SlideShare a Scribd company logo
Digital Divide  หรือ อินเทอร์เน็ตกับความเหลื่อมล้ำ
ปัจจุบัน  Digital Divide  หมายถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ใน  2  ระดับคือ   1.  ความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรกลุ่มต่าง ๆ ภายในประเทศ ที่มีโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้แตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองใหญ่กับประชากรในชนบท ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีเพศ อายุ ต่างกัน ระหว่างผู้ที่มีระดับการศึกษาต่างกัน ระหว่างผู้ที่มีเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่ต่างกัน รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ของผู้พิการ ที่อาจน้อยกว่างบุคคลทั่วไปอีกด้วย   2.  ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับและรูปแบบที่ต่างกัน คือระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและมีความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างมากกับประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมักจะครอบคลุมถึงประเทศยากจน   ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคของการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้  ( Digital Divide)  พอสรุปได้  4  กลุ่ม คือ
1.  ปัจจัยเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ  :  ความพร้อมของโครงสร้างในแต่ละพื้นที่จซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ต่างกัน เช่น โอกาสในการใช้ไฟฟ้า ,  การใช้โทรศัพท์ และโทรศัพท์มือถือ ,  การแพร่กระจายของการใช้คอมพิวเตอร์ ,  การใช้อินเทอร์เน็ต ,  การใช้ดาวเทียม เป็นต้น   2.  ปัจจัยเกี่ยวกับความแตกต่างของลักษณะของประชากร  :  ตัวแปรเกี่ยวกับลักษณะของประชากรที่ใช้เป็นเครื่องชี้วัด  Digital Divide  มีหลายตัวแปรเช่น รายได้ ระดับการศึกษา ลักษณะของเชื้อชาติและวัฒนธรรม   3.  ปัจจัยด้านนโยบาย  :  เช่นนโยบายด้านการเปิดเสรีเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นราคาสินค้าและบริการด้านสารสนเทศลดต่ำลงซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีโอกาสเข้าถึงสารสนเทศได้มากขึ้น
4.  ปัจจัยอื่น ๆ  :  เช่น ขนาดขององค์กรประเภทของธุรกิจ ที่ตั้งขององค์กร ความแตกต่างของธุรกิจมีผลต่อการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น   จะเห็นว่าถึงแม้ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้จะไม่ได้มีความหมายถึงเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแต่อย่างเดียว แต่การพิจารณาดังกล่าวก็ให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมาก และถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะในโลกสมัยปัจจุบันอินเทอร์เน็ตนับเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่กว้างใหญ่ที่สุด และยังเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารที่สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง
มีบทความของผมในนิตยสาร  Competitiveness Review  ฉบับที่สอง เป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจมีอยู่ในข้อสอบบ้างบางส่วน ปัจจุบัน  Digital Divide  นับว่าเป็นปัญหาหลักของการพัฒนาอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น  E - Commerce, E - Learning, E - Government, Online Advertising  ถ้าดูที่ตัว  Root Cause  ของปัญหาว่าทำไม  E - Commerce  ถึงเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำไม  Online Advertising  ถึงเติบโตต่ำ การทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ ทั้งหมดมันมุ่งไปที่ประเด็นในเรื่องของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง  Digital Technology  หรือที่เรียกว่า  Digital Divide ความหมายของ  Digital Divide  คือ เป็นช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีได้กับกลุ่มคนที่ไม่สามารถจะเข้าถึงได้ ช่องว่างเหล่านั้นมีความสำคัญเนื่องมาจากว่ามันนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา สังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจ เแน่นอนว่าคนที่จะสามารถเข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีได้คือคนที่เข้าถึงข้อมูลหรือองค์ความรู้ได้มากกว่าคนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้
Digital Divide  ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในไทยเท่านั้น แต่เป็นในระดับโลกด้วย ประชากรในโลกเรามีประมาณ  6   พันล้านคน ถ้าแบ่งตามสถานะภาพทางเศรษฐกิจ จะมีประมาณ  1   พันล้านคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี หมายถึงมีสถานภาพที่ไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องของเงิน โดยปกติจะมีรายได้มากกว่า  2   หมื่นเหรียญ  US dollar  หรือ ประมาณ  7   แสนบาทต่อปี แต่นี้เป็นเกณฑ์ของ  UN  ที่กำหนดไว้ คนส่วนใหญ่ที่อยู่ใน  1   พันล้านคนเป็นคนที่มีความสามารถในการเข้าถึง  Digital Technology  ได้ แต่อีก  5   พันล้านคนประกอบไปด้วย  2   พันล้านคนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจ หรือ พูดง่ายๆ คือ พออยู่ได้ไปวันๆ มีประมาณ  2   พันล้านคน รวมไปถึงประชากรที่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย เวียดนาม เป็นต้น แต่ก็ยังมีอีก  3   พันล้านคนซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตไปวันๆ พูดง่ายๆ ก็คือรายได้จะอยู่ที่ประมาณ  1   ดอลล่าร์ต่อวันหรือประมาณ  30   บาทต่อวัน และที่แน่นอนไม่ใช่เฉพาะ  Digital Technology  อย่างเดียวแต่หมายถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานด้วย คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้ ปัญหาของ  Digital Divide  ก็คือในโลกนี้มีเฉพาะคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง  Digital Technology  ได้ ถึงแม้ว่าเราจะ
เห็นการเจริญเติบโตของ  E - Commerce  หรือ การเติบโตของ  Social Media  นั้นก็เพราะพวกเราส่วนใหญ่อยู่ในส่วนบนของพิรามิด แต่ถ้าเราได้มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดเราก็จะได้เห็นชัดว่า คนในต่างจังหวัดเนี่ยยังเข้าไม่ถึง  Digital Technology  นี่ยังเป็นปัญหาหลักในส่วนของโลกเลยก็ว่าได โดยเฉพาะ  Digital Divide  จะเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ไม่ใช่ว่าจะประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีปัญหานี้อยู่แต่ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา ทาง  UN  ได้จัดลำดับชื่อว่า  E - Readiness  โดยดูจากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีในแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่  47   ก็ถือว่าปานกลาง เราดีกว่าฟิลิปปินส์แต่ก็ยังด้อยกว่ามาเลเซีย สิงคโปร์ และแมกซิโกด้วยซ้ำ Digital Divide  ในส่วนของอาเซียน จะพบว่า โครงสร้างพื้นฐานของเรายังมีความไม่เท่าเทียมกันมาก มีความห่างไกลระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วยกตัวอย่างเช่น สิงคโปร์กับประเทศที่เหลือ จะเห็นได้ว่าอย่างในกรณีของ  Internet Users  ของไทยเมื่อเทียบตามจำนวนประชากรของประเทศเรายังถือว่าน้อยอยู่ น้อยกว่าฟิลิปปินส์และเวียดนามในปัจจุบัน
ดูที่โครงสร้างพื้นฐานของโทรศัพท์ จะเห็นว่าประเทศในเอเชียและแปซิฟิกก็ยังคงมีค่อนข้างต่ำอยู่ Digital Divide  ยังเป็นผลกระทบของความแตกต่างในการเข้าถึง  Digital Technology  ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำอื่นๆ เพราะมันทำให้คนมีความแตกต่างในการเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล สาเหตุหลักๆ ของ  Digital Divide  สามารถแบ่งได้หลายมิติด้วยกันได้แก่ 1 . ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของประเทศ 2 .  ปัจจัยด้านราคา และคุณภาพของการให้บริการ 3 . ปัจจัยด้านการศึกษา 4 .  ปัจจัยด้านอายุ 5 .  ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคม และภาษา :  โดยบางวัฒนธรรมอาจมีการปิดกั้นไม่ให้คนใช้ หรือการเข้าถึง  Digital Technology  ปัจจัยด้านภาษาก็มีส่วนสำคัญ เนื่องจากภาษาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าดูที่ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อน จะเห็นว่า ในประเทศไทยการใช้คอมพิวเตอร์ ,  อินเตอร์เน็ตยังกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยพื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุดก็คือในตะวันออกเฉียงเหนือ จะเห็นได้ว่ามีความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละพื้นภาค ถ้าไปดูที่ระดับการศึกษาจะพบว่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงยิ่งมีโอกาสเข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีมากกว่าคนที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่า แสดงจำนวนอัตราส่วนระหว่างนักศึกษา  1   คนต่อ  PC  จะเห็นได้ว่านักศึกษายิ่งสูง ยิ่งทำให้การเข้าถึง  Digital Technology  ได้ยิ่งสูงตามไปด้วย จำนวนคนที่จบด้าน  ICT  ของประเทศเราก็ยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากมีคนจบในทุกๆ ด้านทั้งหมดมีอยู่  3   หมื่นกว่าคนในปี  2550

More Related Content

Viewers also liked

World Cup Qualification Prediction - How to use it
World Cup Qualification Prediction - How to use itWorld Cup Qualification Prediction - How to use it
World Cup Qualification Prediction - How to use it
BayesiaWC2010
 
งานคอม31
งานคอม31งานคอม31
งานคอม31sarayut
 
งานคอม31
งานคอม31งานคอม31
งานคอม31sarayut
 
Say Hello To Illinois - WiP
Say Hello To Illinois - WiPSay Hello To Illinois - WiP
Say Hello To Illinois - WiPSoreh
 
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
krugh
 
World Cup Qualification Prediction - How it works
World Cup Qualification Prediction - How it worksWorld Cup Qualification Prediction - How it works
World Cup Qualification Prediction - How it works
BayesiaWC2010
 
Career path for QA in IT
Career path for QA in ITCareer path for QA in IT
Career path for QA in IT
ljintest
 

Viewers also liked (8)

World Cup Qualification Prediction - How to use it
World Cup Qualification Prediction - How to use itWorld Cup Qualification Prediction - How to use it
World Cup Qualification Prediction - How to use it
 
GameClassroom
GameClassroomGameClassroom
GameClassroom
 
งานคอม31
งานคอม31งานคอม31
งานคอม31
 
งานคอม31
งานคอม31งานคอม31
งานคอม31
 
Say Hello To Illinois - WiP
Say Hello To Illinois - WiPSay Hello To Illinois - WiP
Say Hello To Illinois - WiP
 
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
3 Pd Last Mile Delivery, Kreig Rugh
 
World Cup Qualification Prediction - How it works
World Cup Qualification Prediction - How it worksWorld Cup Qualification Prediction - How it works
World Cup Qualification Prediction - How it works
 
Career path for QA in IT
Career path for QA in ITCareer path for QA in IT
Career path for QA in IT
 

งานของบาส

  • 1. Digital Divide หรือ อินเทอร์เน็ตกับความเหลื่อมล้ำ
  • 2. ปัจจุบัน Digital Divide หมายถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ใน 2 ระดับคือ 1. ความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรกลุ่มต่าง ๆ ภายในประเทศ ที่มีโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้แตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองใหญ่กับประชากรในชนบท ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีเพศ อายุ ต่างกัน ระหว่างผู้ที่มีระดับการศึกษาต่างกัน ระหว่างผู้ที่มีเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่ต่างกัน รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ของผู้พิการ ที่อาจน้อยกว่างบุคคลทั่วไปอีกด้วย 2. ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับและรูปแบบที่ต่างกัน คือระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและมีความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างมากกับประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมักจะครอบคลุมถึงประเทศยากจน ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคของการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ ( Digital Divide) พอสรุปได้ 4 กลุ่ม คือ
  • 3. 1. ปัจจัยเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ : ความพร้อมของโครงสร้างในแต่ละพื้นที่จซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ต่างกัน เช่น โอกาสในการใช้ไฟฟ้า , การใช้โทรศัพท์ และโทรศัพท์มือถือ , การแพร่กระจายของการใช้คอมพิวเตอร์ , การใช้อินเทอร์เน็ต , การใช้ดาวเทียม เป็นต้น 2. ปัจจัยเกี่ยวกับความแตกต่างของลักษณะของประชากร : ตัวแปรเกี่ยวกับลักษณะของประชากรที่ใช้เป็นเครื่องชี้วัด Digital Divide มีหลายตัวแปรเช่น รายได้ ระดับการศึกษา ลักษณะของเชื้อชาติและวัฒนธรรม 3. ปัจจัยด้านนโยบาย : เช่นนโยบายด้านการเปิดเสรีเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นราคาสินค้าและบริการด้านสารสนเทศลดต่ำลงซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีโอกาสเข้าถึงสารสนเทศได้มากขึ้น
  • 4. 4. ปัจจัยอื่น ๆ : เช่น ขนาดขององค์กรประเภทของธุรกิจ ที่ตั้งขององค์กร ความแตกต่างของธุรกิจมีผลต่อการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น จะเห็นว่าถึงแม้ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้จะไม่ได้มีความหมายถึงเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแต่อย่างเดียว แต่การพิจารณาดังกล่าวก็ให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมาก และถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะในโลกสมัยปัจจุบันอินเทอร์เน็ตนับเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่กว้างใหญ่ที่สุด และยังเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารที่สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง
  • 5. มีบทความของผมในนิตยสาร Competitiveness Review ฉบับที่สอง เป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจมีอยู่ในข้อสอบบ้างบางส่วน ปัจจุบัน Digital Divide นับว่าเป็นปัญหาหลักของการพัฒนาอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น E - Commerce, E - Learning, E - Government, Online Advertising ถ้าดูที่ตัว Root Cause ของปัญหาว่าทำไม E - Commerce ถึงเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำไม Online Advertising ถึงเติบโตต่ำ การทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ ทั้งหมดมันมุ่งไปที่ประเด็นในเรื่องของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง Digital Technology หรือที่เรียกว่า Digital Divide ความหมายของ Digital Divide คือ เป็นช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีได้กับกลุ่มคนที่ไม่สามารถจะเข้าถึงได้ ช่องว่างเหล่านั้นมีความสำคัญเนื่องมาจากว่ามันนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา สังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจ เแน่นอนว่าคนที่จะสามารถเข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีได้คือคนที่เข้าถึงข้อมูลหรือองค์ความรู้ได้มากกว่าคนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้
  • 6. Digital Divide ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในไทยเท่านั้น แต่เป็นในระดับโลกด้วย ประชากรในโลกเรามีประมาณ 6 พันล้านคน ถ้าแบ่งตามสถานะภาพทางเศรษฐกิจ จะมีประมาณ 1 พันล้านคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี หมายถึงมีสถานภาพที่ไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องของเงิน โดยปกติจะมีรายได้มากกว่า 2 หมื่นเหรียญ US dollar หรือ ประมาณ 7 แสนบาทต่อปี แต่นี้เป็นเกณฑ์ของ UN ที่กำหนดไว้ คนส่วนใหญ่ที่อยู่ใน 1 พันล้านคนเป็นคนที่มีความสามารถในการเข้าถึง Digital Technology ได้ แต่อีก 5 พันล้านคนประกอบไปด้วย 2 พันล้านคนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจ หรือ พูดง่ายๆ คือ พออยู่ได้ไปวันๆ มีประมาณ 2 พันล้านคน รวมไปถึงประชากรที่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย เวียดนาม เป็นต้น แต่ก็ยังมีอีก 3 พันล้านคนซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตไปวันๆ พูดง่ายๆ ก็คือรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 1 ดอลล่าร์ต่อวันหรือประมาณ 30 บาทต่อวัน และที่แน่นอนไม่ใช่เฉพาะ Digital Technology อย่างเดียวแต่หมายถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานด้วย คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้ ปัญหาของ Digital Divide ก็คือในโลกนี้มีเฉพาะคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง Digital Technology ได้ ถึงแม้ว่าเราจะ
  • 7. เห็นการเจริญเติบโตของ E - Commerce หรือ การเติบโตของ Social Media นั้นก็เพราะพวกเราส่วนใหญ่อยู่ในส่วนบนของพิรามิด แต่ถ้าเราได้มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดเราก็จะได้เห็นชัดว่า คนในต่างจังหวัดเนี่ยยังเข้าไม่ถึง Digital Technology นี่ยังเป็นปัญหาหลักในส่วนของโลกเลยก็ว่าได โดยเฉพาะ Digital Divide จะเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ไม่ใช่ว่าจะประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีปัญหานี้อยู่แต่ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา ทาง UN ได้จัดลำดับชื่อว่า E - Readiness โดยดูจากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีในแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 47 ก็ถือว่าปานกลาง เราดีกว่าฟิลิปปินส์แต่ก็ยังด้อยกว่ามาเลเซีย สิงคโปร์ และแมกซิโกด้วยซ้ำ Digital Divide ในส่วนของอาเซียน จะพบว่า โครงสร้างพื้นฐานของเรายังมีความไม่เท่าเทียมกันมาก มีความห่างไกลระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วยกตัวอย่างเช่น สิงคโปร์กับประเทศที่เหลือ จะเห็นได้ว่าอย่างในกรณีของ Internet Users ของไทยเมื่อเทียบตามจำนวนประชากรของประเทศเรายังถือว่าน้อยอยู่ น้อยกว่าฟิลิปปินส์และเวียดนามในปัจจุบัน
  • 8. ดูที่โครงสร้างพื้นฐานของโทรศัพท์ จะเห็นว่าประเทศในเอเชียและแปซิฟิกก็ยังคงมีค่อนข้างต่ำอยู่ Digital Divide ยังเป็นผลกระทบของความแตกต่างในการเข้าถึง Digital Technology ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำอื่นๆ เพราะมันทำให้คนมีความแตกต่างในการเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล สาเหตุหลักๆ ของ Digital Divide สามารถแบ่งได้หลายมิติด้วยกันได้แก่ 1 . ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของประเทศ 2 . ปัจจัยด้านราคา และคุณภาพของการให้บริการ 3 . ปัจจัยด้านการศึกษา 4 . ปัจจัยด้านอายุ 5 . ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคม และภาษา : โดยบางวัฒนธรรมอาจมีการปิดกั้นไม่ให้คนใช้ หรือการเข้าถึง Digital Technology ปัจจัยด้านภาษาก็มีส่วนสำคัญ เนื่องจากภาษาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ
  • 9. ถ้าดูที่ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อน จะเห็นว่า ในประเทศไทยการใช้คอมพิวเตอร์ , อินเตอร์เน็ตยังกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยพื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุดก็คือในตะวันออกเฉียงเหนือ จะเห็นได้ว่ามีความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละพื้นภาค ถ้าไปดูที่ระดับการศึกษาจะพบว่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงยิ่งมีโอกาสเข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีมากกว่าคนที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่า แสดงจำนวนอัตราส่วนระหว่างนักศึกษา 1 คนต่อ PC จะเห็นได้ว่านักศึกษายิ่งสูง ยิ่งทำให้การเข้าถึง Digital Technology ได้ยิ่งสูงตามไปด้วย จำนวนคนที่จบด้าน ICT ของประเทศเราก็ยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากมีคนจบในทุกๆ ด้านทั้งหมดมีอยู่ 3 หมื่นกว่าคนในปี 2550