SlideShare a Scribd company logo
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘
ตอนที่ ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร
ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร
ปาราชิกกัณฑ์
กัตถปัญญัติวารที่ ๑
[๑] พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม
พุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร?
เพราะเรื่องอะไร? ในปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถ
บัญญัติ ปเทสบัญญัติ
สาธารณบัญญติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ
หรือ? บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัดเข้าในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศ
ไหน? มาสู่อุเทศโดยอุเทศ
ที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗
กอง เป็นอาบัติกองไหน?
บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์
อย่างไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร? ใน
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไร
เป็นวินัย? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ใน
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น
อะไรเป็นปาติโมกข์? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิ
ปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ?
อะไรเป็นสมบัติ? อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
เพราะทรงอาศัยอำานาจประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวก
ไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว?
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้?
เป็นถ้อยคำาของใคร? ใคร
นำามา
คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
[๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี .
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระสุทินน์ กลันทบุตร.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระสุทินน์ กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมใน
ปุราณทุติยิกา.
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน
นบัญญัติ หรือ?
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒, อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑ นั้น.
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ.
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ.
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัก
เข้าในอุเทศไหน? นับ
เนื่องในอุเทศไหน?
ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒.
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
ต. เป็นศีลวิบัติ.
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก.
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน
เท่าไร?
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร?
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ .
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตก
รณะ ๑.
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑ นั้น
อะไรเป็นอภิวินัย?
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย.
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ใน
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น
อะไรเป็นอธิปาติโมกข์?
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์
ถ. อะไรเป็นวิบัติ?
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ.
ถ. อะไรเป็นสมบัติ?
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ .
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ?
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่
ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ.
ถ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะ
ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์
เท่าไร?
ต. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะ
ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์
๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญ
แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้
แก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อ
ป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำาจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำารงมั่น
แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุ-
*เคราะห์พระวินัย ๑.
ถ. พวกไหนศึกษา?
ต. พระเสขะและกัลยาณปุชนศึกษา.
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว?
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร?
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล .
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระ
เถระพวกนั้นย่อม
ทรงไว้.
ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร?
ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ
เจ้า.
ถ. ใครนำามา?
ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
[๓] พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ
พระสิคควะ
รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อ
ว่าชมพู อันมีสิริ.
แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระ
มหินทะ ๑ พระ-
อิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะ
ผู้เป็นบัณฑิต ๑
มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป พวกท่านสอนพระวินัย
ปิฎกในเกาะตามพ-
ปัณณิ สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ ๗ แล้ว. ภายหลังพระอริ
ฏฐะผู้มีปัญญา
พระติสสทัตตะผู้ฉลาด พระกาฬสุมนะผู้องอาจ พระเถระ
มีชื่อว่าทีฆะ พระ-
ทีฆสุมนะผู้บัณฑิต ต่อมาอีก พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระ
พระพุทธรักขิตะ
พระติสสเถระผู้มีปัญญา พระเทวเถระผู้ฉลาด ต่อมาอีก
พระสุมนะผู้มีปัญญา
และเชี่ยวชาญในพระวินัย พระจูฬนาค ผู้พหูสูต ดุจช้างซับ
มัน พระเถระ
ชื่อธัมมปาลิตะ อันสาธุชนบูชาแล้วในโรหนชนบท ศิษย์
ของพระธรรมปาลิตะ
นั้น มีปัญญามาก ชื่อพระเขมะ ทรงจำาพระไตรปิฎก
รุ่งเรืองอยู่ในเกาะ ด้วย
ปัญญา ดุจพระจันทร์ พระอุปติสสะผู้มีปัญญา พระปุสส
เทวะผู้มหากถึก
ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา พระเถระชื่อปุปผะ ผู้พหูสูต
พระมหาสีวะ
ผู้มหากถึก ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง ต่อมาอีก พระอุบาลี
ผู้มีปัญญา
เชี่ยวชาญในพระวินัย พระมหานาค ผู้มีปัญญามาก ฉลาด
ในวงศ์พระสัทธรรม
ต่อมาอีก พระอภยะ ผู้มีปัญญา ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง
พระติสสเถระ
ผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย ศิษย์ของพระติสสเถระ
นั้น มีปัญญามาก
ชื่อปุสสะ เป็นพหูสูต ตามรักษาพระศาสนา อยู่ในชมพูทวีป
พระจูฬาภยะ
ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระติสสเถระ ผู้มี
ปัญญา ฉลาดในวงศ์
พระสัทธรรม พระจูฬาเทวะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญใน
พระวินัย และพระ-
สิวเถระผู้มีปัญญา ฉลาดในพระวินัยทั้งมวล พระเถระผู้
ประเสริฐมีปัญญามาก
เหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัย
ปิฎกไว้ในเกาะตัม
พปัณณิ.
คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒.
[๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระธนิยะ กุมภการบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวง
ซึ่งไม่ได้รับพระราชทาน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนปัญญัติไม่มี. บรรดา
สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่
วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับ
จิต มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
[๕] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี .
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุมากรูปด้วยกัน.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุมากรูปด้วยกัน ปลงชีวิตกันและกัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญติไม่มี. บรรดา
สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่
วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิต
มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
[๖] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี .
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่นำ้าวัคคุมุทา .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่นำ้าวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญ
อุตตริมนุสสธรรม ของ
กันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี. บรรดา
สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต
ไม่ใช่วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิต
มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำากัณฑ์
[๗] ปาราชิก ๔ คือ เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิค
คหะ ๑ อุตตริ-
*มนุสสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่งมูลเฉท หาความสงสัยมิได้ ดังนี้
แล.
-------------
สังฆาทิเสสกัณฑ์
กัตถปัญญัติวาร
[๘] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม
พุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน?
ทรงปรารภใคร? เพราะเรื่อง
อะไร? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญติ อนุ
ปันนบัญญัติ สัพพัตถ-
*บัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอก
โตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลง
ในอุเทศไหน? นับเนื่องใน
อุเทศไหน? มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็น
วิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ
๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง
ย่อมเกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน
เท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน? บรรดาสมถะ
๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในสังฆาทิเสส
สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็น
อภิวินัย? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์?
ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ?
อะไรเป็นข้อปฏิบัติ?
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายาม
ปล่อยอสุจิ เพราะทรงอาศัยอำานาจ
ประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวกไหนมีสิกขาอันศึกษา
แล้ว? สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
นั้น ตั้งอยู่ในใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้? เป็นถ้อยคำาของใคร?
ใครนำามา?
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
[๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ
ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระเสยยสกะ .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเสยยสกะพยายามปล่อยอสุจิด้วย
มือ.
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุ
ปันนบัญญัติ หรือ?
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในสังฆาทิ
เสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น.
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญติ หรือ?
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ.
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ.
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น
หยั่งลงในอุเทศไหน?
นับเนื่องในอุเทศไหน?
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓.
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
ต. เป็นศีลวิบัติ.
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
ต. เป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส.
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง สังฆาทิเสสสิกขาบทที่
๑ นั้น ย่อมเกิดด้วย
สมุฏฐานเท่าไร?
ต. ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่
วาจา.
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร?
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ .
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตก
รณะ ๑.
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในสังฆาทิ
เสสสิกขาบทที่ ๑
นั้น อะไรเป็นอภิวินัย?
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย.
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ใน
สังฆาทิเสสสิกขาบท
ที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์?
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์.
ถ. อะไรเป็นวิบัติ?
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ.
ถ. อะไรเป็นสมบัติ?
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ .
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ?
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่
ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ.
ถ. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้
พยายามปล่อยอสุจิ เพราะทรง
อาศัยอำานาจประโยชน์เท่าไร?
ต. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้
พยายามปล่อยอสุจิ เพราะทรง
อาศัยอำานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่ง
สงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็น
ที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด
ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำาจัดอาสวะ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อ
ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อ
ความดำารงมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑.
ถ. พวกไหนศึกษา?
ต. พระเสขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว?
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว.
ถ. ตั้งอยู่ในใคร?
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล .
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้?
ต. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด
พระเถระพวกนั้นย่อม
ทรงไว้.
ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร?
ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ
เจ้า.
ถ. ใครนำามา?
ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระ
สิคควะ
รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อว่า
ชมพู อันมีสิริ.
แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหิ
นทะ ๑
พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้
ประเสริฐ
มีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศ
พระวินัยปิฎก
ไว้ในเกาะตามปัณณิ.
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
[๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย
กับมาตุคาม ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย
กับมาตุคาม .
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ
เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
[๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจา
ชั่วหยาบ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจา
ชั่วหยาบ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๓ คือ บางที
เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย
บางทีเกิดแต่กาย วาจา และ
จิต ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
[๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้กล่าวคุณแห่งการบำาเรอ
ตนด้วยกาม ในสำานักมาตุคาม ณ
ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี กล่าวคุณแห่งการบำาเรอตน
ด้วยกามในสำานักมาตุคาม
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕
[๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ
ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖
คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่
กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่
กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางที่
เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย
บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖
[๑๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำากุฎีด้วยอาการขอเอา
เอง ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองอาฬวี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวีให้ทำากุฎีด้วยอาการขอ
เอาเอง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗
[๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำาวิหารใหญ่ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะแผ้วถางพื้นที่วิหาร ได้สั่งให้
ตัดต้นไม้ที่เขาสมมติว่า
เป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
[๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ตามกำาจัดภิกษุ ด้วยธรรม
มีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้
ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะ และพระภุมมชกะตามกำาจัด
ท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วย
ธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
[๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง
แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็น
เพียงเลศ ตามกำาจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ณ
ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ถือเอา
เอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์
อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำาจัดท่านพระทัพพมัล
ลบุตรด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐
[๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ทำาลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรม
เพราะสวดสมนุภาสกว่าจะ
ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระเทวทัต.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัต ตะเกียกตะกายเพื่อทำาลายสงฆ์ผู้
พร้อมเพรียงกัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐานอันหนึ่ง
คือ เกิดแก่ตาย วาจา กับจิต ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑
[๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้
ทำาลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรมเพราะ
สวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป ได้ประพฤติตามพระเทวทัตผู้
ตะเกียกตะกายเพื่อทำาลาย
สงฆ์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐานอันหนึ่ง
คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบท ที่ ๑๒
[๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเพราะ
สวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ
ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่
โดยชอบธรรม ได้ทำาตน
ให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐานอันหนึ่ง
คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓
[๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละ
กรรมเพราะสวดสมนุภาสกว่าจะ
ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะถูก
สงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม
แล้วกลับหาว่า ภิกษุทั้งหลายถึงความพอใจ ถึงความขัดเคือง
ถึงความหลง ถึงความกลัว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐานอันหนึ่ง
คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำากัณฑ์
[๒๒] สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท คือ ปล่อยนำ้าสุกกะ ๑ เคล้า
คลึง กาย ๑ วาจา
ชั่วหยาบ ๑ บำาเรอตนด้วยกาม ๑ เที่ยวชักสื่อ ๑ สร้างกุฎี ๑ สร้าง
วิหาร ๑ ปาราชิกาบัติไม่มี
มูล ๑ อ้างเลศบางอย่าง ๑ ทำาลายสงฆ์ ๑ ประพฤติตามภิกษุผู้
ทำาลายสงฆ์ ๑ ว่ายาก ๑ ประทุษ-
*ร้ายสกุล ๑
----------------
อนิยตกัณฑ์
กัตถปัญญัติวาร
[๒๓] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรง
บัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะ
เรื่องอะไร? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑
นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเท
สบัญญัติ สาธารณบัญญัติ
อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? บรรดาปา
ติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๑
นั้นหยั่งลงในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน? มาสู่อุเทศโดย
อุเทศที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔
เป็นวิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗ กองเป็นอาบัติกองไหน?
บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง
เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่าง
ไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับ
ด้วยสมถะเท่าไร? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ใน
อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น
อะไรเป็นอภิวินัย? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็น
ปาติโมกข์? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑
นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ?
อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้
มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัย
อำานาจประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา?
พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ใน
ใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้?
เป็นถ้อยคำาของใคร? ใครนำามา?
คำาถามและคำาตอบในอนิยตสิกขาบทที่ ๑
[๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำาเร็จการนั่งในที่ลับ
คือในอาสนะกำาบัง พอ
จะทำาการได้ กับมาตุคามผู้เดียว.
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน
นบัญญัติหรือ?
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในอนิยต
สิกขาบทที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ.
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ.
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลง
ในอุเทศไหน? นับ
เนื่องในอุเทศไหน?
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔.
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
ต. บางทีเป็นอาบัติกองปาราชิก บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิ
เสส บางทีเป็นอาบัติกอง
ปาจิตตีย์.
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๑
นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน
เท่าไร?
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร?
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ .
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย
กับปฏิญญาตกรณะ
บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ .
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในอนิยต
สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไร
เป็นอภิวินัย?
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย.
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในอนิยต
สิกขาบทที่ ๑ นั้น
อะไรเป็นอธิปาติโมกข์?
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์.
ถ. อะไรเป็นวิบัติ?
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ.
ถ. อะไรเป็นสมบัติ?
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ .
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ?
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่
ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ.
ถ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะ
ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์
เท่าไร?
ต. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะ
ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์
๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญ
แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ
ยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอา
สวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อ
กำาจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำารงมั่นแห่ง
พระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์
พระวินัย ๑
ถ. พวกไหนศึกษา?
ต. พระเสขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา.
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว?
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว.
ถ. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร?
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล .
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้?
ต. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระ
เถระพวกนั้นย่อมทรงไว้.
ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร?
ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ
เจ้า.
ถ. ใครนำามา?
ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระ
สิคควะ
รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อว่า
ชมพู อันมีสิริ.
แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามาก เหล่านี้ คือ พระมหิ
นทะ ๑
พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้
ประเสริฐ
มีปัญญามากเหล่านี้รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศ
พระวินัยปิฎกไว้ใน
ตามพปัณณิ.
คำาถามและคำาตอบในอนิยตสิกขาบทที่ ๒
[๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำาเร็จการนั่งในที่ลับ
กับมาตุคามผู้เดียว.
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน
นบัญญัติหรือ?
ต. มีแต่บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในอนิยต
สิกขาบทที่ ๒ นั้น.
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ.
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ.
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ?
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ.
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น หยั่งลง
ในอุเทศไหน?
นับเนื่องในอุเทศ?
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร?
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔.
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน?
ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน?
ต. บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส บางทีเป็นอาบัติกอง
ปาจิตตีย์.
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๒
นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน
เท่าไร?
ต. เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่
วาจา บางทีเกิดแต่
วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร?
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ .
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย
กับปฏิญญาตกรณะ
บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ .
อนิยต ๒ สิกขาบท จบ.
หัวข้อประจำากัณฑ์
[๒๖] อนิยต ๒ สิกขาบท คือ สิกขาบทว่าด้วยอาสนะกำาบังพอ
จะทำาการได้ ๑
อาสนะกำาบังไม่ถึงขนาดนั้น ๑ อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้คงที่
ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วแล.
----------------
นิสสัคคิยกัณฑ์
คำาถามและคำาตอบในกฐินวรรคที่ ๑
[๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บอติเรกจีวรล่วง
๑๐ วัน ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี .
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอติเรกจีวร.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน
๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายวาจา
กับจิต ...
[๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อยู่ปราศจากไตร
จีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปฝากจีวรไว้ในมือของภิกษุทั้ง
หลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตรา-
*สงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบท.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒
คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายวาจากับ
จิต ...
[๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับอกาลจีวรแล้ว
เก็บไว้เกินเดือนหนึ่ง ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้เกิน
เดือนหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๒
คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา
กับจิต ...
[๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ใช้ภิกษุณีมิใช่ญาติ
ให้ซักจีวรเก่า ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซัก
จีวรเก่า.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับจีวรจากมือ
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี รับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่
ญาติ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏ -
*ฐาน ๖ ...
[๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวรกะพ่อเจ้า
เรือนก็ดี กะแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่
ญาติ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ขอจีวรกะเศรษฐี
บุตรผู้มิใช่ญาติ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวรยิ่งกว่านั้น
กะพ่อเจ้าเรือนก็ดี กะแม่เจ้า
เรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ไม่รู้ประมาณแล้วขอจีวรเป็น
อันมาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขาไม่ได้
ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือน
ผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำาหนดในจีวร ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องท่านพระอุปนันทศากยบุตร เขาไม่ได้ปวารณา
ไว้ก่อนเข้าไปหาพ่อเจ้า-
*เรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำาหนดในจีวร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขาไม่ได้
ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือน
ทั้งหลายผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำาหนดในจีวร ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันเขาไม่ได้
ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อ
เจ้าเรือนทั้งหลายผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำาหนดในจีวร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ยังจีวรให้สำาเร็จ
ด้วยการทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖
ครั้ง ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันอุบาสกกราบ
เรียนว่า ขอพระคุณเจ้า
จงรอสักวันหนึ่ง ก็มิได้รอ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
กฐินวรรค ที่ ๑ จบ
หัวข้อประจำาวรรค
[๓๗] อติเรกจีวร ๑ ราตรีเดียว ๑ อกาลจีวร ๑ ซักจีวรเก่า ๑
รับจีวรเป็นข้อที่ ๕ ขอ-
*จีวร ๑ ขอเกินกำาหนด ๑ เขามิได้ปวารณา ๒ สิกขาบทกับทวง ๓
ครั้ง.
คำาถามและคำาตอบในโกสิยวรรคที่ ๒
[๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตเจือ
ด้วยไหม ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกช่างไหม แล้วพูด
อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย
ขอจงต้มตัวไหมให้มาก จงให้แก่พวกฉันบ้าง แม้พวกฉันก็
ปรารถนาจะให้ทำาสันถัตเจือด้วยไหม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตแห่งขน
เจียมดำาล้วน ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี .
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ให้ทำาสันถัตแห่งขนเจียมดำา
ล้วน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาขนเจียม
ขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน
แล้วให้ทำาสันถัตใหม่ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถือเอาชายขนเจียมขาวนิด
หน่อยเท่านั้น แล้วให้ทำา
สันถัตขนเจียมดำาล้วนเช่นนั้นแหละ
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตทุกปี ณ
ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปให้ทำาสันถัตทุกปี .
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาสันถัตเก่า
โดยรอบหนึ่งคืบพระสุคต
แล้วให้ทำาสันถัตสำาหรับนั่งใหม่ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปทิ้งสันถัต แล้วสมาทา
นอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติธุกดงค์
ปังสุกูลิกธุดงค์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับขนเจียมแล้ว
เดินทางไปเกิน ๓ โยชน์ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง รับขนเจียมแล้วเดินทางไปเกิน
๓ โยชน์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๒ คือ
บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่
วาจา ...
[๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ให้ซักขนเจียม ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขน
เจียม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับรูปิยะ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร รับรูปิยะ. มี
บัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐาน
แห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงความแลก
เปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ณ
ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะ
มีประการต่างๆ
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงการซื้อและขาย
มีประการต่างๆ ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ถึงการซื้อและ
ขายกับปริพาชก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๖ ...
โกสิยวรรค ที่ ๒ จบ
หัวข้อประจำาวรรค
[๔๘] สันถัตเจือไหม ๑ ดำาล้วน ๑ ไม่ได้ส่วน ๑ ทำาทุกปี ๑
สันถัตเก่า ๑ กับ
การนำาขนเจียมไป ๑ ซักขนเจียม ๑ รับรูปิยะ ๑ แลกเปลี่ยนและ
ซื้อขายมีประการต่างๆ ๒
สิกขาบท.
---------------
คำาถามและคำาตอบในปัตตวรรคที่ ๓
[๔๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บอติเรกบาตรไว้
เกิน ๑๐ วัน ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอติเรกบาตร .
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
สิกขาบทนี้ เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่
กายวาจากับจิต ...
[๕๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้มีบาตร มีรอยร้าว
หย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรใหม่
ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ผู้มีบาตรทะลุเพียงเล็กน้อย
บ้าง ร้าวเพียงเล็กน้อยบ้าง
เพียงเป็นรอยขีดบ้าง ก็ขอบาตรเป็นอันมาก .
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๖ ...
[๕๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับประเคนเภสัช
แล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้
เกิน ๗ วัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย
สมุฏฐาน ๒
(เหมือนในกฐินสิกขาบท) ...
[๕๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แสวงหาผ้าอาบนำ้า
ฝน เมื่อฤดูร้อนเหลือเกินกว่า ๑
เดือน ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสวงหาผ้าอาบนำ้าฝน เมื่อฤดู
ร้อนเหลือเกินกว่า ๑ เดือน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๕๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุเอง
แล้วโกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา
ณ ที่ไหน?
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี.
ถ. ทรงปรารภใคร?
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร .
ถ. เพราะเรื่องอะไร?
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ให้จีวรแก่ภิกษุ
เองแล้วโกรธ น้อยใจ
ชิงเอาคืนมา.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด
ด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
[๕๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘

More Related Content

What's hot

พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒Rose Banioki
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓Rose Banioki
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖Rose Banioki
 

What's hot (8)

พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๔
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๒
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๒๐
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๘
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๔
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๓
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
 

Viewers also liked

IRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
IRS Tax Tips for Year End Gifts to CharityIRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
IRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
Tax Assistance Group
 
1,SARAD Resume
1,SARAD Resume1,SARAD Resume
1,SARAD Resume
sarad pradhan
 
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
TheEnergyAudit
 
diapositiva 2
diapositiva 2diapositiva 2
diapositiva 2
lunaparraquince
 
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
Becky Schwanke
 
Swift Meetup HH 2016/09
Swift Meetup HH 2016/09Swift Meetup HH 2016/09
Swift Meetup HH 2016/09
Sven Herzberg
 
Transforamções de unidades
Transforamções de unidadesTransforamções de unidades
Transforamções de unidades
Luciana Oliveira
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙Rose Banioki
 
5 Tax Breaks For Entrepreneurs
5 Tax Breaks For Entrepreneurs5 Tax Breaks For Entrepreneurs
5 Tax Breaks For Entrepreneurs
Tax Defense Network
 
Team work jueves 5.00-7.00 pm
Team work  jueves 5.00-7.00 pmTeam work  jueves 5.00-7.00 pm
Team work jueves 5.00-7.00 pm
Lenin Jesus Huayhua Alarcon
 
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
COMPRAbién Food Service de Guatemala, PBX 24730581
 
Hablemos Sin Tapujos.
Hablemos Sin Tapujos.Hablemos Sin Tapujos.
Hablemos Sin Tapujos.
alejandra1zapeta
 
Inclusive growth
Inclusive growthInclusive growth
Inclusive growth
Samikshya Kar
 
Accomodation
AccomodationAccomodation
Accomodation
SSSIHMS-PG
 

Viewers also liked (16)

014
014014
014
 
IRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
IRS Tax Tips for Year End Gifts to CharityIRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
IRS Tax Tips for Year End Gifts to Charity
 
1,SARAD Resume
1,SARAD Resume1,SARAD Resume
1,SARAD Resume
 
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
Catalogo corsi di formazione The Energy Audit 2014
 
diapositiva 2
diapositiva 2diapositiva 2
diapositiva 2
 
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
Moose Hunting in Alaska BOW Presentation 2016
 
Swift Meetup HH 2016/09
Swift Meetup HH 2016/09Swift Meetup HH 2016/09
Swift Meetup HH 2016/09
 
Transforamções de unidades
Transforamções de unidadesTransforamções de unidades
Transforamções de unidades
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๙
 
5 Tax Breaks For Entrepreneurs
5 Tax Breaks For Entrepreneurs5 Tax Breaks For Entrepreneurs
5 Tax Breaks For Entrepreneurs
 
Y
YY
Y
 
Team work jueves 5.00-7.00 pm
Team work  jueves 5.00-7.00 pmTeam work  jueves 5.00-7.00 pm
Team work jueves 5.00-7.00 pm
 
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
Catalogo Navideño Colombina Guatemala 2015, en Comprabien Foodservice, PBX 24...
 
Hablemos Sin Tapujos.
Hablemos Sin Tapujos.Hablemos Sin Tapujos.
Hablemos Sin Tapujos.
 
Inclusive growth
Inclusive growthInclusive growth
Inclusive growth
 
Accomodation
AccomodationAccomodation
Accomodation
 

More from Rose Banioki

Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุนSpm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุนRose Banioki
 
2013ar-Berkshire Hathaway
2013ar-Berkshire Hathaway2013ar-Berkshire Hathaway
2013ar-Berkshire Hathaway
Rose Banioki
 
Techinque mutual-fund
Techinque mutual-fundTechinque mutual-fund
Techinque mutual-fundRose Banioki
 
หนังสือความทรงอภิญญา
หนังสือความทรงอภิญญาหนังสือความทรงอภิญญา
หนังสือความทรงอภิญญาRose Banioki
 
Nutritive values of foods
Nutritive values of foodsNutritive values of foods
Nutritive values of foods
Rose Banioki
 
Ipad user guide ios7
Ipad user guide ios7Ipad user guide ios7
Ipad user guide ios7
Rose Banioki
 
Iphone user guide th
Iphone user guide thIphone user guide th
Iphone user guide thRose Banioki
 
To myfriends
To myfriendsTo myfriends
To myfriends
Rose Banioki
 
The differencebetweenbeachesinindia&greece
The differencebetweenbeachesinindia&greeceThe differencebetweenbeachesinindia&greece
The differencebetweenbeachesinindia&greece
Rose Banioki
 
Toilets pierre daspe
Toilets pierre daspeToilets pierre daspe
Toilets pierre daspeRose Banioki
 
Tibet
TibetTibet
Pps hollywood dorado_bea
Pps hollywood dorado_beaPps hollywood dorado_bea
Pps hollywood dorado_bea
Rose Banioki
 
Photo mix7
Photo mix7Photo mix7
Photo mix7
Rose Banioki
 
Photos carlosalbertobau
Photos carlosalbertobauPhotos carlosalbertobau
Photos carlosalbertobau
Rose Banioki
 

More from Rose Banioki (20)

Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุนSpm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
 
2013ar-Berkshire Hathaway
2013ar-Berkshire Hathaway2013ar-Berkshire Hathaway
2013ar-Berkshire Hathaway
 
Instant tax
Instant taxInstant tax
Instant tax
 
Techinque mutual-fund
Techinque mutual-fundTechinque mutual-fund
Techinque mutual-fund
 
หนังสือความทรงอภิญญา
หนังสือความทรงอภิญญาหนังสือความทรงอภิญญา
หนังสือความทรงอภิญญา
 
Nutritive values of foods
Nutritive values of foodsNutritive values of foods
Nutritive values of foods
 
Thaifood table
Thaifood tableThaifood table
Thaifood table
 
Ipad user guide ios7
Ipad user guide ios7Ipad user guide ios7
Ipad user guide ios7
 
Iphone user guide th
Iphone user guide thIphone user guide th
Iphone user guide th
 
P4
P4P4
P4
 
P3
P3P3
P3
 
P1
P1P1
P1
 
To myfriends
To myfriendsTo myfriends
To myfriends
 
The differencebetweenbeachesinindia&greece
The differencebetweenbeachesinindia&greeceThe differencebetweenbeachesinindia&greece
The differencebetweenbeachesinindia&greece
 
Toilets pierre daspe
Toilets pierre daspeToilets pierre daspe
Toilets pierre daspe
 
Tibet
TibetTibet
Tibet
 
Pps hollywood dorado_bea
Pps hollywood dorado_beaPps hollywood dorado_bea
Pps hollywood dorado_bea
 
Photosdutempspass
PhotosdutempspassPhotosdutempspass
Photosdutempspass
 
Photo mix7
Photo mix7Photo mix7
Photo mix7
 
Photos carlosalbertobau
Photos carlosalbertobauPhotos carlosalbertobau
Photos carlosalbertobau
 

พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๘

  • 1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘ ตอนที่ ๑ พระวินัยปิฎก ปริวาร ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร ปาราชิกกัณฑ์ กัตถปัญญัติวารที่ ๑ [๑] พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะเรื่องอะไร? ในปาราชิก สิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถ บัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัดเข้าในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศ ไหน? มาสู่อุเทศโดยอุเทศ
  • 2. ที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์ อย่างไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร? ใน ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไร เป็นวินัย? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ใน ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิ ปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ? อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้มีพระภาคทรง บัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัยอำานาจประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวก ไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้? เป็นถ้อยคำาของใคร? ใคร นำามา คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ [๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี . ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระสุทินน์ กลันทบุตร.
  • 3. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระสุทินน์ กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมใน ปุราณทุติยิกา. ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน นบัญญัติ หรือ? ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒, อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในปาราชิก สิกขาบทที่ ๑ นั้น. ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ. ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ. ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ. ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัก เข้าในอุเทศไหน? นับ เนื่องในอุเทศไหน? ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน. ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒. ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? ต. เป็นศีลวิบัติ. ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก.
  • 4. ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร? ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา. ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร? ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ . ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร? ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตก รณะ ๑. ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในปาราชิก สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย. ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ใน ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์ ถ. อะไรเป็นวิบัติ? ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ. ถ. อะไรเป็นสมบัติ? ต. ความสังวรเป็นสมบัติ . ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว
  • 5. ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ. ถ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะ ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์ เท่าไร? ต. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะ ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญ แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้ แก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อ ป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำาจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำารงมั่น แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุ- *เคราะห์พระวินัย ๑. ถ. พวกไหนศึกษา? ต. พระเสขะและกัลยาณปุชนศึกษา. ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว. ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล . ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้? ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระ เถระพวกนั้นย่อม
  • 6. ทรงไว้. ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร? ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้า. ถ. ใครนำามา? ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา. รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย [๓] พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อ ว่าชมพู อันมีสิริ. แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระ มหินทะ ๑ พระ- อิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะ ผู้เป็นบัณฑิต ๑ มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป พวกท่านสอนพระวินัย ปิฎกในเกาะตามพ- ปัณณิ สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ ๗ แล้ว. ภายหลังพระอริ ฏฐะผู้มีปัญญา พระติสสทัตตะผู้ฉลาด พระกาฬสุมนะผู้องอาจ พระเถระ มีชื่อว่าทีฆะ พระ- ทีฆสุมนะผู้บัณฑิต ต่อมาอีก พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ
  • 7. พระติสสเถระผู้มีปัญญา พระเทวเถระผู้ฉลาด ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา และเชี่ยวชาญในพระวินัย พระจูฬนาค ผู้พหูสูต ดุจช้างซับ มัน พระเถระ ชื่อธัมมปาลิตะ อันสาธุชนบูชาแล้วในโรหนชนบท ศิษย์ ของพระธรรมปาลิตะ นั้น มีปัญญามาก ชื่อพระเขมะ ทรงจำาพระไตรปิฎก รุ่งเรืองอยู่ในเกาะ ด้วย ปัญญา ดุจพระจันทร์ พระอุปติสสะผู้มีปัญญา พระปุสส เทวะผู้มหากถึก ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา พระเถระชื่อปุปผะ ผู้พหูสูต พระมหาสีวะ ผู้มหากถึก ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง ต่อมาอีก พระอุบาลี ผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย พระมหานาค ผู้มีปัญญามาก ฉลาด ในวงศ์พระสัทธรรม ต่อมาอีก พระอภยะ ผู้มีปัญญา ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย ศิษย์ของพระติสสเถระ นั้น มีปัญญามาก ชื่อปุสสะ เป็นพหูสูต ตามรักษาพระศาสนา อยู่ในชมพูทวีป พระจูฬาภยะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระติสสเถระ ผู้มี ปัญญา ฉลาดในวงศ์
  • 8. พระสัทธรรม พระจูฬาเทวะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญใน พระวินัย และพระ- สิวเถระผู้มีปัญญา ฉลาดในพระวินัยทั้งมวล พระเถระผู้ ประเสริฐมีปัญญามาก เหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัย ปิฎกไว้ในเกาะตัม พปัณณิ. คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒. [๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระธนิยะ กุมภการบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวง ซึ่งไม่ได้รับพระราชทาน. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนปัญญัติไม่มี. บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับ จิต มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ... คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ [๕] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?
  • 9. ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี . ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุมากรูปด้วยกัน. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุมากรูปด้วยกัน ปลงชีวิตกันและกัน. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญติไม่มี. บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ... คำาถามและคำาตอบในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ [๖] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี . ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่นำ้าวัคคุมุทา . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่นำ้าวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญ อุตตริมนุสสธรรม ของ กันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี. บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต ไม่ใช่วาจา, บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย, บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
  • 10. ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ หัวข้อประจำากัณฑ์ [๗] ปาราชิก ๔ คือ เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิค คหะ ๑ อุตตริ- *มนุสสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่งมูลเฉท หาความสงสัยมิได้ ดังนี้ แล. ------------- สังฆาทิเสสกัณฑ์ กัตถปัญญัติวาร [๘] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะเรื่อง อะไร? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญติ อนุ ปันนบัญญัติ สัพพัตถ- *บัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอก โตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลง ในอุเทศไหน? นับเนื่องใน อุเทศไหน? มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็น วิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ย่อมเกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน
  • 11. เท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็น อภิวินัย? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ? อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายาม ปล่อยอสุจิ เพราะทรงอาศัยอำานาจ ประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวกไหนมีสิกขาอันศึกษา แล้ว? สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้? เป็นถ้อยคำาของใคร? ใครนำามา? คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ [๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระเสยยสกะ . ถ. เพราะเรื่องอะไร?
  • 12. ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเสยยสกะพยายามปล่อยอสุจิด้วย มือ. ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุ ปันนบัญญัติ หรือ? ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในสังฆาทิ เสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น. ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญติ หรือ? ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ. ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ. ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ. ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลงในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน? ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน. ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓. ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? ต. เป็นศีลวิบัติ. ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? ต. เป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส. ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น ย่อมเกิดด้วย
  • 13. สมุฏฐานเท่าไร? ต. ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา. ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร? ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ . ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร? ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตก รณะ ๑. ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในสังฆาทิ เสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย. ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ใน สังฆาทิเสสสิกขาบท ที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์. ถ. อะไรเป็นวิบัติ? ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ. ถ. อะไรเป็นสมบัติ? ต. ความสังวรเป็นสมบัติ . ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ.
  • 14. ถ. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ พยายามปล่อยอสุจิ เพราะทรง อาศัยอำานาจประโยชน์เท่าไร? ต. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ พยายามปล่อยอสุจิ เพราะทรง อาศัยอำานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่ง สงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็น ที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำาจัดอาสวะ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อ ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อ ความดำารงมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑. ถ. พวกไหนศึกษา? ต. พระเสขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว. ถ. ตั้งอยู่ในใคร? ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล . ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้? ต. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระพวกนั้นย่อม ทรงไว้.
  • 15. ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร? ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้า. ถ. ใครนำามา? ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา. รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระ สิคควะ รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อว่า ชมพู อันมีสิริ. แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหิ นทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศ พระวินัยปิฎก ไว้ในเกาะตามปัณณิ. คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ [๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย กับมาตุคาม ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร?
  • 16. ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย กับมาตุคาม . มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ [๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจา ชั่วหยาบ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจา ชั่วหยาบ. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ คือ บางที เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และ จิต ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
  • 17. [๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้กล่าวคุณแห่งการบำาเรอ ตนด้วยกาม ในสำานักมาตุคาม ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี กล่าวคุณแห่งการบำาเรอตน ด้วยกามในสำานักมาตุคาม มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๓ ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕ [๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ.
  • 18. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่ กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางที่ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖ [๑๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำากุฎีด้วยอาการขอเอา เอง ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองอาฬวี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวีให้ทำากุฎีด้วยอาการขอ เอาเอง. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗ [๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำาวิหารใหญ่ ณ ที่ไหน?
  • 19. ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะแผ้วถางพื้นที่วิหาร ได้สั่งให้ ตัดต้นไม้ที่เขาสมมติว่า เป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘ [๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ตามกำาจัดภิกษุ ด้วยธรรม มีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะ และพระภุมมชกะตามกำาจัด ท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วย ธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
  • 20. คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙ [๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็น เพียงเลศ ตามกำาจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ถือเอา เอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์ อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำาจัดท่านพระทัพพมัล ลบุตรด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๓ ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐ [๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ทำาลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสกว่าจะ ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์.
  • 21. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระเทวทัต. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัต ตะเกียกตะกายเพื่อทำาลายสงฆ์ผู้ พร้อมเพรียงกัน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแก่ตาย วาจา กับจิต ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑ [๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ ทำาลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรมเพราะ สวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป ได้ประพฤติตามพระเทวทัตผู้ ตะเกียกตะกายเพื่อทำาลาย สงฆ์. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
  • 22. คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบท ที่ ๑๒ [๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเพราะ สวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ โดยชอบธรรม ได้ทำาตน ให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ... คำาถามและคำาตอบในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓ [๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละ กรรมเพราะสวดสมนุภาสกว่าจะ ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร?
  • 23. ต. ทรงปรารภภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะถูก สงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม แล้วกลับหาว่า ภิกษุทั้งหลายถึงความพอใจ ถึงความขัดเคือง ถึงความหลง ถึงความกลัว. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ... สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ หัวข้อประจำากัณฑ์ [๒๒] สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท คือ ปล่อยนำ้าสุกกะ ๑ เคล้า คลึง กาย ๑ วาจา ชั่วหยาบ ๑ บำาเรอตนด้วยกาม ๑ เที่ยวชักสื่อ ๑ สร้างกุฎี ๑ สร้าง วิหาร ๑ ปาราชิกาบัติไม่มี มูล ๑ อ้างเลศบางอย่าง ๑ ทำาลายสงฆ์ ๑ ประพฤติตามภิกษุผู้ ทำาลายสงฆ์ ๑ ว่ายาก ๑ ประทุษ- *ร้ายสกุล ๑ ---------------- อนิยตกัณฑ์ กัตถปัญญัติวาร [๒๓] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรง
  • 24. บัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ทรงปรารภใคร? เพราะ เรื่องอะไร? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเท สบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? บรรดาปา ติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้นหยั่งลงในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศไหน? มาสู่อุเทศโดย อุเทศที่เท่าไร? บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? บรรดาอาบัติ ๗ กองเป็นอาบัติกองไหน? บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร? บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่าง ไหน? บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับ ด้วยสมถะเท่าไร? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ใน อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็น ปาติโมกข์? ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? อะไรเป็นวิบัติ? อะไรเป็นสมบัติ? อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? พระผู้ มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรงอาศัย อำานาจประโยชน์เท่าไร? พวกไหนศึกษา? พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ใน ใคร? พวกไหนย่อมทรงไว้? เป็นถ้อยคำาของใคร? ใครนำามา? คำาถามและคำาตอบในอนิยตสิกขาบทที่ ๑
  • 25. [๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำาเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำาบัง พอ จะทำาการได้ กับมาตุคามผู้เดียว. ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน นบัญญัติหรือ? ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในอนิยต สิกขาบทที่ ๑ นั้น ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ. ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ. ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ. ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลง ในอุเทศไหน? นับ เนื่องในอุเทศไหน? ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน.
  • 26. ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔. ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? ต. บางทีเป็นอาบัติกองปาราชิก บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิ เสส บางทีเป็นอาบัติกอง ปาจิตตีย์. ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร? ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา. ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร? ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ . ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร? ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย กับปฏิญญาตกรณะ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ . ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย? ในอนิยต สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไร เป็นอภิวินัย? ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำาแนกเป็นอภิวินัย. ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์? ในอนิยต สิกขาบทที่ ๑ นั้น
  • 27. อะไรเป็นอธิปาติโมกข์? ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำาแนกเป็นอธิปาติโมกข์. ถ. อะไรเป็นวิบัติ? ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ. ถ. อะไรเป็นสมบัติ? ต. ความสังวรเป็นสมบัติ . ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ? ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ ทำากรรมเห็นปานนี้ แล้ว ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ. ถ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะ ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์ เท่าไร? ต. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะ ทรงอาศัยอำานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำาราญ แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ ยาก ๑ เพื่ออยู่สำาราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอา สวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อ กำาจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความ เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำารงมั่นแห่ง พระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์ พระวินัย ๑
  • 28. ถ. พวกไหนศึกษา? ต. พระเสขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา. ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว? ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว. ถ. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร? ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล . ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้? ต. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระ เถระพวกนั้นย่อมทรงไว้. ถ. เป็นถ้อยคำาของใคร? ต. เป็นพระดำารัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้า. ถ. ใครนำามา? ต. พระเถระทั้งหลายนำาสืบๆ กันมา. รายนามพระเถระผู้ทรงพระวินัย พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระ สิคควะ รวมเป็น ๕ ทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำาพระวินัยมาในทวีปชื่อว่า ชมพู อันมีสิริ. แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามาก เหล่านี้ คือ พระมหิ นทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ ประเสริฐ
  • 29. มีปัญญามากเหล่านี้รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศ พระวินัยปิฎกไว้ใน ตามพปัณณิ. คำาถามและคำาตอบในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ [๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำาเร็จการนั่งในที่ลับ กับมาตุคามผู้เดียว. ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปัน นบัญญัติหรือ? ต. มีแต่บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในอนิยต สิกขาบทที่ ๒ นั้น. ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ. ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ. ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ? ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ.
  • 30. ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น หยั่งลง ในอุเทศไหน? นับเนื่องในอุเทศ? ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน. ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร? ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔. ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน? ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน? ต. บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส บางทีเป็นอาบัติกอง ปาจิตตีย์. ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร? ต. เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา บางทีเกิดแต่ วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ... ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร? ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ . ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร? ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย กับปฏิญญาตกรณะ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ . อนิยต ๒ สิกขาบท จบ.
  • 31. หัวข้อประจำากัณฑ์ [๒๖] อนิยต ๒ สิกขาบท คือ สิกขาบทว่าด้วยอาสนะกำาบังพอ จะทำาการได้ ๑ อาสนะกำาบังไม่ถึงขนาดนั้น ๑ อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้คงที่ ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วแล. ---------------- นิสสัคคิยกัณฑ์ คำาถามและคำาตอบในกฐินวรรคที่ ๑ [๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บอติเรกจีวรล่วง ๑๐ วัน ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี . ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอติเรกจีวร. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายวาจา กับจิต ... [๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
  • 32. นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อยู่ปราศจากไตร จีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปฝากจีวรไว้ในมือของภิกษุทั้ง หลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตรา- *สงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบท. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายวาจากับ จิต ... [๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับอกาลจีวรแล้ว เก็บไว้เกินเดือนหนึ่ง ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้เกิน เดือนหนึ่ง.
  • 33. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ... [๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ใช้ภิกษุณีมิใช่ญาติ ให้ซักจีวรเก่า ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซัก จีวรเก่า. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับจีวรจากมือ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี. ถ. เพราะเรื่องอะไร?
  • 34. ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี รับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ ญาติ. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏ - *ฐาน ๖ ... [๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวรกะพ่อเจ้า เรือนก็ดี กะแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ ญาติ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ขอจีวรกะเศรษฐี บุตรผู้มิใช่ญาติ. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ... [๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวรยิ่งกว่านั้น กะพ่อเจ้าเรือนก็ดี กะแม่เจ้า เรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน?
  • 35. ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ไม่รู้ประมาณแล้วขอจีวรเป็น อันมาก. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขาไม่ได้ ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือน ผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำาหนดในจีวร ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องท่านพระอุปนันทศากยบุตร เขาไม่ได้ปวารณา ไว้ก่อนเข้าไปหาพ่อเจ้า- *เรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำาหนดในจีวร. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
  • 36. นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขาไม่ได้ ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือน ทั้งหลายผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำาหนดในจีวร ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันเขาไม่ได้ ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อ เจ้าเรือนทั้งหลายผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำาหนดในจีวร. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ยังจีวรให้สำาเร็จ ด้วยการทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันอุบาสกกราบ เรียนว่า ขอพระคุณเจ้า จงรอสักวันหนึ่ง ก็มิได้รอ.
  • 37. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... กฐินวรรค ที่ ๑ จบ หัวข้อประจำาวรรค [๓๗] อติเรกจีวร ๑ ราตรีเดียว ๑ อกาลจีวร ๑ ซักจีวรเก่า ๑ รับจีวรเป็นข้อที่ ๕ ขอ- *จีวร ๑ ขอเกินกำาหนด ๑ เขามิได้ปวารณา ๒ สิกขาบทกับทวง ๓ ครั้ง. คำาถามและคำาตอบในโกสิยวรรคที่ ๒ [๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตเจือ ด้วยไหม ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกช่างไหม แล้วพูด อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอจงต้มตัวไหมให้มาก จงให้แก่พวกฉันบ้าง แม้พวกฉันก็ ปรารถนาจะให้ทำาสันถัตเจือด้วยไหม. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
  • 38. [๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตแห่งขน เจียมดำาล้วน ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี . ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ให้ทำาสันถัตแห่งขนเจียมดำา ล้วน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาขนเจียม ขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน แล้วให้ทำาสันถัตใหม่ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถือเอาชายขนเจียมขาวนิด หน่อยเท่านั้น แล้วให้ทำา สันถัตขนเจียมดำาล้วนเช่นนั้นแหละ
  • 39. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๔๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำาสันถัตทุกปี ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปให้ทำาสันถัตทุกปี . มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ... [๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาสันถัตเก่า โดยรอบหนึ่งคืบพระสุคต แล้วให้ทำาสันถัตสำาหรับนั่งใหม่ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร?
  • 40. ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปทิ้งสันถัต แล้วสมาทา นอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติธุกดงค์ ปังสุกูลิกธุดงค์. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับขนเจียมแล้ว เดินทางไปเกิน ๓ โยชน์ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง รับขนเจียมแล้วเดินทางไปเกิน ๓ โยชน์. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา ... [๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักขนเจียม ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท.
  • 41. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขน เจียม. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ... [๔๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับรูปิยะ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร รับรูปิยะ. มี บัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงความแลก เปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร?
  • 42. ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงการซื้อและขาย มีประการต่างๆ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ถึงการซื้อและ ขายกับปริพาชก. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ... โกสิยวรรค ที่ ๒ จบ หัวข้อประจำาวรรค [๔๘] สันถัตเจือไหม ๑ ดำาล้วน ๑ ไม่ได้ส่วน ๑ ทำาทุกปี ๑ สันถัตเก่า ๑ กับ การนำาขนเจียมไป ๑ ซักขนเจียม ๑ รับรูปิยะ ๑ แลกเปลี่ยนและ ซื้อขายมีประการต่างๆ ๒
  • 43. สิกขาบท. --------------- คำาถามและคำาตอบในปัตตวรรคที่ ๓ [๔๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บอติเรกบาตรไว้ เกิน ๑๐ วัน ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอติเรกบาตร . มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ กายวาจากับจิต ... [๕๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้มีบาตร มีรอยร้าว หย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรใหม่ ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์.
  • 44. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ผู้มีบาตรทะลุเพียงเล็กน้อย บ้าง ร้าวเพียงเล็กน้อยบ้าง เพียงเป็นรอยขีดบ้าง ก็ขอบาตรเป็นอันมาก . มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ... [๕๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับประเคนเภสัช แล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้ เกิน ๗ วัน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนในกฐินสิกขาบท) ... [๕๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แสวงหาผ้าอาบนำ้า ฝน เมื่อฤดูร้อนเหลือเกินกว่า ๑ เดือน ณ ที่ไหน?
  • 45. ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์. ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสวงหาผ้าอาบนำ้าฝน เมื่อฤดู ร้อนเหลือเกินกว่า ๑ เดือน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๖ ... [๕๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุเอง แล้วโกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา ณ ที่ไหน? ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี. ถ. ทรงปรารภใคร? ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร . ถ. เพราะเรื่องอะไร? ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ให้จีวรแก่ภิกษุ เองแล้วโกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๓ ... [๕๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์