คอม นาย9. หลักการและทฤษฎี
• เนื่องด้วยกีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีสากลชนิดหนึ่งที่มีความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
แต่เป็นเครื่องดนตรีที่มีวิธีการเล่นค่อนข้างซับซ้อน มีวิธีฝึกที่ยากเช่น การไล่บันไดเสียง
บนคอกีต้าร์ (scale) การดีดโดยใช้ปิ๊ก การจับคอร์ดกีต้าร์ต่างๆ เป็นต้น จนทาให้ผู้ฝึก
หลายท่าน รู้สึกท้อและล้มเลิกการเล่นไป
• ผู้จัดทาจึงมีความประสงค์ที่จะจัดสื่อการสอนเพื่ออธิบายวิธีการฝึกเล่นกีต้าร์เบื้องต้นสา
หรับผู้ที่เริ่มต้นฝึกหรือผู้ที่ไม่เข้าใจในบางส่วนของการเล่นกีต้าร์เบื้องต้นและสาหรับผู้ที่
จะต้องการเป็นนักกีต้าร์ในอนาคต การเรียนรู้ยังขึ้นกับพื้นฐานเกี่ยวกับดนตรี และทักษะ
ในการเรียนรู้แต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางท่านจาเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษามาก แต่บาง
คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีก็สามรถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
• ดังนั้นนั้นการเรียนกีตาร์ กับโครงงานชื้นนี้ให้ความสาคัญกับผู้ที่ไม่ค่อยมีทักษะสูงมาก
นักแต่ใจรักดนตรีเป็นพิเศษ ส่วนผู้ที่ทักษะดีอยู่แล้ว ก็สามารนาความรู้จากสื่อการสอน
เป็นพื้นฐานและแนวทางในการเล่นเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการแสดงให้มีศัยภาพสูง
12. ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิด
ชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
11 12
1
3
1
4
15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน ✓ พิจักษณ์
2 ศึกษาและค้นคว้า
ข้อมูล
✓✓ พิจักษณ์
3 จัดทาโครงร่างงาน ✓✓✓ พิจักษณ์
4 ปฏิบัติการสร้าง
โครงงาน
✓✓✓✓ ✓ สุรศักดิ์
5 ปรับปรุงทดสอบ ✓✓ สุรศักดิ์
6 การทา
เอกสารรายงาน
✓ สุรศักดิ์
7 ประเมินผลงาน ✓ พิจักษณ์
8 นาเสนอโครงงาน ✓ พิจักษณ์
17. ส่วนประกอบกีต้าร์
ส่วนหัว
1.1.ชุดลูกบิด โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่ตัวลูกบิดหันไปด้านหลังตั้ง
ฉากกับตัวกีต้าร์ แกนหมุนสายเป็นพลาสติกซึ่งจะใช้กับกีต้าร์คลาสสิค อีก
แบบจะขนานกับตัวกีต้าร์หรือแกนหมุนสายตั้งฉากกับตัวร์กีต้าร์ ซึ่งใช้
กับกีต้าร์โฟล์คหรือกีต้าร์ไฟฟ้าทั่วไป
1.2.นัท (Nut) บางคนอาจเรียกว่าหย่องหรือสะพานสายบน ติดอยู่ปลายบนสุด
ของฟิงเกอร์บอร์ด เพื่อรองรับสายกีต้าร์ให้ยกสูงจากฟิงเกอร์บอร์ด ถ้าสูง
เกินไปก็จะทาให้ต้องใช้แรงกดนิ้วมาก และถ้าต่าเกินไปก็จะทาให้สายกีต้าร์
ติดกับแฟลต ทาให้เกิดเสียงแปลกๆ ออกมา
18. ส่วนคอกีต้าร์
2.1.คอกีต้าร์ คือส่วนที่เราใช้จับอคอร์ดเล่นโน๊ตต่างๆ คอกีต้าร์ที่ดีควรทามาจากไม้มะฮอกกานี
หรือไม้ซีดา คอกีต้าร์ต้องตรง ไม่มีรอยแตกหรือปริของเปลือกไม้
2.2.Finger bordเป็นแผ่นไม้ที่ติดลงบนคอกีต้าร์อีกชิ้น เป็นตัวที่ใฃ้ยึดเฟรตหรือ
ลวดลายมุกประดับต่างๆ ไม้ที่นิยมใช้จะเป็นไม้โรสวูด หรือไม้อีโบนี
2.3.เฟรต (Fret) ทามาจากโลหะฟังอยู่บนคอกีต้าร์ เป็นตัวที่จะกาหนดเสียงของโน๊ตดนตรีจาก
การกดสายกีต้าร์ลงบนเฟรตต่างๆ จไนวนของเฟรตขึ้นอยู่กับความยาวของคอกีต้าร์ ซึ่งแต่ละ
ผู้ผลิตก็จะผลิตต่างกันไป ปกติกีต้าร์คลาสสิคจะมีประมาณ 18 ตัว กีต้าร์โฟล์คประมาณ 20 ตัว
แต่กีต้าร์ไฟฟ้าซึ่งมีการโซโล่จึงมีฃ่องให้เล่นมากขึ้นประมาณ 22-24 ตัว
2.4.มุกประดับ จะฃ่วยในการสังเกตตาแหน่งของช่องกีต้าร์ อาจจะฝังที่ด้านข้างหรือด้านบน
ของฟิงเกอร์บอร์ด
2.5.ก้านเหล็กปรับแต่งคอ (Truss Rod) จะฝังอยู่ด้านในของคอกีต้าร์ตามแนวยาว
เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกีต้าร์ ป้องกันการโก่งตัวของคอกีต้าร์ สามารถปรับแต่งได้
19. ส่วนลาตัวกีต้าร์
3.1 ลาตัวกีตาร์ (body)
หมายถึง 3 ส่วนได้แก่ ด้านหน้า(top) ควรทา
มาจากไม้อัลพาย สปรูซ (alpine spruce)
ด้านหลัง (back) และด้านข้าง (side) ควรเป็นไม้
โรสวูด(rosewood) และที่สาคัญคือลักษณะของ
ไม้ต้องไม่มีรอยแตก ไม่มีตาไม้และมีลายไม้ที่
ละเอียดไปตามความยาวจึงมีคุณภาพดี ส่วนที่เว้า
ของ body บางทีเราก็เรียกว่า เอว
20. 3.2โพรงเสียง (sound hole) ก็คือรูกลม ๆ หรือบางทีก็
ไม่กลม ที่อยู่บนด้านหน้าของ body นั่นเอง มีหน้าที่
รับเสียงจากการสั่นของสายกีตาร์ทาให้เกิดเสียงก้อง
ดังขึ้น ซึ่งอาจจะมีีีลายประดับต่าง ๆ อยู่รอบ ๆ โพรง
เสียงเพื่อความสวยงามอีก
.ปิคการ์ด (Pick Guard) มีไวเพื่อป้ องกันปิคขูดกับ
ลาตัวของกีต้าร์
3.4.สะพานสาย (Bridge) เป็นตัวยึดสายให้ติดกับ
ลาตัวของกีต้าร์ และยึดสายด้วยหมุดยึดสาย (Pin) แต่
บางรุ่นจะไม่ใช้หมุด แต่สอดสายจากด้านล่างของ
สะพานสาย ไม่ต้องพันสาย
3.5.หย่อง (Saddle) จะยึดอยู่กับสะพานสาย เพื่อรอง
รับสายกีต้าร์ทั้ง 6 สายมีทั้งแบบตรงและแบบโค้ง
บางแบบก็แยกเป็น 2 ชิ้น
25. สายกีต้าร์
สายกีต้าร์สาหรับสาย 1, 2 และ 3มัก เป็นสายไนล่อนล้วน ส่วนสาย 4, 5 และ 6
เป็นสายที่ใช้ใยไนล่อนทาเป็นแกนใน พันด้วยลวดทองแดงชุบเงิน ส่วนชนิดที่เป็นลวดที่
เรียกว่า "สายเหล็ก" นั้น ทาไว้เฉพาะสาหรับใช้กับกีต้าร์ไฟฟ้า, กีต้าร์ริธึมส์ (Rhythms)
และกีต้าร์ที่เล่นด้วย "ปิค" สายเหล็กนี้มีคุณสมบัติในทางเสียงที่ดังกว่าสายไนล่อน แต่ก็ไม่
เหมาะกับการเล่นกีต้าร์ในแบบคลาสสิคที่เล่นด้วยนิ้ว เพราะสายเหล็กนี้แข็งมาก ยากแก่การ
กดนิ้ว ทาให้ดีดติดไม่ลื่น ไม่สะดวกในการเคลื่อนนิ้ว ดังนั้นการฝึกเล่นกีต้าร์ของท่านในขั้น
แรกๆ นี้ควรใฃ้กับสายไนล่อนทั้ง 3 สายดังกล่าวมานั้น อีกประการหนึ่ง
สาหรับสายเบสเสียงต่าคือสาย 4, 5 และ 6 นั้น เมื่อท่านเล่นไปนานๆ
สายที่พันด้วยลวดทองแดงนี้ อาจมีคราบสกปรกเกาะจับอยู่ที่สาย
ซึ่งจะทาให้เสียงหมดความกังวาล ควรทาความสะอาด จะใช้ผ้าเช็ดถู
หรือถอดมาล้างด้วยน้าและสบู่ แล้วใช้ฟ้าเช็ดให้แห้ง
เมื่อเรียบร้อยแล้วนามาใฃ้ใหม่เสียงจะดีขึ้น
สาหรับการเปลี่ยนสายใหม่เมื่อสายขาดนั้น ขอให้ท่านเปลี่ยนทีละสาย ข้อสาคัญท่านอย่าถอด
หลายสายออกพร้อมกันในทันที ทั้งนี้เพราะสะพานและส่วนคอของกีต้าร์นั้นต้องใช้แรงดึง
สายไว้มาก อาจทาให้กีต้าร์ของท่านเกิดการเสียหายได้ง่าย
27. สาหรับการเล่น ในโพซิชั่นที่ 2 จะมีบริเวณการกดนิ้วจากเฟรท
ที่ 2 ถึงเฟรทที่ 5 และโพซิชั่นที่ 3 ก็เริ่มแต่ เฟรทที่ 3 เป็นลาดับไป
ถึงเฟรทที่ 6 ฯลฯ เป็นต้น
วิธีเลื่อนนิ้วเปลี่ยน Position โดยการใช้นิ้วนา (Guide finger) ใน
การเปลี่ยนจากโพซิชั่นหนึ่งไปอีกโพซิชั่นหนึ่งนั้น มีหลายวิธีด้วยกัน
แต่วิธีที่ง่ายและนุ่นนวลที่สุด คือการเลื่อนนิ้วโดยใช้นิ้วใดนิ้วหนึ่งนา
ทางไปก่อนนั้น คือหลังจากที่เล่นโน้ตตัวสุดท้ายในโพซิลั่นใดก็ตาม
เมื่อเล่นเสร็จแล้วก็ใช้นิ้วนั้นเลื่อนไปถึงโพซิชั่นใหม่ในทันที จนกว่า
จะมีการเปลี่ยนอีก
29. การเกากีต้าร์
การเกากีตาร์หรือที่เรียกว่า picking เป็นสไตล์ในการเล่นกีตาร์อีกแบบที่
มีความไพเราะเป็นเอกลักษณ์ แต่ก่อนที่จะฝึกเกากีต้าร์ควรจะต้องฝึกการตีคอร์ด
ให้คล่องก่อน ทั้งการเปลี่ยนคอร์ดและจังหวะการดีดให้สัมพันธ์กันก่อนนะครับ
การวางมือนั้นมือจะอยู่เหนือสายนิดหน่อย ใช้สันนิ้วโป้ งเตะพักไว้ที่สาย 6 เพื่อ
ช่วยพยุง หรืออาจจะใช้นิ้วก้อยเตะที่ตัวกีต้าร์ช่วยพยุงก็ได้แล้วแต่ความถนัดของ
แต่ละคน
การเกากีตาร์มักจะเริ่มด้วยสายเบสก่อน โดยการใช้นิ้วโป้งดีดลง โดยดีด
สายที่เป็นโน๊ต Root ของคอร์ด โน๊ต Root คือโน้ตตัวแรกของคอร์ดนั้นๆ เช่น
คอร์ด C ก็จะเป็นโน้ต C ก็จะอยู่ที่สาย 5 ก็ดีดสาย 5 ก่อน คอร์ดอื่นๆก็พอจะสรุป
ได้ดังต่อไปนี้
30. ถ้าเล่นคอร์ด D, F ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 4 (ถ้าคอร์ด F จับแบบทาบให้ดีดสาย
เบสเส้นที่ 6)
ถ้าเล่นคอร์ด A, B, C ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 5
ถ้าเล่นคอร์ด E, G ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 6
เมื่อดีดสายเบสแล้วจึงตามด้วยสายอื่นตามมา คือ 3 สายล่างที่เหลือ อย่าลืม
ว่าต้องใช้นิ้วที่ประจาอยู่ของแต่ละสายให้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้
33. การจับปิ๊กกีต้าร์
ปิคกีต้าร์นั้นมีหลายแบบหลายรูปทรง แต่ที่นิยมใช้กันทั่ว ๆ ไปก็คือ ปิคแบน (flat pick) ที่
เห็นกันอยู่ทั่วไปก็จะมีอยู่ 2 ทรงคือ รูป 3 เหลี่ยม แล้วก็ รูปหยดน้า มีให้เลือกตามขนาดความหนา
ของปิค ตั้งแต่ บาง , ปานกลาง และ หนา ส่วนจะเลือกใช้ขนาดไหน ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
ในการเล่นตีคอร์ดนั้นแนะนาให้ใช้ปิคแบบบาง เพราะจะเกิดแรงต้านกับสายน้อยเล่นแล้วจะรู้สึกพริ้ว
ไหวไม่สะดุด ส่วนการเล่น Solo นั้นใช้ได้ทุกขนาดขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคน การ
จับปิคนั้นให้วางปิคลงด้านบนสันของปลายนิ้วชี้ นิ้วชี้อยู่ในลักษณะงอเข้าหาปลายนิ้วโป้ง แล้วใช้
นิ้วโป้งกดทับตัวปิค การจับไม่ได้จับจนแน่นมากให้จับพอกระชับไม่ให้หลุด
ปลายปิคเลยออกมาจากนิ้วประมาณ 3-4 มิล ไม่สั้นหรือยาวออกมา
มากจนเกินไป ปิคต้องอยู่ในลักษณะตั้งฉากกับสายหรือเกือบจะตั้ง
ฉากกับสาย และเอียงตัวปิคประมาณ 45 องศา เพื่อลดแรงประทะ
กับสายในขณะดีด ทาให้ดีดได้คล่องและไม่รู้สึกติดขัด
35. การฝึกนิ้วแบบ Chromatic
การฝึกนิ้วแบบ Chromatic จะเป็นการฝึกนิ้วโดยการเล่น
โน้ตแต่ละตัวให้มีระยะห่างทีละครึ่งเสียงไปเรื่อยๆ ทาให้เกิด
รูปแบบการไล่นิ้วที่เป็นสัดส่วนสมมาตรสมดุลกัน ซึ่งจะใช้
เพื่อเป็นพื้นฐานการฝึกนิ้วในการโซโล่ ทาให้การเคลื่อนไหว
ของนิ้วมีความพลิ้วไหวคล่องตัวเป็นระเบียบมากขึ้น
36. แบบฝึกที่ 1 ลองฝึกตาม TAB ด้านบน
( มือขวาให้ดีด ลง - ขึ้น - ลง - ขึ้น สลับกันแบบนี้ไปตลอดนะครับเพื่อ
ฝึกการใช้ปิคไปด้วย )
39. การจับคอร์ดกีต้าร์
การจับคอร์ดนั้นให้นั่งในท่าที่ถนัด ใช้มือกาหลวม ๆ ที่คอ
กีตาร์ ถ้าเป็นการจับคอร์ดที่ไม่ใช้คอร์ดทาบ จะใช้นิ้วโป้ งประคอง
ด้านหลังคอกีต้าร์เพื่อให้กระชับมั่นคงและช่วยให้มีแรงกดสายมาก
ขึ้น การจับสายนั้นจะต้องโก่งนิ้วที่จับสายอยู่ พยายามให้ปลายนิ้ว
ที่กดสายตั้งฉากกับฟิงเกอร์บอร์ด มากที่สุด เพราะถ้านิ้วราบ
ไปกับคอกีต้าร์จะทาให้โดนสายอื่นทาให้เสียงบอด
ส่วนตาแหน่งการกดให้กดลงในช่องกลางระหว่าง
เฟร็ตหรือ ค่อนลงมานิดหน่อย แต่นิ้วยังไม่โดน
เฟร็ตถ้านิ้วโดนเฟร็ตขณะกดสายจะทาให้เสียง
บอร์ด
44. ลักษณะพิเศษของ คอร์ดทาบ หรือ (Bar Chord)
ลักษณะพิเศษของคอร์ดทาบ ก็คือ คุณสามารถ เลื่อนคอร์ดในลักษณะการจับที่
ยังเหมือนเดิม ถอยหลังเข้าหาตัว หรือ เลื่อนไปด้านหน้า แล้วคอร์ดจะเปลี่ยนไปเป็น
อีกคอร์ดหนึ่งโดยที่รูปแบบการจับยังเหมือนเดิม โดยมีหลักอยู่ว่า ถ้าเลื่อนถอยเข้าหา
ตัว 1 ช่อง (เสียงสูงขึ้น) คอร์ดเดิมที่เล่นอยู่ก็จะติด( # )เช่นคุณจับคอร์ด F แล้วเลื่อนเข้า
หาตัว 1 ช่อง คอร์ดก็จะเปลื่ยนเป็น F# ถ้า 2 ช่องคอร์ดก็จะเปลื่ยนเป็นคอร์ด G ในทาง
ตรงกันข้าม ถ้าเลื่อนไปด้านหน้าออกห่างตัว 1 ช่อง (เสียงต่าลง) คอร์ดเดิมที่เล่นอยู่ก็
จะติด( b ) เช่นคุณจับคอร์ด B แล้วเลื่อนออกห่างตัว 1 ช่อง คอร์ดก็จะเปลื่ยนเป็น Bb
ถ้าเลื่อนไป 2 ช่องคอร์ดก็จะเปลื่ยนเป็นคอร์ด A สายเปิด คือไม่ต้องใช้นิ้วชี้ทาบ เพราะ
ตาแหน่งที่ต้องทาบเป็นสะพานรองสาย (Nut) พอดี
ส่วนการเลื่อนคอร์ดว่าเลื่อนกี่ช่องแล้วจะเปลี่ยนเป็นคอร์ดอะไรจะใช้หลักของ Major
Scale คือ คอร์ด E กับ F และคอร์ด B กับ C ห่างกัน 1 ช่อง (ครึ่งเสียง) ส่วนคอร์ดอื่น
A กับ B , D กับ E , F กับ G ห่างกัน 2 ช่อง (หนึ่งเสียงเต็ม)
48. การจับpower chord
power chord นั้น เป็นเป็นคอร์ดที่ให้เสียงหนักแน่นมีพลัง การจับ power chord
นั้นจะคล้ายกับการจับคอร์ดทาบมากแต่จะจับน้อยกว่า โดย Power chord นั้นจะจับอยู่ที่
สาย 3 4 5 6
การจับ Power Chord นั้นจับได้สองแบบคือการจับแบบโน๊ตคู่ห้า และ แบบทั้งคู่
ห้าและคู่แปด การจับแบบหลังนี้(คู่5และคู่8)จะให้เสียงที่ครบกว่าออกเสียงกลางมากขึ้น
ส่วนการนาไปใช้นั้นว่าควรจะจับแบบใหนก็ต้องดูเพลงที่เล่นว่าเป็นแบบใด Power
Chord ที่เล่นในเพลงนั้นเล่นเป็นกีต้าร์หลักหรือเล่นเป็นRhythmให้จังหวะเป็นแบ็ค
กราว์ด ถ้าเล่นเป็น Rhythm ก็ควรจะจับแบบคู่5มากกว่าเพราะจะไม่ออกเสียงกลางมาก
ไม่ทาให้ไปกลบเสียงของกีต้าร์หลัก แต่ถ้าเล่น Power Chord เป็นกีต้าร์หลักก็ควรจะจับ
แบบที่สอง(แบบคู่5และคู่8)เพราะเสียงจะออกไปทางเสียงกลางชัดเจนมากขึ้นและเสียง
จะพุ่งกว่าการจับแบบแรกฟังแล้ว เข้าถึงอารมณ์ของเพลงมากกว่า
50. การจับ Power Chord บางคอร์ดที่ต้อง Muted เสียงที่สาย 6
จะใช้นิ้วกลางเตะไว้ที่สายเพื่อไม่ให้เกิดเสียงที่สายนั้น
ตัวอย่างการจับคอร์ด C Power Chord ดังรูปด้านล่าง
53. การอ่านแท็บ
การอ่านแท็บสายกีต้าร์จะแทนด้วยเส้นทั้งหมด 6 เส้น เส้นบนสุดคือสาย 1 ของกีต้าร์ไล่ลงมา
เป็นสาย 2 – 3 – 4 – 5 ถึงเส้นสุดท้ายคือสาย 6 โดยตัวเลขที่อยู่บนแท็บจะหมายถึงตาแหน่งที่ต้องกดว่า
จะต้องกดที่ช่องใดบนฟิงเกอร์บอร์ด ของสายนั้นๆ( เลข “0” หมายถึง การดีดสายเปล่า )
และถ้าตัวเลขที่อยู่บนเส้นอยู่ในตาแหน่งเดียวกันในแนวตั้งดังรูปด้านบนก็ให้ดีดพร้อมกัน
ยกตัวอย่างถ้าตรงกัน 2 สองสายก็ดีดพร้อมกันแค่สองสาย ถ้าตรงกันทั้งหมด 6 สายก็ให้ดีด
พร้อมกันทั้ง 6 สาย เช่น ตัวอย่าง TAB ด้านบน ตัวเลขด้านขวามือสุด เป็นการจับคอร์ด G แล้วดีดพร้อม
กันทั้ง 6 สาย (โดยมากแล้วถ้าตัวเลขอยู่ในแนวเดียวกันตั้งแต่ 3 ตาแหน่งขึ้นไปจะเป็นการจับคอร์ด ) เช่น
รูปด้านบน เป็นการจับคอร์ด G จาก TAB ด้านบน การเล่นทั้งหมดคือ ( ดีดสายเปล่าสาย 6 --> ตามด้วยดีด
สาย 6 ช่อง 2 --> ดีดสาย 6 ช่อง 3 --> และดีดคอร์ด G ) จะมีการดีดทั้งหมด 4 ครั้ง
54. สัญลักษณ์เบื้องต้นที่ใช้ใน TAB
• h = hammer on
• p = pull off
• b = bend string up (ดันสายขึ้น)
• r = release bend (ดันสายค้างไว้ ดีดแล้วจึงผ่อนสายลง)
• / = slide up (สไลด์ขึ้น)
• = slide down (สไลด์ลง)
• s = legato slide (การสไลด์ไปยังโน๊ตตัวอื่นโดยไม่ต้องดีดซ้า)
• v, ~ = vibrato (ทาเสียงสั่น)
• tr = trill (การรัวนิ้ว)
• T = tap (การเล่น Tabping)
• x = on rhythm muted slash (การให้จังหวะโดยทาเสียงบอด)
56. เมเจอร์สเกล
เมเจอร์ สเกล นั้นเป็นหลักพื้นฐานของสเกลอื่นๆ ทุกสเกลจะสร้าง
ขึ้นมาโดยยึดหลักพื้นฐานโครงสร้างมาจากเมเจอร์สเกล ดังนั้น เมเจอร์สเกล
จึงถือเป็นแม่แบบของสเกลอื่นๆ
สเกล ก็คือ กลุ่มของโน๊ตที่เรียงกัน เป็นลาดับขั้น มีการจัดเรียงระดับ
ของเสียงอย่างมีรูปแบบ มีเสียงห่างกันเป็นที่แน่นอน เวลาเล่นกลุ่มโน๊ตนั้นๆ
จะได้สาเนียง เป็นแบบๆไป เป็นสาเนียงเฉพาะตัวของสเกลนั้นๆ เช่น สเกล
Major (เมเจอร์) จะให้ความรู้สึกที่สนุกสนาน ฟังสบาย สเกล Minor (ไม
เนอร์) จะให้ความรู้สึกที่เศร้า เหงา หดหู่...
ความหมายของ OCTAVE คือ โน้ตตัวเดียวกัน ที่เสียงสูงขึ้น หรือต่า ลงมา 8 ขั้น
เช่น ในเมเจอร์สเกล โน้ตตัวแรก กับ ตัวสุดท้ายจะห่างกัน 1 OCTAVE
59. TAB ของ C Major Scale
ลองฝึกไล่สเกลตามแท็บด้านบนดูนะครับ การฝึกไล่สเกลจะเป็นพื้นฐาน
ที่ใช้ในการเล่น Solo การแกะเพลง ทาให้เราเล่นได้คล่องขึ้น และยัง
สามารถทาให้เราจาโน๊ตหรือรูปแบบการไล่สเกลบนคอกีตาร์ได้...
ตาแหน่งโน๊ตบนคอกีต้าร์ ของ C Major Scale ตามแท็บด้านบน
74. การ hammer on / pull off
• Part 1
https://www.youtube.com/watch?v=Fdf0Wi7X
Xks
• Part2 https://www.youtube.com/watch?v=-
ZhHTXcBO3E
78. การ sweep pickking
• Part1
https://www.youtube.com/watch?v=a1Q6H_R
YXMU
• Part2
https://www.youtube.com/watch?v=7DK05Rx
-l90