ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
1.1 คอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทางานตามชุดคาสั่งอย่างอัตโนมัติ โดยจะทาการคานวณเปรียบเทียบ
ทางตรรกกับข้อมูล และให้ผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ โดยมนุษย์ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในการประมวลผล
1.2 คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือที่สามารถทางานได้สารพัด แต่ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะกับการนา
คอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้าง สารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนามาพิมพ์ออกทาง
เครื่องพิมพ์ ส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะมีคุณสมบัติ
ต่าง ๆ คือ
1.2.1 ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) การทางานของคอมพิวเตอร์จะทางานแบบอัตโนมัติภายใต้คาสั่งที่
ได้ถูกกาหนดไว้ ทางานดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ออกมา
ให้อยู่ในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้
1.2.2 ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้สามารถทางานได้ถึงร้อยล้านคาสั่งในหนึ่งวินาที
1.2.3 ความเชื่อถือ (Reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้จะทางานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มี
ข้อผิดพลาด และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
1.2.4 ความถูกต้องแม่นยา (Accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคานวณที่ถูกต้องเสมอหากผล
ของการคานวณผิดจากที่ควรจะเป็น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลที่เข้าสู่โปรแกรม
1.2.5 เก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ได้ (Store massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ใน
ปัจจุบัน จะมีที่เก็บข้อมูลสารองที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันล้านตัวอักษร และสาหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาด
ใหญ่จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตัวอักษร
1.2.6 ย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว (Move information) โดยใช้การติดต่อสื่อสาร
ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถส่งพจนานุกรมหนึ่งเล่มในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ทาให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อม
กัน ทั่วโลกในปัจจุบันว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information Superhighway)
1.2.7 ทางานซ้าๆได้ (Repeatability) ช่วยลดปัญหาเรื่องความอ่อนล้าจากการทางานของแรงงานคน
นอกจากนี้ยังลดความผิดพลาดต่างๆได้ดีกว่าด้วย ข้อมูลที่ประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม
จะสามารถคานวณและหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
3. ระบบคอมพิวเตอร์ เริ่มจากผู้ใช้ทาการกรอกข้อมูลหรือคาสั่งผ่านทางอุปกรณ์รับข้อมูล
(Input Devices) ซึ่งข้อมูลหรือคาสั่งต่างๆที่รับเข้ามาจะถูกนาไปเก็บไว้ที่หน่วยความจาหลัก (Memory) จากนั้นก็จะ
ถูกนาไปประมวลผลโดยหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing) แล้วนาผลที่ได้จากการประมวลผลมาเก็บไว้
ในหน่วยความจาแรม พร้อมทั้งแสดงออกทางอุปกรณ์แสดงผล (Output Devices) ดังนั้นระบบคอมพิวเตอร์จึง
ประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนอุปกรณ์รับข้อมูล ส่วนประมวลผลกลาง หน่วยความจา และอุปกรณ์
แสดงผล
คอมพิวเตอร์มีหลักการทางานอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
วงจรการทางานขั้นพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ (IPOS cycle)
1. รับข้อมูล คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลและคาสั่งผ่านอุปกรณ์นาเข้าข้อมูลและคาสั่ง คือ คีย์บอร์ด เมาส์ และ
สแกนเนอร์ เป็นต้น
รูปที่ 2 แสดงอุปกรณ์นาเข้าคาสั่งและข้อมูล
2. ประมวลผลข้อมูล หรือ CPU (Central Processing Unit) ใช้คานวณและประมวลผลคาสั่งต่างๆ
ตามโปรแกรมที่กาหนด
3. จัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์ จะเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนามาใช้ใหม่ได้ใน
อนาคต เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตด์ แผ่นซีดี และอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดพอร์ตยูเอสบีไดร์ ซึ่งหน่วยเก็บข้อมวล
นี้สามารถ
แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
3.1 หน่วยควมจาหลัก สามารถแบ่งตามลักษณะการเก็บข้อมูลได้ดังนี้คือ
(3.1.1) หน่วยความจาแบบลบเลือนได้ คือ หากเกิดไฟดับระหว่างใช้งาน ข้อมูลจะหาย เรียกว่า แรม
(RAM)
รูปที่ 4 แสดงหน่วยความจาแรม
(3.1.2) หน่วยความจาแบบลบเลือนไม่ได้ คือ หน่วยความจาถาวร แม้ไฟจะดับข้อมูลก็จะยังอยู่เหมือนเดิม
เรียกว่า รอม (ROM)
รูปที่ 5 แสดงหน่วยความจารอม
3.2 หน่วยความจาสารอง คือ หน่วยความจาที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น
ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตด์ แผ่นซีดีและอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดพอร์ต ยูเอสบี
4. แสดงผลข้อมูล เมื่อ ทาการประมวลผลแล้ว คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ผ่านอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่แสดง
ข้อมูล เช่น หากเป็นรูปภาพกราฟิกก็จะแสดงผลทางจอภาพ ถ้าเป็นงานเอกสารก็จะแสดงผลทางเครื่องพิมพ์
หรือหากเป็นในรูปแบบของเสียงก็จะแสดงผลออกทางลาโพง เป็นต้น
2. ประโยชน์และโทษของคอมพิวเตอร์
จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการทาให้ถูกนามาใช้ประโยชน์ต่อ การดาเนินชีวิตประจาวัน
ในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย
รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( Word processing) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้
คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน นอกจากคอมพิวเตอร์จะมีประโยชน์มากมายแล้ว โทษที่เกิดจากใช้
คอมพิวเตอร์ก็มีด้วยเช่นกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้
ประโยชน์จากการใช้งานคอมพิวเตอร์
ด้านการศีกษา : สร้างสื่อการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบค้นหาข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ศึกษา
บทเรียนออนไลน์
ด้านความบันเทิง : สามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงได้ เช่น เล่นเกมส์ ดูภาพยนตร์ ร้องเพลง ฟัง
เพลง เป็นต้น
ด้านติดต่อสื่อสาร : สามารถใช้คอมพิวเตอร์ รับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้ และยังสามารถสนทนาผ่าน
ระบบอินเทอร์เน็ตได้
ด้านการออกแบบและสร้างงานศิลปะ : สามารถนาคอมพิวเตอร์ มาช่วยในเรื่องการออกแบบงาน สร้างงาน
กราฟิกได้
ด้านการพิมพ์เอกสาร : สามารถนาคอมพิวเตอร์ มาสร้างงานด้านงานเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือนาเสนองาน
เป็นรูปเล่มได้
โทษจากการใช้งานคอมพิวเตอร์
เสียสุขภาพ : การใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทาให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น สายตาพร่ามัว
ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น
ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างลดลง : ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและคนรอบข้างลดน้อยลง เพราะ
เวลาส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับการอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทาให้ขาดสังคมได้
เกิดปัญหาสังคม : ทาให้เกิดปัญหาสังคม เช่นการล่อลวงเพื่อทาการมิดีมิร้าย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับวัยของ
นักเรียน เพราะเป็นวัยที่ไว้ใจคนง่าย จึงเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี
เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดี : เพราะสื่อที่เห็นทางอินเทอร์เน็ตทาให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ
ที่ไม่เหมาะสม เช่น การแสดงออกกับเพศตรงข้ามอย่างไม่เหมาะสม หรือ แม้กระทั่งการตั้งแก๊งก่อเหตุต่างๆ
เป็นต้น

ระบบคอมพิวเตอร์

  • 1.
    ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 1.1 คอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร คอมพิวเตอร์คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทางานตามชุดคาสั่งอย่างอัตโนมัติ โดยจะทาการคานวณเปรียบเทียบ ทางตรรกกับข้อมูล และให้ผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ โดยมนุษย์ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในการประมวลผล 1.2 คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่สามารถทางานได้สารพัด แต่ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะกับการนา คอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้าง สารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนามาพิมพ์ออกทาง เครื่องพิมพ์ ส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะมีคุณสมบัติ ต่าง ๆ คือ 1.2.1 ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) การทางานของคอมพิวเตอร์จะทางานแบบอัตโนมัติภายใต้คาสั่งที่ ได้ถูกกาหนดไว้ ทางานดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ออกมา ให้อยู่ในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ 1.2.2 ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้สามารถทางานได้ถึงร้อยล้านคาสั่งในหนึ่งวินาที 1.2.3 ความเชื่อถือ (Reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้จะทางานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มี ข้อผิดพลาด และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 1.2.4 ความถูกต้องแม่นยา (Accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคานวณที่ถูกต้องเสมอหากผล ของการคานวณผิดจากที่ควรจะเป็น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลที่เข้าสู่โปรแกรม 1.2.5 เก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ได้ (Store massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ใน ปัจจุบัน จะมีที่เก็บข้อมูลสารองที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันล้านตัวอักษร และสาหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตัวอักษร 1.2.6 ย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว (Move information) โดยใช้การติดต่อสื่อสาร ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถส่งพจนานุกรมหนึ่งเล่มในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ทาให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อม กัน ทั่วโลกในปัจจุบันว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information Superhighway) 1.2.7 ทางานซ้าๆได้ (Repeatability) ช่วยลดปัญหาเรื่องความอ่อนล้าจากการทางานของแรงงานคน นอกจากนี้ยังลดความผิดพลาดต่างๆได้ดีกว่าด้วย ข้อมูลที่ประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม จะสามารถคานวณและหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • 2.
    3. ระบบคอมพิวเตอร์ เริ่มจากผู้ใช้ทาการกรอกข้อมูลหรือคาสั่งผ่านทางอุปกรณ์รับข้อมูล (InputDevices) ซึ่งข้อมูลหรือคาสั่งต่างๆที่รับเข้ามาจะถูกนาไปเก็บไว้ที่หน่วยความจาหลัก (Memory) จากนั้นก็จะ ถูกนาไปประมวลผลโดยหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing) แล้วนาผลที่ได้จากการประมวลผลมาเก็บไว้ ในหน่วยความจาแรม พร้อมทั้งแสดงออกทางอุปกรณ์แสดงผล (Output Devices) ดังนั้นระบบคอมพิวเตอร์จึง ประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนอุปกรณ์รับข้อมูล ส่วนประมวลผลกลาง หน่วยความจา และอุปกรณ์ แสดงผล คอมพิวเตอร์มีหลักการทางานอยู่ 4 ขั้นตอน คือ วงจรการทางานขั้นพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ (IPOS cycle) 1. รับข้อมูล คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลและคาสั่งผ่านอุปกรณ์นาเข้าข้อมูลและคาสั่ง คือ คีย์บอร์ด เมาส์ และ สแกนเนอร์ เป็นต้น
  • 3.
    รูปที่ 2 แสดงอุปกรณ์นาเข้าคาสั่งและข้อมูล 2.ประมวลผลข้อมูล หรือ CPU (Central Processing Unit) ใช้คานวณและประมวลผลคาสั่งต่างๆ ตามโปรแกรมที่กาหนด 3. จัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์ จะเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนามาใช้ใหม่ได้ใน อนาคต เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตด์ แผ่นซีดี และอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดพอร์ตยูเอสบีไดร์ ซึ่งหน่วยเก็บข้อมวล นี้สามารถ แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ 3.1 หน่วยควมจาหลัก สามารถแบ่งตามลักษณะการเก็บข้อมูลได้ดังนี้คือ (3.1.1) หน่วยความจาแบบลบเลือนได้ คือ หากเกิดไฟดับระหว่างใช้งาน ข้อมูลจะหาย เรียกว่า แรม (RAM)
  • 4.
    รูปที่ 4 แสดงหน่วยความจาแรม (3.1.2)หน่วยความจาแบบลบเลือนไม่ได้ คือ หน่วยความจาถาวร แม้ไฟจะดับข้อมูลก็จะยังอยู่เหมือนเดิม เรียกว่า รอม (ROM) รูปที่ 5 แสดงหน่วยความจารอม 3.2 หน่วยความจาสารอง คือ หน่วยความจาที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตด์ แผ่นซีดีและอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดพอร์ต ยูเอสบี 4. แสดงผลข้อมูล เมื่อ ทาการประมวลผลแล้ว คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ผ่านอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่แสดง ข้อมูล เช่น หากเป็นรูปภาพกราฟิกก็จะแสดงผลทางจอภาพ ถ้าเป็นงานเอกสารก็จะแสดงผลทางเครื่องพิมพ์ หรือหากเป็นในรูปแบบของเสียงก็จะแสดงผลออกทางลาโพง เป็นต้น
  • 5.
    2. ประโยชน์และโทษของคอมพิวเตอร์ จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการทาให้ถูกนามาใช้ประโยชน์ต่อ การดาเนินชีวิตประจาวัน ในสังคมเป็นอย่างมากที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( Word processing) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้ คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน นอกจากคอมพิวเตอร์จะมีประโยชน์มากมายแล้ว โทษที่เกิดจากใช้ คอมพิวเตอร์ก็มีด้วยเช่นกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ประโยชน์จากการใช้งานคอมพิวเตอร์ ด้านการศีกษา : สร้างสื่อการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบค้นหาข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ศึกษา บทเรียนออนไลน์
  • 6.
    ด้านความบันเทิง : สามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงได้เช่น เล่นเกมส์ ดูภาพยนตร์ ร้องเพลง ฟัง เพลง เป็นต้น ด้านติดต่อสื่อสาร : สามารถใช้คอมพิวเตอร์ รับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้ และยังสามารถสนทนาผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตได้ ด้านการออกแบบและสร้างงานศิลปะ : สามารถนาคอมพิวเตอร์ มาช่วยในเรื่องการออกแบบงาน สร้างงาน กราฟิกได้
  • 7.
    ด้านการพิมพ์เอกสาร : สามารถนาคอมพิวเตอร์มาสร้างงานด้านงานเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือนาเสนองาน เป็นรูปเล่มได้ โทษจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ เสียสุขภาพ : การใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทาให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น สายตาพร่ามัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น
  • 8.
    ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างลดลง : ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและคนรอบข้างลดน้อยลงเพราะ เวลาส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับการอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทาให้ขาดสังคมได้ เกิดปัญหาสังคม : ทาให้เกิดปัญหาสังคม เช่นการล่อลวงเพื่อทาการมิดีมิร้าย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับวัยของ นักเรียน เพราะเป็นวัยที่ไว้ใจคนง่าย จึงเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดี : เพราะสื่อที่เห็นทางอินเทอร์เน็ตทาให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม เช่น การแสดงออกกับเพศตรงข้ามอย่างไม่เหมาะสม หรือ แม้กระทั่งการตั้งแก๊งก่อเหตุต่างๆ เป็นต้น