SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
Download to read offline
ปรัชญาสาหรับอาชีพรับราชการ (ไทย)
เรียบเรียงโดย ตารวจบ้านนอก
ในวัยเด็ก เชื่อว่าทุกท่านคงจะเคยได้รับคาถามจากบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ชอบเข้ามายุ่ง
เกี่ยวกับชีวิตเราว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร เด็กที่ถูกถาม บางคนอาจตอบอย่างฉะฉาน บางคนอึก ๆ อัก ๆ
ตอบไม่ถูก ตอบไม่ได้ ว่าอยากเป็นอะไร เมื่อได้รับคาตอบแล้ว ก็มักจะได้รับคาถามต่อไปว่า ทาไมหนูจึง
อยากเป็นอย่างนั้น มาถึงคาถามนี้ เด็กส่วนใหญ่จะอึกอัก ใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่ง อาจตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ขึ้นอยู่กับว่าเด็กที่ถูกถามอยู่ในวัยไหน พอจะพูดกันรู้ เรื่องแล้วหรือยัง หรือมีวุฒิภาวะพอที่จะตอบคาถามหรือ
เข้าใจในคาถามแล้วหรือไม่ คาถามที่ถาม และคาตอบที่ได้รับอาจจะไม่ได้หวังผลอะไรมากนัก ส่วนคาตอบที่
เด็กตอบมานั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากใจจริงของเด็กหรืออาจจะมาจากกระแสใดกระแสหนึ่งในขณะนั้น หรือ
มาจากความฝังจิตฝังใจหรือความรู้สึกชอบ หรือรู้สึกรักที่เด็กมีต่ออาชีพนั้น มันอาจเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ว
วูบ ชั่วครั้ง ชั่วคราว หรืออาจเป็นความฝังใจก็ได้ เช่น เด็กที่ตอบว่าอยากเป็นทหาร อาจเป็นเพราะว่าชอบ
เครื่องแบบหรืออยากทาหน้าที่ของลูกผู้ชาย อยากป้องกันอริราชศัตรูที่เข้ามารุกรานประเทศชาติ หรือเด็กที่
ตอบว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาล อาจบอกว่าอยากช่วยเหลือผู้อื่นที่เจ็บป่วย อยากเป็นตารวจเพราะ
อยากยิงปืน อยากพกปืน หรืออยากจับผู้ร้าย นี่คือจุดมุ่งหมายหรือปณิธานที่ตั้งไว้ ส่วนเมื่อเข้าไปแล้วสิ่งเหล่านี้
เปลี่ยนไปหรือคงอยู่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่สถานการณ์ สภาพการณ์ หรือปัจจัยที่มากระทบ
ถ้าเป็นความฝังใจที่เด็กมีต่ออาชีพนั้นอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาย่อมจะต้องสานฝันของเขา
ไปให้ถึงจุดหมายหรือดวงดาวที่เขาฝันไปให้ได้ หรือไปให้ถึง ซึ่งมีตัวอย่างมากมายที่เด็กหลายคนสามารถก้าว
ไปถึงความฝันหรือความฝังใจที่เขามีต่ออาชีพนั้นได้ในที่สุด ยกเว้นเด็กที่ต้องทาตามใบสั่งหรือเจริญรอยตาม
บรรพบุรุษ โดยมีบรรพบุรุษคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุน หรือใช้สิทธิของบรรพบุรุษช่วยเหลือ เราจึงไม่น่า
แปลกใจว่า ทาไมตระกูลนี้ จึงเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นทหาร เป็นตารวจ เป็นทนายความ หรือเป็นนัก
กฏหมายกันทั้งตระกูล ไม่เชื่อลองสืบเชื้อสายหรือวงศ์ตระกูลดูก็ได้............................................................
ในการเข้าทางาน ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร รับราชการ รับจ้าง ลูกจ้าง หรืองานส่วนตัว งาน
ของใคร งานหลวง งานราษฏร์ งานเอกชนหรืองานของครอบครัว ก็ตาม คนที่มีสามัญสานึกหรือมีจิตสานึก
หรือเป็นคนที่มีความรู้สึกนึกคิด ย่อมจะต้องมีจุดมุ่งหมายหรือจุดหมายของการเข้ามาทางานนั้น ๆ บางคนก็มี
ความตั้งใจเป็นอย่างแน่วแน่ที่จะเข้ามารับราชการ งานอื่น ไม่สนใจ บางคนตรงกันข้ามงานราชการไม่สนใจ
ต้องการทางานเอกชนอย่างเดียว บ้างก็ทางานสืบทอดอาชีพของบรรพบุรษ แต่ก็มีอีกบางประเภทที่ไม่เอาทั้ง
สามอย่าง ชอบและรักความเป็นอิสระ ทางานส่วนตัวไม่ต้องมีใครมาเป็นนาย ตัวเองเป็นนายของตนเอง
๒
เมื่อเราพูดถึงคนที่มีความตั้งใจหรือคนที่ต้องการจะเข้ามารับราชการ แต่ละคนย่อมมี
จุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็มองไปว่างานราชการเป็นงานที่มั่นคงเข้าง่ายออก
ยาก หรือเข้ายากออกยาก แล้วแต่จะคิด ปัจจุบันปัญหาการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง แต่เมื่อเข้าไปได้แล้ว
สบายไปทั้งชาติ ไม่เฉพาะตนเองเท่านั้นยังรวมทั้งครอบครัวอีกด้วย นั่นเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งเท่านั้น บาง
คนอาจจะมีสิ่งอื่นใดที่อยู่ในใจที่นอกเหนือไปจากสิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจบางครั้งพูดหรือบอกไม่ได้
เมื่อได้เข้ามาทางานราชการสมใจแล้ว คนที่จะเป็นข้าราชการที่ดีที่สมบูรณ์แบบ ย่อมจะต้องมีจุดมุ่งหมายหรือ
มีหลักในการทางานของตนเอง ที่ตั้งไว้เพื่อเป็นข้อคิด เป็นเครื่องยึดหเหนี่ยวหรือเป็นคติเตือนใจ ที่จะทาให้
การทางานในหน้าที่ที่เรารับผิดชอบหรือตัวเราเองมีความเจริญเติบโต ก้าวหน้าและประสบความสาเร็จใน
หน้าที่การงาน สิ่งนี้อาจเป็นข้อคิดของตัวเองที่คิดขึ้นเองหรือปฏิบัติตามแบบอย่างที่ข้าราชการรุ่นก่อน ๆ
ยึดถือปฏิบัติกันสืบมา ซึ่งเราเรียกว่า ปรัชญาข้าราชการ
ปรัชญาข้าราชการ มีความหมายว่าอย่างไร ต้องมาดูที่ความหมายตามพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของแต่ละคาไว้ดังนี้
ปรัชญา หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง
ส่วนคาว่า ข้าราชการ มีความหมายในแต่ละคาดังนี้
ข้า หมายถึง บ่าว ไพร่ คนรับใช้
ราช หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน พญา
การ หมายถึง งาน สิ่ง หรือเรื่องที่ทา มักใช้เข้าคู่กับคา งาน เช่น การงาน เป็นการเป็น
งาน ฯลฯ ถ้าอยู่หน้านามหมายความว่า เรื่อง ธุระ หน้าที่ เช่น การบ้าน การครัว การคลัง ฯลฯ ถ้าอยู่
หน้ากริยา ทากริยาให้เป็นนาม เช่น การกิน การเดิน
หรือถ้าจะกล่าวกันง่าย ๆ ถึงความหมายของ ข้าราชการ ก็คือ ข้า หมายถึง บ่าวไพร่ คน
รับใช้ เช่น ข้าทาสในสมัยโบราณมีหน้าที่รับใช้ มูลนายของตนเอง อาศัยเงินของมูลนายเลี้ยงตนเอง ราช
หมายถึง พระราชา พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นใหญ่ ผู้ยังให้ชนยินดี ผู้ปกครองประชาชนให้อยู่อย่างสงบสุข
หรืออาจหมายถึง หลวง ซึ่ง แปลว่า ส่วนรวม หรือแปลว่า สาธารณะ ก็ได้ เพราะพระราชานั้นย่อม
ครอบคลุมส่วนรวมหรือปกครองสาธารณชน ส่วนคาว่า การ หมายถึง งานหรือการงาน ถ้านาความหมาย
ของทั้งสามคามารวมกันจะมีความหมายว่า ผู้รับใช้การงานของพระราชา ผู้บริการสาธารณะ หรือผู้ทางาน
หลวง ดังนั้น คาว่า ข้า ราชการ จึงเป็นคาที่มีความหมาย ที่เหมาะสมและลงตัวดี
แต่ในพจนานุกรมได้ให้ความหมายโดยตรงของคาว่า ข้าราชการ ไว้ ว่าหมายถึง คนที่ทา
ราชการตามทาเนียบ ผู้ปฏิบัติราชการในส่วนราชการ บุคคลผู้ซึ่งรับราชการโดยได้รับเงินงบประมาณรายจ่าย
หมวดเงินเดือน เช่น ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง ข้าราชการครู ข้าราชการทหาร ข้าราชการ
ตุลาการ ข้าราชการอัยการ ซึ่งเป็นความหมายในภาพกว้าง ๆ โดยรวมอาจไม่ตรงกับความหมายของคาในแต่
ละคา สรุปก็คือ คนที่ทางานราชการคือ คนที่ทางานของหลวง กินเงินเดือนของหลวง ใช้เงินอื่นที่ไม่ใช่
เงินเดือนจากหลวง รวมทั้งใช้เงินที่เรียกว่าเงินงบประมาณและสิ่งของที่เป็นของหลวง และที่สาคัญก็คือ
๓
การทางานราชการนั้น จะต้องอยู่ภายใต้กฏหมายของราชการ มีกฏ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ มากมายมัดตัว
ต่างจากคนที่ไม่ได้ทางานราชการ อาจจะเป็นลูกจ้างห้างร้าน บริษัท หรือไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากเป็นนาย
ของตนเอง รักความเป็นอิสระ ก็ทาอาชีพส่วนตัว หรืออาชีพที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรูษ ก็รับเงินกิน
เงินกินกงสีของตนเอง
ดังนั้นคนที่จะเป็นข้าราชการหรือจะทางานราชการ จึงต้องแปลความหมายของคา ๆ นี้ให้
ออกหรือทาความเข้าใจให้ได้ ถ้าสามารถแปลหรือทาความเข้าใจได้ จะเป็นส่วนสาคัญที่จะทาให้เป็น
ข้าราชการที่ดี ทาหน้าที่การงานได้ดี สมกับการเป็นข้าราชการ แต่ถ้าแปลความหมายผิด แปลความหมาย
ไม่ออก เข้าใจหรือสาคัญผิด จะทาให้ทาหน้าที่ผิด วางตัวผิด เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น จะทาให้ประชาชนหรือ
ราษฏรเดือดร้อนและมีความเข้าใจในตัวข้าราชการผิดตามมา
เมื่อได้เข้ามาเป็นข้าราชการแล้ว ต้องค่อย ๆ เจริญเติบโต ก้าวหน้าไปตามลาดับ จาก
ข้าราชการระดับต่า ๆ เงินเดือนชั้นล่าง ๆ เงินจานวนน้อย ๆ ใช้แทบไม่ชนเดือน เจริญเติบโตก้าวหน้าใน
หน้าที่และตาแหน่งขึ้นไป ชั้นเงินเดือนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เพิ่มเม็ดเงิน ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการพิจารณาขั้นกันทุกหก
เดือน ปีละชั้นครึ่งนี่ถือว่าเป็นของตาย เงินเดือนจึงเพิ่มเร็วกว่าในสมัยก่อนที่มีการพิจารณากันเพียงปีละครั้ง
โอกาสที่จะได้สองขั้น ถ้าไม่แน่จริงหรือไม่มีเส้นมีสายจริงแล้วยากมาก ๆ ก็ได้ชิมแค่ขั้นเดียวทุกปี คนบางคน
แทบจะไม่รู้เลยว่าเขามีการให้สองขั้นกันด้วย ในขณะที่คนบางคนกลับได้สองขั้นเกือบจะทุกปี ปีไหนเกรง
เพื่อนร่วมงานจะนินทาก็ทาทีเป็นเว้นไม่ให้น่าเกลียดเอาฤกษ์ เอาชัยสักปี แล้วก็เริ่มต้นฟาดสองขั้นกันใหม่ในปี
ถัดไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นได้สร้างบุญกันมาแต่ชาติปางไหน ถึงได้ทางานเก่งอะไรขนาดนั้น
ในการเจริญเติบโตก้าวหน้าในชีวิตของการเป็นข้าราชการนั้น คนที่เป็นข้าราชการ ต้องถาม
ตัวเองให้ดีเสียก่อน แล้วตอบคาถามดัวเองให้ได้โดยแน่ชัดว่าเราจะเอาดีทางไหน จะเอาเด่น จะเอาโด่ง
หรือจะเอาดังในทางราชการ เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมานั้น จะมีผลและมีคาตอบที่แตกต่างกัน ซึ่งคนทุกคน
ย่อมจะต้องมีความมุ่งหวังหรือมีจุดมุ่งหมาย มีความตั้งใจ หรือที่เรียกว่า อุดมคติ หรืออุดมการณ์ที่แตกต่างกัน
ถ้าคิดจะเอาโด่ง ไม่นานก็จะเด้ง ถ้าคิดจะเอาเด่นไม่นานก็จะด้อย ถ้าคิดจะเอาดังไม่นานก็จะดับ ซึ่งล้วนแต่
เป็นผลลัพธ์ในทางที่เป็นลบทั้งสิ้น ตรงข้ามกันถ้าเป็นความคิดในเชิงบวก คือถ้าคิดจะเอาดี ด้วยการหมั่นสร้าง
ความดี ทาแต่สิ่งดี ๆ ให้กับหน่วยงาน ไม่นานก็จะได้ดี ดังพุทธวจนะที่ว่า ทาดีย่อมได้ดี
ในที่ทางานหรือในหน่วยงาน ไม่ได้มีแต่เราเพียงลาพังคนเดียว ย่อมประกอบไปด้วยสิ่งที่เรา
เรียกเหมารวมว่า เพื่อนร่วมงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้บังคับบัญชา หรือ เจ้านาย ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่
เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าตนเองรับราชการอยู่ในระดับใด ถ้าอยู่ในชั้นล่างสุด ย่อมมีเจ้านายหลายคน หลายระดับ
ถ้าสูงสุดก็มีเพียงคนเดียว เจ้านายนี่นอกจากจะอยู่ภายในหน่วยงานเดียวกันแล้ว ยังมีเจ้านายที่อยู่ต่าง
หน่วยงานอีก เจ้านายนี่ส่วนมากมักจะเป็นผู้ชาย เว้นบางหน่วยงานซึ่งอาจมีผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถ
และก้าวขึ้นมาเป็นเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นได้
๔
ประเภทที่สองคือ เพื่อนร่วมงาน คือคนที่ทางานร่วมกับเรา อาจมีระดับเดียวกันหรือ
ใกล้เคียงกัน สูงต่ากว่ากันไม่มากนัก อายุอาจจะใกล้เคียงกันหรือห่างกัน เพศย่อมมีทั้งสองเพศแน่นอนตาม
มาตรฐานของราชการ หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ คือมีทุกเพศทุกวัยนั่นเองเพื่อนร่วมงานย่อมมีทั้งที่ทางานเดียวกัน
และต่างหน่วยงาน เพื่อนร่วมงานนั้นมีทั้งที่สนิทสนม และที่สนิทสนมเป็นพิเศษ หรือที่เรียกว่า มิตรสหาย
หรือเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานที่ร่วมงานและรู้จักกันธรรมดา มีการติดต่อสัมพันธ์กันเพียงแค่เรื่องของงาน
เท่านั้น แพราะต่างคนต่างทางานในหน้าที่ของตน จะเกี่ยวบ้างก็ตอนที่ต้องอาศัยติดต่อสัมพันธ์หรือต้องอาศัย
ข้อมูลที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติงานเท่านั้น เพื่อนร่วมงานนี่ว่าไปแล้ว อาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเรา
โดยตรงบ้าง ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่ไม่ดีมากกว่า เช่น เจ้านายอาจจะมองไปว่าเราไปร่วมกลุ่ม ร่วม
แก๊ง กับพวกที่ท่านไม่ชอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเราแน่นอน
ประเภทที่สาม คือ ลูกน้อง ลูกน้องนี่แหละที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ กับตัวเรา
หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีทั้งคุณและโทษ ลูกน้อง มีทั้งลูกน้องโดยตรงที่มีหลายระดับอยู่ที่ว่าเราเป็นเจ้านายที่นั่งอยู่
ในระดับไหน และยังมีลูกน้องที่อยู่ต่างหน่วยงานอีก ที่เราอายจจะไม่มีคุณและโทษต่อลูกน้องพวกนั้นมากนัก
แต่บางครั้งบางโอกาสอาจมีผลบ้าง เช่นในเวลาพิจารณาตาแหน่งหน้าที่หรือขั้นเงินเดือน ที่เราต้องเข้าไ ปมี
ส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ประเภทสุดท้าย คือ ประชาชนและสื่อมวลชน ในการทางานราชการให้เจริญก้าวหน้านั้น
เพียงบุคคลเท่าที่กล่าวมาแล้ว บางครั้งอาจจะยังไม่พอที่จะส่งผลหรือมีผลหรือมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต
ก้าวหน้ามากนัก โดยเฉพาะกับหน่วยงานหรือบุคคลที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงหรือกาลังจะมีชื่อเสียงหรือกาลังจะ
ดัง หรือ ต้องทางานใกล้ชิดกับประชาชนหรือสื่อมวลชนหรือเป็นคนของประชาชน ต้องอาศัยเสียงหรือ
ความเห็นจากประชาชนหรือสื่อมวลชน หรือที่เราเรียกว่าเสียงนกเสียงกา ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกาลัง
ส่งเสริมหรือแรงหนุนให้กับเราได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น ในการคิดเอาดีทางราชการต้องถามตัวเองด้วยว่า ใครจะเป็นคนที่สามารถช่วยให้เรา
ได้ดี ลูกน้องทั้งลูกน้องโดยตรงและลูกน้องต่างหน่วยงาน เพื่อนร่วมงานหรือมิตรสหาย ผู้บังคับบัญชาหรือ
เจ้านายโดยตรงหรือเจ้านายหน่วยงานอื่น ในหน่วยงานธรรมดาที่ไม่สูงมาก บุคคลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการ
เจริญเติบโตและก้าวหน้าในการทางานของเรา ด้วยเหตุนี้การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมี
แรงหนุน แรงฉุด แรงดันไม่เท่ากันแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ขอให้จาไว้เลยว่าในการทางานไม่ว่าจะใน
หน่วยงานประเภทใด ระดับใด คนที่จะมีแรงมีพลังช่วยฉุดช่วยดึง ช่วยลากเราได้แรงที่สุดก็คือเจ้านายโดยตรง
ของเรานั่นเอง ดังนั้นใครก็ตามที่ทะเลาะกับเจ้านายของตนเองแล้วละก็ บุคคลนั้นก็ยากที่จะได้ผุดได้เกิดอีกใน
ชาตินี้ รวมถึงการทะเลาะเบาะ แว้งกับบรรดาวงศ์วานว่านเครือของท่านด้วยเช่นกัน
ในที่ทางาน ย่อมประกอบไปด้วยผู้ร่วมงานที่มีความหลากหลาย ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ชาติ
วุฒิ รวมทั้งเพศ จริงอยู่เพศตามมาตรฐานราชการมี สองเพศ แต่ในปัจจุบันมีความหลากหลายทางพันธุกรรม
จึงเกิดมีเพศที่สามขึ้นทั้งหญิงและชายที่กลายพันธ์ เป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว เป็นทอม เป็นดี้ แต่ในความหลากหลาย
๕
เหล่านั้น มีสิ่งสาคัญคือพฤติกรรมหหรือสันดานของแต่ละคนที่จะสาแดงออกมาในแต่ละโอกาส เช่น บางคนพูด
น้อย บางคนพูดมาก บางคนพูดเพราะ บางคนใช้แต่ภาษาสมัยพ่อขุนราม บางคนใจดี ใจกว้างเป็นแม่น้า บาง
คนหน้าเปื้อนยิ้มตลอด บางคนขี้เหนียว ขี้ตืด บางคนเอาใจตนเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ หน้าบึ้งหน้าบูดโมโหร้าย
บางคนอารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา หรือบางคนชอบจิ๊กของหลวงไปเป็นสมบัติของตัวเอง หรือเวลามาทางาน
บางคนมาเช้ากลับเย็นกลับค่า บางคนมาสายตลอดแถมยังกลับก่อนชาวบ้านเขาเสียอีก บางคนมาทางานบ้าง
ไม่มาบ้าง มีเรื่องต้องหยุดต้องลาตลอด และนอกจากที่กล่าวมานี้ ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ อีกหลากหลาย ไม่เชื่อ
ท่านลองสังเกตดูในที่ทางานของท่านบางที อาจจะได้พบกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ในวงการราชการบ้างก็ได้
เมื่อข้าราชการในที่ทางานมีความหลากหลายทางพฤติกรรม จึงไม่แปลกใจที่แต่ละคนจะ
สาแดงพฤติกรรมหรือสันดานเดิมของตนเองออกมา บางครั้งก็ออกมาโดยไม่รู้ตัว เราจึงเห็นสันดานดิบของแต่
ละคนได้อย่างชัดเจน เราอาจจะพบว่าข้าราชการบางคน หลงผิดคิดว่าการทาตนให้โด่งนั้นจะทาให้ได้ดี จึงมัก
ทาตนให้เป็นคนเจ้าปัญหา เจ้าคารม เจ้าโวหาร เจ้าปัญญา จนเจ้านายหมั่นไส้ ผลที่ออกมาคือ กลายเป็นไม้
บอนไซ ที่เจ้านายเขาเลี้ยงไว้ในกระถางใช้ประดับสานักงานไม่เจริญเติบโตตามที่ควรจะเป็น
ข้าราชการบางประเภทบางคน หลงตัวหรือหลงผิดคิดไปว่า ตัวข้านี้ดี ตัวข้านี้เก่ง หรือตัวข้า
นี้แน่กว่าใคร แม้แต่เจ้านาย เพื่อนฝูง ก็ไม่มีใครเก่งเกินข้า บุคคลประเภทนี้จะเติบโตและก้าวหน้ายาก เพราะ
จะมีแต่คนหมั่นไส้ มีศัตรูรอบด้าน ไม่มีใครคบหรืออยาก
ทางานด้วย เป็นโรคสังคมรังเกียจ คนจาพวกนี้ความจริงแล้วเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะถ้า
มองและศึกษาลงไปลึก ๆ จะพบว่าเขาเป็นคนที่มีปมด้อยอย่างแรง จึงต้องแสดงความเด่นออกมาเพื่อกลบ
เกลื่อนหรือปิดบังปมด้อยของตนเอง เป็นการหลอกตนเองและหลอกผู้อื่นไปในคราวเดียวกัน โดยที่เขาอาจจะ
ไม่รู้ตัวด้วยซ้าไป
ยังมีข้าราชการบางคนบางประเภทที่มีพฤติกรรมชอบทาตัวเป็นหัวโจก ในที่ทางานในหมู่
เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง หรือลูกน้อง ด้วยการเป็นปากเสียง เป็นผู้รักษาประโยชน์เป็นตัวแทนของคนกลุ่มน้อย
สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นา เป็นหัวหน้า คนประเภทนี้ เจริญก้าวหน้ายากเช่นกัน เจ้านายจะเอาปูนหมายหัว
ไว้ รับรองว่าไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะชอบทาให้นายลาบากและอึดอัดใจ ชอบสร้างแต่ปัญหาให้นายคอยแก้อยู่
ร่าไป คนประเภทนี้แทบจะไม่มีโอกาสและไม่เคยได้ดี ได้เป็นใหญ่เป็นโตในวงราชการ เป็นเพราะไม่ชอบเสวนา
กับบัณฑิตหรือนักปราชญ์ ที่จะช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้า ไปคบแต่กับเด็กๆ คบแต่คนพาล ที่มีแต่จะดึง จะ
ฉุดให้ดิ่งลงสู่ที่ต่ากว่า สุดท้ายก็จะกลายเป็น คางคกตายซาก จนเกษียณอายุราชการไปในที่สุด
ข้าราชการบางคน บางประเภท อยากเด่น อยากดัง ชอบพูด ชอบอภิปราย ชอบแสดงตัว
ชอบแสดงปัญญา ความรู้และโวหารในที่ประชุม ประเภทนี้ก็โตยากเช่นกัน เพราะบางครั้งพฤติกรรมที่แสดง
ออกมา กลายเป็นการไปหักหน้าเจ้านาย ทาให้เจ้านายขายขี้หน้าคนประเภทนี้ถ้ามองลงไปลึก ๆ จะพบว่า
ความจริงแล้ว เขาตัวเล็ก ตาแหน่งต่า ความรู้น้อย อยากจะคารามให้เป็นเสียงของราชสีห์ที่มีพลังอานาจ
เพื่อข่มขู่ให้ศัตรูขยาดและเกรงกลัว แต่เพราะเขาด้อยในศักยภาพเสียงคารามของเขาจึงกลายเป็นเพียง
๖
เสียงหมาน้อยเห่าใบตองแห้ง เห็นอะไรผิดหูผิดตาเป็นอดเห่าไม่ได้ นานเข้าเสียงของเขาก็กลายเป็นเพียงเสียง
ของหมาที่เห่าหอนในยามค่าคืน เพราะยิ่งห่างไกลเพื่อนฝูงที่ได้ดิบได้ดีก้าวหน้ากันทุกคน
ข้าราชการบางคนบางประเภทหลงผิดคิดเหมาไปเองว่า ตนเป็นผู้ที่มีความรู้ดี
และวิเศษไปกว่าใคร ๆ ทุกคน มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจนกลายเป็นทิฐิ และคิดเอาเองว่า
สิ่งที่ตนมีนั้นจะช่วยให้ตนก้าวหน้าใหญ่โตในวงราชการได้ จึงใช้ความรู้ความสามารถของตนทางานอย่างเต็มที่
จนลืมเพื่อนร่วมงาน คนประเภทนี้เพื่อนร่วมงานจึงไม่คบหาสมาคมด้วย ไม่เล่นด้วย ไม่เห็นด้วย ก็เข้าใจไปว่า
เพื่อนร่วมงานอิจฉาริษยา ปัดแข้งปัดขา เจ้านายกดขี่ข่มเหง ข้าราชการประเภทนี้ ทางานอย่างไม่มีความสุข
โดยไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ต้วก็สายเสียแล้ว บางคนแก่จนใกล้จะเกษียณก็ยังไม่ลดทิฐิ
มีข้าราชการอีกจาพวกหนึ่งที่หลงผิดคิดไปว่าการจาทางานราชการให้ได้ดี ต้องทางานดีอย่าง
เดียว ข้าราชการประเภทนี้จึงบ้างาน ก้มหน้าก้มตาทางานงุด ๆ เหมือนโคกินหญ้า ไม่มองหน้าใคร ไม่คบ
เพื่อนฝูง ไม่เข้าสังคม ไม่ขึ้นแก่เจ้านาย ไม่อาศัยเพื่อน ไม่พึ่งลูกน้องตัวข้ามาคนเดียวโดดๆ กลัวไปว่าคนอื่นจะ
มาแย่งเอาความดีความชอบไปเสียจากตนเอง ข้าราชการจาพวกนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเมื่อยามที่เขาเงย
หน้าขึ้นจากงาน จะพบว่าเพื่อนฝูงผู้ร่วมงาน ล้วนก้าวหน้าเติบโตล้าหน้าไปไหนต่อไหนแล้ว จนต้องมีสุภาษิตตัว
โต ๆ เขียนประชดไว้ที่โต๊ะว่า ก้มหน้าทางานเป็นเต่าล้านปี ไม่มีใครได้ดีในวงราชการ
ยังมีข้าราชการบางคนบางประเภท ที่เป็นคนดีศรีสังคม ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ดี น่ายก
ย่องและชมเชย แต่บางครั้งก็กลับกลายเป็นคนที่ดีจนเกินไปในวงราชการ บริสุทธิ์ดุจผ้าขาว ไม่ข้องแวะกับ
อบายมุขใด ๆ ทั้งสิ้น สโมสรไม่เข้า เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สุบร้านกาแฟไม่นั่ง บาร์ไม่เข้า ไนท์คลับ อาบอบนวดไม่
รู้จัก ร้านอาหารหรู ๆ ไม่เคยเข้าไปลิ้มรส เช้ามาทางานตกเย็นกลับบ้าน เดินทางเป็นเส้นตรง ไม่เคยแวะเวียน
ออกนอกเส้นทาง ชีวิตไม่ต่างจากหุ่นยนต์หรือถูกตั้งโปรแกรมชีวิต เอาไว้อย่างนั้น เมื่อมามองดูหน้าที่การงาน
จะพบว่า ข้าราชการประเภทนี้ มักจาเจอยู่ในตาแหน่งเดิมนานมากจนเกินไป จนรู้สึกเซ็งและเบื่อหน่ายในชีวิต
ไม่รู้จะไปทางไหน มองไปทางไหนก็ดูมืดมนหดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เหมือนเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่อ่อนกาลัง ไม่
มีโอกาสได้ก้าวสู่ตาแหน่งงานใหม่ หรือเปลี่ยนงานใหม่ที่ท้าทายมากกว่า
สถานภาพทางครอบครัวของข้าราชการในที่ทางานแต่ละแห่ง แต่ละที่ก็ย่อมมีความตกต่าง
และมีความหลากหลาย มีทั้งมั่งมีหรือรวยที่สุด เป็นครอบครัวคนชั้นสูง มีหน้ามีตา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี หรือ
ครอบครัวที่จัดว่ารวยหรือค่อนข้างมีเงิน ที่พอจะมีเกียรติอยู่บ้าง หรือครอบครัวที่รวยปานกลางหรือพอจะมี
แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ยากไร้ในสิ่งเหล่านั้น มาจากครอบครัวที่ยากจน เป็นสกุลของชนชั้นล่างหรือต่าต้อยในสังคม
เมื่อมาอยู่ในตาแหน่งหน้าที่ที่มีเกียรติ มีหน้า มีตา มีอานาจก็มักจะเกิดอาการลืมตัว หยิ่งผยอง แสดงอานาจ
เห่อในยศศักดิ์ ที่ตนเอง และ พ่อแม่ปู่ย่าตายายไม่เคยมี จนทาให้ลืมญาติพี่น้อง บิดา มารดา หรือแม้แต่เพื่อน
ฝูง ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้ลืม แต่เป็นเพราะมมีปมด้อยในสิ่งเหล่านี้อย่างรุนแรง จึงต้องพยายามปิดบังอาพราง
และกลบเกลื่อนปมเงื่อนในปูมหลังของตนเองเอาไว้
๗
มีข้าราชการอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นข้าราชการที่จบจากสถาบันการศึกษาระดับสูง
ข้าราชการประเภทนี้เมื่อออกไปรับราชการ มักจะเก่งแต่ภาคทฏษฏี เป็นคนอยู่ในระเบียบแบบแผน อยู่ในวินัย
คิดอะไร ทาอะไร ตามแบบแผนขนบธรรมเนียมของข้าราชการทั่วไป ทั้งนี้เป็นผลมาจากระบบการศึกษาหรือ
จากการอบรมที่ได้รับมา ซึ่งมีการทางานเป็นขั้นเป็นตอนตามหลักเกณฑ์ หลักการ หรือทฏษฏี ตรงกันข้ามกับ
ข้าราชการอีกประเถทหนึ่ง ที่ต้องต่อสู้ไต่เต้าขึ้นมาเองด้วยการศึกษาเรียนรู้ ลองผิด ลองถูก ด้วยตนเอง หรือ
จากการเรียน การสอนจากสถานศึกษาตามเกณฑ์ หรือไม่มีระบบ ระเบียบ แบบแผนที่แน่นอน ข้าราชการ
ประเภทนี้มักจะเป็นพวกที่ คิด พูด เขียน ทาอะไรที่นอกลุ่นอกทางตามใจตนเอง ไร้กฏเกณฑ์ หลักการ หรือ
ทฤษฏี จะไม่ค่อยมีและอยู่ในแบบแผนประเพณีอะไร
สิ่งสาคัญประการหนึ่งในการทางาน ไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรืองานอื่นใดก็แล้วแต่ ถ้ามีคน
ที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นนั่นคือ การมีมนุษยสัมพันธ์
โดยเฉพาะในการทางานราชการ อัธยาศัยไมตรีที่เข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงานอื่นนั้น สาคัญเป็นอันมาก คนจะ
รับราชการได้ดีหรือล้มเหลวสิ่งนี้เป็นปัจจัยสาคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่น ข้าราขการที่เก่ง ๆ มีความรู้
ความสามารถดี แต่ต้องตกกระป๋อง ตกต่าไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ซึ่งเจ้าตัวเองอาจไม่รู้ไม่ทราบหรอกว่า
เป็นเพราะสาเหตุใด เพราะไม่มีกระจกคอยส่องดูเงาของตนเอง แต่คนอื่นที่คอยดูอยุ่จากภายนอก เขาจะรู้ว่า
เป็นเพราะการขาดมนุษยสัมพันธ์ ขาดศิลปะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือเป็นคนขาดอัชฌาสัยที่เข้ากันได้
กับบุคคลอื่นนั่นเอง
ข้าราชการบางคนบางประเภท สาคัญผิดคิดและนึกว่าตนเองเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคน
ฉลาด เป็นคนมีความสามารถ เป็นคนเข้มแข็งเหนือกว่าคนอื่น ตนเองมีความเหมาะสมหรือสมควรจะได้รับ
การเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตาแหน่งหน้าที่ให้สูงขึ้น โดยลืมความจริงไปว่า โลกนี้เปรียบเสมือนโรง
ละครอันกว้างใหญ่ มนุษย์ทุกคนทุกผู้ทุกนามต่างก็เป็นตัวละครทั้งสิ้น ต่างคนก็สวมบทบาทรับบทคล้ายกับ
ตัวละครที่กาลังแสดงบทบาทอยู่บนเวที ซึ่งผู้เล่นหรือผู้สวมบทบาทจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบทบาทที่ตนเล่น
นั้นเป็นอย่างไร ดีหรือสมบทบาทหรือไม่ เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้ชมหรือไม่ ต้องให้คนอื่นที่เป็นคนดูเป็นผู้ชม
ติชมเป็นคนตีราคาค่าตัว ถ้าเล่นได้สมบทบาท เล่นได้ดีจริงเป็นที่ประทับใจ ผู้ชมย่อมจะติดตาฝังใจเฝ้าติดตาม
ผลงานเป็นธรรมดา จะถึงคราวตกต่าก็คงจะเป็นไปได้โดยยาก ในทางกลับกันถ้าบทบาทความสามารถไปไม่
ถึงขั้น เล่นไม่สมบทบาท เล่นไปก็ไม่มี่ใครชอบไม่มีใครติดใจหรือนิยมชมชอบ จะไปโทษคนอื่นว่า ไม่มีหู ไม่มีตา
หารสนิยมไม่ได้อย่างไร ต้องย้อนหันมาดูที่ตัวเราเอง ต้องโทษตัวเราเอง ว่ายังแสดงไม่ดี เล่นไม่สมบทบาท จะ
ไปโทษคนอื่นในทานองว่า ราไม่ดีโทษปี่โทษกลองไม่ได้ การเล่นละครไม่สมบทบาท ก็เหมือนกับการเป็น
ข้าราชการที่ทางานได้ไม่สมกับหน้าที่ของตน
ธรรมชาติของคนเรามีตาไว้สาหรับการมอง ในการมองของคนเรามักจะมองดูคนอื่นหรือสิ่ง
อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวมากกว่า จนลืมมองดูตัวเอง จริงอยู่ทุกคนอาจจะส่องดูเงาตัวเองในกระจกทุกวัน บางคน
วันละหลายๆ ครั้ง แต่นั่นเป็นการมองดูสารรูป เรือนร่างหรือรูปร่างหน้าตาของตนเอง เท่านั้น ซึ่งเป็นการ
มองแต่เปลือกหรือผิวการภายนอก ไม่มีใครคิดที่จะมองลึกเข้าไปถึงข้างใน คนเราส่วนมากเกือบจะร้อย
๘
เปอร์เซนต์ ไม่รู้จักตัวเอง มักจะรู้จักผู้อื่นมากกว่าตัวเอง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกันหรือ
ทางานด้วยกัน จะเห็นกันอยู่ทุกวันอยู่ในสายตาเกือบจะตลอดเวลา จึงได้พบได้เห็นทั้งข้อดีข้อเสียของคนอื่น
โดยที่ไม่เห็นข้อดีหรือข้อเสียของตนเอง ดังนั้นการที่จะทาให้เรารู้จักตัวเราได้ดี รุ้จักความเป็นตัวตนของเรา
มากยิ่งขึ้น เราต้องฟังเสียงฟังคาติชมของคนอื่นบ้าง เพื่อที่จะได้เป็นกระจกสะท้อนเงาของตัวเรา ซึ่งเสียงที่
สะท้อนย้อนกลับมาสู่ตัวเรานั้น ถ้าเป็นเสียงของคนที่เป็นเพื่อนสนิทหรือมิตรสหายเป็นคนที่รักที่ชอบเรา เสียง
นั้นย่อมฟังไพเราะเสนาะหูเสมอ แต่กับเสียงของคนที่เป็นศัตรู เสียงของคนที่เราไม่ชอบ หรือเสียงของคนที่ไม่
ชอบเรา มักเป็นเสียงที่ไม่ไพเราะหู เรามักจะไม่ชอบทั้งที่อาจจะเป็นเสียงเป็นคาพูดที่ออกมาจากใจที่แท้จริงก็
ได้ จนลืมคาโบราณที่กล่าวไว้ว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา
ข้าราชการบางคนบางประเภทที่วางท่าเป็นนายประชาชน สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป
โดยเฉพาะในสมัยหนึ่งที่ผ่านมา ที่ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนเช่นนี้อยู่เป็นจานวนมากจนกลายเป็น
รัฐราชการ ประชาชนถูกรังแก กดขี่ ข่มเหง จนตกอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัว ที่ข้าราชการเหล่านั้น
ประพฤติตัวเช่นนั้นได้ ก็เฉพาะประชาชนที่โง่เขลากว่าหรือขาดความรู้ความเข้าใจเท่านั้น แต่เมื่อประชาชน
ได้รับการศึกษา มีการเรียนรู้มากขึ้น ประชาชนมีความฉลาดเท่าหรือฉลาดกว่าข้าราชการ ข้าราชการประเภท
นี้ไม่มีทางจะเป็นนายของประชาชนเหล่านั้นได้เลย และจะค่อยๆ สูญพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปในที่สุด หรือไม่ก็
คงต้องตกอยู่ในฐานะผู้บริการหรือผู้รับใช้ประชาชนตามความหมายของคาว่า ข้าราชการนั่นเอง
............................................................
๙
บทสรุป
ผู้ที่ตั้งใจและคิดจะหันมาเอาดีในการประกอบอาชีพรับราชการหรือเป็นข้าราชการ ต้องพึง
ระลึกอยู่เสมอว่า อาชีพรับราชการนั้น มีกฏ มีระเบียบ มีข้อบังคับ กากับอยู่มากมาย การจะกระทาสิ่ง
ใดที่เกี่ยวข้องกับการงานในหน้าที่โดยตรงหรือโดยอ้อม ต้องปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะละเลย ละ
เว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัตินอกลู่นอกทางหรือใช้อานาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายไปใช้ในทางที่จะเอื้อ
ผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพรรคพวกไม่ได้ ถ้าเกิดความผิดพลาดหรือพลาดพลั้ง โอกาสถูกพิจารณาลงโทษ
ลงทัณฑ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการ จะให้เกิดเป็นมลทินแปดเปื้อน
ชีวิตการรับราชการของตน ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการจึงเป็นสิ่ง
ประเสริฐหรือดีที่สุด ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือปรัชญาของแต่ละคน ที่ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นข้อ
เตือนใจในการปฏิบัติงาน ปรัชญาของข้าราชการซึ่งแต่ละคนยึดถือและนามาปฏิบัติ จึงเปรียบเสมือนเข็ม
ทิศนาทางที่จะนาให้ผู้ที่ตั้งใจประกอบอาชีพรับราชการก้าวไปสู่จุดหมายหรือไปสู่ความสาเร็จตามที่ได้ตั้ง
ปณิธานไว้ ยามที่ท่านส่องกระจกดูเงาของตนเอง ลองมองลงไปลึก ๆ สารวจดูตัวเองว่า เราเป็น
ข้าราชการประเภทไหน ประพฤติปฏิบัติตนสมกับการเป็นข้าราชการที่ดีหรือไม่ และได้ทาตามปรัชญา
ปณิธาน ตามที่ตนเองได้ตั้งไว้หรือเปล่า โดยเฉพาะข้าราชการที่ได้ผ่านการกล่าวคาถวายสัตย์ต่อเบื้องพระ
พักตร์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลปัจจุบัน
ดารงชีวิตอยู่เพื่อความสงบสุข รู้จักพอ รู้จักละ รู้จักทาใจ
ยิ้มให้ได้ บอกตัวเองเสมอ ๆ ว่า.........
เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี สร้างความดี สร้างคุณธรรม
ไม่ใช่เกิดมาเพื่อสร้างบาปกรรม ....ดีชั่วที่ทาไว้ส่องให้โลกเห็น...
..............................................................................
อ้างอิง
เทพ สุนทรสารทูล ปรัชญาข้าราชการ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
กรุงเทพฯ
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑
นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์ กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๔๖

More Related Content

Viewers also liked

Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followup
Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followupEasymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followup
Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followupBensi Valentina
 
Melinda A. Earley Resume
Melinda A. Earley ResumeMelinda A. Earley Resume
Melinda A. Earley ResumeMelinda Earley
 
0093 AP2014 [WORKSITE] GA
 0093 AP2014 [WORKSITE] GA 0093 AP2014 [WORKSITE] GA
0093 AP2014 [WORKSITE] GARay Berg
 
BURTON REMODEL 10-07-16
BURTON REMODEL 10-07-16BURTON REMODEL 10-07-16
BURTON REMODEL 10-07-16Cesar Salinas
 
Esteatosis hepatica no alcoholica
Esteatosis hepatica no alcoholicaEsteatosis hepatica no alcoholica
Esteatosis hepatica no alcoholicaDiana Arciniega
 
Powder metallurgy Lab notes
Powder metallurgy Lab notesPowder metallurgy Lab notes
Powder metallurgy Lab notesAnkit Kumar
 
Piloter la Performance des Opérations Informatiques
Piloter la Performance des Opérations Informatiques Piloter la Performance des Opérations Informatiques
Piloter la Performance des Opérations Informatiques Jacky Galicher
 
Course content mohamed_elhifnawy
Course content mohamed_elhifnawyCourse content mohamed_elhifnawy
Course content mohamed_elhifnawyMohammed Elhifnawy
 
Trastornos alimenticios anorexia y bulimia
Trastornos alimenticios anorexia y bulimiaTrastornos alimenticios anorexia y bulimia
Trastornos alimenticios anorexia y bulimiaShelby Perez
 
Oil Sites Visit and Survey Training Report
Oil Sites Visit and Survey Training ReportOil Sites Visit and Survey Training Report
Oil Sites Visit and Survey Training ReportAssim Mubder
 
Social media strategy - Taco Bell
Social media strategy - Taco BellSocial media strategy - Taco Bell
Social media strategy - Taco BellHonesty Abramowich
 
Мамандықтың бәрі жақсы
Мамандықтың бәрі жақсыМамандықтың бәрі жақсы
Мамандықтың бәрі жақсыBilim All
 

Viewers also liked (19)

Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followup
Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followupEasymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followup
Easymamma - Welfare a misura di mamma e papà + followup
 
Cerpen-cerpenku
Cerpen-cerpenkuCerpen-cerpenku
Cerpen-cerpenku
 
Research ethics
Research ethicsResearch ethics
Research ethics
 
3887 Monte Carlo Classic Car Brochure
3887 Monte Carlo Classic Car Brochure3887 Monte Carlo Classic Car Brochure
3887 Monte Carlo Classic Car Brochure
 
Melinda A. Earley Resume
Melinda A. Earley ResumeMelinda A. Earley Resume
Melinda A. Earley Resume
 
0093 AP2014 [WORKSITE] GA
 0093 AP2014 [WORKSITE] GA 0093 AP2014 [WORKSITE] GA
0093 AP2014 [WORKSITE] GA
 
BURTON REMODEL 10-07-16
BURTON REMODEL 10-07-16BURTON REMODEL 10-07-16
BURTON REMODEL 10-07-16
 
Esteatosis hepatica no alcoholica
Esteatosis hepatica no alcoholicaEsteatosis hepatica no alcoholica
Esteatosis hepatica no alcoholica
 
Womenhood
WomenhoodWomenhood
Womenhood
 
Powder metallurgy Lab notes
Powder metallurgy Lab notesPowder metallurgy Lab notes
Powder metallurgy Lab notes
 
Piloter la Performance des Opérations Informatiques
Piloter la Performance des Opérations Informatiques Piloter la Performance des Opérations Informatiques
Piloter la Performance des Opérations Informatiques
 
Course content mohamed_elhifnawy
Course content mohamed_elhifnawyCourse content mohamed_elhifnawy
Course content mohamed_elhifnawy
 
session 1 Introduction
session 1 Introductionsession 1 Introduction
session 1 Introduction
 
Trastornos alimenticios anorexia y bulimia
Trastornos alimenticios anorexia y bulimiaTrastornos alimenticios anorexia y bulimia
Trastornos alimenticios anorexia y bulimia
 
Oil Sites Visit and Survey Training Report
Oil Sites Visit and Survey Training ReportOil Sites Visit and Survey Training Report
Oil Sites Visit and Survey Training Report
 
Social media strategy - Taco Bell
Social media strategy - Taco BellSocial media strategy - Taco Bell
Social media strategy - Taco Bell
 
Мамандықтың бәрі жақсы
Мамандықтың бәрі жақсыМамандықтың бәрі жақсы
Мамандықтың бәрі жақсы
 
Transformasi Koordinat dari DGN 95 ke SRGI 2013
Transformasi Koordinat dari DGN 95 ke SRGI 2013Transformasi Koordinat dari DGN 95 ke SRGI 2013
Transformasi Koordinat dari DGN 95 ke SRGI 2013
 
HOF CHAIR_2016
HOF CHAIR_2016HOF CHAIR_2016
HOF CHAIR_2016
 

ปรัชญาสำหรับข้าราชการไทย ตำรวจบ้านนอก

  • 1. ปรัชญาสาหรับอาชีพรับราชการ (ไทย) เรียบเรียงโดย ตารวจบ้านนอก ในวัยเด็ก เชื่อว่าทุกท่านคงจะเคยได้รับคาถามจากบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ชอบเข้ามายุ่ง เกี่ยวกับชีวิตเราว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร เด็กที่ถูกถาม บางคนอาจตอบอย่างฉะฉาน บางคนอึก ๆ อัก ๆ ตอบไม่ถูก ตอบไม่ได้ ว่าอยากเป็นอะไร เมื่อได้รับคาตอบแล้ว ก็มักจะได้รับคาถามต่อไปว่า ทาไมหนูจึง อยากเป็นอย่างนั้น มาถึงคาถามนี้ เด็กส่วนใหญ่จะอึกอัก ใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่ง อาจตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเด็กที่ถูกถามอยู่ในวัยไหน พอจะพูดกันรู้ เรื่องแล้วหรือยัง หรือมีวุฒิภาวะพอที่จะตอบคาถามหรือ เข้าใจในคาถามแล้วหรือไม่ คาถามที่ถาม และคาตอบที่ได้รับอาจจะไม่ได้หวังผลอะไรมากนัก ส่วนคาตอบที่ เด็กตอบมานั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากใจจริงของเด็กหรืออาจจะมาจากกระแสใดกระแสหนึ่งในขณะนั้น หรือ มาจากความฝังจิตฝังใจหรือความรู้สึกชอบ หรือรู้สึกรักที่เด็กมีต่ออาชีพนั้น มันอาจเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ว วูบ ชั่วครั้ง ชั่วคราว หรืออาจเป็นความฝังใจก็ได้ เช่น เด็กที่ตอบว่าอยากเป็นทหาร อาจเป็นเพราะว่าชอบ เครื่องแบบหรืออยากทาหน้าที่ของลูกผู้ชาย อยากป้องกันอริราชศัตรูที่เข้ามารุกรานประเทศชาติ หรือเด็กที่ ตอบว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาล อาจบอกว่าอยากช่วยเหลือผู้อื่นที่เจ็บป่วย อยากเป็นตารวจเพราะ อยากยิงปืน อยากพกปืน หรืออยากจับผู้ร้าย นี่คือจุดมุ่งหมายหรือปณิธานที่ตั้งไว้ ส่วนเมื่อเข้าไปแล้วสิ่งเหล่านี้ เปลี่ยนไปหรือคงอยู่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่สถานการณ์ สภาพการณ์ หรือปัจจัยที่มากระทบ ถ้าเป็นความฝังใจที่เด็กมีต่ออาชีพนั้นอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาย่อมจะต้องสานฝันของเขา ไปให้ถึงจุดหมายหรือดวงดาวที่เขาฝันไปให้ได้ หรือไปให้ถึง ซึ่งมีตัวอย่างมากมายที่เด็กหลายคนสามารถก้าว ไปถึงความฝันหรือความฝังใจที่เขามีต่ออาชีพนั้นได้ในที่สุด ยกเว้นเด็กที่ต้องทาตามใบสั่งหรือเจริญรอยตาม บรรพบุรุษ โดยมีบรรพบุรุษคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุน หรือใช้สิทธิของบรรพบุรุษช่วยเหลือ เราจึงไม่น่า แปลกใจว่า ทาไมตระกูลนี้ จึงเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นทหาร เป็นตารวจ เป็นทนายความ หรือเป็นนัก กฏหมายกันทั้งตระกูล ไม่เชื่อลองสืบเชื้อสายหรือวงศ์ตระกูลดูก็ได้............................................................ ในการเข้าทางาน ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร รับราชการ รับจ้าง ลูกจ้าง หรืองานส่วนตัว งาน ของใคร งานหลวง งานราษฏร์ งานเอกชนหรืองานของครอบครัว ก็ตาม คนที่มีสามัญสานึกหรือมีจิตสานึก หรือเป็นคนที่มีความรู้สึกนึกคิด ย่อมจะต้องมีจุดมุ่งหมายหรือจุดหมายของการเข้ามาทางานนั้น ๆ บางคนก็มี ความตั้งใจเป็นอย่างแน่วแน่ที่จะเข้ามารับราชการ งานอื่น ไม่สนใจ บางคนตรงกันข้ามงานราชการไม่สนใจ ต้องการทางานเอกชนอย่างเดียว บ้างก็ทางานสืบทอดอาชีพของบรรพบุรษ แต่ก็มีอีกบางประเภทที่ไม่เอาทั้ง สามอย่าง ชอบและรักความเป็นอิสระ ทางานส่วนตัวไม่ต้องมีใครมาเป็นนาย ตัวเองเป็นนายของตนเอง
  • 2. ๒ เมื่อเราพูดถึงคนที่มีความตั้งใจหรือคนที่ต้องการจะเข้ามารับราชการ แต่ละคนย่อมมี จุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็มองไปว่างานราชการเป็นงานที่มั่นคงเข้าง่ายออก ยาก หรือเข้ายากออกยาก แล้วแต่จะคิด ปัจจุบันปัญหาการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง แต่เมื่อเข้าไปได้แล้ว สบายไปทั้งชาติ ไม่เฉพาะตนเองเท่านั้นยังรวมทั้งครอบครัวอีกด้วย นั่นเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งเท่านั้น บาง คนอาจจะมีสิ่งอื่นใดที่อยู่ในใจที่นอกเหนือไปจากสิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจบางครั้งพูดหรือบอกไม่ได้ เมื่อได้เข้ามาทางานราชการสมใจแล้ว คนที่จะเป็นข้าราชการที่ดีที่สมบูรณ์แบบ ย่อมจะต้องมีจุดมุ่งหมายหรือ มีหลักในการทางานของตนเอง ที่ตั้งไว้เพื่อเป็นข้อคิด เป็นเครื่องยึดหเหนี่ยวหรือเป็นคติเตือนใจ ที่จะทาให้ การทางานในหน้าที่ที่เรารับผิดชอบหรือตัวเราเองมีความเจริญเติบโต ก้าวหน้าและประสบความสาเร็จใน หน้าที่การงาน สิ่งนี้อาจเป็นข้อคิดของตัวเองที่คิดขึ้นเองหรือปฏิบัติตามแบบอย่างที่ข้าราชการรุ่นก่อน ๆ ยึดถือปฏิบัติกันสืบมา ซึ่งเราเรียกว่า ปรัชญาข้าราชการ ปรัชญาข้าราชการ มีความหมายว่าอย่างไร ต้องมาดูที่ความหมายตามพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของแต่ละคาไว้ดังนี้ ปรัชญา หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง ส่วนคาว่า ข้าราชการ มีความหมายในแต่ละคาดังนี้ ข้า หมายถึง บ่าว ไพร่ คนรับใช้ ราช หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน พญา การ หมายถึง งาน สิ่ง หรือเรื่องที่ทา มักใช้เข้าคู่กับคา งาน เช่น การงาน เป็นการเป็น งาน ฯลฯ ถ้าอยู่หน้านามหมายความว่า เรื่อง ธุระ หน้าที่ เช่น การบ้าน การครัว การคลัง ฯลฯ ถ้าอยู่ หน้ากริยา ทากริยาให้เป็นนาม เช่น การกิน การเดิน หรือถ้าจะกล่าวกันง่าย ๆ ถึงความหมายของ ข้าราชการ ก็คือ ข้า หมายถึง บ่าวไพร่ คน รับใช้ เช่น ข้าทาสในสมัยโบราณมีหน้าที่รับใช้ มูลนายของตนเอง อาศัยเงินของมูลนายเลี้ยงตนเอง ราช หมายถึง พระราชา พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นใหญ่ ผู้ยังให้ชนยินดี ผู้ปกครองประชาชนให้อยู่อย่างสงบสุข หรืออาจหมายถึง หลวง ซึ่ง แปลว่า ส่วนรวม หรือแปลว่า สาธารณะ ก็ได้ เพราะพระราชานั้นย่อม ครอบคลุมส่วนรวมหรือปกครองสาธารณชน ส่วนคาว่า การ หมายถึง งานหรือการงาน ถ้านาความหมาย ของทั้งสามคามารวมกันจะมีความหมายว่า ผู้รับใช้การงานของพระราชา ผู้บริการสาธารณะ หรือผู้ทางาน หลวง ดังนั้น คาว่า ข้า ราชการ จึงเป็นคาที่มีความหมาย ที่เหมาะสมและลงตัวดี แต่ในพจนานุกรมได้ให้ความหมายโดยตรงของคาว่า ข้าราชการ ไว้ ว่าหมายถึง คนที่ทา ราชการตามทาเนียบ ผู้ปฏิบัติราชการในส่วนราชการ บุคคลผู้ซึ่งรับราชการโดยได้รับเงินงบประมาณรายจ่าย หมวดเงินเดือน เช่น ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง ข้าราชการครู ข้าราชการทหาร ข้าราชการ ตุลาการ ข้าราชการอัยการ ซึ่งเป็นความหมายในภาพกว้าง ๆ โดยรวมอาจไม่ตรงกับความหมายของคาในแต่ ละคา สรุปก็คือ คนที่ทางานราชการคือ คนที่ทางานของหลวง กินเงินเดือนของหลวง ใช้เงินอื่นที่ไม่ใช่ เงินเดือนจากหลวง รวมทั้งใช้เงินที่เรียกว่าเงินงบประมาณและสิ่งของที่เป็นของหลวง และที่สาคัญก็คือ
  • 3. ๓ การทางานราชการนั้น จะต้องอยู่ภายใต้กฏหมายของราชการ มีกฏ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ มากมายมัดตัว ต่างจากคนที่ไม่ได้ทางานราชการ อาจจะเป็นลูกจ้างห้างร้าน บริษัท หรือไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากเป็นนาย ของตนเอง รักความเป็นอิสระ ก็ทาอาชีพส่วนตัว หรืออาชีพที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรูษ ก็รับเงินกิน เงินกินกงสีของตนเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นข้าราชการหรือจะทางานราชการ จึงต้องแปลความหมายของคา ๆ นี้ให้ ออกหรือทาความเข้าใจให้ได้ ถ้าสามารถแปลหรือทาความเข้าใจได้ จะเป็นส่วนสาคัญที่จะทาให้เป็น ข้าราชการที่ดี ทาหน้าที่การงานได้ดี สมกับการเป็นข้าราชการ แต่ถ้าแปลความหมายผิด แปลความหมาย ไม่ออก เข้าใจหรือสาคัญผิด จะทาให้ทาหน้าที่ผิด วางตัวผิด เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น จะทาให้ประชาชนหรือ ราษฏรเดือดร้อนและมีความเข้าใจในตัวข้าราชการผิดตามมา เมื่อได้เข้ามาเป็นข้าราชการแล้ว ต้องค่อย ๆ เจริญเติบโต ก้าวหน้าไปตามลาดับ จาก ข้าราชการระดับต่า ๆ เงินเดือนชั้นล่าง ๆ เงินจานวนน้อย ๆ ใช้แทบไม่ชนเดือน เจริญเติบโตก้าวหน้าใน หน้าที่และตาแหน่งขึ้นไป ชั้นเงินเดือนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เพิ่มเม็ดเงิน ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการพิจารณาขั้นกันทุกหก เดือน ปีละชั้นครึ่งนี่ถือว่าเป็นของตาย เงินเดือนจึงเพิ่มเร็วกว่าในสมัยก่อนที่มีการพิจารณากันเพียงปีละครั้ง โอกาสที่จะได้สองขั้น ถ้าไม่แน่จริงหรือไม่มีเส้นมีสายจริงแล้วยากมาก ๆ ก็ได้ชิมแค่ขั้นเดียวทุกปี คนบางคน แทบจะไม่รู้เลยว่าเขามีการให้สองขั้นกันด้วย ในขณะที่คนบางคนกลับได้สองขั้นเกือบจะทุกปี ปีไหนเกรง เพื่อนร่วมงานจะนินทาก็ทาทีเป็นเว้นไม่ให้น่าเกลียดเอาฤกษ์ เอาชัยสักปี แล้วก็เริ่มต้นฟาดสองขั้นกันใหม่ในปี ถัดไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นได้สร้างบุญกันมาแต่ชาติปางไหน ถึงได้ทางานเก่งอะไรขนาดนั้น ในการเจริญเติบโตก้าวหน้าในชีวิตของการเป็นข้าราชการนั้น คนที่เป็นข้าราชการ ต้องถาม ตัวเองให้ดีเสียก่อน แล้วตอบคาถามดัวเองให้ได้โดยแน่ชัดว่าเราจะเอาดีทางไหน จะเอาเด่น จะเอาโด่ง หรือจะเอาดังในทางราชการ เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมานั้น จะมีผลและมีคาตอบที่แตกต่างกัน ซึ่งคนทุกคน ย่อมจะต้องมีความมุ่งหวังหรือมีจุดมุ่งหมาย มีความตั้งใจ หรือที่เรียกว่า อุดมคติ หรืออุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ถ้าคิดจะเอาโด่ง ไม่นานก็จะเด้ง ถ้าคิดจะเอาเด่นไม่นานก็จะด้อย ถ้าคิดจะเอาดังไม่นานก็จะดับ ซึ่งล้วนแต่ เป็นผลลัพธ์ในทางที่เป็นลบทั้งสิ้น ตรงข้ามกันถ้าเป็นความคิดในเชิงบวก คือถ้าคิดจะเอาดี ด้วยการหมั่นสร้าง ความดี ทาแต่สิ่งดี ๆ ให้กับหน่วยงาน ไม่นานก็จะได้ดี ดังพุทธวจนะที่ว่า ทาดีย่อมได้ดี ในที่ทางานหรือในหน่วยงาน ไม่ได้มีแต่เราเพียงลาพังคนเดียว ย่อมประกอบไปด้วยสิ่งที่เรา เรียกเหมารวมว่า เพื่อนร่วมงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้บังคับบัญชา หรือ เจ้านาย ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่ เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าตนเองรับราชการอยู่ในระดับใด ถ้าอยู่ในชั้นล่างสุด ย่อมมีเจ้านายหลายคน หลายระดับ ถ้าสูงสุดก็มีเพียงคนเดียว เจ้านายนี่นอกจากจะอยู่ภายในหน่วยงานเดียวกันแล้ว ยังมีเจ้านายที่อยู่ต่าง หน่วยงานอีก เจ้านายนี่ส่วนมากมักจะเป็นผู้ชาย เว้นบางหน่วยงานซึ่งอาจมีผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถ และก้าวขึ้นมาเป็นเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นได้
  • 4. ๔ ประเภทที่สองคือ เพื่อนร่วมงาน คือคนที่ทางานร่วมกับเรา อาจมีระดับเดียวกันหรือ ใกล้เคียงกัน สูงต่ากว่ากันไม่มากนัก อายุอาจจะใกล้เคียงกันหรือห่างกัน เพศย่อมมีทั้งสองเพศแน่นอนตาม มาตรฐานของราชการ หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ คือมีทุกเพศทุกวัยนั่นเองเพื่อนร่วมงานย่อมมีทั้งที่ทางานเดียวกัน และต่างหน่วยงาน เพื่อนร่วมงานนั้นมีทั้งที่สนิทสนม และที่สนิทสนมเป็นพิเศษ หรือที่เรียกว่า มิตรสหาย หรือเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานที่ร่วมงานและรู้จักกันธรรมดา มีการติดต่อสัมพันธ์กันเพียงแค่เรื่องของงาน เท่านั้น แพราะต่างคนต่างทางานในหน้าที่ของตน จะเกี่ยวบ้างก็ตอนที่ต้องอาศัยติดต่อสัมพันธ์หรือต้องอาศัย ข้อมูลที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติงานเท่านั้น เพื่อนร่วมงานนี่ว่าไปแล้ว อาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเรา โดยตรงบ้าง ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่ไม่ดีมากกว่า เช่น เจ้านายอาจจะมองไปว่าเราไปร่วมกลุ่ม ร่วม แก๊ง กับพวกที่ท่านไม่ชอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเราแน่นอน ประเภทที่สาม คือ ลูกน้อง ลูกน้องนี่แหละที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ กับตัวเรา หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีทั้งคุณและโทษ ลูกน้อง มีทั้งลูกน้องโดยตรงที่มีหลายระดับอยู่ที่ว่าเราเป็นเจ้านายที่นั่งอยู่ ในระดับไหน และยังมีลูกน้องที่อยู่ต่างหน่วยงานอีก ที่เราอายจจะไม่มีคุณและโทษต่อลูกน้องพวกนั้นมากนัก แต่บางครั้งบางโอกาสอาจมีผลบ้าง เช่นในเวลาพิจารณาตาแหน่งหน้าที่หรือขั้นเงินเดือน ที่เราต้องเข้าไ ปมี ส่วนเกี่ยวข้องด้วย ประเภทสุดท้าย คือ ประชาชนและสื่อมวลชน ในการทางานราชการให้เจริญก้าวหน้านั้น เพียงบุคคลเท่าที่กล่าวมาแล้ว บางครั้งอาจจะยังไม่พอที่จะส่งผลหรือมีผลหรือมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต ก้าวหน้ามากนัก โดยเฉพาะกับหน่วยงานหรือบุคคลที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงหรือกาลังจะมีชื่อเสียงหรือกาลังจะ ดัง หรือ ต้องทางานใกล้ชิดกับประชาชนหรือสื่อมวลชนหรือเป็นคนของประชาชน ต้องอาศัยเสียงหรือ ความเห็นจากประชาชนหรือสื่อมวลชน หรือที่เราเรียกว่าเสียงนกเสียงกา ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกาลัง ส่งเสริมหรือแรงหนุนให้กับเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ในการคิดเอาดีทางราชการต้องถามตัวเองด้วยว่า ใครจะเป็นคนที่สามารถช่วยให้เรา ได้ดี ลูกน้องทั้งลูกน้องโดยตรงและลูกน้องต่างหน่วยงาน เพื่อนร่วมงานหรือมิตรสหาย ผู้บังคับบัญชาหรือ เจ้านายโดยตรงหรือเจ้านายหน่วยงานอื่น ในหน่วยงานธรรมดาที่ไม่สูงมาก บุคคลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการ เจริญเติบโตและก้าวหน้าในการทางานของเรา ด้วยเหตุนี้การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมี แรงหนุน แรงฉุด แรงดันไม่เท่ากันแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ขอให้จาไว้เลยว่าในการทางานไม่ว่าจะใน หน่วยงานประเภทใด ระดับใด คนที่จะมีแรงมีพลังช่วยฉุดช่วยดึง ช่วยลากเราได้แรงที่สุดก็คือเจ้านายโดยตรง ของเรานั่นเอง ดังนั้นใครก็ตามที่ทะเลาะกับเจ้านายของตนเองแล้วละก็ บุคคลนั้นก็ยากที่จะได้ผุดได้เกิดอีกใน ชาตินี้ รวมถึงการทะเลาะเบาะ แว้งกับบรรดาวงศ์วานว่านเครือของท่านด้วยเช่นกัน ในที่ทางาน ย่อมประกอบไปด้วยผู้ร่วมงานที่มีความหลากหลาย ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ชาติ วุฒิ รวมทั้งเพศ จริงอยู่เพศตามมาตรฐานราชการมี สองเพศ แต่ในปัจจุบันมีความหลากหลายทางพันธุกรรม จึงเกิดมีเพศที่สามขึ้นทั้งหญิงและชายที่กลายพันธ์ เป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว เป็นทอม เป็นดี้ แต่ในความหลากหลาย
  • 5. ๕ เหล่านั้น มีสิ่งสาคัญคือพฤติกรรมหหรือสันดานของแต่ละคนที่จะสาแดงออกมาในแต่ละโอกาส เช่น บางคนพูด น้อย บางคนพูดมาก บางคนพูดเพราะ บางคนใช้แต่ภาษาสมัยพ่อขุนราม บางคนใจดี ใจกว้างเป็นแม่น้า บาง คนหน้าเปื้อนยิ้มตลอด บางคนขี้เหนียว ขี้ตืด บางคนเอาใจตนเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ หน้าบึ้งหน้าบูดโมโหร้าย บางคนอารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา หรือบางคนชอบจิ๊กของหลวงไปเป็นสมบัติของตัวเอง หรือเวลามาทางาน บางคนมาเช้ากลับเย็นกลับค่า บางคนมาสายตลอดแถมยังกลับก่อนชาวบ้านเขาเสียอีก บางคนมาทางานบ้าง ไม่มาบ้าง มีเรื่องต้องหยุดต้องลาตลอด และนอกจากที่กล่าวมานี้ ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ อีกหลากหลาย ไม่เชื่อ ท่านลองสังเกตดูในที่ทางานของท่านบางที อาจจะได้พบกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ในวงการราชการบ้างก็ได้ เมื่อข้าราชการในที่ทางานมีความหลากหลายทางพฤติกรรม จึงไม่แปลกใจที่แต่ละคนจะ สาแดงพฤติกรรมหรือสันดานเดิมของตนเองออกมา บางครั้งก็ออกมาโดยไม่รู้ตัว เราจึงเห็นสันดานดิบของแต่ ละคนได้อย่างชัดเจน เราอาจจะพบว่าข้าราชการบางคน หลงผิดคิดว่าการทาตนให้โด่งนั้นจะทาให้ได้ดี จึงมัก ทาตนให้เป็นคนเจ้าปัญหา เจ้าคารม เจ้าโวหาร เจ้าปัญญา จนเจ้านายหมั่นไส้ ผลที่ออกมาคือ กลายเป็นไม้ บอนไซ ที่เจ้านายเขาเลี้ยงไว้ในกระถางใช้ประดับสานักงานไม่เจริญเติบโตตามที่ควรจะเป็น ข้าราชการบางประเภทบางคน หลงตัวหรือหลงผิดคิดไปว่า ตัวข้านี้ดี ตัวข้านี้เก่ง หรือตัวข้า นี้แน่กว่าใคร แม้แต่เจ้านาย เพื่อนฝูง ก็ไม่มีใครเก่งเกินข้า บุคคลประเภทนี้จะเติบโตและก้าวหน้ายาก เพราะ จะมีแต่คนหมั่นไส้ มีศัตรูรอบด้าน ไม่มีใครคบหรืออยาก ทางานด้วย เป็นโรคสังคมรังเกียจ คนจาพวกนี้ความจริงแล้วเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะถ้า มองและศึกษาลงไปลึก ๆ จะพบว่าเขาเป็นคนที่มีปมด้อยอย่างแรง จึงต้องแสดงความเด่นออกมาเพื่อกลบ เกลื่อนหรือปิดบังปมด้อยของตนเอง เป็นการหลอกตนเองและหลอกผู้อื่นไปในคราวเดียวกัน โดยที่เขาอาจจะ ไม่รู้ตัวด้วยซ้าไป ยังมีข้าราชการบางคนบางประเภทที่มีพฤติกรรมชอบทาตัวเป็นหัวโจก ในที่ทางานในหมู่ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง หรือลูกน้อง ด้วยการเป็นปากเสียง เป็นผู้รักษาประโยชน์เป็นตัวแทนของคนกลุ่มน้อย สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นา เป็นหัวหน้า คนประเภทนี้ เจริญก้าวหน้ายากเช่นกัน เจ้านายจะเอาปูนหมายหัว ไว้ รับรองว่าไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะชอบทาให้นายลาบากและอึดอัดใจ ชอบสร้างแต่ปัญหาให้นายคอยแก้อยู่ ร่าไป คนประเภทนี้แทบจะไม่มีโอกาสและไม่เคยได้ดี ได้เป็นใหญ่เป็นโตในวงราชการ เป็นเพราะไม่ชอบเสวนา กับบัณฑิตหรือนักปราชญ์ ที่จะช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้า ไปคบแต่กับเด็กๆ คบแต่คนพาล ที่มีแต่จะดึง จะ ฉุดให้ดิ่งลงสู่ที่ต่ากว่า สุดท้ายก็จะกลายเป็น คางคกตายซาก จนเกษียณอายุราชการไปในที่สุด ข้าราชการบางคน บางประเภท อยากเด่น อยากดัง ชอบพูด ชอบอภิปราย ชอบแสดงตัว ชอบแสดงปัญญา ความรู้และโวหารในที่ประชุม ประเภทนี้ก็โตยากเช่นกัน เพราะบางครั้งพฤติกรรมที่แสดง ออกมา กลายเป็นการไปหักหน้าเจ้านาย ทาให้เจ้านายขายขี้หน้าคนประเภทนี้ถ้ามองลงไปลึก ๆ จะพบว่า ความจริงแล้ว เขาตัวเล็ก ตาแหน่งต่า ความรู้น้อย อยากจะคารามให้เป็นเสียงของราชสีห์ที่มีพลังอานาจ เพื่อข่มขู่ให้ศัตรูขยาดและเกรงกลัว แต่เพราะเขาด้อยในศักยภาพเสียงคารามของเขาจึงกลายเป็นเพียง
  • 6. ๖ เสียงหมาน้อยเห่าใบตองแห้ง เห็นอะไรผิดหูผิดตาเป็นอดเห่าไม่ได้ นานเข้าเสียงของเขาก็กลายเป็นเพียงเสียง ของหมาที่เห่าหอนในยามค่าคืน เพราะยิ่งห่างไกลเพื่อนฝูงที่ได้ดิบได้ดีก้าวหน้ากันทุกคน ข้าราชการบางคนบางประเภทหลงผิดคิดเหมาไปเองว่า ตนเป็นผู้ที่มีความรู้ดี และวิเศษไปกว่าใคร ๆ ทุกคน มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจนกลายเป็นทิฐิ และคิดเอาเองว่า สิ่งที่ตนมีนั้นจะช่วยให้ตนก้าวหน้าใหญ่โตในวงราชการได้ จึงใช้ความรู้ความสามารถของตนทางานอย่างเต็มที่ จนลืมเพื่อนร่วมงาน คนประเภทนี้เพื่อนร่วมงานจึงไม่คบหาสมาคมด้วย ไม่เล่นด้วย ไม่เห็นด้วย ก็เข้าใจไปว่า เพื่อนร่วมงานอิจฉาริษยา ปัดแข้งปัดขา เจ้านายกดขี่ข่มเหง ข้าราชการประเภทนี้ ทางานอย่างไม่มีความสุข โดยไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ต้วก็สายเสียแล้ว บางคนแก่จนใกล้จะเกษียณก็ยังไม่ลดทิฐิ มีข้าราชการอีกจาพวกหนึ่งที่หลงผิดคิดไปว่าการจาทางานราชการให้ได้ดี ต้องทางานดีอย่าง เดียว ข้าราชการประเภทนี้จึงบ้างาน ก้มหน้าก้มตาทางานงุด ๆ เหมือนโคกินหญ้า ไม่มองหน้าใคร ไม่คบ เพื่อนฝูง ไม่เข้าสังคม ไม่ขึ้นแก่เจ้านาย ไม่อาศัยเพื่อน ไม่พึ่งลูกน้องตัวข้ามาคนเดียวโดดๆ กลัวไปว่าคนอื่นจะ มาแย่งเอาความดีความชอบไปเสียจากตนเอง ข้าราชการจาพวกนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเมื่อยามที่เขาเงย หน้าขึ้นจากงาน จะพบว่าเพื่อนฝูงผู้ร่วมงาน ล้วนก้าวหน้าเติบโตล้าหน้าไปไหนต่อไหนแล้ว จนต้องมีสุภาษิตตัว โต ๆ เขียนประชดไว้ที่โต๊ะว่า ก้มหน้าทางานเป็นเต่าล้านปี ไม่มีใครได้ดีในวงราชการ ยังมีข้าราชการบางคนบางประเภท ที่เป็นคนดีศรีสังคม ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ดี น่ายก ย่องและชมเชย แต่บางครั้งก็กลับกลายเป็นคนที่ดีจนเกินไปในวงราชการ บริสุทธิ์ดุจผ้าขาว ไม่ข้องแวะกับ อบายมุขใด ๆ ทั้งสิ้น สโมสรไม่เข้า เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สุบร้านกาแฟไม่นั่ง บาร์ไม่เข้า ไนท์คลับ อาบอบนวดไม่ รู้จัก ร้านอาหารหรู ๆ ไม่เคยเข้าไปลิ้มรส เช้ามาทางานตกเย็นกลับบ้าน เดินทางเป็นเส้นตรง ไม่เคยแวะเวียน ออกนอกเส้นทาง ชีวิตไม่ต่างจากหุ่นยนต์หรือถูกตั้งโปรแกรมชีวิต เอาไว้อย่างนั้น เมื่อมามองดูหน้าที่การงาน จะพบว่า ข้าราชการประเภทนี้ มักจาเจอยู่ในตาแหน่งเดิมนานมากจนเกินไป จนรู้สึกเซ็งและเบื่อหน่ายในชีวิต ไม่รู้จะไปทางไหน มองไปทางไหนก็ดูมืดมนหดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เหมือนเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่อ่อนกาลัง ไม่ มีโอกาสได้ก้าวสู่ตาแหน่งงานใหม่ หรือเปลี่ยนงานใหม่ที่ท้าทายมากกว่า สถานภาพทางครอบครัวของข้าราชการในที่ทางานแต่ละแห่ง แต่ละที่ก็ย่อมมีความตกต่าง และมีความหลากหลาย มีทั้งมั่งมีหรือรวยที่สุด เป็นครอบครัวคนชั้นสูง มีหน้ามีตา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี หรือ ครอบครัวที่จัดว่ารวยหรือค่อนข้างมีเงิน ที่พอจะมีเกียรติอยู่บ้าง หรือครอบครัวที่รวยปานกลางหรือพอจะมี แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ยากไร้ในสิ่งเหล่านั้น มาจากครอบครัวที่ยากจน เป็นสกุลของชนชั้นล่างหรือต่าต้อยในสังคม เมื่อมาอยู่ในตาแหน่งหน้าที่ที่มีเกียรติ มีหน้า มีตา มีอานาจก็มักจะเกิดอาการลืมตัว หยิ่งผยอง แสดงอานาจ เห่อในยศศักดิ์ ที่ตนเอง และ พ่อแม่ปู่ย่าตายายไม่เคยมี จนทาให้ลืมญาติพี่น้อง บิดา มารดา หรือแม้แต่เพื่อน ฝูง ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้ลืม แต่เป็นเพราะมมีปมด้อยในสิ่งเหล่านี้อย่างรุนแรง จึงต้องพยายามปิดบังอาพราง และกลบเกลื่อนปมเงื่อนในปูมหลังของตนเองเอาไว้
  • 7. ๗ มีข้าราชการอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นข้าราชการที่จบจากสถาบันการศึกษาระดับสูง ข้าราชการประเภทนี้เมื่อออกไปรับราชการ มักจะเก่งแต่ภาคทฏษฏี เป็นคนอยู่ในระเบียบแบบแผน อยู่ในวินัย คิดอะไร ทาอะไร ตามแบบแผนขนบธรรมเนียมของข้าราชการทั่วไป ทั้งนี้เป็นผลมาจากระบบการศึกษาหรือ จากการอบรมที่ได้รับมา ซึ่งมีการทางานเป็นขั้นเป็นตอนตามหลักเกณฑ์ หลักการ หรือทฏษฏี ตรงกันข้ามกับ ข้าราชการอีกประเถทหนึ่ง ที่ต้องต่อสู้ไต่เต้าขึ้นมาเองด้วยการศึกษาเรียนรู้ ลองผิด ลองถูก ด้วยตนเอง หรือ จากการเรียน การสอนจากสถานศึกษาตามเกณฑ์ หรือไม่มีระบบ ระเบียบ แบบแผนที่แน่นอน ข้าราชการ ประเภทนี้มักจะเป็นพวกที่ คิด พูด เขียน ทาอะไรที่นอกลุ่นอกทางตามใจตนเอง ไร้กฏเกณฑ์ หลักการ หรือ ทฤษฏี จะไม่ค่อยมีและอยู่ในแบบแผนประเพณีอะไร สิ่งสาคัญประการหนึ่งในการทางาน ไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรืองานอื่นใดก็แล้วแต่ ถ้ามีคน ที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นนั่นคือ การมีมนุษยสัมพันธ์ โดยเฉพาะในการทางานราชการ อัธยาศัยไมตรีที่เข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงานอื่นนั้น สาคัญเป็นอันมาก คนจะ รับราชการได้ดีหรือล้มเหลวสิ่งนี้เป็นปัจจัยสาคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่น ข้าราขการที่เก่ง ๆ มีความรู้ ความสามารถดี แต่ต้องตกกระป๋อง ตกต่าไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ซึ่งเจ้าตัวเองอาจไม่รู้ไม่ทราบหรอกว่า เป็นเพราะสาเหตุใด เพราะไม่มีกระจกคอยส่องดูเงาของตนเอง แต่คนอื่นที่คอยดูอยุ่จากภายนอก เขาจะรู้ว่า เป็นเพราะการขาดมนุษยสัมพันธ์ ขาดศิลปะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือเป็นคนขาดอัชฌาสัยที่เข้ากันได้ กับบุคคลอื่นนั่นเอง ข้าราชการบางคนบางประเภท สาคัญผิดคิดและนึกว่าตนเองเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคน ฉลาด เป็นคนมีความสามารถ เป็นคนเข้มแข็งเหนือกว่าคนอื่น ตนเองมีความเหมาะสมหรือสมควรจะได้รับ การเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตาแหน่งหน้าที่ให้สูงขึ้น โดยลืมความจริงไปว่า โลกนี้เปรียบเสมือนโรง ละครอันกว้างใหญ่ มนุษย์ทุกคนทุกผู้ทุกนามต่างก็เป็นตัวละครทั้งสิ้น ต่างคนก็สวมบทบาทรับบทคล้ายกับ ตัวละครที่กาลังแสดงบทบาทอยู่บนเวที ซึ่งผู้เล่นหรือผู้สวมบทบาทจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบทบาทที่ตนเล่น นั้นเป็นอย่างไร ดีหรือสมบทบาทหรือไม่ เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้ชมหรือไม่ ต้องให้คนอื่นที่เป็นคนดูเป็นผู้ชม ติชมเป็นคนตีราคาค่าตัว ถ้าเล่นได้สมบทบาท เล่นได้ดีจริงเป็นที่ประทับใจ ผู้ชมย่อมจะติดตาฝังใจเฝ้าติดตาม ผลงานเป็นธรรมดา จะถึงคราวตกต่าก็คงจะเป็นไปได้โดยยาก ในทางกลับกันถ้าบทบาทความสามารถไปไม่ ถึงขั้น เล่นไม่สมบทบาท เล่นไปก็ไม่มี่ใครชอบไม่มีใครติดใจหรือนิยมชมชอบ จะไปโทษคนอื่นว่า ไม่มีหู ไม่มีตา หารสนิยมไม่ได้อย่างไร ต้องย้อนหันมาดูที่ตัวเราเอง ต้องโทษตัวเราเอง ว่ายังแสดงไม่ดี เล่นไม่สมบทบาท จะ ไปโทษคนอื่นในทานองว่า ราไม่ดีโทษปี่โทษกลองไม่ได้ การเล่นละครไม่สมบทบาท ก็เหมือนกับการเป็น ข้าราชการที่ทางานได้ไม่สมกับหน้าที่ของตน ธรรมชาติของคนเรามีตาไว้สาหรับการมอง ในการมองของคนเรามักจะมองดูคนอื่นหรือสิ่ง อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวมากกว่า จนลืมมองดูตัวเอง จริงอยู่ทุกคนอาจจะส่องดูเงาตัวเองในกระจกทุกวัน บางคน วันละหลายๆ ครั้ง แต่นั่นเป็นการมองดูสารรูป เรือนร่างหรือรูปร่างหน้าตาของตนเอง เท่านั้น ซึ่งเป็นการ มองแต่เปลือกหรือผิวการภายนอก ไม่มีใครคิดที่จะมองลึกเข้าไปถึงข้างใน คนเราส่วนมากเกือบจะร้อย
  • 8. ๘ เปอร์เซนต์ ไม่รู้จักตัวเอง มักจะรู้จักผู้อื่นมากกว่าตัวเอง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกันหรือ ทางานด้วยกัน จะเห็นกันอยู่ทุกวันอยู่ในสายตาเกือบจะตลอดเวลา จึงได้พบได้เห็นทั้งข้อดีข้อเสียของคนอื่น โดยที่ไม่เห็นข้อดีหรือข้อเสียของตนเอง ดังนั้นการที่จะทาให้เรารู้จักตัวเราได้ดี รุ้จักความเป็นตัวตนของเรา มากยิ่งขึ้น เราต้องฟังเสียงฟังคาติชมของคนอื่นบ้าง เพื่อที่จะได้เป็นกระจกสะท้อนเงาของตัวเรา ซึ่งเสียงที่ สะท้อนย้อนกลับมาสู่ตัวเรานั้น ถ้าเป็นเสียงของคนที่เป็นเพื่อนสนิทหรือมิตรสหายเป็นคนที่รักที่ชอบเรา เสียง นั้นย่อมฟังไพเราะเสนาะหูเสมอ แต่กับเสียงของคนที่เป็นศัตรู เสียงของคนที่เราไม่ชอบ หรือเสียงของคนที่ไม่ ชอบเรา มักเป็นเสียงที่ไม่ไพเราะหู เรามักจะไม่ชอบทั้งที่อาจจะเป็นเสียงเป็นคาพูดที่ออกมาจากใจที่แท้จริงก็ ได้ จนลืมคาโบราณที่กล่าวไว้ว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา ข้าราชการบางคนบางประเภทที่วางท่าเป็นนายประชาชน สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะในสมัยหนึ่งที่ผ่านมา ที่ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนเช่นนี้อยู่เป็นจานวนมากจนกลายเป็น รัฐราชการ ประชาชนถูกรังแก กดขี่ ข่มเหง จนตกอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัว ที่ข้าราชการเหล่านั้น ประพฤติตัวเช่นนั้นได้ ก็เฉพาะประชาชนที่โง่เขลากว่าหรือขาดความรู้ความเข้าใจเท่านั้น แต่เมื่อประชาชน ได้รับการศึกษา มีการเรียนรู้มากขึ้น ประชาชนมีความฉลาดเท่าหรือฉลาดกว่าข้าราชการ ข้าราชการประเภท นี้ไม่มีทางจะเป็นนายของประชาชนเหล่านั้นได้เลย และจะค่อยๆ สูญพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปในที่สุด หรือไม่ก็ คงต้องตกอยู่ในฐานะผู้บริการหรือผู้รับใช้ประชาชนตามความหมายของคาว่า ข้าราชการนั่นเอง ............................................................
  • 9. ๙ บทสรุป ผู้ที่ตั้งใจและคิดจะหันมาเอาดีในการประกอบอาชีพรับราชการหรือเป็นข้าราชการ ต้องพึง ระลึกอยู่เสมอว่า อาชีพรับราชการนั้น มีกฏ มีระเบียบ มีข้อบังคับ กากับอยู่มากมาย การจะกระทาสิ่ง ใดที่เกี่ยวข้องกับการงานในหน้าที่โดยตรงหรือโดยอ้อม ต้องปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะละเลย ละ เว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัตินอกลู่นอกทางหรือใช้อานาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายไปใช้ในทางที่จะเอื้อ ผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพรรคพวกไม่ได้ ถ้าเกิดความผิดพลาดหรือพลาดพลั้ง โอกาสถูกพิจารณาลงโทษ ลงทัณฑ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการ จะให้เกิดเป็นมลทินแปดเปื้อน ชีวิตการรับราชการของตน ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการจึงเป็นสิ่ง ประเสริฐหรือดีที่สุด ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือปรัชญาของแต่ละคน ที่ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นข้อ เตือนใจในการปฏิบัติงาน ปรัชญาของข้าราชการซึ่งแต่ละคนยึดถือและนามาปฏิบัติ จึงเปรียบเสมือนเข็ม ทิศนาทางที่จะนาให้ผู้ที่ตั้งใจประกอบอาชีพรับราชการก้าวไปสู่จุดหมายหรือไปสู่ความสาเร็จตามที่ได้ตั้ง ปณิธานไว้ ยามที่ท่านส่องกระจกดูเงาของตนเอง ลองมองลงไปลึก ๆ สารวจดูตัวเองว่า เราเป็น ข้าราชการประเภทไหน ประพฤติปฏิบัติตนสมกับการเป็นข้าราชการที่ดีหรือไม่ และได้ทาตามปรัชญา ปณิธาน ตามที่ตนเองได้ตั้งไว้หรือเปล่า โดยเฉพาะข้าราชการที่ได้ผ่านการกล่าวคาถวายสัตย์ต่อเบื้องพระ พักตร์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลปัจจุบัน ดารงชีวิตอยู่เพื่อความสงบสุข รู้จักพอ รู้จักละ รู้จักทาใจ ยิ้มให้ได้ บอกตัวเองเสมอ ๆ ว่า......... เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี สร้างความดี สร้างคุณธรรม ไม่ใช่เกิดมาเพื่อสร้างบาปกรรม ....ดีชั่วที่ทาไว้ส่องให้โลกเห็น... .............................................................................. อ้างอิง เทพ สุนทรสารทูล ปรัชญาข้าราชการ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย กรุงเทพฯ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์ กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๔๖