีมาตรฐานการเชื่อมต่อหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ คือ ATA(IDE) และ SISC (สกัสซี่)
ซึ่งปัจจุบัน SISC อยู่ที่ ความเร็ว 160 MB/Sec ส่วน ATA อยู่ที่ 100 MB/Sec
8. ทั้งสองมาตรฐานต้องต่อกับ อุปกรณ์เฉพาะที่ออกแบบมากับ แต่ละแบบ
ไม่สามารถนํามาต่อเข้าด้วย กันได้ ยกเว้นจะมีตัวควบคุม (Controller) แยกต่างหาก
Floppy Drive : Drive A:
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและ ขียนแผ่น Floppy Disk ซึ่งมีความจุต่าง ๆ กันเช่น
360KB, 720KB, 1.2MB, 1.44MB, 2.88 MB ซึ่งมีขนาด 3.5" และ 5.25" นอกจาก
Floppy Driveแล้วยังมี อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชั่วคราวอื่น ๆ เช่น Zip Drive,Jazz Drive,
SuperDrive และล้าสุดกับ Trump Drive ซึ่งสามารถนําไปต่อกับ Port USB
เพื่อทําการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทันที
Case
9. เป็นอุปกรณ์ที่เป็นตัวถึงของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผู้ผลิตหลายราย
ได้ทําการผลิตคิดคงรูปร่างของ Case ใหม่ ให้มีสีสันสวยงาม หรือ
ออกแบบมาให้เหมาะกับ การใช้งานบางประเภท เช่น Case สําหรับ เครื่อง Server Case
ในท้องตลาด ปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Case โลหะ และ Case พลาสติก
โดยแบบหลังจะมีราคาที่แพงกว่า เพราะมีป้องกันในส่วนของไฟฟ้ารั่ว และ Case
ก็จะออกแบบมา ให้เหมาะสมกับ ชนิดของ Mother Board แต่ละประเภทด้วย เช่น Baby
AT, ATX, Flex ATX, Micro ATX เป็นต้น
Moniter
จอภาพที่ใช้แสดงข้อมูลหรือโปรแกรม เป็นอุปกรณ์ OUTPUT
10. อย่างหนึ่งที่จําเป็นต้องมีสําหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันจอภาพให้หลายขนาด
ได้แก่ 14 นิ้ว 15 นิ้ว 17 นิ้ว และ 19 นิ้ว และมีหลายแบบให้เลือก ทั้งจอภาพธรรมดา
(CRT จอใหญ่เหมือนทีวี อ้วน) หรือจอภาพแบน แอลซีดี (LCD
จอที่มีลักษณะแบนเรียบทั้งตัวเครื่อง)
Display Card : Vga Card , Pci Card
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลภาพออกทางจอภาพ
ซึ่งปัจจุบันจะสนับสนุนการทํางานทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ
และจะเน้นหนักไปที่การเล่นเกมเป็นหลัก
บริษัทผู้ผลิตการ์ดแสดงผล ที่รู้จักกันดีได้แก่ Matrox, Ati, Nvidia, 3DLab
และปัจจุบันการ์ดแสดงผลจะมีบทบาทมาก
เนื่องจากมีการนํางานการคํานวณที่เกี่ยวกับการแสดงภาพมาคํานวณ
ที่การ์ดแสดงผลแทนที่จะต้องคํานวณด้วย CPU จึงมีการเรียก Card
ที่ทํางานในลักษณะนี้ว่า GPU (Graphic Processing Unit) ซึ่งจะพบใน Card ตระกูล
GeForce ของบริษัท Nvidia ซึ่งปัจจุบัน Card Geforce 2 Ultra ถือเป็น Card
ที่เร็วที่สุดในขณะนี้ และในการ์ดแสดงผลบางรุ่นยังมีช่องต่อ TV IN/OUT มาให้ด้วย
และ ช่องต่อ Panel Moniter (LCD Moniter) ด้วย บางรุ่นสนับ สนุนการใช้ แว่นตา 3 มิติ
เพื่ออรรถรสในการเล่นเกมส์
การ์ดเสียง (SoundCard)
12. 1. คอนเน็คเตอร์ CD Audio
เป็นส่วนที่อยู่ในเครื่องเพื่อรับสัญญาณเสียงแบบอนาล็อกจากไดร์ฟซีดีรอมผ่านสายเชื่อ
มต่อที่มี 4 ช่อง
สําหรับนํามาเสียบเข้ากับตัวคอนเน็คเตอร์การเสียบผิดด้านไม่ทําให้เสียหายแต่จะเป็นกา
รสลับช่องสัญญาณออกสู่ลําโพงซ้าย-ขวา เท่านั้น 2. ชิปสังเคราะห์เสียงหรือ
Synthesizer ในยุคแรกเป็นแบบ FM ที่เรียกว่า Frequency Modulation
เป็นการสังเคราะห์เสียงแบบผสมความถี่ซึ่งไม่นิยมใช้ปัจจุบันนี้
เพราะไม่สามารถให้เสียงที่เป็นธรรมชาติเหมือนเครื่องดนตรีจริงได้
WaveTableเป็นวิธีการสังเคราะห์เสียงที่นิยมใช้กันมากที่สุดในยุคปัจจุบันเนื่องจากสาม
ารถให้เสียงได้ใกล้เคียงกับเครื่องดนตรีจริงมากที่สุดซึ่งวิธีการคือ
บันทึกเสียงเครื่องดนตรีจริงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไว้เป็นช่วงสั้น ๆ
เพื่อเก็บไว้เป็นต้น
แบบไปหาจากเสียงต้นแบบในตารางเสียงที่มีความถี่เดียวกันมาการ์ดเสียงที่ใช้วิธีการนี้จึ
งให้เสียงเหมือนกับมีเครื่องดนตรีบรรเลงอยู่จริง
2. ชิปสังเคราะห์เสียงหรือ Synthesizer ในยุคแรกเป็นแบบ FM ที่เรียกว่า Frequency
Modulation เป็นการสังเคราะห์เสียงแบบผสมความถี่ซึ่งไม่นิยมใช้ปัจจุบันนี้
เพราะไม่สามารถให้เสียงที่เป็นธรรมชาติเหมือนเครื่องดนตรีจริงได้
WaveTableเป็นวิธีการสังเคราะห์เสียงที่นิยมใช้กันมากที่สุดในยุคปัจจุบันเนื่องจากสาม
ารถให้เสียงได้ใกล้เคียงกับเครื่องดนตรีจริงมากที่สุดซึ่งวิธีการคือ
บันทึกเสียงเครื่องดนตรีจริงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไว้เป็นช่วงสั้น ๆ
เพื่อเก็บไว้เป็นต้น
แบบไปหาจากเสียงต้นแบบในตารางเสียงที่มีความถี่เดียวกันมาการ์ดเสียงที่ใช้วิธีการนี้จึ
งให้เสียงเหมือนกับมีเครื่องดนตรีบรรเลงอยู่จริง
3. ช่อง Line - out (สีชมพู) ช่องต่อนี้จะมีเฉพาะการ์ดเสียงแบบ 4 แชนแนล
ใช้สําหรับต่อสัญญาณเสียงไปยังลําโพงแบบ Surround ซ้าย-ขวา
4. ช่อง Line - in (สีน้ําเงิน) สําหรับรับสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์กําเนินเสียงอื่น เช่น เครื่องเล่นวิทยุ - เทป
เครื่องเล่นซีดี ฯลฯ เข้ามาที่การ์ดเพื่อขยายสัญญาณเสียงหรือแสดงผลที่เครื่องของเรา
5. ช่อง Speaker (สีเขียว) สําหรับส่งสัญญาณเสียงจากการ์ดเสียงออกไปยังลําโพงปกติในแบบสเตอริโอ
13. 6. MIDI/Game Port เป็นคอนเน็คเตอร์รูปตัว "D" ใช้ต่อพ่วงอุปกรณ์ประเภท MIDI
หรืออุปกรณ์สําหรับเล่นเกม เช่น จอยสติกส์ เกมแพด ฯลฯ
CD-ROM / CD-RW / DVD
ไดรฟ์สําหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม (CD-RW) ซีดีเพลง (Audio CD) โฟโต้ซีดี (Photo CD)
วิดีโอซีดี (Video CD) โดยไดรฟ์ทั้งสามประเภท จะมีความสามารถในการอ่านข้อมูล
จากแผ่นซีดีที่กล่าวมาข้างต้นอยู่แล้ว แต่ถ้าหากคุณต้องการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีได้ด้วย
จะต้องเลือกใช้ไดรฟ์ CD-RW และถ้าต้องการอ่านข้อมูลจากแผ่น DVD ก็ต้องใช้ไดรฟ์ DVD
นอกจากนี้ยังมีไดรฟ์อีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า Combo Drive คือเป็นไดรฟ์ที่รวมทั้งไดรฟ์ DVD และไดรฟ์
CD-RW อยู่ในไดรฟ์เดียว ทําให้ทั้งดูหนังฟังเพลง บันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีได้เลย
ความเร็วของไดรฟ์ซีดีรอมจะเรียกเป็น X เช่น 8X, 40X, 50X ยิ่งมากก็คือยิ่งเร็ว ส่วน CD-RW
นั้นจะมีตัวเลขแสดง เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะเพิ่มความเร็วในการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดี เช่น 24/10/40X
นั่นคือความเร็วในการบันทึกแผ่น CD-R สูงสุด ความเร็วในการบันทึกข้อมูลลงแผ่น CD-RW
และความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีโปรแกรม หรือซีดี เพลง
Floppy Disk
14. เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและ เขียนแผ่น Floppy Disk ซึ่งมีความจุต่าง ๆ กันเช่น 360KB, 720KB,
1.2MB, 1.44MB, 2.88 MB ซึ่งมีขนาด 3.5" และ 5.25" นอกจาก Floppy Drive แล้วยังมี
อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชั่วคราวอื่น ๆ เช่น Zip Drive, Jazz Drive, SuperDrive และ Trump Drive
ซึ่งสามารถนําไปต่อกับ Port USB เพื่อทําการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทันที...
เมาส์และคีย์บอร์ด