holyproduction2
- 1. การผลิตซำ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคมไทยร่วมสมัย
ชาตรี ประกิตนนทการ
มีคนเป็นจำานวนไม่น้อยที่เห็นสอดคล้องตามข้อเสนอของ วอลเตอร์ เบนยา
มิน (Walter Benjamin) ในบทความชิ้นสำาคัญชื่อ “งานศิลปะในยุคแห่งการผลิต
ซำ้าเชิงจักรกล” (The Work of Art in the Age of Mechanical
Reproduction) ซึ่งเสนอว่า ระบบทุนนิยม ระบบผลิตแบบอุตสาหกรรม และลัทธิ
บริโภคนิยม จะส่งผลกระทบให้เกิดปรากฎการณ์ทางสังคมที่เข้ามาลดทอนความ
ศักดิ์สิทธิ์หรือความขลัง (aura) ของวัตถุสิ่งของต่างๆ ลงจนหมดสิ้น
สิ่งของทางวัฒนธรรมที่เคยดำารงสถานะศักดิ์สิทธิ์ตามระบบทางสังคมก่อน
ยุคทุนนิยม เมื่อปะทะเข้ากับระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตซำ้าวัตถุ
สิ่งของที่มีคุณลักษณะทางกายภาพเหมือนต้นฉบับออกมาได้เป็นจำานวนมหาศาล
ภายในเวลาอันรวดเร็ว จะนำามาสู่การบ่อนทำาลายสถานภาพอันสูงส่ง, ความ
เป็นต้นฉบับ, หรือความขลัง ให้สูญสลายไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำาทฤษฎีข้างต้นมาพิจารณาปรากฎการณ์จริงในสังคม
ไทย กลับพบว่าส่งผลไปในทิศทางตรงกันข้าม
หาก วอลเตอร์ เบนยามิน กล่าวถูกต้อง เราจะอธิบายอย่างไรกับกระแสจตุ
คามรามเทพเมื่อหลายปีก่อน เราจะสามารถมองจตุคามรามเทพซึ่งถูกผลิตซำ้าออก
มาเป็นจำานวนมากว่าเป็นเรื่องของทุนนิยมโดยไร้ซึ่งมิติของความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง
หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกกลืนกินไปโดยทุนนิยมอย่างสมบูรณ์แบบแล้วแน่หรือ
การทำาให้ก้อนดินและส่วนประกอบอื่นๆ ที่เรียกกันว่า “มวลสาร” อันไม่มีราคาค่า
งวดอะไรเลย ยกระดับจนไปมีราคาเป็นพันบาท หมื่นบาท บางรุ่นเป็นแสนบาทนั้น
เป็นเรื่องของระบบทุนนิยมเพียงอย่างเดียวเท่านั้นจริงหรือ
แน่นอน ระบบทุนนิยมทำาให้จตุคามรามเทพกลายเป็นสินค้า เช่นมีการเหมา
เครื่องบินขึ้นไปทำาพิธีกรรมปลุกเสกจตุคามรามเทพบางรุ่นเหนือพระบรมธาตุ
นครศรีธรรมราช อันเป็นการทำาการตลาดแบบสมัยใหม่ให้แก่สินค้า แต่กระนั้น
ความคิดเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ ขรึมขลัง และ ลี้ลับ ก็ยังคงอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้
คือฐานคิดที่สำาคัญในระบบความเชื่อของผู้คนที่ฝังรากมายาวนาน อันส่งผลเสริม
ให้จตุคามรามเทพกลายเป็นกระแสที่แพร่หลาย
ที่น่าสังเกตคือ การผลิตจตุคามรามเทพด้วยเครื่องปั๊มพ์พิมพ์สมัยใหม่ ก็ไม่
ได้ทำาลาย aura ของวัตถุลงเลย เพราะในความเป็นจริงแล้ว สังคมไทยมองว่า
ความศักดิ์สิทธิ์สามารถผลิตซำ้าได้ไม่จำากัด อานุภาพของเทพมิได้ยึดติดกับวัตถุชิ้น
ใดเพียงชิ้นเดียว เพราะองค์เทพสามารถแบ่งอานุภาพออกเป็นส่วนๆ ในจำานวนที่
สอดคล้องกับปริมาณการผลิตโดยเครื่องจักรสมัยใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำากัด
หรือในกรณีธุรกิจค้าพระพุทธรูปและพระเครื่อง ซึ่งใครหลายคนมักคิดว่า
วัตถุศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะ
1
- 2. การนำาพระพุทธรูปหรือพระเครื่องมาแปลงเป็นสินค้าที่ติดป้ายราคาในท้องตลาด
เป็นกระบวนการลดทอนและทำาลายสถานะศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งเหล่านี้
คำาอธิบายข้างต้นแน่นอนมีส่วนจริง แต่ไม่ทั้งหมด มันจริงเฉพาะกรณีผู้ซื้อที่
มองมันเป็นแค่ศิลปวัตถุเอาไว้ตั้งโชว์ในห้องรับแขก แต่ในหลายกรณีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เหล่านี้สามารถธำารงรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้ผ่านกระบวนการหลาย
อย่าง อาทิ เมื่อนำาพระพุทธรูปไปผ่านพิธีกรรมบางอย่างก่อน เช่น เบิกเนตรใหม่
หรือนิมนต์พระมาทำาพิธีปลุกเสกใหม่ เป็นต้น ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้คือกระบวนการ
คืนความศักดิ์สิทธิ์กลับมาสู่พระพุทธรูปและพระเครื่องชนิดต่างๆ อีกครั้ง แม้ว่ามัน
จะเคยตั้งอยู่ในชั้นขายของและมีป้ายราคาติดอยู่ด้วยก็ตาม
นอกจากนี้ ชุดคำาที่ใช้กับธุรกิจค้าขายความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็มีลักษณะะ
เฉพาะที่ไม่ทำาให้ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นดูไร้ค่าอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นคำา
ว่า “เช่าบูชา” ที่มีความหมายคือ “ซื้อ”, คำาว่า “บอกบุญ” ที่มีความหมายคือ “การ
เรี่ยไรเงิน” และคำาอื่นๆ อีกมากมายในธุรกิจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้ เรามองเห็น
ลักษณะของทุนนิยมชัดเจน แต่เราก็มองเห็นการคงอยู่อย่างมั่นคงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เช่นเดียวกัน
ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องจริงในสังคมไทยร่วมสมัยที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ และ
ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ดูไม่ออกว่า ทุนนิยมมันได้เข้ามาทำาลายความศักดิ์สิทธิ์ใน
สังคมไทยได้สักกี่มากน้อย สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ดูจะเป็นการจูบปากแต่งงานอย่าง
หวานชื่นระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสังคมไทยกับระบบทุนนิยมเสียมากว่า
ความเชื่อที่ว่า “ ”ความศักดิ์สิทธิ์ เป็นคู่ตรงข้ามกับ “ ”ระบบทุนนิยม ในทัศนะ
ผม คือปรากฏการณ์ของความกังวลต่อเส้นแบ่งของ “โลกศักดิ์สิทธิ์” (The
sacred) กับ “โลกสาธารณ์” (The profane) ที่มันไม่ชัดเจนและพล่าเลือนมาก
ขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมร่วมสมัย
โลกศักดิ์สิทธิ์ คือ ปริมณฑลของเหตุการณ์ พื้นที่ และ เวลา ที่พิเศษแตกต่าง
ออกไปจากโลกของชีวิตปกติที่ทุกคนต้องประสบพบเจอทุกวันๆ ปริมณฑลนี้จะ
ช่วยให้มนุษย์ประจักษ์ถึงนามธรรมและจิตวิญญาณที่สูงส่ง พ้นไกลออกไปจาก
ผัสสะทางกายของมนุษย์ อาจจะหมายถึง โลกหน้าหลังความตาย ผี พระเจ้า ความ
ดีงาม ฯลฯ ส่วนโลกสาธารณ์ คือ ปริมณฑลของเหตุการณ์ พื้นที่ และ เวลา ที่
สัมพันธ์กับชีวิตประจำาวันของมนุษย์ พบเจออยู่ทุกวัน โลกที่สัมผัสจับต้องได้ เต็ม
ไปด้วยกิเลส ผลประโยชน์ ความทะยานอยาก กระหาย รัก โลภ หลง และเกลียด
ชัง ซึ่งไม่ได้มีความสูงส่งหรือยิ่งใหญ่ แต่แน่นอนว่า มิได้หมายถึงความเลวร้าย
ชัวช้า ตำ่าทราม แต่อย่างใดนะครับ จริงๆ แล้วก็คือโลกปกติที่แสดงออกซึ่ง
ธรรมชาติที่แสนธรรมดาของมนุษย์
การมีอยู่ของปริมณฑลศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ พิธีกรรม หรือรูป
สัญลักษณ์พิเศษใดๆ ล้วนคือภาพสะท้อนของโลกในอุดมคติอันสูงส่งที่ไม่มีอยู่จริง
ในด้านหนึ่งก็เพื่อทำาหน้าที่ยึดเหนี่ยวและเยียวยาทางจิตใจแก่ผู้คนในสังคม แต่อีก
2
- 3. ด้านหนึ่งที่สำาคัญมากคือ การทำาหน้าที่ผดุงรักษาโครงสร้างของระบบสังคม
ตอกยำ้าความดีงามของระบบ (แม้ระบบโดยส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยการกดขี่)
อธิบายความสัมพันธ์เชิงอำานาจระหว่างคนกับคนในสังคม (ซึ่งมักจะไม่เท่าเทียม
เสมอภาคกัน) ช่วยรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของสังคม (แม้จะเป็นเพียง
ความมั่นคงของคนบางกลุ่มบางเหล่า) ให้คำาตอบแก่ปัญหาต่างๆ ในยามที่สังคม
เผชิญหน้ากับวิกฤต
ด้วยเหตุนี้ จึงเข้าใจได้ว่าทำาไมคนส่วนใหญ่จึงไม่อาจยอมรับได้ถึงการอยู่
ร่วมกันระหว่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ในฐานะตัวแทนของโลกศักดิ์สิทธิ์) กับ ระบบทุนนิยม
(ในฐานะตัวแทนของโลกสาธารณ์) เพราะหากเชื่อว่าทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกันได้
ย่อมหมายถึงความพล่าเลือนของเส้นแบ่งระหว่างโลกศักดิ์สิทธิ์กับโลกสาธารณ์จะ
เกิดขึ้นทันที อันเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีอยู่ของพื้นที่ทั้งสองแบบ
คือการเติมเต็มธรรมชาติสองด้านของมนุษย์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้มนุษย์ไม่รู้สึก
ทุรนทุรายกับความเป็นจริงในโลกที่บางครั้งโหดร้ายแสนสาหัสเกินไปและบำาบัด
ความต้องการในเชิงจิตวิญญาณที่อยู่พ้นไปจากโลกปกติ พื้นที่สาธารณ์ช่วยบำาบัด
ความต้องการทางธรรรมชาติของมนุษย์ที่ยังเต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง นานา
ประการ
แต่กระนั้น ความเป็นจริงที่โหดร้ายก็ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทยร่วมสมัย
ความเป็นจริงที่โหดร้ายดังกล่าวที่เราไม่อาจปฏิเสธได้คือ วัตถุทาง
วัฒนธรรมที่มีสถานะศักดิ์สิทธิ์ตามระบบสังคมก่อนยุคทุนนิยม อาทิ พระพุทธรูป
เครื่องราง ของขลัง พระเครื่อง ฯลฯ ในสังคมไทยร่วมสมัยได้กลายเป็น รูปสัญญะ
(Signifier) ที่มี ความหมายสัญญะ (Signified) ซ้อนกันอยู่อย่างน้อย 2 ประการ
คือ ความหมายของการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความหมายของการเป็นสินค้าประเภท
หนึ่งในระบบตลาดสมัยใหม่ ซึ่งทั้งสองความหมายหลายคนคิดว่ามันขัดแย้งกัน
แต่ในความเป็นจริงทางสังคม ความหมายทั้งสองสามารถดำารงอยู่ด้วยกันได้ใน
เวลาเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น รูปสัญญะของพระพุทธรูปถูกผลิตซำ้า ถูกตัดแปะ ดัดแปลง
และย่อขยายมาเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่มีความต้องการในตลาดการบริโภคอย่าง
สูงยิ่ง เราพบเห็นสินค้าประเภทนี้เต็มไปหมด ตั้งแต่มือหักๆ ของพระพุทธรูป เศียร
พระเก่าๆ ภาพวาดของศิลปินที่โคลสอัพพระพักตร์ของพระพุทธรูปจนเต็มเฟรม
ฯลฯ สินค้าเหล่านี้ถูกซื้อไปประดับตามบ้านเศรษฐี ตั้งอยู่ในล็อบบี้โรงแรม แขวน
อยู่เหนือเตียงตามรีสอร์ท ในขณะที่วัตถุสิ่งของเหล่านี้ก็สามารถตั้งอยู่ภายในห้อง
พระของบ้านเศรษฐี เพื่อทำาหน้าที่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้ในขณะเดียวกัน ซึ่งเราจะ
เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในมิติที่ซ้อนทับในเชิงความหมายเหล่านี้ได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น
ท่าพระจันทร์ ตลาดนัดจตุจักร ห้างสรรพสินค้า แกลลอรี่ทางศิลปะ แม้แต่เป็น
สินค้าแบบกะดินที่จำาหน่ายตามท้องถนน
3
- 4. การดำารงอยู่ของสถานะ 2 อย่างที่แตกต่างกันข้างต้น แม้สังคมไทยจะไม่
อยากรับรู้ หรือแกล้งทำาเป็นไม่รับรู้ก็ตาม แต่สถานะพร่าเลือนที่นำามาสู่การซ้อนทับ
กันในเชิงสถานะและความหมายดังกล่าวก็ดำารงอยู่จริง ซึ่งการดำารงอยู่ของ
ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ในสังคมไทย “ทุนนิยม” ได้
แต่งงานกับ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน
และกันจนสมประโยชน์ไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
4