More Related Content
More from Pongpob Srisaman
More from Pongpob Srisaman (6)
5.ส่วนสรุปเนื้อหา
- 1. สรุปเนือหา
้
โครงสร้ างฐานราก
งานดินและเสาเข็ม
งานดินและเสาเข็มเป็ นส่ วนประกอบกัน เพื่อให้เกิดความแข็งแรงแก่อาคาร เพื่อให้เกิดความมันคงแข็งแรง
่
แก่อาคาร ควรเจาะดินเพื่อหาค่าความแข็งแรงของดินโดยเฉพาะชั้นหิ นเพื่อให้ปลายเข็มหยังลงไปอย่างมันคง
่
่
- การรับนําหนักของดิน
้
ชนิดของการเรี ยงก้อนเล็กไปก้อนใหญ่ข้ ึนเป็ นลําดับลึก ถือว่าเป็ นดินชนิดดี(Wall Grade) ความแข็งแรง
่
ของดินเพิ่มขึ้น หรื อบางที่ดินมีความแข็งแรงตํ่าเมื่ออยูลึกลงไป ขณะเดียวกันดินที่แช่นาอยูระยะหนึ่ง เมื่อนํ้า
้ ่
ลดลงอาจทําให้ดินทรุ ดตัวไปด้วย เรี ยกว่าคอนโซลิเดชัน (Consolidation)
่
- การรับนําหนักของเข็ม
้
ลักษณะการรับนํ้าหนักของเสาเข็ม อาจเป็ นการรับนํ้าหนักแต่ละต้น หรื อการให้เข็มรับนํ้าหนักเป็ นกลุ่ม
(Pile Group) แต่ขณะเดียวกันระยะของเข็มแต่ละต้นควรไม่นอยกว่า 3 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของ
้
เสาเข็ม
การรับนํ้าหนักของเสาเข็มมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
- เสาเข็มรับความฝื ด (Friction Piles)
-เสาเข็มรับความฝื ดและปลายเข็ม (Friction and End Bearing Piles)
(2) การเจาะและกดเข็ม
การเจาะดินแล้วหล่อคอนกรี ต ทําได้ท้ งเข็มขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่มีประโยชน์สาคัญคือ ไม่ทาให้อาคาร
ั
ํ
ํ
ใกล้เคียงกระทบกระเทือนจากการตอก หรื อการทะเล้นของดินไปดันส่ วนของอาคารใต้ระดับพื้นดิน ทําให้
อาคารใกล้เคียงเกิดความเสี ยหาย โดยเฉพาะการใช้เข็มขนาดใหญ่และรับนํ้าหนักมาก มีขอจํากัดต้องใช้
้
ระบบการเจาะดิน แล้วหล่อคอนกรี ตเข็มในภายหลังการสอดเหล็กลงไป
-การเตรียมงานเข็ม
- 2. 1.การปรับบริ เวณ
บริเวณที่จะทําการเจาะและกดเข็ม ควรปรับผิวดินหรื อทรายถมไว้ คอนข้ างเรี ยบ มีระดับตํ่าใกล้ เคียงกัน
่
เมือตอกหลักให้ ตําแหน่งของศูนย์เสาเข็ม ควรพ่นหรื อทาสีแดงทําให้ แลเห็นได้ ชด
ั
2.การวางเข็ม
่
สําหรับโรงงานหล่อเข็มมักผลิตเข็มไม่ทนต่อการใช้งาน อย่างไรก็ดี ขนาดของเข็มจะระบุอยูใน
ั
เอกสารของผูผลิตเข็มที่เป็ นคู่มือให้วิศวกรให้เลือกใช้ขณะออกแบบได้ การสังตามขนาดระบุจะง่ายและ
้
่
รวดเร็ วต่อการจัดส่ งเข็ม
3.การเตรี ยมรถเจาะและกด
เนื่องจากรถแทรกเตอร์ ประกอบด้ วยอุปการณ์ที่มีนํ ้าหนักมาก การเคลื่อนย้ ายในลักษณะครบเครื่ องทําได้
ยาก จําเป็ นต้ องถอดชิ ้นส่วนที่เป็ นแกน
-การเจาะและกดเข็ม
การเจาะและกดเข็มมีลาดับขั้นการทํางานดังนี้
ํ
1.การยกเข็มขึ้นประกับแกน
2.การเจาะและกดเข็ม
3.การต่อเข็มต้นที่ 2
4.การเจาะและกดเข็มต้นที่ 2
5.การตอกเข็มลงในระดับกําหนด
(3) การขุดดินฐานราก
-การขุดดินด้ วยเครื่องจักรกล
เครื่ องจักรที่ใช้ งานดินด้ วยการใช้ รถขดดิน และ รถตักดินด้ านหน้ าตีนตะขาบหรื อล้ อยาง
-การขุดดินด้ วยแรงคน
เครื่ องจักรทํางานได้ไม่หมดของงาน เพราะเครื่ องจักรมีขนาดใหญ่การทํางานอาจไปกระทบกับ
เสาเข็ม หรื อเครื่ องจักรไม่สามารถเข้าไปขุดในซอกระหว่างเสาได้ จึงต้องใช้แรงคน
- 3. งานฐานราก
ฐานรากทําหน้าที่รับนํ้าหนักของตัวอาคารทั้งหมดเพื่อถ่ายลงเสาเข็มให้เสาเข็มรับนํ้าหนักกรณี เข็ม
เดี่ยว หรื อถ่ายนํ้าหนักลงดิน เพื่อให้ดินรับนํ้าหนักในกรณี ฐานแผ่
ในกรณี ฐานรากที่มีเสาเข็มต้นเดียว และถ้าการตอกเสาเข็มไม่ตรงตามศูนย์จะทําให้เกิดปัญหา
ตามมากับฐานราก คือ ฐานรากจะเกิดการพลิกควํ่า เมื่อรับนํ้าหนักจากตัวอาคาร
(1) งานคอนกรีตหยาบ
แม้แต่อาคารขนาดเล็ก งานคอนกรี ตหยาบให้ความสําคัญต่อฐานราก ใช้หวรัดเข็มไม่ให้เลื่อน หลุดออกจาก
ั
บริ เวณพื้นที่ใต้ฐานรากเป็ นสําคัญ แต่เมื่องานก่อสร้างใหญ่ข้ ึน งานคอนกรี ตหยาบยังให้ ประโยชน์มากขึ้น
ไปอีก เป็ นการแบ่งระหว่างดินหรื อทรายใต้ฐานรากโดยตรง
-การตั้งแบบแบบข้ างเพือหล่อคอนกรีตหยาบ
่
1. เตรี ยมไม้ ไม้ที่ต้ งแบบข้างประกอบด้วย
ั
1.1ไม้หลัก
1.2ไม้แบบ
1.3ไม้ค้ ายัน
ํ
2. เตรี ยมตะปู
ตะปู ตะปูที่ใช้ควรประมาณได้ โดยไม่จาเป็ นต้องนับว่าตอกจํานวนกี่ตว เช่น ตะปู ที่ใช้ตอกแบบ
ํ
ั
ติดหลัก ใช้ตะปูขนาด 2 ½ นิ้วตอกหลักละ 2 ตัว ส่วนไม้ค้ ายันตอกติดหลังแบบ 1 ตัวตอกหัวไม้แบบไปชน
ํ
ด้านข้างของแบบใช้ตะปู 2 ตัว
3. การตั้งแบบ
การตั้งแบบข้างใน การเทคอนกรี ตหยาบให้มีพ้นที่กว้างออกไปจึงไม่ตองเคร่ งครัดเรื่ องขนาดอย่างไรก็ตาม
ื
้
ถ้าตั้งแบบได้ดีจะดูสวยงาม ก่อนหน้าที่จะทําการขุดเสร็ จและลงทรายบดอัดแน่น
สามารถตรวจสอบแนวศูนย์กลางเสาอีกครั้ง เพื่อให้ได้แนวขอบของฐานรากก่อน
- 4. -การเทคอนกรีตหยาบ
เนื่องจากการเทคอนกรี ตหยาบมีจานวนไม่มาก อาจทําการผสมเองโดยใช้โม่ผสมแบบเอียง ซึ่งเป็ นเพราะ
ํ
เตรี ยมหลุมไว้ไม่ได้มากจึงต้องทําการเทลงเมื่อตั้งแบบเสร็ จ
2) การตั้งแบบข้ าง
สําหรับตัวฐานเสาตอม่อจะตั้งเพียงแบบข้าง การสร้างแบบหล่อให้มีความแข็งแรงเมื่อขนาดของฐานรากมี
พื้นที่ และความหนามากขึ้น ปั จจุบนมีการนําแบบเหล็กและโครงนังร้านมาใช้ แต่ช่างจะมีความชํานาญกับ
ั
่
การใช้ไม้มากกว่า จึงพบว่ามีการผสมกันระหว่างแบบเหล็กแต่ใช้โครงไม้ยดยัน
ึ
-เตรียมงานตั้งแบบฐานราก
1. เตรี ยมผิวคอนกรี ต
2.วางไม้รับคํ้ายันรอบฐาน
3.การหาแนวฐานราก
(3) การประกอบเหล็กฐานเสาตอม่ อ
-การเตรียมการผูกเหล็ก
1. งานวัดและยึดเหล็ก
2. การตั้งโต๊ ะดัดเหล็ก
3. การดัดเหล็ก
-การติดตั้งเหล็ก
ระหว่างประกอบแบบเหล็กด้านข้าง ช่างเหล็กจะยกเหล็กตะแกรงที่ดดไว้แล้วเข้าติดตั้ง ช่างไม้จะเว้นช่อง
ั
แบบเอาไว้ก่อนเพื่อให้ขนเหล็กเข้าได้ง่าย เป็ นลักษณะการทํางานของฐานรากขนาดใหญ่ ระยะของแบบ
แน่นอน เมื่อนําเหล็กมาวางโดยใช้ชอล์กแบ่งระยะจากเหล็กตัวริ มด้านหนึ่งและแบ่งระยะที่เหล็กอีกเส้น
หนึ่งที่วางตัวริ มตั้งฉากกับเส้นแรก ปลายต่อกัน วางเหล็กตะแกรงในแถวเดียวกันเรี ยงชิดกันแล้วใช้ชอล์ก
ขีดไว้ตามระยะที่วดแบ่งไว้ 1 เส้นเท่านั้น อีกด้านหนึ่งจะทําเช่นเดียวกัน ติดตั้ง เมื่อวางเหล็กตะแกรงไป
ั
- 5. ได้แถวหนึ่ง แถวที่สองที่ต้ งได้ฉากกันเริ่ มวางซ้อนโดยผูกส่ วนหัวเหล็กให้ได้ตามระยะไว้ก่อนให้ตลอดแนว
ั
ทั้งสองฝั่ง วางลูกปูนหนุนเหล็กให้ลอย 0.04 เมตร เต็ม ทิ้งให้ลูกปูนแข็ง 1 วัน รุ่ งขึ้นแบ่งลูกปูนออกเป็ น
ั
ก้อนๆ หนุนเหล็กตะแกรงโดยผูกลวดบนลูกปูนที่ฝั่งไว้กบเหล็กตะแกรงด้วย
(4) การเทคอนกรีตฐานราก
การผสมที่ถูกต้องตามหลักการของคอนกรี ต และการผสมสารตัวเร่ งหรื อสารตัวหน่วง เพื่อให้
คอนกรี ตมีคุณสมบัติสอดคล้องกับงานที่จะใช้คอนกรี ตนั้น ควรนําคอนกรี ตผสมเสร็ จ (Ready Mixed
Concrete) มาใช้
งานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ส่วนมากแล้ว ประกอบด้วยการผสมคอนกรี ตในหน่วยงานส่ วนหนึ่งกับการ
่
ใช้คอกรี ตผสมเสร็ จ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาอย่างเหมาะสมตามความจําเป็ นกับการใช้คอนกรี ตแม้วาราคาของ
คอนกรี ตผสมเสร็ จจะมีราคาสูงกว่าคอนกรี ตที่ผสมเองในหน่วยงานบ้าง
- 6. โครงสร้ างตัวอาคาร
งานเสา
(1) งานเหล็กเสริมคอนกรีตเสา
่
1. เหล็กแกนเสา มีความสําคัญต่อการเสริ มโครงสร้างเสา เหล็กแกนจะอยูตอนริ มของเสามากเท่าที่จาเป็ น
ํ
นอกจากจะรับแรงอัดด้านบนแล้ว เสายังต้องช่วยแรงดัดด้านผิวข้างเมื่อเกิดการงอ จึงต้องทําการออกแบบ
เป็ นเสาสั้นหรื อเสายาว
2. เหล็กปลอกเสา การเสริ มเหล็กแกนของแต่ละระดับความสูงอาจลดขนาดหรื อลดจํานวนเหล็กแกนลงตาม
การออกแบบของวิศวกร และการเปลี่ยนตําแหน่งที่เสริ มเหล็กแกนหรื อการเสริ มเหล็กแกนที่มีขนาดลดลง
ทําให้ตองคิดเหล็กปลอกของแต่ละช่วงนั้นออกมา
้
3. เหล็กตะแกรงฐานเสาตอม่ อ จะดูจากแบบขยายฐานราก โดยเฉพาะต้องรู ้ตาแหน่งของเหล็กตะแกรง ซึ่ง
ํ
ปลายงอฉากของเหล็กแกนเสาจะวางบนเหล็กตะแกรงเป็ นการเชื่อมติด 3-4 จุด แทนการผูก จะทําให้ติดตั้ง
ได้เร็ วและสะดวก มีความแข็งแรงกว่าการผูกด้วย
4. เทคนิคของการเสริมเหล็กเสา เสาขนาดใหญ่จะมีจานวนเหล็กแกนหลายเส้น เมื่อเรี ยงเหล็กแกนตามขอบ
ํ
้
ข้างของเสา จะมีระยะระหว่างเหล็กแกนน้อยกว่า 0.02 เมตร ทําให้ตองร่ นให้เหล็กแกนตัวริ มเข้าไปชิดกัน
เป็ นเหล็กแกนคู่
(2) งานแบบหล่ อเสา
1. การขีดเส้ นศูนย์ เสาและเส้ นริมเสา
2. ปรับปรุงตําแหน่ งและจํานวนเหล็ก
3. แนวทีจะต้ องวางแบบ
่
4. การทําดิ่งแบบเสา
5.การยึดแบบเสา
(3) งานหล่ อคอนกรีตเสา
เนื่องจากเป็ นเสาต้นใหญ่ใช้คอนกรี ตจํานวนมากจึงใช้คอนกรี ตผสมเสร็ จ อาจเป็ นคอนกรี ตปั๊มคอนกรี ตจาก
เครื่ องส่ ง ดันคอนกรี ตไปตามท่อเทลงแบบเสาได้เลย จํานวนของคอนกรี ตประมาณได้ง่ายว่าจะใช้เท่าใด
- 7. และสังคอนกรี ตผสมเสร็ จมาดังกล่าวแล้ว การเขบ่าโดยใช้เครื่ องแหย่คอนกรี ตสอดลงไป ตอนใกล้ริมเหล็ก
่
แกนให้ทวถึง จะต้องเตรี ยมช่างและคนงานเพื่อการเทคอนกรี ตเสาให้ครบตามจํานวนที่ต้ งแบบไว้ และ
ั่
ั
ควบคุมให้ดาเนินไปอย่างระมัดระวัง เมื่อถอดแบบให้ใช้กระสอบชุบนํ้าคลุมไว้และรดนํ้าตลอด 14 วัน
ํ
งานคาน
่
งานโครงสร้างอาคาร คานเป็ นส่ วนการรับนํ้าหนักจากพื้นถ่ายลงเสา จึงพบว่าปลายคานธรรมดาจะวางอยูบน
หัวเสา เนื่องจากเสาขนาดใหญ่เสริ มเหล็กเส้นโตและหลายเส้น เหล็กเสริ มของคานจึงต้องสอดเข้าไปในช่อง
ระหว่างเหล็กเสา รวมทั้งการหลอส่ วนหัวเสากับคานจะหล่อคอนกรี ตไปพร้อมๆกัน
(1) การตั้งแบบท้ องคาน
-เสานั่งร้ านและการตั้งแบบท้ องคาน
ั
เสานังร้านจะใช้กบงานที่นาเสาไม้คร่ าว หรื อท่อเหล็กมารับโครงสร้าง จึงมีส่วนประกอบของเสาและการ
ํ
่
เรี ยกชื่อแตกต่างกันไปตามหน้าที่หลักดังกล่าว แต่น้ าหนัก ที่จะบรรทุกบนเสามีแตกต่างกันไปด้วย กรณี รับ
ํ
โครงอาคารพิเศษหรื อขนาดใหญ่ จําเป็ นต้องได้รับการคํานวณโดยวิศวกร เพื่อความปลอดภัยแก่ทุกคนใน
หน่วยงาน
(2) การประกอบเหล็กคาน
-เหล็กบน-ล่างของคาน
1. เหล็กบน เป็ นเหล็กเส้นตรงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 มิลลิเมตร จํานวน 2 เส้น จะวิ่งตลอดช่วง ที่ระยะ
6.00 เมตร (ศูนย์กลางเสาด้านหนึ่งถึงศูนย์กลางเสาอีกด้านหนึ่ง) เป็ นเหล็กบน 2 เส้น ด้านซ้ายและด้านขวา
ของหน้าตัดคาน
่
2. เหล็กล่าง หมายถึงเหล็กแถวล่างสุ ดของเสา 6.00 เมตร เหล็กด้านขวาชี้วาเป็ นเหล็กจํานวน 2 เส้น ส้นผ่าน
่
ศูนย์กลาง 20 มิลลิเมตร ชี้มาจนใกล้ระยะ 1.50 เมตร ที่จะถึงศูนย์กลางเสา ทางซ้าย ชี้วาเหล็ก 2 เส้นและ
ขนาดเดียวกัน เลยเข้ามาในระยะ 1.50 เมตร จากศูนย์กลางเสาต้นซ้าย ใช้เหล็ก 3 เส้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 20
มิลลิเมตร แสดงว่ามีเหล็กเส้นกลาง 1 เส้น เสริ มที่ระยะ 1.50 เมตรจากศูนย์กลางเสา และงอฉากเหล็กขึ้น
่ ้
เรี ยกงอ 90 องศา อีก 2 เส้นจะอยูขางซ้ายและข้างขวาของหน้าตัดคาน
- 8. -เหล็กด้ านในบน-ล่าง
มีเหล็กอีก 2 แถว จากแถวบนแล้วถัดลงมาข้างล่าง โดยให้ผวเหล็กห่างกันไม่เกิน 0.025 เมตร
ิ
1. เหล็กด้านในบน เฉพาะรู ปเห็นเหล็กแกนบน ช่วงขวา ใช้เหล็ก 2 เส้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20
มิลลิเมตร วิ่งที่ความยาว 1.50 เมตร ส่ วนด้านซ้ายกําหนด 3 เส้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 มิลลิเมตร แสดง
ว่า 3 เส้นในแถวนี้ว่งตลอกความยาว 4.00 เมตร จากศูนย์กลางเสาด้านซ้ายถึงปลายเหล็กด้านขวาจะงอฉาก
ิ
หรื องอ 90 องศส เหล็กด้านในบนทั้งสองข้างจะไม่วิ่งตลอดคาน ระยะห่ างของคอนกรี ตที่ผวคานถึงเหล็ก
ิ
แกนด้านในบนเท่ากับ 0.076 เมตร หรื อระยะคอนกรี ตหุ มเหล็กบน 0.031 เมตร รวมกับเส้นผ่านศูนย์กลาง
้
ของเหล็กบน 0.020 เมตร และระยะของเหล็ก 0.025 เมตร รวมทั้งสิ้ นเท่ากับ 0.076 เมตร
2. เหล็กด้านในล่าง เป็ นเหล็ก 2 เส้น ด้านซ้ายและขวา เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 มิลลิเมตร เสริ มที่ระยะห่างจาก
ระดับท้องคานจนถึงผิวเหล็กที่ 0.076 เมตร มีวธีการคิดเช่นเดียวกับเหล็กด้านในบนวิ่งจากศูนย์กลางเสา
ิ
ด้านซ้ายไปตามความยาวของคาน แล้วงอฉากที่ระยะอีก 0.75 เมตร จะถึงศูนย์กลางของเสาด้านขวา
-เหล็กปลอกคาน
สําหรับคานช่วงยาว เหล็กปลอกจะมีระยะเสริ มไมเท่ากัน จะมีการเสริ มเหล็กปลอกเส้นผ่าน
ศูนย์กลางที่แตกต่างกัน
(3) การประกอบแบบข้ างคาน
-การตั้งแบบข้ างคานและการคํายัน
้
การประกอบแบบคาน โดยเฉพาะแบบท้องคานและแบบข้างคาน จะทําในโรงงานทําแบบหล่อคอนกรี ต มี
จํานวนมากพอที่จะเริ่ มทําภายหลังประกอบเสาตุกตาหัวตัวที หรื อเสานังร้านตัวที
๊
่
(4) เทคนิคการประกอบแบบคาน
-การตั้งแบบหล่ อคานตัวริม
เนื่องจากคานตัวริ มอาคาร การตั้งเสานังร้านรับแบบท้องคานทําได้ดานเดียว จึงมีความยาวที่จะตั้งแบบให้ได้
้
่
ความแข็งแรง บางทีอาจใช้ไม้ผสมกับแบบเหล็กตามความจําเป็ น ความชํานาญของช่างไม้ และ
ความสามารถของวิศวกรโครงการ ทําให้มีเทคนิคและหลักการทําให้ได้งานที่เป็ นมาตรฐานมากขึ้น
1. แบบที่ทาขึ้น
ํ
2. ไม้ประกับตั้งและไมคํ้ายัน
3. ไม้ประกับนอน
4. ไม้ค้ ายันข้างแบบ
ํ
5. ไม้รองแบบท้องคานหรื อตงรองรับแบบท้องคาน
- 9. 6. เสานังร้านรับท้องคาน
่
7. คานรับตง
8. สะพานรับคํ้ายัน
9. ไม้รัดโครงนังร้าน
่
-การตั้งแบบคานประกอบกับไม้ แบบหล่ อพืน
้
่ ั
1. การตั้งแบบคาน ระยะห่างของการตั้งเสาตูอยูระหว่าง 0.40 – 1.00 เมตร ขึ้นอยูกบขนาดของคาน
๊ ่
และความแข็งแรงของแบบท้องคาน
่
2. การตั้งแบบคานประกอบพื้น ข้อสําคัญอยูที่การตอกไม้ที่ทาคานและวางตง โดยอาศัยแบบข้าง
ํ
คานที่ต้ งแล้วรับแทนเสานังร้าน จึงมาใช้คานไม้ 1 ½ x 3 นิ้ว หรื อไม้ 2 x 4 นิ้ว ตามความจําเป็ นสําหรับตงที่
ั
่
วางจะใช้ไม้ขนาด 1 ½ x 3 นิ้ว วางห่างกัน 0.30 เมตร และกรุ ผวแบบรองให้พนด้วยไม้อดหนา 8 มิลลิเมตร
ิ
ิ้
ั
(5) งานหล่อคอนกรีตคาน
การนําคอนกรี ตเทลงแบบเป็ นเทคนิคสําคัญ แม้รู้หลักการแต่ขาดประสบการณ์และความชํานาญ
อาจเทคอนกรี ตเป็ นโพรงได้ท้ งที่เป็ นโครงสร้างขนาดใหญ่
ั
-การเทและการเขย่ าคอนกรีต
1. การถอดแบบ ถอดตะปูออกก่อน นําไม้วางเรี ยงไว้ใช้ตอไป และทําการตีไม่ค้ ายัน 2-3 ตัว ออก
ํ
จากการคํ้า และตีสะพานรับคํ้ายันด้วย จะใช้หวค้อนหรื อปากแบนของชะแลงสอดลงไปตามรอยที่ร้าวนั้น
ั
ค่อยๆสอดลึกลงไป งัดแบบเบาๆ
2. การบ่มคอนกรี ต เมื่อถอดแบบเสร็ จ ควรใช้กระสอบชุบนํ้าคลุมผิวให้ทว และฉีกนํ้าเมื่อ
่ั
การะสอบที่คลุมแห้ง การบ่มเพื่อให้การก่อนตัวของคอนกรี ตเป็ นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะช่วง
อายุ 2 – 7 วัน ความแข็งแรงของคอนกรี ตจะเพิมสูงด้วยการควบคุมความชื้น และให้ความชื้นแก่เมล็ดซีเมนต์
่
่
ที่ยงค้างการทําปฏิกิริยาอยูอีก ทําให้ทาปฏิกิริยาได้ครบถ้วนตลิด 14 วัน ควรได้รับการบ่มอย่างถูกต้องและ
ั
ํ
ํ
ให้ความชื้นแก่คานสมํ่าเสมอ คลุมผิวอย่างทัวถึงถึง 28 วัน จึงจะนับว่าคอนกรี ตให้กาลังเพียงพอกับการบ่ม
่
แล้ว
งานพื้น
งานพื้นนั้นถ้าพิจารณาแล้วมีความสําคัญต่องานอาคาร เราะเป็ นส่ วนให้ประโยชน์แก่ผพกอาศัยหรื อ
ู้ ั
ผูใช้บริ การโดยตรง เมื่อสร้างพื้นเสร็ จระดับหนึ่งจะแหสดจํานวนชั้นที่ทา เช่น ชั้นที่ 1 ใช้เลข 1 ติดไว้ที่ช้ น
้
ํ
ั
่
เท่ากับว่าแสดงให้รู้วางานโครงสร้างอาคารแล้วเสร็ จไป
- 10. ่
ดังได้ทราบแล้วว่าส่ วนหนาของพื้น 10 – 15 เซนติเมตร จะวางอยูบนหลังคานคอยรับนํ้าหนัก
บรรทุกที่ถ่ายลงบนพื้นถ่ายนํ้าหนักต่อเนื่องลงมายังคานและจากคานถ่ายลงเสา เนื่องจากพื้นมีความบาง การ
เสริ มเหล็กจึงต้องใช้เหล็กเส้นเล็ก และเสริ มถี่มากขึ้น
(1) งานแบบใต้ พน
ื้
เป็ นงานระบบวางคาน ตง และพื้น จึงดูไม่ซบซ้อน แต่การทําพื้นให้ได้ระดับและรับนํ้าหนักได้ก่อน
ั
เทและระหว่างเทคอนกรี ต มักต้องแก้ปัญหาเนื่องจากพื้นแอ่นขณะกําลังเท อาจเนื่องจากการทรุ ดตัวของเสา
นังร้านหรื อคานหลุดจากบ่าข้างเสา
่
- เสานั่งร้ านรับพืน
้
1. เสานังร้านใช้ไม้คร่ าว
่
2. เสานังร้านโดยใช้เสาเข็มไม้เบญจพรรณ
่
3. เสาท่อเหล็ก หรื อนังร้านสําเร็ จรู ป
่
- งาน คาน ตง และ พืน
้
1. งานคาน
ปกติใช้ไม้ที่มีขนาดความลึกมาก เช่น ไม้ 1 x 6 นิ้ว หรื อ 1 x 8 นิ้ว แต่ในการนําคานวาง
บนเสานังร้านที่ห่างกันประมาณ 1.00 – 2.00 เมตร จะเป็ นโครงนังร้านสําเร็ จรู ปหรื อจะ
่
่
เป็ นโครงนังร้านเสาท่อเหล็ก
่
2. งานตง
เป็ นตัวไม้ที่เล็กกว่า แต่อาศัยการพาดบนหลังคานด้วยระยะห่ างระหว่า 0.30 – 0.60
เมตร สําหรับพื้นไม้อดที่จะวางบนหลังตงเพื่อเป็ นแบบรองคอนกรี ตสดที่หล่อนั้น จะมี
ั
นํ้าหนักตอลดหน้าของพื้นเป็ นนํ้าหนักเฉลี่ย การวางตงให้หลังตงเสมอกัน จะทําให้ปู
พื้นไม้อดได้เสมอกันและระดับไปด้วย
ั
3. งานพื้น
พื้นรองด้วยไม้อดหรื อรองด้วยแบบเหล็ก จะวางบนหลังตงเช่นเดียวกัน และเมื่อถอด
ั
แบบลงแล้วท้องพื้นจะเรี ยบ แต่ถาใช้ตะปูดวยไม้แบบ 1 x 8 จะเป็ นรอยต่อแผ่นไม้เป็ น
้
้
เส้นตลอดความยาวของการปูไม้แบบ อาจทําให้ฮาบปูนท้องพื้นได้ง่ายกว่ารองแบบให้
ท้องพื้นเรี ยบ
- 11. (2) งานเทคอนกรีตพืน
้
1. การเทคอนกรีตพืนบนพืนทรายอัดแน่ น
้
้
ปกติจะมีการหล่อคานคอดินเสร็ จก่อน แล้วจึงถมทรายหรื อถมดินให้แน่น เจตนาของวิศวกรต้องกา
ให้พ้ืนดินช่วยรับนํ้าหนักบรรทุกบนพื้น
อย่างไรก็ตามการถมดินหรื อทราย ควรให้มีความแน่นพอสมควร มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาใต้พ้นอาจ
ื
เป็ นโพรงเมื่อดินทรุ ดตัวลง จะเป็ นที่ขงของนํ้าใต้ดิน พื้นจะเกิดความเสี ยหายได้ในภายหลัง
ั
การนําทรายเป็ นแบบรองรับคอนกรี ต ทรายควรมีความแน่นพอสมควร ให้ปาดผิวหน้าของทรายให้
เรี ยบก่อนวางเหล็กตะแกรง การเสริ มเหล็ก 2 ชั้น ควรหนุนเหล็กด้านล่างด้วยลูกปูน ก่อนเทคอนกรี ตควร
ปาดแต่งผิวทรายอีกครั่งแลละฉี ดนํ้าที่ผวทรายให้เปี ยก ผิวทรายจะได้ไม่ดูดซึมนํ้าจากคอนกรี ต และทรายจะ
ิ
มีความแน่นพียงพอ
-การเทคอนกรีตบนพืนแบบหล่ อ
้
อาจเป็ นพื้นไม้แผ่นหรื อพื้นไม้อด หรื อ พื้นแผ่นเหล็กนํามาเรี ยงต่อกัน ผิวพื้นจะต้องเรี ยบได้ระดับ
ั
ทาผิวแบบด้วยนํ้ามันเครื่ องบางๆ มีการตั้งแบบที่แข็งแรงรองรับด้วย ตง คาน และเสา พื้นแบบหล่อดังกล่าว
อาจมีปัญหาเรื่ องผิวแบบรั่วตอนรอยต่อของแบบแผ่นเล็ก ถ้าไม้แผ่นรอยรั่วมาก อาจราดนํ้าให้ไม้แบบ
่
ขยายตัวทําให้ร่องระหว่างแผ่นไม้แคบลงร่ องแบบจะมีมากเพียงใดอยูที่ความสามารถจองช่างไม้ที่จะเรี ยง
และอัดไม้แบบ รวมทั้งไม่ทิ้งแบบให้หดตัว ควรเทคอนกรี ตภายหลักการผูกเหล็กตะแกรงพื้นแล้วเสร็ จ การ
ทิ้งแบบไว้ 4- 5 วัน จะทําให้มีปัญหาการหดตัว
งานบันได
(1) งานแบบหล่ อบันได
การตั้งแบบบันไดจะทําภายหลังการเทพื้นชั้นล่างและชั้นบนแล้ว สอดเหล็กเสริ มบันไดในแนวที่จะ
ั
ตั้งบันไดฝากไว้กบคาน การทํางานบนพื้นที่หล่อคอนกรี ตแล้ว จะทําให้การตั้งแบบได้รับความสะดวกและ
สามารถวัดระยะให้ถูกต้องได้ง่าย
(2) การตั้งแบบท้ องบันได
เนื่องจากเป็ นบันไดท้องเรี ยบ บางชนิดท้องบันไดจะขนานตามขั้นบันไดทุกประการ การตั้งแบบจะ
ให้ยกขึ้นเป็ นใต้ข้ นตั้งและใต้ข้นนอนเช่นเดียวกัน สําหรับบันไดท้องเรี ยบใช้ระบบการวางเสา คาน ตง และ
ั
ั
- 12. ปูพ้ืนเหมือนกับแบบหล่อพื้นหล่อคอนกรี ตธรรมดา เพียงแต่จะเอียงตามมุมหรื อตามขั้นของบันไดกําหนด
ลําดับขั้นตอนมีดงนี้
ั
-การตั้ งเสานังร้าน
่
-การวางคาน
-การวางตง
-การปูพ้นท้องพื้นบันได
ื
-การวางแบบข้างบันได
-การตั้ งไม้บงขั้น
ั
(3) งานเสริมเหล็กบันได
การเสริ มเหล็กในบันไดมีลกษณะคล้ายพื้นคอนกรี ตเสริ มเหล็ก ประกอบด้วยเหล็กตะแกรงล่างและ
ั
่ ั
เหล็กตะแกรงบน เป็ นการเสริ มเหล็กทางเดียว หัวพื้นบันไดจะพาดอยูกบคานรับระดับใต้พ้ืนชั้นล่าง และ
คานรับระดับใต้พ้ืนชั้นบน
(4) งานหล่ อคอนกรีตบันได
เมื่อได้ต้ งแบบและเสริ มเหล็กบันได ตรวจสอบความแข็งแรงของแบบขนาดของลูกขั้นทั้งระยะลูก
ั
ตั้ง และระยะลูกนอน การตั้งแบบรับพื้นบันได ติดตั้งไม้แผ่นบังโดยยึดด้วยคานยึดพุกบังขั้นอย่างแข็ง
พอที่จะรับแรงดันของคอนกรี ต
งานก่ออิฐฉาบปูน
(1) เทคนิคการก่อและฉาบ
-ทุกรอยต่ อทางตั้งและนอน โดยเฉลี่ยจะไม่ควรให้เห็นเป็ นรู ในผนังก่ออิฐ การดันอิฐ หรื อตอก
หลังอิฐจะทําให้ปูนก่ออัดตัวแน่น ไม่เคาะจนปูนทะเล้นออกมาก
-ก่อให้ ได้ แนวเชือกเอ็น ปกติแต่ละช่วงเสาจะใช้เชือกเอ็นขึงเป็ นแนวสําหรับเป็ นแนวในการก่ออิฐ
ตรงแนวเชือก ช่างที่ไม่ชานาญมักขึงทีละ 4 -5 เส้น ทําให้ตองประมาณแนวผนังด้วยสายตา จะเกิดความ
ํ
้
ผิดพลาดผนังอาจเว้าเข้าหรื อยืนออกเกิดจากการประมาทของช่างก่ออิฐ
่
- 13. -รอยต่ อระหว่ างปูนมีความหนาใกล้เคียงกัน รอบปูนก่อทั้งในแนวตั้งและนอน ควรมีความหนา
ใกล้เคียงกันระหว่าง 1-1.5 เซนติเมตร
-อิฐทีนํามาก่ อควรชุ่ มนํา เพือไม่ให้อิฐดูดนํ้าจากปูนก่อ แต่ถาแช่อิฐให้อิ่มนํ้าช่างก่อจะไม่ชอบ
่
้ ่
้
่
เพราะจะทําให้ปูนเหลวอยูนาน
2. งานฉาบปูน
-ทํามุมเสามุมคาน บางทีเรี ยกจับเซี้ยม เฉพาะตอนมุมเสาต้องทําการตรวจขนาดเสากําหนดความ
หนาที่จะฉาบและแนวของเสาทั้งแนวของเสาให้ตรงกัน
-ฉาบบนผิวคอนกรีต
-ฉาบผิวก่ ออิฐ
-ฉาบตอนมุมให้ ได้ ฉาก
- 14. โครงสร้ างหลังคา
ดาดฟ้ า
็
ั
อาคารสูงขนาดใหญ่โดยส่ วนมากจะไม่มีวสดุประเภทมุงหลังคา ถ้ามีกจะเป็ นโครงเหล็กถักขนาดใหญ่
เนื่องมาจากอาคารอาจจะมีพ้นที่กว้าง แต่ในที่น้ ีทาเป็ นดาดฟ้ า
ื
ํ
่
ดาดฟ้ าไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากชั้นอื่นของตัวอาคารหรื อบางครั้งก็ไม่ได้อยูในประเภทโครงสร้างหลังคา
เลยก็ได้ เพราะดาดฟ้ าคือชั้นบนสุ ดของอาคารหลังนั้น ที่แตกต่างกับชั้นต่างๆของตัวอาคารก็คือ ส่ วนของเสา
และคาน เนื่องจากดาดฟ้ าเป็ นชั้นสุ ดท้ายทําให้ไม่ตองมีเสาต่อขึ้นไปอีก
้
ดาดฟ้ าโดยส่ วนมากบางครั้งเป็ นที่ต้ งของงานระบบต่างๆ เช่นมีถงเก็บนํ้าหรื อแท้งนํ้าเพือปั้มนํ้าให้ภายใน
ั
ั
่
อาคาร ระบบดึงของลิฟต์ และแม้กระทังมิเตอร์น้ า มิเตอร์ไฟที่มกพบเห็นในประเภทอาคารอาพาธเม้นท์ แต่
ํ
ั
่
ดาดฟ้ าจะพบปั ญหามากในเรื่ องการรั่วซึมจากนํ้าฝนที่ตกลงมา และเกิดการขัง
โครงเหล็กถัก
โครงถัก (Truss) คือโครงสร้างซึ่งประกอบขึ้นโดยการยึดปลายทั้งสององค์อาคารเส้นตรงต่อกันเพื่อส่ งแรง
ผ่านระหว่างองค์อาคาร โดยอาจยึดติดกันโดยการเชื่อมหรื อใช้สลักเกลียว โครงสร้างที่นิยมทําเป็ นโครงถัก
ได้แก่ สะพาน และ โครงหลังคา
- รู ปแบบโครงถัก
่
โครงถักแบบโฮว์ (Howe Truss) จันทันเอียงเป็ นจัวสองข้างเท่ากัน ขื่ออยูในแนวราบ มีท่อนยึดดิ่ง ระยะห่ าง
่
เท่ากัน และมีท่อนยึดทแยงเอียงลงเข้าหากึ่งกลางช่วง โดยมีรูปร่ างตามช่วงความยาวที่ เพิ่มขึ้นดังในรู ป
โครงถักแบบโฮว์ ยกระดับ มักนิยมในโครงหลังคาช่วงยาวเช่นในโรงงานหรื อโกดังเก็บสิ นค้า
โครงถักคอร์ ดเอียงขนาน ขื่อจะเอียงขนานกับจันทัน ทาให้มีช่องว่างความสูงมากขึ้น
โครงถักแบบเอียงต่ างมุม (Dual Pitch) มักใช้เป็ นหลังคาอาคารตึกแถว โดยเอียงชันทางด้านหน้า แล้วลาดเท
ลงยาวด้านหลัง
โครงถักแบบโค้ ง (Curved Truss) นิยมมากขึ้นในปัจจุบนเนื่องจากมีการใช้แผ่นเหล็กรี ดรอนมุง หลังคาซึ่ง
ั
สามารถดัดโค้งได้
- 15. งานระบบ และงานตกแต่ ง
ระบบสุ ขาภิบาล
ระบบสุ ขาภิบาลในบ้าน ประกอบไปด้วย ระบบประปา, ระบบท่อระบายน้า ทิ้ง, ระบบท่อระบาย
อากาศ, ระบบระบายน้า ฝน และระบบบําบัดนํ้าเสี ย เป็ นต้น ดังนั้นนักออกแบบที่ดีการเลือกใช้วสดุอุปกรณ์
ั
ที่เหมาะสม การติดตั้งที่ถูกต้องจึงเป็ นเรื่ องสําคัญ มากสามารถควบคุมและตรวจสอบงาน
- ส่ วนประกอบของนําเสี ย
้
1. นํ้าทิ้ง
2. นํ้าโสโครก
3. นํ้าฝน
4. นํ้าทิ้งพิเศษ
- กรรมวิธีการผลิตนําประปา มีวิธีการทําอยู่ 3 ขั้นตอนหลักดังนี้
้
1.การตกตะกอน
2.การกรอง
3.การฆ่าเชื้อโรค
- การตรวจคุณภาพ
1.การตรวจสี
่
2.การตรวจความขุน
3.การตรวจกลิ่นและรส
4.การตรวจค่า pH
5.การตรวจความกระด้าง
- 16. ระบบไฟฟ้ า
ั
การตรวจและควบคุมงานระบบไฟฟ้ าอาคาร ระบบไฟฟ้ าที่ใช้กบอาคารนั้นมีการแบ่งขอบเขต
ของการควบคุมและตรวจสอบออกเป็ นระบบย่อย เพื่อสะดวกในการตรวจสอบดังนี้ วิธีการเดิน
สายไฟฟ้ า แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ 1) การเดินสายไฟบนผนังหรื อ (แบบเดินลอย) การเดินสายไฟแบบ
นี้จะมองเห็นสายไฟ อาจทา ให้ดูไม่เรี ยบร้อย ไม่สวยงาม หากช่างเดินสายไฟไม่เรี ยบตรง ยิงจะเสริ ม
่
้
ให้ดูไม่เรี ยบร้อย ตกแต่งห้องให้ดูสวยงามยาก มีขอดีที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าแบบฝังในผนัง สามารถ
ตรวจสอบและซ่อมแซมได้ง่าย 2) การเดินแบบฝังในผนังเป็ นการเดินสายไฟโดยร้อยสายผ่านท่อ
สายไฟซึ่งฝังในผนังอาคาร ทา ให้ดูเรี ยบร้อยและตกแต่งห้องได้ง่าย เพราะมองไม่เห็นสายไฟจาก
ภายนอก การเดินท่อร้อยสายต้องทา ควบคู่ไปพร้อมการก่อ-ฉาบ
- ข้ อแนะนาในการออกแบบระบบวงจรไฟฟาภายในบ้ าน
้
ระบบวงจรไฟฟ้ าภายในบ้าน ควรแยกวงจรควบคุมพื้นที่ต่างๆ เป็ นส่ วนๆ เช่น แยกตามชั้นหรื อแยกตาม
ประเภทของการใช้ไฟฟ้ า ทา ให้ง่ายต่อการซ่อมแซมในกรณี ไฟฟ้ าขัดข้อง
ระบบป้ องกันอัคคีภย
ั
- สาเหตุของการเกิดอัคคีภัย
1.ระบบไฟฟา การเกิดอัคคีภยส่ วนใหญ่มกกล่าวอ้างว่าเกิดจากไฟฟ้ า เช่น ไฟฟ้ าลัดวงจร หม้อแปลงไฟฟ้ า
้
ั
ั
ระเบิด
2.ความประมาท เกิดการไม่รักษาระเบียบและข้อบังคับของสถานที่
3. การเสี ยดทาน มักเกิดขึ้นได้จากส่ วนของเครื่ องจักรที่ขาดการดูแลบํารุ งรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรื อทิ้งการ
ปฏิบติไป
ั
4. การสั มผัสเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ไฟฟา เช่น ความร้อนจากท่อไอเสี ยของเครื่ องจักร ท่อลมร้อน หม้อไอ
้
นํ้า จะมีความร้อนถึงอุณหภูมิซ่ ึงทําให้เกิดไฟลุกไหม้ข้ นได้
ึ
5. การเผาไหม้ เอง สารเคมีบางชนิดเมื่อหกรดกันทําให้เกิดการลุกไหม้ข้ ึนเอง เมื่อไปติดเชื้อเพลิงจะทําให้เกิด
การลุกเป็ นไฟ ยากที่จะระงับในเวลาอันรวดเร็ ว
6.การใช้ ความร้ อนเกินขนาด เมื่อเครื่ องควบคุมความร้อนอัตโนมัติเกิดชํารุ ด สวิตซ์ไม่ตดไฟ
ั
- 17. 7. ความร้ อนหรือประกายไฟ จากการเชื่อมโลหะหรื อหลอมโลหะ เตานํ้ามัน เตาอบ บางครั้ง เกิดจากการ
ความรู ้เม่าไม่ถึงการณ์ เช่น ทําการมาสี ในบริ เวณใกล้เคียงทําให้ทินเนอร์เกิดติดไฟขึ้นได้
่
8.ไฟฟาสถิต มักเกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมประเภทที่ตองหมุนเพลา ทําให้เกิดคาร์บอนลอยตัวอยูใน
้
้
บรรยากาศ ถ้าบริ เวณนั้นมีความชื้นตํ่าหรื อแห้งก็อาจมีการสะสมไฟฟ้ าสถิตถึงขั้นทําให้เกิดการจุดติดไฟลุก
ไหม้ข้ ึน
- วิธีปองกันอัคคีภัย
้
1.การออกแบบอาคาร โดยเฉพาะสถาปนิกควรให้ความรอบคอบในการเลือกวัสดุที่ใช้ในการ
ก่อสร้าง วัสดุที่เก็บไว้ในอาคาร ทางหนีไฟ และควรแสดงที่ต้ งของท่อนํ้าประปาที่ใช้ในการดับเพลิง
ั
2.ติดตั้งอุปกรณ์ ดับเพลิงชั้นต้ น เลือกติดตั้งอุปกรณ์ที่เห็นได้ง่าย สามารถถอดไปใช้ได้อย่าง
รวดเร็ ว
3.แสดงแพนผังอาคาร ในแผนผังระบุตาแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์แต่ละชนิดตามลักษณะของการ
ํ
เกิดอัคคีภย ให้ผเู ้ กี่ยวข้องและผูที่เป็ นยามรักษาการณ์นาไปใช้ได้ มีขอแนะนําให้เข้าใจ หรื อ ฝึ กฝนให้ใช้
ั
้
ํ
้
อุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ ว
4.ต่ อสายไฟเพิมเติม เมื่อต้องการต่อสายไฟฟ้ า ควรใช้เจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้ า หรื อช่างไฟฟ้ าต่อ
่
สายไฟฟ้ า จะปลอดภัยมากกว่านําสายไปคล้องหรื อมัดกันอย่างไม่ถูกวิธี เพราะจะทําให้เกิดประกายไฟหรื อ
ความร้อนในส่ วนต่อสายที่ไม่กระชับนั้น
5. มีปายบอก โดยเฉพาะสถานที่เก็บนํ้ามันเชื้อเพลิง ก๊าซ หรื อวัสดุไวไฟ จ้องมีป้ายบอก
้
“ห้ามสูบบุหรี่ ” พื้นสี ขาวสูง 7 นิ้ว ติดตั้งไว้ และควรจัดบริ เวณให้เป็ นพื้นที่เฉพาะ ห้ามคนผ่าน
6.ติดตั้งระบบความปลอดภัยอืนๆ ติดตั้งอุปกรณ์ตามตําแหน่งและจํานวนอย่างเหมาะสมกับสภาพ
่
อาคาร โดยเลือกใช้เครื่ องดับเพลิง เครื่ องสู บนํ้าดับเพลิงแบบหาบ หาม หรื อลาก เข็น รถดับเพลิง นํ้ายาเคมี
และอุปกรณ์พเิ ศษอื่นๆ
- ระบบดับเพลิง
1. ระบบดับเพลิงโดยใช้ สารเคมี แบ่ งได้ เป็ น 6 ชนิด
1.1 เครื่องดับเพลิงชนิดนําธรรมดา
้
- 18. 1.2 เครื่องดับเพลิงชนิดกรด-โซดา
1.3 เครื่องดับเพลิงชนิดฟองก๊าซ (โฟม)
1.4 เครื่องดับเพลิงชนิดนํายาเหลวระเหย
้
1.5 เครื่องดับเพลิงชนิดคาร์ บอนไดออกไซด์ เหลว (แบบผสมความดัน)
1.6 เครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ ง
ระบบลิฟต์
-ชนิดของลิฟต์
1. Traction Elevator
เป็ นลิฟต์ที่ใช้ในอาคารตั้งแต่ระดับความสูงกลางๆ ไปถึงสูงมาก ใช้ระบบการลากดึงโดยรอก และใช้ตุม
้
นํ้าหนักเป็ นตัวถ่วงนํ้าหนัก
2. Hydraulic Elevator
นิยมใช้ ในอาคารไม่กี่ชน ในความเร็ วที่ตํ่า
ั้
-ส่ วนประกอบของลิฟต์
1. ตูลิฟต์
้
2.สายเคเบิล
3.เครื่ องยนต์ลิฟต์
4. เกียร์ แบ่งเป็ น 2 แบบ
4.1 แบบไม่มีเกียร์
4.2 แบบมีเกียร์ 5.เบรกแม่เหล็กไฟฟ้ า
5.ตัวจํากัดความเร็ ว
- 19. 6.ลักษณะการทํางานของลิฟต์
1. ลิฟต์ไฟฟ้ า เป็ นลิฟต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ าเข้ามอเตอร์ดึงห้องลิฟต์ข้ ึนด้วยสายเชือกสลิง ใช้ได้
สําหรับอาคารทุกประเภท โดยเฉพาะอาคารสูงทัวไป มีท้ งระบบไฟฟ้ ากระแสสลับ และไฟฟ้ ากระแสตรง
ั
่
2. ลิฟต์ไฮดรอลิก เป็ นลิฟต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ าเข้ามอเตอร์ ทําให้เครื่ องปั๊มไฮดรอลิกยกลิฟต์ข้ ึน
ั
ปกติจะใช้กบอาคารสู งไม่เกิน 6 ชั้น เพราะจํากัดความสูงของแกนไฮดรอลิก เนื่องจากลิฟต์มีความเร็วตํ่าแต่มี
้
ราคาแพง มีขอดีคือไม่ตองมีหองเครื่ องโผล่เลยชั้นดาดฟ้ าของอาคาร นํ้าหนักของลิฟต์จะลงที่กนบ่อลิฟต์
้
้
้
โดยตรง
ระบบท่อและร้อยท่อ
เป็ นหลักการที่นาไปใช้ในการติดตั้งระบบท่อ ไม่วาจะเป็ นนํ้าประปา ท่อนํ้าร้อน ท่อระบายนํ้า
ํ
จนกระทังท่อส่ งความเย็นและท่อร้อยสายไฟ แบบก่อนสร้างจะระบุเฉพาะการต้องฝังท่อไว้แต่มิได้ระบุ
่
ตําแหน่งหรื อขยายให้เห็นรายละเอียดในการยึดท่อ แขวนท้อ รวมทั้งระบุการใช้อุปกรณ์ หรื อบอกระยะการ
เกิดท่อไว้เป็ นการแน่นอน แต่วิศวกรโครงการจะต้องพิจารณาเลือกวิธีฝังท่อ และเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสม
กับลักษณะของห้องของอาคาร
-การปองกันความปลอดภัยของโครงสร้ าง
้
ในการสร้างอาคารนั้น ระบบโครงสร้างได้แก่ เสา คาน พื้น กําแพง ตัวโครงสร้างแต่ละส่ วนต้องรับ
นํ้าหนักของตัวเองและรับนํ้าหนักบรรทุก ถ่ายทอดการรับนํ้าหนักกันลงมา นอกจากนี้ยงต้อง
ั
ต้านทานต่อแรงลม แรงสันสะเทือนอันเกิดจากการวิ่งของรถยนต์บนถนนและจากแผ่นดินไหว
่
-การเดินท่ อเพือปองกันนําและกันซึม
่ ้
้
่
เป็ นการเดินนอนผ่านผนังขอบนอกของอาคารซึ่งจะมีผวด้านหนึ่งอยูภายในและผิวอีกด้านหนึ่งจะ
ิ
่
อยูภายนอกอาคาร ส่ วนใหญ่จะเป็ นผนังก่ออิฐหนา แผ่นอิฐฉาบปูนเรี ยบทั้งสองหน้า ภายนอกอาจ
ต้องสัมผัสกับฝนหรื อความชื้นอื่นๆ การเดินท่อผ่านชั้นกันซึมกันนํ้าด้วยการใช้มอร์ตาร์ ประกอย
ด้วยการเว้นท่อหรื อฝังท่อเหล็กพร้อมคอลลาร์ท่ีเป็ นขอบยกสู ง ใหญ่กว่าปลอกเหล็กเลกน้อยเพือน
่
ั
กันนํ้าเข้าส่ วนนี้ ส่ วนที่ระหว่างคอลลาร์กบผิวนอกของท่อจะอุดด้วยปอ โดยรอบท่อแล้วทําการ
ั
คอล์คคิงด้วยตะกัวปิ ด สําหรับผิวด้านภายนอกอาคารจะฉาบด้วยมอร์ตาร์กนนํ้าและฉาบผิวหน้า
่
เรี ยบภายนอกอีกครั้ง