More Related Content
Similar to งานอาชญากรร,ทางคอมพิวเตอร์
Similar to งานอาชญากรร,ทางคอมพิวเตอร์ (15)
งานอาชญากรร,ทางคอมพิวเตอร์
- 4. ประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. พวกมือใหม่หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้ และส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผู้ที่เป็น
อาชญากรโดยนิสัย ไม่ได้ดารงชีพ โดยการกระทาความผิด
2. นักเจาะข้อมูล ผู้ที่เจาะข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น พยายามหาความท้าทายทาง
เทคโนโลยี เข้าไปในเครือข่ายของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
3. อาชญากรในรูปแบบเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ เช่น พวกลักเล็กขโมยน้อยที่
พยายามขโมยบัตรเอทีเอ็ม ของผู้อื่น
4. อาชญากรมืออาชีพ คนพวกนี้จะดารงชีพจากการกระทาความผิด เช่น พวกที่มักจะใช้
ความรู้ทางเทคโนโลยีฉ้อโกง สถาบันการเงิน หรือการจารกรรมข้อมูลไปขาย เป็นต้น
5. พวกหัวรุนแรงคลั่งอุดมการณ์หรือลัทธิ มักก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพื่อ
อุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา หรือสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้นคงจะไม่ใช่มีผลกระทบเพียงแต่ความมั่นคงของบุคคลใด
บุคคลหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบไปถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศชาติเป็นการ
ส่วนรวม ทั้งความมั่นคงภายใน และภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับข่าวกรอง
หรือการจารกรรมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการ
เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิมเช่น
1. ในปัจจุบันความมั่นคงของรัฐนั้นมิใช่จะอยู่ในวงการทหารเพียงเท่านั้น บุคคล
ธรรมดาก็สามารถป้องกัน หรือทาลาย ความมั่นคงของประเทศได้
2. ในปัจจุบันการป้องกันประเทศอาจไม่ได้อยู่ที่พรมแดนอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ทา
อย่างไรจึงจะไม่ให้มีการคุกคาม หรือ ทาลายโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
3. การทาจารกรรมในสมัยนี้มักจะใช้วิธีการทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
- 5. บนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ ความผิดต่าง ๆ ล้วนแต่สามารถเกิดขึ้นได้เช่น การจารกรรม
การก่อการร้าย การค้ายาเสพติด การแบ่งแยกดินแดน การฟอกเงิน การโจมตีระบบ
สาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศที่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุม เช่น ระบบจราจร หรือระบบ
รถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งทาให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ความ
มั่นคง ของประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศของชาติ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกจาก
กันได้อย่างเด็ดขาด การโจมตีผ่านทางระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ สามารถทาได้ด้วย
ความเร็วเกือบเท่ากับการเคลื่อนที่ความเร็วแสง ซึ่งเหนือกว่า การเคลื่อนทัพทางบก หรือการ
โจมตีทางอากาศ
การลักลอบเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
การลักลอบนาเอาข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการสร้างความเสียหายต่อบุคคลและ
สังคมสารสนเทศโดย “ผู้ไม่ประสงค์ดี” ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกนี้ ทาให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime) ขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็น
อย่างมาก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการขาด “จริยธรรมที่ดี” ซึ่งนอกจากเป็นการกระทาที่ขาด
จริยธรรมที่ดีแล้ว ยังถือว่าเป็นการกระทาที่ผิดกฎหมายอีกด้วย หลายประเทศมีการออกกฎหมาย
รองรับเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นแล้ว แต่อาจแตกต่างกันไปในประเด็นของ
เนื้อหาที่กระทาผิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและระดับความร้ายแรงของการก่อ
อาชญากรรมที่กระทาขึ้นด้วย สาหรับประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสาคัญเกี่ยวกับ
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับนานาประเทศ และได้ออกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วย
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 23กันยายน 2546 ใช้เป็น
กฎหมายที่กาหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูล
คอมพิวเตอร์
- 6. รูปแบบของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไป มีดังนี้
1. การลักลอบเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งกลุ่มคนที่ลักลอบเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
· แฮกเกอร์ (Hacker) คือกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถและต้องการทดสอบ
ความสามารถของตนเอง โดยไม่มีประสงค์ร้าย
· แครกเกอร์ (Cracker) คือกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถคล้ายกับ Hacker แต่กลุ่มนี้
จะเป็นผู้ที่ประสงค์จะทาลายและสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น
· สคริปต์คิดดี้ (Script Kiddy) คือกลุ่มเด็กหรือนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ โดยกลุ่มนี้จะมี
ความต้องการอยากทดลอง อยากรู้อยากเห็น โดยหลังจะก่อกวนผู้อื่น
2. การขโมยและทาลายอุปกรณ์ (Hardware Theft and Vandalism)
3. การขโมยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software Theft)
4. การก่อกวนระบบด้วยโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Code)
เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ หนอนอินเตอร์เน็ต ม้าโทรจัน
5. การก่อกวนระบบด้วยสปายแวร์ (Spyware) สร้างความราคาญ
6. การก่อกวนระบบด้วยสแปมเมล์(Spam Mail) เมล์โฆษณา
7. การหลอกลวงเหยื่อเพื่อล้วงเอาข้อมูลส่วนตัว (Phishing)
การรักษาความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์
1. การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus Program)
2. การใช้ระบบไฟล์วอลล์ (Firewall System)
3. การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)
4. การสารองข้อมูล (Back Up)
- 7. "อาชญากรคอมพิวเตอร์" เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่า ห้องสมุดน่าจะเป็นแหล่งความรู้ที่มีข้อมูล
มากมายมหาศาลที่สุด แต่ในปัจจุบันทุกอย่างได้เปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ตเข้ามาแทนที่ เป็น
แหล่งข้อมูลที่มหาศาลเพราะข้อมูลทั่วโลกถูกเก็บรวบรวมไว้ในอินเตอร์เน็ต โดยจัดเก็บในรูป
ของเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การเปิดประตูบ้านออกสู่ถนนสาธารณะย่อมเสี่ยงต่อผู้
แปลกปลอมที่จะลักลอบเข้ามาในระบบ ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายเป็นเรื่อง
ที่ต้องให้ความสาคัญภายในเครือข่าย ถ้ามีการเปิดประตูให้บุคคลภายนอกเข้าได้หรือเปิด
ช่องทางไว้ย่อมเสี่ยงต่อการรักษาความปลอดภัย เช่น นาเครือข่ายขององค์กรเชื่อมกับ
อินเทอร์เน็ต หรือมีช่องทางให้ใช้ติดต่อผ่านทางโมเด็มได้ถึงแม้ว่าบางระบบอาจจะวาง
มาตรการรักษาความปลอดภัยไว้อย่างดีแล้ว มีผู้ดูแลระบบที่เรียกว่า System Admin ระบบ
ดังกล่าวก็ยังไม่วายที่จะมีผู้ก่อกวนที่เรียกว่า แฮกเกอร์
(Hacker) แฮกเกอร์ คือ ผู้ที่พยายามหาวิธีการ หรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบ
เข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทาลายข้อมูลข่าวสาร หรือ
ทาความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การลบรายชื่อลูกหนี้การค้า การลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบ
ยิ่งในปัจจุบันระบบเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ปัญหาในเรื่องอาชญากรรมทางด้าน
เทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องแฮกเกอร์ก็มีให้เห็นมากขึ้น ผู้ที่แอบลักลอบเข้าสู่ระบบจึงมาได้
จากทั่วโลก และบางครั้งก็ยากที่จะดาเนินการใดๆได้
เว็บไซต์เป็นแหล่งรวบรวมความรู้มีทั้งของรัฐ บริษัท หน่วยงานเอกชน เว็บไซต์ส่วนบุคคล ใน
แต่ละประเทศมีมากมายเป็นหมื่นๆ เว็บไซต์แล้วทั่วโลกจะมีกี่เว็บไซต์? การค้นหาข้อมูลใน
เว็บไซต์เหล่านี้ จะต้องเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งตามบ้านเรือน บริษัท หน่วยงานต่างๆ
จะมีการจัดหาคอมพิวเตอร์ไว้บริการ การศึกษาหาความรู้จึงเป็นสิ่งจาเป็น เพื่อให้สามารถค้นหา
ข้อมูลที่ต้องการจากอินเตอร์เน็ตได้เทคโนโลยีทุกอย่างนั้น ให้ทั้งคุณและโทษสาหรับผู้ใช้ทั้งสิ้น
ทั้งที่มาจากตัวเทคโนโลยีเอง และจากมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยี
- 8. ปัจจัยอย่างหลังนี่เอง ที่ก่อให้เกิดปัญหา"อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์" (Computer Crime) อัน
เป็นปัญหาหลักที่นับว่ากาลังทวีความรุนแรงกว่าปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้า ซึ่งแหล่งที่
เป็นจุดโจมตีมากที่สุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "อินเทอร์เน็ต" ที่เป็นเช่นนี้เกิดจากความต้องการเก็บ
ข้อมูลต่างๆทั้งในวงการธุรกิจและแวดวงราชการไว้ในคอมพิวเตอร์ แล้วสามารถติดต่อเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างกันได้จนกลายเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย
สมาชิกจานวนมาก และเปิดโอกาสให้สมาชิกคนหนึ่งในเครือข่ายนั้น นาความก้าวหน้าของ
เทคโนโลยีมาก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มากขึ้น
อาชญากรคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทาผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นส่วนสาคัญ มี
การจาแนกไว้ดังนี้
1.Novice เป็นพวกเด็กหัดใหม่(newbies)ที่เพิ่งเริ่มหัดใช้คอมพิวเตอร์มาได้ไม่นาน หรืออาจ
หมายถึง
พวกที่เพิ่งได้รับความไว้วางใจให้เข้าสู่ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2.Darnged person คือ พวก
จิตวิปริต ผิดปกติ มีลักษณะเป็นพวกชอบความรุนแรง และอันตราย
มักเป็นพวกที่ชอบทาลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของ หรือสภาพแวดล้อม
3.Organized Crime พวกนี้เป็นกลุ่มอาชญากรที่ร่วมมือกันทาผิดในลักษณะขององค์กรใหญ่ๆ ที่
มี ระบบ พวกเขาจะใช้คอมพิวเตอร์ที่ต่างกัน โดยส่วนหนึ่งอาจใช้เป็นเครื่องหาข่าวสาร เหมือน
องค์กรธุรกิจ ทั่วไป อีกส่วนหนึ่งก็จะใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นตัวประกอบสาคัญในการก่อ
อาชญากรรม หรือใช้เทคโนโลยี กลบเกลื่อนร่องร่อย ให้รอดพ้นจากเจ้าหน้าที่ 4.Career
Criminal พวกอาชญากรมืออาชีพ เป็นกลุ่มอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่มาก กลุ่มนี้น่า
เป็นห่วงมากที่สุด เนื่องจากนับวันจะทวีจานวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจับผิดแล้วจับผิดเล่า บ่อยครั้ง
5. Com Artist คือพวกหัวพัฒนา เป็นพวกที่ชอบความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้
ได้มาซึ่ง
ผลประโยชน์ส่วนตน อาชญากรประเภทนี้จะใช้ความก้าวหน้า เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และ
ความรู้ของ ตนเพื่อหาเงินมิชอบทางกฎหมาย
6.Dreamer พวกบ้าลัทธิ เป็นพวกที่คอยทาผิดเนื่องจากมีความเชื่อถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างรุ่น
แรง
7.Cracker หมายถึง ผู้ที่มีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี จนสามารถลักลอบ
เข้าสู่
- 10. พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ ๒๕๕๐ ซึ่งมีผลบังคับใช้
แล้ว น่าจะเป็นความหวังของบรรดาเหยื่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ในการใช้เพื่อต่อสู้กับการถูก
กระทาย่ายี โดยโจรคอมพิวเตอร์ได้
๕ ฐานความผิดอาชญากรคอมพิวเตอร์
๑.แฮกเกอร์ (Hacker) มาตรา ๕ "ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการ
ป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สาหรับตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน
หกเดิอน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ" มาตรา ๖ & quot;ผู้ใดล่วงรู้
มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทาขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านามาตรการ
ดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจาคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ" มาตรา ๗ " ผู้ใดเข้าถึงโดยมิ
ชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้
สาหรับตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ"
มาตรา ๘ "ผู้ใดกระทาด้วยประการใดๆ โดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิคส์เพื่อดักรับไว้ซึ่ง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์
นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษ
จาคุกไม่เกินสามปี หรือ
- 11. ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจา ทั้งปรับ" คาอธิบาย ในกลุ่มความผิดนี้ เป็นเรื่องของแฮก
เกอร์ (Hacker) คือ การเจาะเข้าไปใน"ระบบ"คอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นบุคคล
ธรรมดา หรือนิติบุคคล ซึ่งระดับความร้ายแรงของโทษ ไล่ขึ้นไปจากการใช้mail ของคนอื่น เข้า
ไปในระบบ หรือเผยแพร่ mail ของคนอื่น การเข้าไปใน "ข้อมูล" คอมพิวเตอร์ ของบุคคลอื่น
จนกระทั่งการเข้าไปจารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล โดยวิธีการทางอิเล็คทรอนิกส์ เช่น ข้อมูล
ส่วนตัว ข้อมูลทางการค้า (Corporate Eepionage) ๒.ทาลายซอฟท์แวร์ มาตรา ๙ "ผู้ใดทาให้
เสียหาย ทาลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่ง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง
แสนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ" มาตรา ๑๐ "ผู้ใดกระทาด้วยประการใดๆ โดยมิชอบ เพื่อให้การทา
งานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทางาน
ตามปกติได้ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ"
คาอธิบาย เป็นลักษณะความผิดเช่นเดียวกับ ความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์ในประมวลกฎหมาย
อาญา แต่กฎหมายฉบับนี้หมายถึงซอฟท์แวร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ๓ ปกปิด หรือปลอม
ชื่อส่ง Mail มาตรา ๑๑ "ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดย
ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบ
คอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินไม่เกินหนึ่งแสนบาท" คา
อธิบาย เป็นการส่งข้อมูล หรือ Mail โดยปกปิดหรือปลอมแปลงชื่อ รบกวนบุคคลอื่น เช่น
จดหมายลูกโซ่ ข้อมูลขยะต่างๆ ๔.ผู้ค้าซอฟท์แวร์ สนับสนุนการทาผิด มาตรา ๑๓ "ผู้ใดจาหน่าย
หรือเผยแพร่ชุดคาสั่งที่จัดทาขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อนาไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทาความผิด
ตามมาตรา ๕ -๖ -๗ -๘ -๙ -๑๐ และ ๑๑ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสอง
หมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ"
คาอธิบาย เป็นความผิดที่ลงโทษผู้ค้าซอฟท์แวร์ ที่นาไปใช้เป็นเครื่องมือกระทาความผิดตาม
มาตรา ๕ -๑๑ ๕.ตัดต่อ เผยแพร่ ภาพอนาจาร มาตรา ๑๖ "ผู้ใดนาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่
ประชาชนทั่วไป อาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฎเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็น
ภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่น
ใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทาให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความ
เสียหาย ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
- 12. ถ้าการกระทาตามวรรคหนึ่ง เป็นการนาเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทาไม่มีความผิด
คาอธิบาย เป็นเรื่องของการตัดต่อ หรือตกแต่งภาพดารา ภาพบุคคลอื่นด้วยโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ ในลักษณะอนาจาร และเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สาม คาว่าประการที่น่าจะทาให้ผู้อื่น
นั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายนั้น เพียงเห็นภาพก็น่าเชื่อแล้ว
ไม่จาเป็นต้องยืนยันด้วยหลักฐาน หรือบุคคลโดยทั่วไปจะต้องเข้าใจในทันทีว่าบุคคลที่สามนั้น
จะต้องได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน จากการเผยแพร่ภาพนั้น สาหรับผู้ที่ได้รับภาพ ไม่มี
ความผิด ยกเว้นจะ Forward หรือเผยแพร่ต่อ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้
ถึงแม้จะมีกฎหมายที่ตราขึ้นไว้เฉพาะความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วก็ตาม แต่ความผิดใน
ลักษณะนี้ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า ซึ่งสามารถรู้ตัวผู้กระทาความผิดได้ในฉับพลัน เช่นเดียวกับ
ความผิดอาญาโดยทั่วไป นอกจาก "รอยเท้าอิเล็กทรอนิกส์" (electronic footprints) อันได้แก่ IP
หรือร่องรอยที่ทิ้งไว้ในซอฟท์แวร์