SlideShare a Scribd company logo
1 of 8
Download to read offline
เมื่อมีอาการ จาม คันจมูก คันตา คันหูและลาคอ ตาแดง จมูกตัน มี
น้ ามูกใส ๆ ไหลออกมาบ่อย ๆ และมีน้ าตาไหล เจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย ปวด
ท้อง ปวดศรี ษะ และปวดบริ เวณคาง และหน้าผาก อาการเหล่านี ้คืออาการ
ภูมิแพ้ เกิดจากระบบภูมิค้ มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารทัวไปที่เป็ น
                                ุ                            ่
สารอันตราย จึงกระตุ้นให้ เซลล์ปล่อยสารฮิสทามีน ทาให้ จาม หายใจขัดมี
ผื่นคัน อาเจียน บางครังรุนแรงถึงขันช็อก หมดสติ ถูกปิ ดกันทางเดิน
                             ้         ้                       ้
อากาศหายใจจนทาให้ หวใจหยุดทางาน สิงทีก่อให้ เกิดภูมิแพ้ เช่น ละออง
                           ั                ่ ่
เกสร อาหาร สารเคมี ความเครี ยด สัตว์ พักผ่อนไม่เพียงพอ การทาน
อาหารที่หลากหลายครบทุกหมู่ จะช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้
ส่วนใหญ่เมื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่ งที่แพ้ และรับประทานยาแก้แพ้ก็จะสามารถ
ควบคุมอาการของโรคภูมิแพ้ได้ การรักษาโรคภูมิแพ้เบื้องต้นสาหรับผูที่มี้
อาการคัดจมูกมากอาจจะต้องให้ยาลดอาการคัดจมูก ( Decongestant) สาหรับ
ผูที่มีอาการเรื้ อรังอาจจะต้องใช้ยาหยอดจมูก steroid
   ้




โรคภูมแพ้ คือโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติไวผิดปกติ ทั้งที่คนทัวไปไม่เกิดอาการผิดปกติเมื่อสัมผัส
      ิ                                                                                         ่
สารต่างๆเหล่านั้น สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้หลายทางทาให้เกิดโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆซึ่งมีอาการแตกต่างกันดังนี้

     สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินหายใจ ตั้งแต่ จมูก คอ หลอดลมลงไปถึงปอด ทาให้เกิดอาการเป็ นหวัด คัดจมูก น้ ามูกไหล จาม
      เรี ยกว่าโรคแพ้อากาศ ผูป่วยจะมีอาการคันคอ เจ็บคอ ไอมาก หากมีอาการหลอดลมตีบตัน หายใจลาบากเรี ยกว่าโรคหอบหื ด
                               ้
     สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางผิวหนัง ทาให้เกิดผื่นคันอักเสบ เป็ นลมพิษ มีน้ าเหลืองไหล เป็ นตุ่มพุพองที่ผวหนัง เรี ยกว่า “โรคผื่น
                                                                                                                   ิ
      แพ้”
     สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินอาหาร ทาให้เกิดอาการคันปาก คันคอ มีผ่นคันที่ผวหนัง เป็ นลมพิษ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสี ย
                                                                                    ื        ิ
                  ่
      อาหารไม่ยอย คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลร้อนในในปาก เรี ยกว่า “โรคแพ้อาหาร”
     สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางตา ทาให้คนตา แสบตา ตาแดง น้ าตาไหล ตาสูแสงไม่ได้ เยือบุตาแดงบวมและอักเสบ เรี ยก “โรคภูมิแพ้
                                                ั                                 ้            ่
      ที่ตา”
โรคภูมิแพ้สามารถถ่ ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรื อแม่เป็ นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็ นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับสาร
แปลกปลอม ซึ่งเป็ นสารก่อภูมิแพ้ เข้ามาในร่ างกายต่อเนื่องกันเป็ นเวลานานๆ จนกระทังร่ างกายเกิดปฏิกิริยา มีการสร้างภูมิคุมกันต่อสารชนิดนั้น
                                                                                 ่                                      ้
เมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้น้ นเข้าไปอีก ก็จะเกิดปฎิกิริยาภูมิแพ้
                              ั

         การติดเชื้อซ้าซากยาวนาน ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรี ย ไวรัส ยีสต์ หรื อพยาธิ หรื อปั จจัยภายนอกใดๆ ที่คงอยูในตัวเรา หรื อสัมผัสกับ
                                                                                                               ่
ร่ างกายเรา โดยที่ร่างกายไม่สามารถกาจัดออกได้หมด เป็ นเวลาต่อเนื่องกันนาน จะกระตุนปฏิกิริยาภูมิคุมกัน ให้ผลิตภูมิคุมกันชนิดกว้างและมี
                                                                                       ้                ้                    ้
ความเจาะจงน้อย ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ตอสารต่างๆ มากขึ้นเรื่ อยๆ กลายเป็ นคนแพ้สิ่งต่างๆได้ง่ายและบางครั้งมีภูมิคุมกันที่ต่อต้านเนื้อเยือ
                                                ่                                                                          ้                     ่
ของตนเองเกิดขึ้น กลายเป็ นโรคภูมิคุมกันทาลายตนเอง
                                   ้

         อาการภูมิแพ้ ที่เป็ นเฉพาะเวลา ร่ างกายประสบกับภาวะเครี ยดทั้งทางร่ างกายหรื อทางจิตใจก็ตาม เนื่องจากความเครี ยดจะเผาผลาญ
พลังงานในร่ างกายด้วยการกระตุนต่อมไร้ท่อต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบป้ องกันตนเองของร่ างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลงไป ร่ างกายเกิดการ
                                ้
ตอบสนองต่อสิ่ งกระตุน ด้วยการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อฝุ่ นละออง และสารต่างๆ ในชีวตประจาวัน ทาให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีเสมหะแห้งๆ ในคอ
                     ้                                                          ิ
ตลอดเวลา น้ ามูก มึนงง ไม่สดชื่น ฯลฯ




      Th 1 เป็ นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น สารอินเตอเฟอรอนแกมม่า
      Th 2 2 เป็ นเซลล์ที่สร้างสารเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เช่น อินเตอร์ลิวคีน 5

                                                                                                                         ่       ่
ร่ างกายของคนเราต้องใช้เซลล์ท้ ง 2 ชนิดอย่างสมดุลจึงจะมีสุขภาพที่สมดุลแข็งแรง แต่สภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานในยุคปั จจุบนไม่คอยได้อยูตาม
                               ั                                                                                    ั
ธรรมชาติ เช่น

      อาบแต่น้ าอุน
                   ่
      นอนแต่ในห้องแอร์
      ไม่ได้สมผัสธรรมชาติที่เป็ นของจริ ง เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ า ธาตุลม ธาตุไฟ
              ั

เด็กจึงไม่มีโอกาสสัมผัสเชื้อแบคทีเรี ยหรื อเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ พอเป็ นไข้ไม่สบายก็รีบพาลูกไปหาหมอกินยาปฏิชีวนะ ยาลดน้ ามูก ยาลดไข้ ไว้
ตลอดโดยที่ภูมิตานทานที่แท้จริ งของตนเองไม่เคยได้ใช้งานต่อสูเ้ ชื้อโรคเลย ทาให้ร่างกายขาดเซลล์ Th 1 มีแต่เซลล์ Th 2 ซึ่งเป็ นตัวการคอยกระตุน
                ้                                                                                                                         ้
ให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวชื่อ อีโอซิโนฟิ ลล์ สาร IgE ที่เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการหลังสารฮีสตามีนซึ่งทาให้เกิดอาการผิดปกติ
                                                                                                    ่
ต่างๆ
   โรคภูมิแพ้ ชนิดเป็ นตามฤดูกาล จะมีอาการเป็ นช่วง ๆ ของปี ขึ้นอยูกบช่วงที่สารก่อภูมิแพ้ถูกผลิตออกมา สารก่อภูมิแพ้ในกรณี น้ ี เช่น
                                                                    ่ ั
    ละอองเกสรดอกไม้ ฟางข้างต่าง ๆ
   โรคภูมิแพ้ ชนิดเป็ นตลอดปี คนไข้จะมีอาการตลอดทั้งปี เนื่องจากคนไข้จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ตลอดเวลา ทาให้มีอาการแบบ
                                         ั
    เรื้ อรัง สารก่อภูมิแพ้ที่ทาให้คนแพ้กนมาก คือ ไรฝุ่ นในบ้าน เชื้อรา ขนสัตว์เลี้ยง เป็ นต้น




     ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการล้างจมูกด้วยน้ าเกลืออุ่นๆ
                        ้
     ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการดื่มน้ าร้อนครั้งละ10-15 นาทีวนละ 2-4 ครั้ง
                          ้                                          ั
     พื้นห้องควรเป็ นพื้นขัดมัน เพราะกาจัดฝุ่ นได้ง่าย
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการจัดบ้านให้อากาศถ่ายเทได้ดี และแสงแดดส่องถึง ไม่มีฝน
                              ้                                                            ุ่
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการอย่าไปใกล้บริ เวณที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และบริ เวณที่มีฝนมาก
                                ้                                                               ุ่
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการไม่ปลูกต้นไม้ในบ้าน กระถางดอกไม้ที่อบชื้นจะเป็ นแหล่งเพาะเชื้อราได้
                                  ้                                       ั
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการพยายามกันสัตว์เลี้ยงไว้ขางนอกเท่าที่เป็ นไปได้ ห้ามนาสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอน
                                    ้                              ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการล้างมือทุกครั้งที่คุณสัมผัสสัตว์เลี้ยง และพยายามให้มนอยูห่าง ๆ จากใบหน้าของคุณ
                                      ้                                                 ั ่
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดที่นอนหมอน มุง ควรได้รับการตากแดดจัด ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร
                                        ้                              ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการใช้ผาห่มประเภทขนสัตว์ ผ้าสักหลาด ผ้าสาลี ควรใช้ผาห่มที่ทาจากใยสังเคราะห์
                                          ้               ้                              ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการระวังไม่ให้บาน ห้องน้ า อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะทาให้เชื้อราเติบโต
                                            ้               ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
                                              ้                                                         ู้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดเครื่ องปรับอากาศบ่อยๆ และใช้แบบที่มีเครื่ องกรองอากาศชนิด HEPA filter
                                                ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการกาจัดเศษอาหาร และขยะต่างๆ รวมทั้งปิ ดฝาท่อระบายน้ าเพื่อไม่ให้เป็ นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
                                                  ้
     ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการใช้ยาตามที่แพทย์สงเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางชนิดถ้าใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอนตรายได้
                            ้                                 ั่                                                        ั
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการมีสิ่งของเครื่ องเรื อนให้นอยที่สุดเฉพาะที่จาเป็ นเท่านั้น เพื่อที่จะได้ทาความสะอาด และกาจัดฝุ่ นได้ง่าย
                                                    ้            ้
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการซักผ้าปูที่นอน เครื่ องนอน และผ้าม่านอย่างสม่าเสมอโดยใช้น้ าร้อน (อย่างน้อย 60 C) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะ
                                                      ้
      ฆ่าไรฝุ่ นได้
     ในกรณี แพ้ไรฝุ่ น ควรทาความสะอาดเครื่ องนอน (ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม) โดยซักด้วย น้ าร้อน 600C นาน 15-20 นาที อย่างน้อยทุก 2
      สัปดาห์
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการใช้เครื่ องนอนทั้งหมดควรเป็ นใยสังเคราะห์ ไม่ใช้ฟก ที่นอน หมอน หรื อหมอนข้างที่ยดไส้ดวยนุ่น เพราะ
                                                        ้                            ู                                ั    ้
      นุ่นเป็ นทีอยูของไรฝุ่ น ควรใช้ชนิดที่ทาจากยาง หรื อฟองน้ า หากต้องใช้ที่นอนที่ยดไส้ดวยนุ่น ก็ควรหุมด้วยพลาสติก หรื อผ้าร่ มก่อน
                    ่                                                                         ั    ้          ้
     เครื่ องปรับอากาศช่วยให้ละอองฝุ่ น เกสร และเชื้อราจากภายนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนน้อยลง โดยเฉพาะในรุ่ นที่มีระบบกรอง
      อากาศ
 พัดลม ไม่ควรเปิ ดแรง หรื อเป่ าตรงตัวผูป่วย และไม่ควรเป่ าลงพื้น เพราะจะเป็ นการเป่ าฝุ่ นให้เข้าจมูกมากขึ้น อาการภูมิแพ้จะกาเริ บ
                                               ้
      ได้ง่าย
     ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนข แมว นก ไว้ในบ้าน ถ้าอยากเลี้ยงจริ ง ๆ แนะนาให้เลี้ยงปลาเท่านั้น การอาบน้ าให้สตว์สปดาห์
                                            ั                                                                                  ั ั
      ละ 1 ครั้ง จะช่วยละสารภูมิแพ้ลงได้มาก
     ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการหลีกเลี่ยงสารที่ทาให้เกิดโรคภูมิแพ้ ผูป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทราบว่าตนเองแพ้ เพื่อที่จะให้อาการ
                          ้                                        ้
      เกิดน้อยลง และใช้ยาน้อยลงด้วย
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการถ่ายน้ าออกจากบริ เวณที่มีน้ าขังในสนามหญ้า เก็บกวาดเศษใบไม้ และวัชพืชก่อนที่จะเริ่ มเน่า เก็บของหมัก
                            ้
      ใด ๆ ให้ห่างจากตัวบ้าน
     ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดฝักบัวในห้องน้ า หรื ออ่างน้ าอย่างสม่าเสมอด้วยน้ ายาทาความสะอาด และตรวจดูวามีเชื้อรา
                              ้                                                                                                 ่
      ขึ้นที่ม่านห้องน้ าหรื อไม่
     ควรหาทางกาจัดแมลงภายในบ้าน โดยเฉพาะแมลงสาบ เพราะซาก และอุจจาระของแมลงสาบเป็ นสารก่อภูมิแพ้ที่สาคัญ การทา
      ความสะอาด ทาความสะอาดห้องนอนด้วยผ้าชุบน้ าเปี ยก ๆ ไม่ควรกวาด ถ้าใช้เครื่ องดูดฝุ่ น ตัวผูป่วยโรคภูมิแพ้ไม่ควรทาเอง และ
                                                                                                       ้
      ควรเช็ดด้วยผ้าเปี ยกซ้ าอีกครั้งหนึ่ง หากจาเป็ นต้องทาความสะอาดเอง ควรทานยาก่อนที่คุณจะทาความสะอาด หรื อใช้ฟ้าชุบน้ าบิด
      ให้หมาด ๆ ปิ ดปาก และจมูก




   วิตามิน B 3 ยับยั้งการหลังฮิสทามีนและลดการอักเสบ
                             ่
   วิตามิน B 6 ควบคุมอาการแพ้
   วิตามิน B 12 ช่วยให้หายใจคล่อง
   วิตามิน C ต้านฮิสทามีน
   วิตามิน D ควบคุมการดูดซึมแคลเซียม




   แคลเซียม ลดความรุ นแรงของอาการแพ้
   แมกนีซียม เสริ มสร้างภูมิคุมกัน
                               ้
   โมลิบดีนม ลดอาการหายใจขัด
              ั
   ซีลีเนียม ต้านอนุมูลอิสระ
   สังกะสี ขจัดสารพิษออกจากร่ างกาย




 โอเมกา 6 แหล่งกรดไขมันจาเป็ นลดอาการภูมิแพ้
 ไบโอฟลาโวนอยด์ ทางานร่ วมกับวิตามินซี ลดอาการแพ้
 กรดแพนโทเทนิก ลดเความเครี ยดและต้านฮิสทามีน
 คอลีนและอิโนซิทอล ลดความเครี ยด




   น้ าผึ้ง(หลีกเลี่ยงหากแพ้ละอองเกสร)
   ผักผลไม้สด
   จมูกข้าวสาลี
   ปลาซาร์ดีนทั้งตัว
   หอมและกระทียม
   เมล็ดทานตะวัน




   นมและผลิตภัณฑ์นม เพราะเพิ่มเสมหะและน้ ามูก
   สตรอว์เบอร์รี
   อาหารทะเล
   มะเขือเทศ
   ช็อกโกแลต
   ข้าวสาลี
   ถัว
      ่
   ไข่




       หลีกเลี่ยงหรื อป้ องกันสารที่ก่อภูมิแพ้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ได้กล่าวในหัวข้อของการแพ้สารก่อภูมิแต่ละชนิด สาหรับเครื่ องฟอก
อากาศก็มีประโยชน์ บางชนิดใช้ไฟฟ้ า บางชนิดใช้ fiberglass ซึ่งก็สามารถลดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศลง และอาจจะใช้เสริ มกับระบบ
เครื่ องปรับอากาศ ก่อนที่ท่านจะซื้อจะต้องเช่า 1-2 เดือนลองใช้กบห้องที่ค่อนข้างมิดชิดแล้วดูวาอาการภูมิแพ้ลดลงหรื อไม่ และต้องคานึงอีกข้อ
                                                                   ั                         ่
หนึ่งคืออัตราการไหลของอากาศต้องมากพอที่จะฟอกอากาศ ถ้าอัตราการไหลต่าก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรใช้โอโซนเพราะจะระคายเคืองเยือ                ่
จมูก
การผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติ ที่ทาให้มีอาการแพ้มากขึ้น เช่น ตัดเนื้องอกในจมูก ขูดต่อมแอดีนอยด์ (Adenoid) หลังโพรงจมูกออก ขยาย
    โพรงจมูก (Functional nasal surgery) ให้กว้างขึ้น แก้ไขภาวะอุดตันของโพรงไซนัส (Osteomeatal complex) และโพรงจมูก เพื่อให้หายใจสูด
    และสังน้ ามูกได้สะดวก สามารถใช้โพรงจมูกและโพรงไซนัสกรองอากาศให้สะอาด ปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม ก่อนหายใจผ่าน
         ่
    ช่องคอและกล่องเสี ยงเข้าสู่ปอด




        ทานยา ฉี ดยา ยาพ่นจมูก ยาพ่นปอด ยาหยอดตา ยาทาผิวหนัง เป็ นประจาการใช้ควรยาอย่างเหมาะสม ภายใต้คาแนะนาของแพทย์ เพื่อลด
    อาการ หรื อป้ องกันอาการ ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้มีดงนี้
                                                       ั

              • Steroid
              • Decongestant
              • ยาแก้แพ้ Antihistamine
              • Antihistamine-Decongestant
              • Mast cell stabilizer
              • Anticholinergic
         ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มเก่า มีขอควรระวัง คือ มักจะทาให้เกิดอาการง่วงซึม และมีอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่ า ใจสัน ยาต้าน
                                    ้                                                                                            ่
         ฮีสตามีนกลุ่มใหม่ มีขอดี คือ ไม่ทาให้ง่วง อาการข้างเคียงน้อยลงไม่ต่างจากการให้เม็ดแป้ ง ออกฤทธิ์ไดนานกว่าซึ่งทาให้ไม่ตองกินยา
                              ้                                                                                                ้
         บ่อย ๆ ส่วนมากวันละ 1-2 ครั้ง รักษาโรคติดเชื้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อของทางเดินหายใจ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิล
         อักเสบ หูอกเสบ หลอดลมอักเสบ
                   ั



           การรักษาโดยการฉี ดวัคซีนภูมิแพ้ Immunotherapy ผูป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เพื่อให้ร่างการสร้างภูมิชนิด IgG การฉี ดวัคซีนจะเลือกฉี ด
                                                           ้
                                                                                                                            ่
    เฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ได้ทดสอบทางผิวหนังแล้วว่าแพ้ และจะค่อยเพิ่มขนาดยาตามตารางเวลา หลังจากฉี ดแต่ละครั้งควรอยูในสถานพยาบาล
    ครึ่ งชัวโมง และระหว่างการรักษาไม่ควรรับประทานยา beta-block และยา monoamine oxidase
            ่
                                                                                  ่
    inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงจากการฉี ดวัคซีนก็มีผื่นเฉพาะที่แดง คันผื่นจะอยูนาน 4-8 ชัวโมง ส่วนอาการข้างเคียงอีกชนิดหนึ่งคืออาการ
                                                                                              ่
    คัดจมูก แน่นหน้าอก คัดจมูกและน้ ามูกไหล อาการเหล่านี้มกจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีดวัคซีน
                                                             ั

          การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Test) โดยสุ่มทดสอบว่าผูป่วยแพ้อะไรบ้างแล้วฉี ดสารก่อภูมิแพ้ในปริ มาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่ อยๆ
                                                                    ้
    เพื่อกระตุนภูมิคุมกันให้คุนเคยกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น จึงสามารถป้ องกันการเกิดภูมิแพ้ได้ การรักษาชนิดนี้ตองใช้ระยะเวลานาน คือฉี ด
              ้      ้         ้                                                                                 ้
    ติดต่อกัน 9-12 เดือน หลังจากนั้นต้องฉี ดกระตุนไปอีกเป็ นระยะ เช่น เดือนละครั้ง อาจนาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่สูจะดีนก เมื่อ
                                                   ้                                                                         ้    ั
    เทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะไม่อาจรับประกันได้วาจะสามารถหายจากโรคภูมิแพ้แน่นอน และผูป่วยโรคภูมิแพ้มกจะแพ้สาร
                                                                        ่                                      ้               ั
    หลายตัว วิธีการนี้จึงเรี ยกได้วาค่อนข้างยุงยาก สิ้นเปลืองเสี ยเวลานาน และไม่ค่อยได้ผล
                                   ่          ่

        การรักษาโรคภูมิแพ้น้ น แพทย์จะเป็ นผูพิจารณาว่าควรใช้วธีใดหรื อหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อป้ องกันและรักษาไม่ให้ผป่วยมีอาการแพ้หรื อ
                             ั                  ้                  ิ                                                 ู้
เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ความสาเร็ จที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นกับว่าผูป่วยจะสามารถปฏิบติตนตามคาแนะนาของแพทย์ได้สม่าเสมอหรื อไม่
                                                           ้               ั

          ในปัจจุบนยังไม่มีวธีรักษาโรคภูมิแพ้ให้หายขาดได้ วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ของแพทย์ หวังผลเพียงให้ผป่วยภูมิแพ้ไม่มีอาการ เพื่อป้ องกัน
                  ั         ิ                                                                            ู้
ไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้น เพราะถ้าปล่อยให้มีอาการแพ้เรื้ อรังนานเกินไป ไม่รักษา อาจเกิดหูอ้ือจนการได้ยนสูญเสี ยไปอย่างถาวร (Serous-
                                                                                                            ิ
Adhesive otitis media) หรื อมีเนื้องอกในจมูก (Nasal polyp) เกิดขึ้น หรื อเป็ นไซนัสอักเสบได้ (ไซนัสอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ผนังกั้น
โพรงจมูกคด มีเนื้องอก มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก รากฟันบนอักเสบ ฯลฯ) ผูป่วยภูมิแพ้อาจมีอาการหอบหื ดอย่างรุ นแรงจนเป็ นอันตรายได้
                                                                          ้




     เป็ นวิธีการปรับภูมิตานทานผูป่วย หรื อ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือ เมื่อพบว่าภูมิแพ้เกิดขึ้นแล้วล่องลอยในกระแสเลือด ก็ใช้เลือดของตนเอง
                          ้      ้
มาช่วยในการรักษาโดยเจาะเลือดของผูป่วยภูมิแพ้ขณะที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้ เอาเฉพาะซีรั่ม ซึ่งในซีรั่มนั้น จะมีภูมิคุมกันไวเกินที่ทาให้เกิดโรคภูมิแพ้
                                      ้                                                                        ้
อยู่ นาซีรั่มมาแยกเซลล์ที่ตกค้างออก ให้เหลือเฉพาะโปรตีน แล้วใช้ตวกระตุนซีรั่ม (Serum activator) เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบางประการของ
                                                                        ั       ้
ภูมิคุมกันไวเกิน (Antibody) ให้มีสภาพเป็ น Antigen แล้วฉี ด Antigen ที่ได้เข้าใต้ผิวหนัง
      ้

โดยจะให้ผป่วยภูมิแพ้ได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจงสาหรับคนไข้ภมิแพ้แต่ละรายครั้งละน้อยๆเป็ นเวลาต่อกันระยะหนึ่ง วิธีน้ ีสามารถใช้ได้แม้
              ู้                                                      ู
ในกรณี ที่ผป่วยภูมิแพ้มีอาการแพ้มากที่สุด ซึ่งร่ างกายจะรับสารก่อภูมิแพ้ในขนาดน้อยๆ นี้ได้โดยไม่ปรากฏอาการใดๆจากนั้นระบบภูมิตานทาน
           ู้                                                                                                                     ้
ของร่ างกายจะมีการปรับโดยลดการสร้างภูมิคุมกันไวเกินลง หรื อหลังสารที่จะไปต้านการสร้างภูมิคุมกันไวเกินบางชนิดลงได้อย่างมีนยสาคัญ นัน
                                            ้                     ่                          ้                                ั         ่
คือ แม้วาผูป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้ภมิแพ้ แต่เมื่อร่ างกายลดการสร้างภูมิคุมกันไวเกินที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ลง จึงไม่สามารถก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้
        ่ ้                          ู                                     ้
กับสารก่อภูมิแพ้น้ นได้ ผูป่วยก็จะปลอดจากโรคภูมิแพ้โดยปริ ยาย
                   ั      ้

 ส่งผลให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงสามารถรักษาหรื อทุเลาอาการของโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ การรักษาโรคภูมิแพ้ดวยวิธีน้ ี
                                                                                                                                  ้
ให้ผลการรักษาได้ผลดีร้อยละ 60 – 80 และไม่มีผลข้างเคียงใดๆเนื่องจากเป็ นสารที่สกัดมาจากตัวของผูป่วยภูมิแพ้เอง จึงปลอดภัย ไม่มีอาการต้าน
                                                                                                  ้
ยา แพ้ยา หรื อมีสารตกค้างภายในร่ างกาย


          สอบถามเพิมเติมเกียวกับรายละเอียดการรักษาโรคภูมแพ ้โดยตรงที่ Wholly Medical Center
                   ่       ่                             ิ
                                             ั้
                                    ตึก 253 ชน 21 อโศก ซอยสุขมวิท 21
                                                               ุ
                          ตรงข ้าม มศว. ประสานมิตร ติดรถไฟฟ้ าใต ้ดินสถานีเพชรบุร ี

                              โทร.02-664-3027 9.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว ้นวันหยุดราชการ
                                   Email:crm@whollymedical.com ตลอด 24 ชวโมง    ั่


                                                                 ข้ อมูลอ้ างอิง

        whollymedical.com, siamhealth.net, goface.in.th, doctor.or.th, pharm.chula.ac.th, Oknation.net blog ลุงแจ่ม

More Related Content

More from โฮลลี่ เมดิคอล (8)

Stem cell คืออะไร
Stem cell คืออะไรStem cell คืออะไร
Stem cell คืออะไร
 
โปรแกรมตรวจสุขภาพ 13 รายการ 999 บาท
โปรแกรมตรวจสุขภาพ 13 รายการ 999 บาทโปรแกรมตรวจสุขภาพ 13 รายการ 999 บาท
โปรแกรมตรวจสุขภาพ 13 รายการ 999 บาท
 
Liver detox ล้างพิษตับ
Liver detox ล้างพิษตับLiver detox ล้างพิษตับ
Liver detox ล้างพิษตับ
 
การรักษามะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับการรักษามะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับ
 
การรักษามะเร็งปอด
การรักษามะเร็งปอดการรักษามะเร็งปอด
การรักษามะเร็งปอด
 
การรักษามะเร็งปากมดลูก
การรักษามะเร็งปากมดลูกการรักษามะเร็งปากมดลูก
การรักษามะเร็งปากมดลูก
 
การรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านมการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านม
 
การรักษามะเร็ง
การรักษามะเร็งการรักษามะเร็ง
การรักษามะเร็ง
 

ภูมิแพ้ รักษาหาย

  • 1. เมื่อมีอาการ จาม คันจมูก คันตา คันหูและลาคอ ตาแดง จมูกตัน มี น้ ามูกใส ๆ ไหลออกมาบ่อย ๆ และมีน้ าตาไหล เจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย ปวด ท้อง ปวดศรี ษะ และปวดบริ เวณคาง และหน้าผาก อาการเหล่านี ้คืออาการ ภูมิแพ้ เกิดจากระบบภูมิค้ มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารทัวไปที่เป็ น ุ ่ สารอันตราย จึงกระตุ้นให้ เซลล์ปล่อยสารฮิสทามีน ทาให้ จาม หายใจขัดมี ผื่นคัน อาเจียน บางครังรุนแรงถึงขันช็อก หมดสติ ถูกปิ ดกันทางเดิน ้ ้ ้ อากาศหายใจจนทาให้ หวใจหยุดทางาน สิงทีก่อให้ เกิดภูมิแพ้ เช่น ละออง ั ่ ่ เกสร อาหาร สารเคมี ความเครี ยด สัตว์ พักผ่อนไม่เพียงพอ การทาน อาหารที่หลากหลายครบทุกหมู่ จะช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ส่วนใหญ่เมื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่ งที่แพ้ และรับประทานยาแก้แพ้ก็จะสามารถ ควบคุมอาการของโรคภูมิแพ้ได้ การรักษาโรคภูมิแพ้เบื้องต้นสาหรับผูที่มี้ อาการคัดจมูกมากอาจจะต้องให้ยาลดอาการคัดจมูก ( Decongestant) สาหรับ ผูที่มีอาการเรื้ อรังอาจจะต้องใช้ยาหยอดจมูก steroid ้ โรคภูมแพ้ คือโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติไวผิดปกติ ทั้งที่คนทัวไปไม่เกิดอาการผิดปกติเมื่อสัมผัส ิ ่ สารต่างๆเหล่านั้น สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้หลายทางทาให้เกิดโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆซึ่งมีอาการแตกต่างกันดังนี้  สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินหายใจ ตั้งแต่ จมูก คอ หลอดลมลงไปถึงปอด ทาให้เกิดอาการเป็ นหวัด คัดจมูก น้ ามูกไหล จาม เรี ยกว่าโรคแพ้อากาศ ผูป่วยจะมีอาการคันคอ เจ็บคอ ไอมาก หากมีอาการหลอดลมตีบตัน หายใจลาบากเรี ยกว่าโรคหอบหื ด ้  สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางผิวหนัง ทาให้เกิดผื่นคันอักเสบ เป็ นลมพิษ มีน้ าเหลืองไหล เป็ นตุ่มพุพองที่ผวหนัง เรี ยกว่า “โรคผื่น ิ แพ้”  สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินอาหาร ทาให้เกิดอาการคันปาก คันคอ มีผ่นคันที่ผวหนัง เป็ นลมพิษ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสี ย ื ิ ่ อาหารไม่ยอย คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลร้อนในในปาก เรี ยกว่า “โรคแพ้อาหาร”  สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางตา ทาให้คนตา แสบตา ตาแดง น้ าตาไหล ตาสูแสงไม่ได้ เยือบุตาแดงบวมและอักเสบ เรี ยก “โรคภูมิแพ้ ั ้ ่ ที่ตา”
  • 2. โรคภูมิแพ้สามารถถ่ ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรื อแม่เป็ นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็ นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับสาร แปลกปลอม ซึ่งเป็ นสารก่อภูมิแพ้ เข้ามาในร่ างกายต่อเนื่องกันเป็ นเวลานานๆ จนกระทังร่ างกายเกิดปฏิกิริยา มีการสร้างภูมิคุมกันต่อสารชนิดนั้น ่ ้ เมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้น้ นเข้าไปอีก ก็จะเกิดปฎิกิริยาภูมิแพ้ ั การติดเชื้อซ้าซากยาวนาน ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรี ย ไวรัส ยีสต์ หรื อพยาธิ หรื อปั จจัยภายนอกใดๆ ที่คงอยูในตัวเรา หรื อสัมผัสกับ ่ ร่ างกายเรา โดยที่ร่างกายไม่สามารถกาจัดออกได้หมด เป็ นเวลาต่อเนื่องกันนาน จะกระตุนปฏิกิริยาภูมิคุมกัน ให้ผลิตภูมิคุมกันชนิดกว้างและมี ้ ้ ้ ความเจาะจงน้อย ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ตอสารต่างๆ มากขึ้นเรื่ อยๆ กลายเป็ นคนแพ้สิ่งต่างๆได้ง่ายและบางครั้งมีภูมิคุมกันที่ต่อต้านเนื้อเยือ ่ ้ ่ ของตนเองเกิดขึ้น กลายเป็ นโรคภูมิคุมกันทาลายตนเอง ้ อาการภูมิแพ้ ที่เป็ นเฉพาะเวลา ร่ างกายประสบกับภาวะเครี ยดทั้งทางร่ างกายหรื อทางจิตใจก็ตาม เนื่องจากความเครี ยดจะเผาผลาญ พลังงานในร่ างกายด้วยการกระตุนต่อมไร้ท่อต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบป้ องกันตนเองของร่ างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลงไป ร่ างกายเกิดการ ้ ตอบสนองต่อสิ่ งกระตุน ด้วยการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อฝุ่ นละออง และสารต่างๆ ในชีวตประจาวัน ทาให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีเสมหะแห้งๆ ในคอ ้ ิ ตลอดเวลา น้ ามูก มึนงง ไม่สดชื่น ฯลฯ  Th 1 เป็ นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น สารอินเตอเฟอรอนแกมม่า  Th 2 2 เป็ นเซลล์ที่สร้างสารเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เช่น อินเตอร์ลิวคีน 5 ่ ่ ร่ างกายของคนเราต้องใช้เซลล์ท้ ง 2 ชนิดอย่างสมดุลจึงจะมีสุขภาพที่สมดุลแข็งแรง แต่สภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานในยุคปั จจุบนไม่คอยได้อยูตาม ั ั ธรรมชาติ เช่น  อาบแต่น้ าอุน ่  นอนแต่ในห้องแอร์  ไม่ได้สมผัสธรรมชาติที่เป็ นของจริ ง เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ า ธาตุลม ธาตุไฟ ั เด็กจึงไม่มีโอกาสสัมผัสเชื้อแบคทีเรี ยหรื อเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ พอเป็ นไข้ไม่สบายก็รีบพาลูกไปหาหมอกินยาปฏิชีวนะ ยาลดน้ ามูก ยาลดไข้ ไว้ ตลอดโดยที่ภูมิตานทานที่แท้จริ งของตนเองไม่เคยได้ใช้งานต่อสูเ้ ชื้อโรคเลย ทาให้ร่างกายขาดเซลล์ Th 1 มีแต่เซลล์ Th 2 ซึ่งเป็ นตัวการคอยกระตุน ้ ้ ให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวชื่อ อีโอซิโนฟิ ลล์ สาร IgE ที่เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการหลังสารฮีสตามีนซึ่งทาให้เกิดอาการผิดปกติ ่ ต่างๆ
  • 3. โรคภูมิแพ้ ชนิดเป็ นตามฤดูกาล จะมีอาการเป็ นช่วง ๆ ของปี ขึ้นอยูกบช่วงที่สารก่อภูมิแพ้ถูกผลิตออกมา สารก่อภูมิแพ้ในกรณี น้ ี เช่น ่ ั ละอองเกสรดอกไม้ ฟางข้างต่าง ๆ  โรคภูมิแพ้ ชนิดเป็ นตลอดปี คนไข้จะมีอาการตลอดทั้งปี เนื่องจากคนไข้จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ตลอดเวลา ทาให้มีอาการแบบ ั เรื้ อรัง สารก่อภูมิแพ้ที่ทาให้คนแพ้กนมาก คือ ไรฝุ่ นในบ้าน เชื้อรา ขนสัตว์เลี้ยง เป็ นต้น  ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการล้างจมูกด้วยน้ าเกลืออุ่นๆ ้  ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการดื่มน้ าร้อนครั้งละ10-15 นาทีวนละ 2-4 ครั้ง ้ ั  พื้นห้องควรเป็ นพื้นขัดมัน เพราะกาจัดฝุ่ นได้ง่าย  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการจัดบ้านให้อากาศถ่ายเทได้ดี และแสงแดดส่องถึง ไม่มีฝน ้ ุ่  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการอย่าไปใกล้บริ เวณที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และบริ เวณที่มีฝนมาก ้ ุ่  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการไม่ปลูกต้นไม้ในบ้าน กระถางดอกไม้ที่อบชื้นจะเป็ นแหล่งเพาะเชื้อราได้ ้ ั  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการพยายามกันสัตว์เลี้ยงไว้ขางนอกเท่าที่เป็ นไปได้ ห้ามนาสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอน ้ ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการล้างมือทุกครั้งที่คุณสัมผัสสัตว์เลี้ยง และพยายามให้มนอยูห่าง ๆ จากใบหน้าของคุณ ้ ั ่  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดที่นอนหมอน มุง ควรได้รับการตากแดดจัด ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร ้ ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการใช้ผาห่มประเภทขนสัตว์ ผ้าสักหลาด ผ้าสาลี ควรใช้ผาห่มที่ทาจากใยสังเคราะห์ ้ ้ ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการระวังไม่ให้บาน ห้องน้ า อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะทาให้เชื้อราเติบโต ้ ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น ้ ู้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดเครื่ องปรับอากาศบ่อยๆ และใช้แบบที่มีเครื่ องกรองอากาศชนิด HEPA filter ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการกาจัดเศษอาหาร และขยะต่างๆ รวมทั้งปิ ดฝาท่อระบายน้ าเพื่อไม่ให้เป็ นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ ้  ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการใช้ยาตามที่แพทย์สงเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางชนิดถ้าใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอนตรายได้ ้ ั่ ั  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการมีสิ่งของเครื่ องเรื อนให้นอยที่สุดเฉพาะที่จาเป็ นเท่านั้น เพื่อที่จะได้ทาความสะอาด และกาจัดฝุ่ นได้ง่าย ้ ้  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการซักผ้าปูที่นอน เครื่ องนอน และผ้าม่านอย่างสม่าเสมอโดยใช้น้ าร้อน (อย่างน้อย 60 C) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะ ้ ฆ่าไรฝุ่ นได้  ในกรณี แพ้ไรฝุ่ น ควรทาความสะอาดเครื่ องนอน (ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม) โดยซักด้วย น้ าร้อน 600C นาน 15-20 นาที อย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการใช้เครื่ องนอนทั้งหมดควรเป็ นใยสังเคราะห์ ไม่ใช้ฟก ที่นอน หมอน หรื อหมอนข้างที่ยดไส้ดวยนุ่น เพราะ ้ ู ั ้ นุ่นเป็ นทีอยูของไรฝุ่ น ควรใช้ชนิดที่ทาจากยาง หรื อฟองน้ า หากต้องใช้ที่นอนที่ยดไส้ดวยนุ่น ก็ควรหุมด้วยพลาสติก หรื อผ้าร่ มก่อน ่ ั ้ ้  เครื่ องปรับอากาศช่วยให้ละอองฝุ่ น เกสร และเชื้อราจากภายนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนน้อยลง โดยเฉพาะในรุ่ นที่มีระบบกรอง อากาศ
  • 4.  พัดลม ไม่ควรเปิ ดแรง หรื อเป่ าตรงตัวผูป่วย และไม่ควรเป่ าลงพื้น เพราะจะเป็ นการเป่ าฝุ่ นให้เข้าจมูกมากขึ้น อาการภูมิแพ้จะกาเริ บ ้ ได้ง่าย  ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนข แมว นก ไว้ในบ้าน ถ้าอยากเลี้ยงจริ ง ๆ แนะนาให้เลี้ยงปลาเท่านั้น การอาบน้ าให้สตว์สปดาห์ ั ั ั ละ 1 ครั้ง จะช่วยละสารภูมิแพ้ลงได้มาก  ภูมิแพ้ รักษาได้ดวยการหลีกเลี่ยงสารที่ทาให้เกิดโรคภูมิแพ้ ผูป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทราบว่าตนเองแพ้ เพื่อที่จะให้อาการ ้ ้ เกิดน้อยลง และใช้ยาน้อยลงด้วย  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการถ่ายน้ าออกจากบริ เวณที่มีน้ าขังในสนามหญ้า เก็บกวาดเศษใบไม้ และวัชพืชก่อนที่จะเริ่ มเน่า เก็บของหมัก ้ ใด ๆ ให้ห่างจากตัวบ้าน  ภูมิแพ้ ป้ องกันได้ดวยการทาความสะอาดฝักบัวในห้องน้ า หรื ออ่างน้ าอย่างสม่าเสมอด้วยน้ ายาทาความสะอาด และตรวจดูวามีเชื้อรา ้ ่ ขึ้นที่ม่านห้องน้ าหรื อไม่  ควรหาทางกาจัดแมลงภายในบ้าน โดยเฉพาะแมลงสาบ เพราะซาก และอุจจาระของแมลงสาบเป็ นสารก่อภูมิแพ้ที่สาคัญ การทา ความสะอาด ทาความสะอาดห้องนอนด้วยผ้าชุบน้ าเปี ยก ๆ ไม่ควรกวาด ถ้าใช้เครื่ องดูดฝุ่ น ตัวผูป่วยโรคภูมิแพ้ไม่ควรทาเอง และ ้ ควรเช็ดด้วยผ้าเปี ยกซ้ าอีกครั้งหนึ่ง หากจาเป็ นต้องทาความสะอาดเอง ควรทานยาก่อนที่คุณจะทาความสะอาด หรื อใช้ฟ้าชุบน้ าบิด ให้หมาด ๆ ปิ ดปาก และจมูก  วิตามิน B 3 ยับยั้งการหลังฮิสทามีนและลดการอักเสบ ่  วิตามิน B 6 ควบคุมอาการแพ้  วิตามิน B 12 ช่วยให้หายใจคล่อง  วิตามิน C ต้านฮิสทามีน  วิตามิน D ควบคุมการดูดซึมแคลเซียม  แคลเซียม ลดความรุ นแรงของอาการแพ้  แมกนีซียม เสริ มสร้างภูมิคุมกัน ้  โมลิบดีนม ลดอาการหายใจขัด ั  ซีลีเนียม ต้านอนุมูลอิสระ  สังกะสี ขจัดสารพิษออกจากร่ างกาย  โอเมกา 6 แหล่งกรดไขมันจาเป็ นลดอาการภูมิแพ้  ไบโอฟลาโวนอยด์ ทางานร่ วมกับวิตามินซี ลดอาการแพ้  กรดแพนโทเทนิก ลดเความเครี ยดและต้านฮิสทามีน
  • 5.  คอลีนและอิโนซิทอล ลดความเครี ยด  น้ าผึ้ง(หลีกเลี่ยงหากแพ้ละอองเกสร)  ผักผลไม้สด  จมูกข้าวสาลี  ปลาซาร์ดีนทั้งตัว  หอมและกระทียม  เมล็ดทานตะวัน  นมและผลิตภัณฑ์นม เพราะเพิ่มเสมหะและน้ ามูก  สตรอว์เบอร์รี  อาหารทะเล  มะเขือเทศ  ช็อกโกแลต  ข้าวสาลี  ถัว ่  ไข่ หลีกเลี่ยงหรื อป้ องกันสารที่ก่อภูมิแพ้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ได้กล่าวในหัวข้อของการแพ้สารก่อภูมิแต่ละชนิด สาหรับเครื่ องฟอก อากาศก็มีประโยชน์ บางชนิดใช้ไฟฟ้ า บางชนิดใช้ fiberglass ซึ่งก็สามารถลดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศลง และอาจจะใช้เสริ มกับระบบ เครื่ องปรับอากาศ ก่อนที่ท่านจะซื้อจะต้องเช่า 1-2 เดือนลองใช้กบห้องที่ค่อนข้างมิดชิดแล้วดูวาอาการภูมิแพ้ลดลงหรื อไม่ และต้องคานึงอีกข้อ ั ่ หนึ่งคืออัตราการไหลของอากาศต้องมากพอที่จะฟอกอากาศ ถ้าอัตราการไหลต่าก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรใช้โอโซนเพราะจะระคายเคืองเยือ ่ จมูก
  • 6. การผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติ ที่ทาให้มีอาการแพ้มากขึ้น เช่น ตัดเนื้องอกในจมูก ขูดต่อมแอดีนอยด์ (Adenoid) หลังโพรงจมูกออก ขยาย โพรงจมูก (Functional nasal surgery) ให้กว้างขึ้น แก้ไขภาวะอุดตันของโพรงไซนัส (Osteomeatal complex) และโพรงจมูก เพื่อให้หายใจสูด และสังน้ ามูกได้สะดวก สามารถใช้โพรงจมูกและโพรงไซนัสกรองอากาศให้สะอาด ปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม ก่อนหายใจผ่าน ่ ช่องคอและกล่องเสี ยงเข้าสู่ปอด ทานยา ฉี ดยา ยาพ่นจมูก ยาพ่นปอด ยาหยอดตา ยาทาผิวหนัง เป็ นประจาการใช้ควรยาอย่างเหมาะสม ภายใต้คาแนะนาของแพทย์ เพื่อลด อาการ หรื อป้ องกันอาการ ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้มีดงนี้ ั • Steroid • Decongestant • ยาแก้แพ้ Antihistamine • Antihistamine-Decongestant • Mast cell stabilizer • Anticholinergic ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มเก่า มีขอควรระวัง คือ มักจะทาให้เกิดอาการง่วงซึม และมีอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่ า ใจสัน ยาต้าน ้ ่ ฮีสตามีนกลุ่มใหม่ มีขอดี คือ ไม่ทาให้ง่วง อาการข้างเคียงน้อยลงไม่ต่างจากการให้เม็ดแป้ ง ออกฤทธิ์ไดนานกว่าซึ่งทาให้ไม่ตองกินยา ้ ้ บ่อย ๆ ส่วนมากวันละ 1-2 ครั้ง รักษาโรคติดเชื้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อของทางเดินหายใจ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิล อักเสบ หูอกเสบ หลอดลมอักเสบ ั การรักษาโดยการฉี ดวัคซีนภูมิแพ้ Immunotherapy ผูป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เพื่อให้ร่างการสร้างภูมิชนิด IgG การฉี ดวัคซีนจะเลือกฉี ด ้ ่ เฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ได้ทดสอบทางผิวหนังแล้วว่าแพ้ และจะค่อยเพิ่มขนาดยาตามตารางเวลา หลังจากฉี ดแต่ละครั้งควรอยูในสถานพยาบาล ครึ่ งชัวโมง และระหว่างการรักษาไม่ควรรับประทานยา beta-block และยา monoamine oxidase ่ ่ inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงจากการฉี ดวัคซีนก็มีผื่นเฉพาะที่แดง คันผื่นจะอยูนาน 4-8 ชัวโมง ส่วนอาการข้างเคียงอีกชนิดหนึ่งคืออาการ ่ คัดจมูก แน่นหน้าอก คัดจมูกและน้ ามูกไหล อาการเหล่านี้มกจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีดวัคซีน ั การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Test) โดยสุ่มทดสอบว่าผูป่วยแพ้อะไรบ้างแล้วฉี ดสารก่อภูมิแพ้ในปริ มาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่ อยๆ ้ เพื่อกระตุนภูมิคุมกันให้คุนเคยกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น จึงสามารถป้ องกันการเกิดภูมิแพ้ได้ การรักษาชนิดนี้ตองใช้ระยะเวลานาน คือฉี ด ้ ้ ้ ้ ติดต่อกัน 9-12 เดือน หลังจากนั้นต้องฉี ดกระตุนไปอีกเป็ นระยะ เช่น เดือนละครั้ง อาจนาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่สูจะดีนก เมื่อ ้ ้ ั เทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะไม่อาจรับประกันได้วาจะสามารถหายจากโรคภูมิแพ้แน่นอน และผูป่วยโรคภูมิแพ้มกจะแพ้สาร ่ ้ ั หลายตัว วิธีการนี้จึงเรี ยกได้วาค่อนข้างยุงยาก สิ้นเปลืองเสี ยเวลานาน และไม่ค่อยได้ผล ่ ่ การรักษาโรคภูมิแพ้น้ น แพทย์จะเป็ นผูพิจารณาว่าควรใช้วธีใดหรื อหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อป้ องกันและรักษาไม่ให้ผป่วยมีอาการแพ้หรื อ ั ้ ิ ู้ เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ความสาเร็ จที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นกับว่าผูป่วยจะสามารถปฏิบติตนตามคาแนะนาของแพทย์ได้สม่าเสมอหรื อไม่ ้ ั ในปัจจุบนยังไม่มีวธีรักษาโรคภูมิแพ้ให้หายขาดได้ วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ของแพทย์ หวังผลเพียงให้ผป่วยภูมิแพ้ไม่มีอาการ เพื่อป้ องกัน ั ิ ู้ ไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้น เพราะถ้าปล่อยให้มีอาการแพ้เรื้ อรังนานเกินไป ไม่รักษา อาจเกิดหูอ้ือจนการได้ยนสูญเสี ยไปอย่างถาวร (Serous- ิ
  • 7. Adhesive otitis media) หรื อมีเนื้องอกในจมูก (Nasal polyp) เกิดขึ้น หรื อเป็ นไซนัสอักเสบได้ (ไซนัสอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ผนังกั้น โพรงจมูกคด มีเนื้องอก มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก รากฟันบนอักเสบ ฯลฯ) ผูป่วยภูมิแพ้อาจมีอาการหอบหื ดอย่างรุ นแรงจนเป็ นอันตรายได้ ้ เป็ นวิธีการปรับภูมิตานทานผูป่วย หรื อ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือ เมื่อพบว่าภูมิแพ้เกิดขึ้นแล้วล่องลอยในกระแสเลือด ก็ใช้เลือดของตนเอง ้ ้ มาช่วยในการรักษาโดยเจาะเลือดของผูป่วยภูมิแพ้ขณะที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้ เอาเฉพาะซีรั่ม ซึ่งในซีรั่มนั้น จะมีภูมิคุมกันไวเกินที่ทาให้เกิดโรคภูมิแพ้ ้ ้ อยู่ นาซีรั่มมาแยกเซลล์ที่ตกค้างออก ให้เหลือเฉพาะโปรตีน แล้วใช้ตวกระตุนซีรั่ม (Serum activator) เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบางประการของ ั ้ ภูมิคุมกันไวเกิน (Antibody) ให้มีสภาพเป็ น Antigen แล้วฉี ด Antigen ที่ได้เข้าใต้ผิวหนัง ้ โดยจะให้ผป่วยภูมิแพ้ได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจงสาหรับคนไข้ภมิแพ้แต่ละรายครั้งละน้อยๆเป็ นเวลาต่อกันระยะหนึ่ง วิธีน้ ีสามารถใช้ได้แม้ ู้ ู ในกรณี ที่ผป่วยภูมิแพ้มีอาการแพ้มากที่สุด ซึ่งร่ างกายจะรับสารก่อภูมิแพ้ในขนาดน้อยๆ นี้ได้โดยไม่ปรากฏอาการใดๆจากนั้นระบบภูมิตานทาน ู้ ้ ของร่ างกายจะมีการปรับโดยลดการสร้างภูมิคุมกันไวเกินลง หรื อหลังสารที่จะไปต้านการสร้างภูมิคุมกันไวเกินบางชนิดลงได้อย่างมีนยสาคัญ นัน ้ ่ ้ ั ่
  • 8. คือ แม้วาผูป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้ภมิแพ้ แต่เมื่อร่ างกายลดการสร้างภูมิคุมกันไวเกินที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ลง จึงไม่สามารถก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ ่ ้ ู ้ กับสารก่อภูมิแพ้น้ นได้ ผูป่วยก็จะปลอดจากโรคภูมิแพ้โดยปริ ยาย ั ้ ส่งผลให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงสามารถรักษาหรื อทุเลาอาการของโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ การรักษาโรคภูมิแพ้ดวยวิธีน้ ี ้ ให้ผลการรักษาได้ผลดีร้อยละ 60 – 80 และไม่มีผลข้างเคียงใดๆเนื่องจากเป็ นสารที่สกัดมาจากตัวของผูป่วยภูมิแพ้เอง จึงปลอดภัย ไม่มีอาการต้าน ้ ยา แพ้ยา หรื อมีสารตกค้างภายในร่ างกาย สอบถามเพิมเติมเกียวกับรายละเอียดการรักษาโรคภูมแพ ้โดยตรงที่ Wholly Medical Center ่ ่ ิ ั้ ตึก 253 ชน 21 อโศก ซอยสุขมวิท 21 ุ ตรงข ้าม มศว. ประสานมิตร ติดรถไฟฟ้ าใต ้ดินสถานีเพชรบุร ี โทร.02-664-3027 9.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว ้นวันหยุดราชการ Email:crm@whollymedical.com ตลอด 24 ชวโมง ั่ ข้ อมูลอ้ างอิง whollymedical.com, siamhealth.net, goface.in.th, doctor.or.th, pharm.chula.ac.th, Oknation.net blog ลุงแจ่ม