SlideShare a Scribd company logo
โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส ... ในฤดูใบไม้ผลิ
http://pantip.com/topic/30507449
เช้าวันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากหน่วยช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน (SAMU) แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มารับผม
ที่บ้าน ให้ผมรีบเตรียมตัวด้วยเพราะเป็นกรณีเหตุฉุกเฉินยิ่งยวด
ก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้ถามเจ้าพนักงานในสาย ผมก็ได้ยินเสียงหวอดังใกล้เข้ามา ผมจึงรีบวางสายและ
รีบแต่งตัว (เรียกว่า คว้าเสื้อแล้วกระโดดเข้าไปในกางเกงน่าจะเห็นภาพกว่า) แล้วก็วิ่งลงบันไดจากชั้น ๕
ลงมาข้างล่าง
ตํารวจจอดรอผมอยู่ข้างล่าง ผมรีบขึ้นรถด้วยความคิดในหัวที่ยังวิ่งไปมาเพื่อหาคําตอบให้ตัวเองว่า
ผมจะต้องไปทําอะไร ที่ไหน และทําไมมันถึงต้องไปด่วนขนาดนี้?!
เพราะปกติแล้วงานของนิติจิตแพทย์อย่างผมจะอยู่ในศาล ในคุก ในโรงพยาบาลของนักโทษ และ
เนื่องจากคนไข้นิติจิตเวชคือผู้ป่วยคดีที่ถูกตัดสินจากศาลแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นที่นิติจิตแพทย์อย่าง
พวกผมจะต้องรีบร้อนอะไรมาก ยังไงคนไข้ก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อรักษาหายก็จะต้องถูก
ส่งกลับแดนอยู่ดีจนพ้นโทษ ยกเว้นแต่ในกรณี (ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ผมยังไม่เคยเจอหรอกนะ) เช่น
คนไข้จับใครเป็นตัวประกัน หรือหนีออกจากคุกไปก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ ซึ่งตรงนั้น เจ้าหน้าที่ที่
เกี่ยวข้อง (ตํารวจ เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ฯลฯ) ก็มีหน้าที่และอํานาจในการดําเนินการจับกุมกลับมาได้
เอง ไม่เห็นจําเป็นจะต้องใช้หมออย่าง
ผมจึงยิ่งไม่มีความจําเป็นที่จะต้องรีบไปทําอะไรแบบนี้เข้าไปใหญ่ ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้
จะเป็นการทํางานของผมครั้งสุดท้ายในฐานะนิติจิตแพทย์ เป็นเหตุการณ์ที่ทําให้ผมวางมือและกลับไป
รักษาทหารที่บาดเจ็บทางจิตใจจากการสู้รบ เพราะสําหรับผมแล้ว มันมีเหตุผลที่เป็นรูฎปธรรมมากกว่า
เรื่องจากคนทั่วไป
...............................................
บ้านผมอยู่ใจกลางกรุงปารีส ปกติผมจะเดินหรือไม่ก็ขี่จักรยานไปทํางาน ขึ้นอยู่กับว่าผมรีบหรือไม่รีบ
แค่ไหน
คนที่มีบ้านอยู่ในปาฎรีส ทํางานในปารีสแล้วยังขับรถไปทํางานนั้นเป็นพวกที่งี่เง่ามากในสายตาของ
Vrai(e) parisien(e)
วันนั้นตํารวจใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที ก็นําผมมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นสถานีรถใต้ดินแห่งหนึ่ง (Métro) ของ
ปารีสที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเคยผ่าน
มหานครปารีสมีรถไฟใต้ดินทั้งหมด ๑๔ สายใหญ่ มีรถไฟชานเมืองระยะไกล (RER) ทั้งหมด ๕ สาย ยัง
ไม่นับรวมรถราง (Tramway d'Île-de-France) และรถประจําทางอีกหลายต่อหลายสาย เฉพาะรถไฟ
ชานเมืองระยะไกลในวันธรรมดาก็มีคนใช้บริการวันละหลายล้านคน ยังไม่นับผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินและ
อื่น ๆ
ชั่วโมงเร่งด่วนของมหานครปารีสคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ ๗ โมง ถึง ๙ โมงเช้า และตอนเย็นช่วงเลิกงาน
ตั้งแต่เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม
ในชั่วโมงเร่งด่วนรถเมโทรจะมาทุกประมาณ ๒ ถึง ๔ นาที ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นในการจราจรของ
แต่ละสาย หากการมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้จึงถือว่าเหตุการณ์วิกฤติและต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
ที่สุด
...............................................
ผมได้รับการแจ้งว่า รถเมโทรสายนี้ได้จอดสนิทมาแล้วเป็นเวลากว่า ๒๐ นาที ตํารวจเปิดทางให้ผมเดิน
ลงไปในสถานี ผมเห็นคนสองกลุ่มกําลังยืนปรึกษากันอยู่ที่ชานชาลาข้างรถเมโทรที่จอดสนิท รถเมโทร
เปิดไฟอยู่แต่ไม่มีผู้โดยสารบนรถ
เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นผมเดินลงมา จึงรีบพาผมเดินไปหาผู้ชายสามคนที่กําลังยืนปรึกษากันอยู่อย่างคร่ํา
เครียด
"สวัสดีครับคุณหมอ ผมชื่อหลุยส์ เป็นหัวหน้าทีม นี่คุณหมอฌอง-ปิแอร์ ศัลยแพทย์ นี่คุณหมอโดมินิค
แพทย์วิสัญญี”
ผมจับมือคุณหมอทั้งสามท่าน รู้สึกได้ว่ามือของ(อาจารย์)หมอหลุยส์เย็นมาก
“มีผู้โดยสารกระทําอัตวินิบาตรกรรมด้วยการให้รถไฟทับ” หมอหลุยส์พูดต่อ
ถึงจุดนี้ ผมยังสับสนหาจุดต่อและเหตุผลไม่ได้ว่าทําไมแพทย์นิติจิตเวช (นิติจิตแพทย์) อย่างผมถึงต้อง
เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย ?
“มีคนผลักเขาหรือครับ คนผลักอยู่ที่ไหน”
ผมถามด้วยความสงสัย คิดสรุปเข้าข้างตัวเอง เพื่อประมาณการว่า ผมอาจจะต้องไปช่วยตํารวจตรวจ
สภาพจิตผู้ต้องหาก่อนส่งฝากขัง แต่หน้าที่นี้แพทย์ท่านไหนก็สามารถทําได้เพราะผู้ต้องหายังไม่ถูก
ตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ อาจเป็นการใส่ความก็ได้
“ไม่มีครับไม่มี ผู้โดยสารเดินลงไปเอง เราได้ตรวจดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว” หมอหลุยส์ตอบผมแทบจะ
ทันที ทั้งนี้ที่ว่าเดินลงไปนั้น ก็คือเดินลงไปในรางรถไฟ ซึ่งอันตรายมาก มีทั้งสายไฟฟ้าแรงสูง ทั้งอะไร
ต่อมิอะไร
“ผู้โดยสารตัดหน้ากระชั้นชิดมากในจุดโค้ง คนขับจึงไม่สามารถเบรครถได้ทันที จึงถูกตัวรถดูดเข้าไป”
หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจ
“ร่างของคนเจ็บถูกรถไฟทับไปครึ่งตัวล่าง ครึ่งบนพ้นแต่ถูกหนีบไว้ระหว่างชานชาลากับโบกี้รถ ที่เหลือ
ลงไปนั้นบอบช้ําเสียหาย แต่ยังไม่เสียชีวิต”
“อะไรนะครับ!!!” ผมตกใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยครับหมอ ทีมของผมพยายามแล้ว แต่พวกเราไม่สามารถจะทําอะไรได้เลย
ผู้โดยสารน่าจะทรมานมากเพราะกระดูกสันหลังยังไม่ถูกตัดขาด สันนิษฐานว่า กระดูกกระบังลมที่หัก
ไม่ซี่ใดก็ซี่หนึ่งนั้น ได้ไปกดจุดใดจุดหนึ่งของเส้นเลือดแดงใหญ่ส่วนล่าง (Veine cave inférieure) และ
ต้องมีสาเหตุอะไรอีกอย่างที่สามารถทําให้ให้เลือดที่วิ่งออกจากเส้นเลือดแดงใหญ่ส่วนบน (Veine cave
supérieure) ยังสามารถวิ่งวนเป็นระบบปิดไปเลี้ยงก้านสมองได้อยู่ ถ้าเราขยับรถโดยไม่ระวัง คนเจ็บ
อาจจะเสียชีวิตได้”
หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจอีกรอบ
“หมอต้องไปแจ้งคนเจ็บว่าทีมแพทย์ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเคลื่อนขบวนรถออกไป เราจะทําอย่ฎาง
ระวังที่สุด เพื่อที่จะสามารถประเมิน (Évaluer) ได้ว่าเราพอหาหนทางช่วยชีวิตของคนเจ็บได้อย่างไร แม้
ทีมของผมจะมีโอกาสแค่ศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่พวกเราทุกคนจะทําให้ดีที่สุด”
“คนเจ็บเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย”
ผมมองหน้าหมอหลุยส์ที่กําลังมองผมด้วยความเมตตา เอามือแกมากุมมือผม
“ผมมั่นใจว่าหมอรู้ว่าจะต้องทําอย่างไร “
ณ นาทีนั้น ... ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมหายใจ
หน้าที่ของผมคือการเดินไปบอกคนเจ็บถึงแผนการเคลื่อนย้าย ซึ่งแน่นอนว่าจะทําให้ช่องว่างระหว่าง
ความเป็นกับความตายชัดเจนยิ่งขึ้น
ถ้าทําก็อาจที่จะรอด แม้โอกาสนั้นต่ําจนเกือบจะเหลือศูนย์ แต่อย่างน้อยทุกคนก็ได้พยายามเต็มที่ที่จะ
ช่วยอย่างเต็มกําลังความสามารถ แต่ถ้าไม่ทํา ก็จะทําให้คนเจ็บทรมานมากขึ้น และสิ่งที่สําคัญที่สุด
ในตอนนี้ ก็คือ เวลา ทุกคนต้องทํางานแข่งกับเวลา และทุกคนกําลังรอผมอยู่คนเดียว!
มองไปที่เกิดเหตุ ผมเห็นร่างเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไว้ผมยาวเพียงแค่ไหล่ในเสื้อคลุมบางสีขาวที่
เปรอะไปด้วยคราบโลหิตสีแดงปะปนกับคราบสกปรกสีดําของพื้นสถานี ร่างของเธอพ้นชานชาลา
ออกมาเพียงครึ่งบน เอียงค่อนขวาตามทิศแรงเบรกของโบกี้ ผมมองไม่เห็นครึ่งล่างที่อยู่ลึกลงไป
ไม่มีเสียงโอดโอย ... ไม่มีเสียงร้องร่ําคร่ําครวญ
ในความเงียบนั้น เป็นเสียงส้นรองเท้าของผมกระทบกับพื้นซีเมนต์ของชานชาลาดังก้องไปทั้งสถานี
สายตาทุกคู่ในเวลานี้ต่างจ้องมาที่ผม รวมถึงจากของหญิงสาวคนนั้นด้วย
ผมย่อตัวลง แต่รีบเปลี่ยนจากการเตรียมนั่งชันเข่า เป็นการนั่งพับเพียบ ผมไม่อยากให้เธอได้ภาพของ
ผมเป็นตํารวจที่กําลังสอบสวนผู้ต้องหา ผมอยากเป็นใครก็ได้ที่ทําให้เธอรู้สึกอยากที่จะคุยกับผมให้ได้
โดยเร็วที่สุด
"สวัสดีครับ ผมเป็นแพทย์นะครับ”
เงียบ ... ไม่มีเสียงตอบใด ๆ
“พี่เป็นหมอที่นี่นะครับ พี่ชื่อ อเล็กซ์ น้องชื่ออะไรครับ”
เมื่อผมลดดีกรีของภาษาลงมา ผมก็ได้ยินคําตอบแรก
“ตาลค่ะ" (นามสมมติ)
“น้องตาลรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างไหมบอกพี่สิครับ”
“หนูรู้สึกว่าหนูโง่มากเลยค่ะที่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้ หนูคิดถึงแม่”
แม้จะไม่ได้คําตอบที่ตรงคําถามผม แต่อย่างน้อยก็ดีที่สามารถช่วยให้เธอได้ระบายความคับแค้นที่คั่ง
ค้ฎางในใจออกมา
ดีกรีของความเจ็บปวดดูจะไม่ฎใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาดังที่ทีมแพทย์คาดการณ์ไว้
ผมชําเลืองตามองที่หมอหลุยส์ที่ตอนนี้กําลังกอดอกดูผม approach น้องตาลอยู่ ได้ยกนิ้วชี้ขวาขึ้นเป็น
สัญญาณให้ผมไปต่อได้
ผมพยายามถอนหายใจให้เบาที่สุด
“น้องตาลครับ จําเบอร์โทรศัพท์ของคุณแม่ได้ไหมครับ”
“จําได้ค่ะ .. แต่หนูไม่อยากให้แม่รู้ ไม่อยากให้แม่เสียใจ"
"น้องตาลครับ ถ้าคุณแม่ก็รักน้องตาล ท่านคงดีใจเวลาได้ยินเสียงหนู เหมือนเวลาน้องตาลได้ยินเสียง
คุณแม่นะ"
"น้องตาลรักคุณแม่มาก ผมเข้าใจเลยล่ะ รักมากกว่าคนที่ได้ทําลายความรู้สึกของน้องตาลบนโลกที่ห่ว
ยแตกใบนี้ !!!"
"...... ............ ........"
อิคค์ อิคค์ เสียงน้องตาลกระซิกเบา เหมือนกับต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง
ผมกลั้นหายใจเอาไว้ และพยายามปล่อยออกอย่างเบาและให้ช้าที่สุด
น้องตาลสบตาผม ... ผมยิ้มบาง ๆ กลับไป
“ค่ะ พี่หมอ เบอร์ xxx-xxx-xxxx”
“รอผมเดี๋ยวนะครับ”
ผมล้วงไปหยิบ BlackBerry ของผมออกมาจากแจ๊คเก็ต กดโทรศัพท์ไปที่หมายเลข +66-xx-xxx-xxxx
“บริการฝากหมายเลขโทรกลับ ..........”
ผมกดไปอีกครั้งก็เป็นแบบเดิมอีก
“เบอร์ xxx-xxx-xxxx ถูกต้องนะครับ”
น้องตาลพยักหน้า
ผมกดโทรศัพท์กลับไปอีกครั้งและฎทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของผมไว้
ผมนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ อีกครั้ง
"น้องตาลรู้สึกอย่างไรบ้างครับ" ผมถามด้วยความห่วงใย
“ตอนนี้คุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนกําลังพยายามหาวิธีที่จะทางช่วยน้องตาลกันอย่างเต็ม
ความสามารถ ตู้ขบวนข้างหลังหลังได้ถูกปลดออกไปแล้ว เหลือแต่ตู้ข้างหน้าที่จะดึงขบวน”
ผมพยายามอธิบายอย่าง ช้า ช้ฎา ... ชัด ชัด และพยายามประคองสายตาต่อน้องตาลที่กําลังฉายแวว
ของความกลัว
ผมกําลังสะกดจิตน้องตาลให้เกิดภาวะย้อนสมาธิไปพร้อมกับผม เทคนิคที่ผมเถียงอาจารย์(จิตเวช)ว่า
มันไม่น่าจะใช้งานได้จริงก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วตอนนี้ถึงประสิทธิภาพของมันว่า ไม่มีอะไรที่จะสื่อสาร
กับจิตได้นอกจากจิตด้วยกัน
ในเวลานี้ จิตของผมได้ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้จิตของน้องตาล ให้จิตสงบ ให้จิตนิ่ง เพราะถ้าผมติดต่อ
กับคุณแม่ของน้องตาลไม่ได้ ผมต้องการให้จิตนั้นเรียกสติขึ้นมา เพื่อให้สตินั้นทําหน้าที่เรียกความทรง
จําที่ดีในอดีตระหว่างน้องตาลกับคุณแม่ขึ้นมาให้ได้
“ตอนรถไฟเคลื่อน จะมีเจ้าหน้าที่ ดึงตัวหนูไว้ เพื่อกันไม่ให้ ร่างกายของหนู ถูกดูดเข้าไป ข้างใต้ขบวน”
"น้องตาลพูดตามผม" ผมพูดเสียงดัง
"ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล" ผมพูดนํา
"ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ..."
สภาพร่างของน้องตาลนั้น ติดคาอยู่ตรงกลางโบกี้พอดี จะเคลื่อนรถไปข้างหน้า หรือจะถอยไปข้างหลัง
ก็มีค่า(ระยะ)เท่ากัน
ชานชาลาของสถานีแห่งนี้มีช่องว่าง (Gap) ค่อนข้างกว้างเนื่องจากจุดที่เกิดเหตุเป็นมุมโค้งและเป็นสถานี
เมโทรเก่า Gap จึงกว้างกว่าปกติ
พวกเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ตอนนี้ทุกสายตาต่างก็จดจ้องมาฎฎที่ผมเพื่อรอสัญญาณจากผม
“น้องตาลพร้อมนะครับ ...”
ในวินาทีที่ผมหลับตาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะตัดสินใจให้สัญญาณนั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็
ดังขึ้น
....................................
“สวัสดีค่ะ ใครคะ” เสียงหญิงมีอายุถามขึ้นมาในสาย
“สวัสดีครับผม นายแพทย์วัชรพล ผมเป็นแพทย์ไทยในกรุงปารีส”
“คะ?”
“ไม่ทราบว่าเป็นคุณแม่ของน้องลูกตาลใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะคุณหมอ”
“คุณแม่ตั้งใจให้ดีนะครับ ตอนนี้น้องลูกตาลประสบอุบัติเหตุที่ปารีส”
“อะไรนะคะ !!!”
“น้องตกลงไปในรางรถไฟเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว ทีมแพทย์ต่างพยายามหาหนทางช่วยเหลือน้องอย่าง
เต็มที่ แต่เนื่องจากบาดแผลของน้องสาหัสมาก เราจึงเห็นว่าต้องเคลื่อนขบวนรถออกเพื่อทําการช่วย
น้องออกมาครับ”
“คะ?!!!!
“คุณแม่อยู่กับลูกนะครับ”
ผมส่งโทรศัพท์ให้น้องตาล
"ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล" ผมพูดย้ํา
ปากน้องตาลพึมพําฎตามผม และเมื่อน้องตาลได้ยินเสียงคุณแม่ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น
“แม่ขา ตาลขอโทษ ตาลรักแม่ ตาลรักแม่มากกกกกก”
แม้ผมจะได้ยินบทสนทนาแค่เพียงฝั่งเดียว แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสําหรับการทําให้ลูกผู้ชายอย่างผมมี
สายน้ําอุ่นไหลออกมาจากสองตา
ผมหันไปทางทีมแพทย์ พยักหน้า
ทุกคนต่างกุลีกุจอในการทําหน้าที่ของตัวเอง เสียงผู้คนวิ่งวนอลหม่าน ... ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์เสีย
เอง
“ทุกคนพร้อมแล้ว” เสียงหมอหลุยส์ดังขึ้น
ผมถอยออกมา เพื่อหลีกทางให้พนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่
มือข้างขวาของน้องตาลกําโทรศัพท์ไว้แน่น ลําตัวถูกประคองโดยเจ้าหน้าที่
เมื่อรถเริ่มเคลื่อนขบวน ผมก็ได้ยินเสียงของน้องตาลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ยยยยยย แม่จ๋า ตาลเจ็บ .... ตาลเจ็บมากกกก แม่จ๋าาาาาาาาาาา ” น้องตาลร้องโหวกเหวก
สายตามองผมด้วยความวิงวอน
แม้ผมจะเป็นแพทย์ทหารที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว เห็นทหารถูกยิงต่อหน้าต่อตามาแล้ว โดนยิงเองก็แล้ว
แต่ผมก็ยังเกือบประคองตัวเองไม่อยู่
“แม่จ๋า .........................................” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน
ตู๊มมม!!!! เสียงหม้อแปลงไฟระเบิด
ทุกสิ่งตกอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของทุกคน
เมื่อระบบไฟสํารองเปิดขึ้น ก็ปรากฏภาพที่เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น
ร่างของน้องตาลครึ่งล่างตกลงไปในรางจําสภาพเดิมไม่ได้ ครึ่งบนอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าหน้าที่สองคน
แต่เป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป
BlackBerry ของผมตกลงไปในราง เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกลับมาให้ผม ผมยังได้ยินเสียงแม่ของน้องตาล
ตะโกนโหวกเหวกดังออกมาเหมือนคนเสียสติ
“ลูก ลูก ... ฮือ ... ฮือ ลูกแม่ ลูกตาล ลูกกก ลูกกกก”
แล้วสายก็หลุดไป ...
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที
ผมหลับตาลง ยืนนิ่ง มือประสานกุมที่ปาก ผมยืนสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่พัก จนได้ยินเสียงดังมา
จากตรงหน้า
"อาจารย์ครับ นี่คือสิ่งของของผู้ตาย"
ผมลืมตาดู เห็นเจ้าหน้าที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ให้ผมอยู่ ในมือมีกระเป๋าผ้าสีขาวปักด้วยด้ายหลากสี เป็นภาพ
เด็กผู้หญิงกําลังถืออมยิ้ม ไกลออกไปมีต้นไม้และมีเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่
ผมใส่ถุงมือยางที่เจ้าหน้าที่ยื่นให้ หยิบมาเปิดดูภายใน มีสมุดไดอารี่ฎสีชมพู ยาอม ดินสอ และยางลบ
กลิ่นผลไม้ที่ถูกกัด (เป็นรอยฟัน) หายไปครึ่งก้อน มีรูปถ่ายของน้องตาลกําลังยิ้มหัวเราะกับน้องผู้ชาย
วัยไล่เลี่ยกัน ด้านหลังเป็นวิว Statue of Liberty มีปากกาเมจิกเขียนไว้บนรูป .... "เรารักป๋องมากนะ"
ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บสิ่งของทั้งหมดลงไปในถุงผ้าและส่งกลับไปให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะถอดถุง
มือยางออก เดินกลับขึ้นมาบนถนน ก่อนจะหันหลังมองกลับลงไปในสถานีเมโทร
"ผมขอให้หนูไปดี ขอให้ไปสู่สุคติ ผมขออโหสิกรรมที่เราเคยได้ทําร่วมกันไว้ไม่ว่าในชาติภพใด ขอให้หมด
สิ้นกันไปแต่เพียงในชาตินี้นะหนูนะ"
To be continued .....
It is (quite) a long story
ผมถอดซิมจาก BlackBerry (BB) ของผมเครื่องนั้นแล้วซีลมันไว้ในถุงก่อนจะเก็บลงไปในกระเป๋าฎทํางาน
ผมไม่ได้รังเกียจที่จะใช้มันต่อ แต่ผมว่ามันมีค่ามากกว่าสําหรับคุณแม่ของน้องตาลหากเราไฎด้มีโอกาส
พบกัน
กว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย กว่าที่ผมจะมีเวลาไปซื้อ BB เครื่องใหม่และจัดการทําให้มันใช้อย่างเครื่อง
เก่า ก็ปาไปเกือบทุ่มนึงแล้ว
ในทันที่ที่เปิดเครื่อง BB ของผมแจ้งว่า มี 14 missed call จาก +66-xx-xxx-xxxx ไม่นับรวมอีก 7
missed call จากเบอร์ +66 อื่น ๆ
ในขณะที่ผมกําลังคิดว่าจะโทรกลับดีไม่โทรกลับดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"สวัสดีครับอาจารย์ ผมหมวดดูปองนะครับ"
"ครับหมวด มีปัญหาอะไรกับเอกสารหรือเปล่า"
ผมถามด้วยความสงสัยเพราะก็เพิ่งจะแยกจากกันเมื่อตะกี้นี้ หมวดเป็นคนขับรถพาผมมาส่งที่ร้าน
โทรศัพท์นี่ล่ะ
"ลูกน้องผมได้รับการข้อมูลการเข้าเมืองยืนยันมาแล้ว ผู้ตายพักอยู่โรงแรมในเขต ๔ (4e arrondissement
de Paris) เราได้ประสานไปแล้ว และนําตัวเพื่อนที่เข้าพัดด้วยมาสอบสวน อาจารย์หมอว่างไหม ผมจะ
ได้ปิด Dossier คดีเสียที"
"หมวดได้เรียนอาจารย์หลุยส์หรือยัง?"
"อาจารย์หลุยส์บอกให้อาจารย์เดินหน้าได้เลยครับ แกเป็นคนสั่งให้ผมโทรหาอาจารย์เอง"
"แล้วหมวดจะมารับผมเมื่อไหร่"
"อาจารย์มองมาทางสิบนาฬิกานะ ผมโบกมืออยู่ ... เห็นไหม ๆ"
โห! เอางี้เลยนะหมวด บ้านเบิ้นผมไม่ต้องกลับ น้ําเนิ้มผมไม่ต้องอาบ ทําเหมือนผมเป็นคนไม่มี
ครอบครัว?!
ผมเดินไปหาผู้หมวดดูปองที่โบกมือยิ้มให้ผมอยู่
หน้าที่ ... ภารกิจ ... จรรยาบรรณ ... ผมบอกกับตัวเอง
"คนที่พักกับผู้ตายเป็นใครหมวดมีข้อมูลให้ผมตอนนี้ไหม? เป็นคนไทยใช่ไหม?" ผมถามไปงั้น เพราะยังไง
ก็น่าจะไทยชัวร์
"เป็นอเมริกัน'จารย์"
"อ้าว! ไม่ใช่คนไทยหรอกเหรอ?! เอา Dossier มาดูสิ" ผมงงตึ๊บ
"DAN XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX" (นามสมมติ)
ชื่อพยางค์เดียวแต่นามสกุลยาวแปดกิโลขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนมาดากัสการ์ (Madagascar) ก็ต้องเป็นไทย
ล้านเปอร์เซนต์
ผมพลิกดู Dossier ของน้องตาลซึ่งถือหนังสือเดินทางไทยมีวีซ่าเข้า Schengen Area ออกโดย Consulat
Général de France à Los Angeles!!!
Fact
ตาล เป็นนักศึกษาปริญญาโทกฏหมาย (LLM) ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ป๋อง ลูกครึ่ง(พ่อ)ไทย-(แม่)อเมริกัน(เอเชีย) เป็นแฟนหนุ่มของตาล เรียนสาขาเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัย
แห่งเดียวกัน จบ ป.ตรี จากสถาบันเดียวกันจากเมืองไทย ได้เกียรตินิยมเหมือนกัน ทั้งคู่เป็น High
School Sweetheart ที่รักกันมานานและวาดหวังกันไว้ว่าจะแต่งงานกันเมื่อเรียบจบ และอยู่ด้วยกันที่
แคลิฟอร์เนีย ป๋องพาตาลมาเที่ยวที่ยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพราะต้องการที่จะขอตาลแต่งงานที่นี่
และแล้ว Pre-Wedding Honeymoons ก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ป๋องเองก็ย่ําแย่เพราะไม่คิดว่าจะเกิด
เรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้น แผนที่เตรียมไว้ในคืนวันนี้ใน Dinner Cruise ที่ป๋องหวังจะเซอร์ไพรส์ตาลด้วยการ
คุกเข่าขอแต่งงานเมื่อนักไวโอลินเดินมาข้างโต๊ะ กลายเป็นการยืนก้มหน้าต่อหน้าถุงศพ แหวนหมั้นที่
ป๋องเตรียมไว้ให้ตาลยังถูกกําแน่นในมือข้างขวาที่สั่นสะท้านของป๋อง
.........................................
ผมใช้เวลาไปไม่กี่ชั่วโมงในคืนนั้น ป๋องเองก็ให้การทั้งน้ําตา ผมเองก็มีความรักมาก่อน ทําไมผมจะมอง
ไม่ออกว่ารักแท้รักเทียมป็นอย่างไร
คืนนั้นสมองผม Shutdown สลบคาเตียงในชุดทํางาน ภาพเหตุการณ์ในตอนเช้ายังตามมาหลอกหลอน
ผมอีกครั้งในฝัน ผิดที่ว่า BB ที่ผมถือในมือในฝันนั้นดังขึ้นมา
ผมสะดุ้งตื่น ... แล้ว BB ของผมก็ดังขึ้นมาจริง ๆ
"Bonjour" ผมงัวเงียตอบ
"แม่ ๆ ติดแล้ว ๆ" เสียงในสายดังขึ้น ผมได้ยินเสียงวิ่งกุก ๆ ๆ ๆ
"คุณหมอ คุณหมอใช่ไหมคะ" เสียงในสายเหนื่อยหอบ
"ครับผม คุณแม่น้องตาลใช่ไหมครับ"
"ค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดา (นามสมมติฎ) ดิฉันอยู่กําลังจะขึ้นเครื่องจากกรุงเทพฯ มาปารีส จะถึงคืนนี้ค่ะ"
"คุณหมอรอดิฉันนะคะ ดิฉันไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้วตอนนี้"
"คุณวิยะดามาคนเดียวหรือเปล่าครับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วง
"มาคนเดียวค่ะ แต่ตอนนี้พ่อน้องป๋องทราบเรื่องแล้ว จะบินมาหาคุณหมอด้วยจากเอลเอ เราจะไปเจอ
กันที่นั่นค่ะ"
หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ กับหน้าที่ของคนเป็นหมออย่างผม
คนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ (GMT+7) คนหนึ่งอยู่ลอสแองเจลิส (GMT-8) กําลังจะบินมาหาผมที่ปารีส
(GMT+1) เพราะอีกคนหนึ่งเสียลูกไป อีกคนลูกกําลังแย่
ผมลุกขึ้นไปอาบน้ําเป็นครั้งแรกในรอบ ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา
สายน้ําอุ่นจากฝักบัวที่ตกกระทบศรีษะปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา
หึหึ ... ผมหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ
ผมแต่งตัวเดินออกจากบ้านไปทํางาน อากาศยามเข้าที่ปารีสในฤดูใบไม้ผลินี้ช่างเย็นสบาย ลม
โชยโกรกโบกพัดดี แม้จะเป็นใจกลางปารีสก็เถอะ
ผมเดินไปก็คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเช้า นึกถึงเรื่องที่ป๋องเล่าให้ผมฟังทั้งน้ําตาเมื่อคืนก่อนตอน
มาให้การที่สถานีตํารวจ
"ตกลงมันยังไง" ผมบ่นกับตัวเอง ... ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้!
"หวัดดีโซฟี" ผมโทรไปหาเลขา
"วันนี้ผมไม่เข้าที่ทํางานนะ มีอะไรด่วนให้โทรบอกผมได้ พอดีมีธุระต้องไปทําหน่อย เรื่องเมื่อวานน่ะ"
"หมอจะไม่เข้าเลยเหรอ งั้นฉันไปบ้างนะ จะไปซื้อดินสอสีให้เซลีน (ลูกสาว ๖ ขวบ)"
"ได้ ๆ ผมอนุญาต สองชั่วโมงพอไหม"
"ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองว่าจะไม่ทําให้หมอโดนตาแก่ (เจ้านายผม) ว่าได้แน่นอน ขอบคุณหมอมากนะ"
............................................
ผมเลี้ยวขวาเข้าไปในโรงแรมที่ผมหยุดยืนโทรศัพท์ โรงแรมนั้นเป็นโรงแรมที่ป๋องกับตาลเข้าพัก
ผมเกือบจะเดินไปหา Bell แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นนายป๋องนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเก้าอี้ในล็อบบี้
"ว่าไงพ่อหนุ่ม" ผมทัก
"อุ๊ย สวัสดีครับคุณหมอ" นายป๋องรีบลุกขึ้นมา ก้มหัวไหว้ผมเสียใกล้จนหัวแทบจะชนอกผม
"คุณหมอมาได้ยังไงครับเนี่ย"
"ก็เดินมา" ผมอมยิ้มตอบ "เป็นไงเรา นอนหลับไหมเมื่อคืน ขอโทษด้วยนะที่ยาวไปหน่อย เอกสารทั้งนั้น
ราชการฝรั่งเศสก็อย่างนี้ล่ะ"
"ครับผมเข้าใจ"
"ทานอาหารเช้าหรือยัง" ผมถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่อะครับคุณหมอ ผมทานอะไรไม่ลง"
"เข้าใจ ... งั้นไปเดินเล่นกัน ไปมะ" ผมชวน
"ไปไหนครับคุณหมอ"
"แถวเนี้ย" ผมยิ้มให้นายป๋องอีกหนึ่งรอบ แล้วก็บุ้ยปากเดินนําไป
ผมพานายป๋องเดินทะลุย่าน Marais ข้ามสะพาน Pont Marie ไปที่เกาะ Île Saint-Louis กลางแม่น้ําแซน
(Seine) ผมรู้จักเกาะนี้ดีเพราะบ้านแม่แฟนผมอยู่ที่นี่ เป็น Appartement เก่าแก่สมบัติตระกูล อยู่ในตึก
โบราณอายุสี่ร้อยกว่าปี Appartement บนเกาะนี้ราคาแพงหูดับตับระเบิด ตึกเก่าแก่โบราฎณขนาดนี้ ต่อ
ให้ภายในบ้านมีผีตายโหงควักไส้ไล่บีบคอคนในบ้านยังไม่น่ากลัวหัวหดสยดสยองเท่ากับตอนเห็น
ราคา!!!
ตรงหัวมุมถนนบ้านแม่แฟนผมนั้น มีม้านั่งตั้งอยู่ ตรงกันข้ามรูปปั้นพระนางไม่มีหัว (La Femme-sans-
Tête) ที่หัวหายไปจากตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1710 และจนป่านนี้ก็ยังหาหัวของตัวเองไม่เจอ ช่างน่าสงสารแม่
นางเหลือเกิน!
หายเครียดกันแล้วนะ ....
คุณผู้อ่านเห็นเก้าอี้ทางขวามือนั่นไหม?
ตรงนั้นล่ะ เป็นที่ที่ผมนั่งคุยกับนายป๋อง
ผมนั่งทอดสายตาอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนายป๋องที่ตอนนี้ดูจะมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง แต่ยังเศร้าอยู่
เหมือนเดิม
อาจารย์(กรีก)เคยสอนผมว่า ถ้าอยากจะให้คนไข้เปิดใจกับเรา ห้ามนั่งคุยกันใน "กล่อง" ใหัพากันไปคุย
ในที่ที่เห็นแม่น้ํา เห็นท้องฟ้า เห็นเดือน เห็นตะวัน เห็นโลกกําลังทําหน้าที่ของมัน
"ปารีสสวยนะ อากาศดีด้วย อยู่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้จะหามุมแบบนี้นั่งได้ที่ไหน" ผมเปิดฉากการสนทนา
"ที่เราเล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนี่ เล่ามาหมดแล้วใช่ไหม"
"ครับ" ป๋องตอบเสียงเบา
"รู้ใช่ไหมว่าแม่เขาจะมา" ผมถามต่อ
"รู้ครับ ถึงคืนนี้" ป๋องตอบผมเสียงเศร้า
"น่าเสียดายนะ รักกันดี" ผมเปรยประโยคขึ้นมา
"รูปนั้นที่ถ่ายกันกับแฟนเรา ถ่ายกันเมื่อไหร่เหรอ" ผมยิงคําถามต่อ
"รูปอะไรครับคุณหมอ!" ป๋องมืงมือขวาที่ชันเข่าเท้าคางไว้ แล้วยืดอกหันมามองผมเต็มตัว
"รูปที่อยู่ในถุงผ้ากับไดอารี่ ผมไม่ได้เก็บไว้หรอก ฝากไว้กับตาลเขา เดี๋ยวแม่เขามาก็จะได้ให้ไปพร้อมกัน
เลย"
"กระเป๋าของตาลยังอยู่ในห้องที่โรงแรมนะครับคุณหมอ!" ป๋องตาลุกวาว
"อ้าว แล้วมันถุงของใครล่ะนะ มียางลบ มีดินสอ มียาอมในนั้นด้วยนะ"
"เป็นรูปอะไรครับคุณหมอ" ป๋องเสียงเครียด
"รูปที่เราถ่ายกับตาลที่นิวยอร์คไง ฉากหลังเป็นเทพีเสรีภาพ"
"คุณหมอครับนั่นไม่ใช่รูปตาล"
"อ้าว! แล้วใครล่ะนะที่อยู่ในรูปกับคุณ"
"เพื่อนของตาลครับชื่อหญิง หญิงเรียนที่นิวยอร์ค ผมพาตาลไปเที่ยวนิวยอร์คเมื่อปีที่แล้วก็เลยได้เจอ
กัน"
"เพื่อนมหา'ลัยเหรอ" ผมเริ่มงง
"เพื่อนตาลตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับคุณหมอ บ้านเขาอยู่ติดกัน"
"ป๋องเคยเห็นรูปที่ว่านี้ไหม" ผมชักสงสัย
"ไม่เคยครับ ที่จําได้เพราะตาลเป็นคนบอกให้ผมไปยืนถ่ายคู่กับหญิง"
"คุณหมอหมายถึงรูปอะไร ขอผมดูได้ไหม" ป๋องเริ่มทําหน้าซีเรียส
"ใจเย็น ใจเย็น ... แฟนเราเขียนไดอารี่หรือเปล่า"
"ตาลไม่เขียนหรอกครับ ตาลไม่มีไดอารี่ ตาลชอบถ่ายรูป"
"แล้วตอนนี้หญิงอยู่ที่ไหน นิวยอร์คเหรอ?"
"หญิงไม่ได้มาปารีสด้วยครับ หญิงแยกกับผมและตาลที่ลอนดอนเมื่อสามวันที่แล้ว"
"ตกลงได้มาเที่ยวด้วยกันเหรอ" ผมซัก
"เขามาของเขาเอง ตาลนัดให้มาเจอกันที่ลอนดอน ได้เที่ยวด้วยกันสามวัน"
"จริงผมก็ไม่ชอบหรอกนะครับคุณหมอ เพราะผมอยากอยู่กับตาลสองต่อสอง"
"แต่ผมรักตาล ตาลอยากเที่ยวกับหญิง ผมก็ยอม จริงแล้วผมไม่มีความสุขเลยนะตอนนั้น"
"ผมไม่อยากมีใครมาอยู่ตรงกลาง ผมอยากให้มีแค่ผมกับตาลเพียงสองคน"
ภาพในหัวผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ... ชัดขึ้น ... ชัดขึ้น ... ชัดขึ้น
โอย! ... บรรลัยแล้วไหมล่ะเนี่ย!!!!!!! ผมสบถกับตัวเอง
ผมมีเวลาประมาณเก้าชั่วโมงก่อนที่แม่ของตาลจะมาถึงปารีส ... โชคดีที่บรรยากาศเป็นใจ ... โชคดีที่
สมองผมส่งคําถามนี้ขึ้นมา
"เดินกลับไปโรงแรมเองได้ไหม" ผมลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
"กลับได้ครับคุณหมอ" ป๋องตอบผมด้วยความกระตือรือล้น ตาเป็นแวว
"ไปรอผมที่นั่นล่ะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงผมจะมารับไปกินข้าว"
.....................................................
ผมกึ่งเดินกิ่งวิ่ง จนกลายเป็นการวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่นิติเวชจะหยุดพักเที่ยง
เสียก่อน
ตอนนี้ภาพในหัวของผมเริ่มปรากฏชัดขึ้น
แวบแรกที่ผมเห็นรูปถ่ายใบนั้น ผมยังเครียดมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ให้นึกถึงความรู้สึกของคุณ
ตอนอ่านเหตุการณ์ที่ผมเล่าเป็นครั้งแรก)
จะว่าผมมองผิดก็อาจจะเป็นได้ เพราะผมได้เห็นน้องตาลก็เพียงแค่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง ๑๐
นาทีมรณะ ตรงนั้น
สิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับผมตอนนี้คือไดอารี่เล่มนั้น มันน่าจะเป็นกุญแจสําคัญในการไขปริศนาว่าทําไม
ตาลถึงตัดสินใจทําลายชีวิตของตัวเอง
ผมต้องรู้ให้ได้ก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งกันไปใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานนี้พร่างพรูเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง
Taxi!!!!!!!!!!! ผมแทบจะกระโดดลงไปขวางบนถนน
"À l'Institut médico-légal s'il-vous-plaît !!!"
ผมนั่งอยู่ใน Morgue ข้างถุงที่ใส่ร่างน้องตาล มีลุงเจ้าหน้าที่สถาบันฯ นั่งเป็นเพื่อนผมที่ประตูทางเข้า
กระเป๋าผ้าสีขาวตอนนี้อยู่หน้าผม ... ผมใส่ถุงมือยาง หยิบไดอารี่ออกมา ก่อนจะเริ่มเปิดอ่านทีละแผ่น
....
เรื่องราวภายในเป็นเรื่องชีวิตประจําวันทั่วไปที่ถูกเขียนบันทึกไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่
ตอนที่คนเขียนอยู่เมืองไทย มาจนถึงหน้าสุดท้ายที่ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เกือบจะทุกหน้ามีคําว่า
"วันนี้ตาล..." วันนี้ตาลทํา(อะไร) วันนี้ตาลไป(ไหน) วันนี้ตาลโทรมา(เมื่อไหร่) ฯลฯ
เท่าที่อ่าน ผมพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็น "หญิง" ที่เขียนถึงเพื่อน ตาลเองก็ดูจะรักเพื่อนคนนี้มาก
เพราะเหมือนจะติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา
ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาเปรียบเทียบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ผมมีเวลาพิจารณา ....
ผมหยิบของออกมาวางไว้บนเตียง ยาอม ดินสอ และยางลบกลิ่นผลไม้ที่ถูกกัดหายไปครึ่งก้อน
"ช่วยตรวจให้ผมได้ไหมว่ารอยบนยางลบนี่ เกิดจากฟันของผู้ตายหรือเปล่า" ผมตะโกนบอก
"ครับอาจารย์" ลุงเจ้าหน้าที่รีบเดินมาเอายางลบจากมือผม
ผมหยิบรูปมาดูอีกครั้ง ลายมือที่เขียนถึงป๋องบนรูป ไม่ใช่ลายมือเดียวกับในไดอารี่ ...
ถ้าหญิงเป็นคนเขียนไดอารี่ ลายมือนี้ก็ต้องเป็นลายมือของอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ควรเป็นลายมือของตาล เจ้า
ป๋องคงไม่บ้าเขียนว่ารักตัวเอง!
ผมเขย่ากล่องยาอม เป็นเสียงแก๊ก ๆ ๆ เทออกมาเป็นกุญแจดอกเล็กหนึ่งดอกที่ผมยังไม่รู้ว่ามันใช้ไข
อะไรได้
"เป็นรอยฟันผู้ตายแค่ครึ่งเดียวครับอาจารย์" ลุงเจ้าหน้าที่หันมาบอกผม พลางทําสําเนารูปถ่ายเก็บไว้
เป็นหลักฐาน
"ครึ่งเดียวยังไง" ผมเดินไปดู
"นี่ครับอาจารย์ ... ด้านขวาใช่ แต่ด้านซ้ายไม่ตรง" แกเทียบให้ผมดู
"งั้นก็แสดงว่ายางลบก้อนนี้ถูกกัดมาก่อนใช่ไหมลุง" ผมชักสงสัย
"ก็คงเป็นเช่นนั้นล่ะครับ ... อาจารย์สงสัยอะไรเหรอ"
"ผมอยากรู้ ผมไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้ฆ่าตัวตายไปทําไม"
"บางวันมีถึงสิบรายเลยนะอาจารย์ พวกที่ฆ่าตัวตายในเมโทรน่ะ" ลุงแกคุย
"ถ้าผมคิดมากอย่างอาจารย์นะผมลาออกไปนานแล้ว ไม่อยู่ทําจนจะเกษียณหรอก"
เรื่องมันชักจะยังไง ...
เรื่องในไดอารี่สีชมพูก็ไม่ได้พิเศษมากมายอย่างที่ผมคิด เป็นเรื่องของคนเขียนกับเพื่อนที่ชื่อตาล ชื่อเจ้า
ป๋องยังไม่มีด้วยซ้ําไป มีแต่เขียนว่า "แฟนตาล"
ผมมองไปที่ถุงที่ใส่ร่างที่เคยเป็นของสาวน้อยอนาคตไกล ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นก้อนเนื้อแข็งทื่อไร้
วิญญาณ
ผมมองกลับมาดูกระเป๋าผ้าสีขาวที่อยู่ในมือ ...
ผมถอนหายใจ ...
"มะรืนนี้ผมจะพาคุณแม่หนูมาที่นี่ ป๋องและคุณพ่อเขาด้วย" ผมก้มลงไปบอกน้องตาล
"ถ้าวิญญาณหนูยังวนเวียนอยู่ในภพนี้ ขอให้หนูไปหาคนที่หนูติดต่อได้ อย่าทําบาปกับคุณแม่ บอก
สาเหตุให้ท่านทราบนะหนูนะ"
ผมเดินออกมาจากสถาบันนิติเวชฯ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรม นี่ก็เลยเวลานัดกับนายป๋องมาครึ่ง
ชั่วโมงแล้ว
คนขับแท็กซี่ใช้เวลาขับไม่ถึงสิบนาทีก็พาผมมาถึงโรงแรม ผมเอามือล้วงลงไปกระเป๋ากางเกงเพื่อหาเศษ
สตางค์มาจ่ายค่าโดยสาร
ผมถึงรู้ว่า ... กุญแจดอกเล็กดอกนั้นยังอยู่กับผม!
การที่เรารักใครมาก ๆ แล้วคน ๆ นั้นได้จากเราไป มันเหมือนการตายทั้งเป็น
ผมว่าตาลเองก็คงรู้ แต่ถึงรู้ก็ยังทํา การที่ตาลกระโดดให้รถไฟทับแต่ไม่ตายในทันที ทําให้ผมกับเด็กสาว
คนนี้ต้องมารู้จักกัน ซึ่งแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึงสิบนาที แต่มันก็มากพอที่จะทําให้ผมต้องเอา
ตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทั้งที่ผมไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเข้ามาเลยก็ได้
ความรักนั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ รักแรกพบก็เหมือนกับยาเสพติด แรกรักจะมีแต่ด้านดีที่ฉายให้
เห็น จนเมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นความเคยชิน สิ่งที่เคยเข้าใจในตอนแรกก็กลับกลายเป็นไม่เข้าใจ
ในตอนนี้ สิ่งที่เคยได้อยากมีก็ไม่อยากได้ฎอีกต่อไป
............................................................
ป๋องพาผมขึ้นไปบนห้องพักในโรงแรม ตาทั้งสองข้างของป๋องบวมแดง เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่าง
หนัก
"ผมอยากให้คุณหมอได้ดูอะไร"
ในห้องพัก ข้าวของทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย ป๋องชี้ไปที่เตียงที่อยู่ติดริม
หน้าต่าง บนนั้นมีกระดาษเล็ก ๆ ที่ยับยู่ยี่หนึ่งแผ่น เขียนไว้ว่า
เห็นป๋องนอนยิ้มอยู่ก็เลยไม่ปลุก คงฝันดีอยู่ ตาลไปก่อนนะ
"มันหล่นอยู่ในซอกเตียงครับคุณหมอ ผมเก็บห้องเตรียมไว้เพื่อแม่ของตาลจะขึ้นมาก็เลยเจอ"
"คุณหมอครับ ผมผิดตรงไหน ผมไม่ดีตรงไหน ทําไมตาลถึงทําอย่างนี้กับผม?!" ตาทั้งสองข้างของป๋อง
เริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
ผมเอามือขวาโอบไหล่ ประคองเด็กหนุ่มคนนี้มานั่งบนเตียง
"ป๋องฟังหมอนะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ตาลมีชีวิตหนึ่งชีวิตเท่ากับที่ป๋องมี การที่ตาลพลาดจากสิ่งที่
ตาลคิดไม่ได้ความว่าเขาจะไม่รักป๋องนะ"
ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้ากระจก
"เหตุผลใช้ไม่ได้กับความรัก ความรักเป็นความรู้สึก เป็นเสน่หา ความสําเร็จในความรักไม่ใช่การ
แต่งงานหรือการมีครอบครัว มันอยู่ที่นี่" ผมกํามือขวาและเอาไปทาบเหนือราวนมด้านซ้าย
"ถ้าตาลมีเหตุผลของเขาที่จะทําอย่างนี้ และเขาบอกป๋องว่าเขาจะไปฆ่าตัวตายป๋องจะทําอย่างไร"
"ผมก็ไม่ให้เขาไป ผมจะยื้อเข้าไว้" ป๋องมองตาผม
"จะยื้อได้นานแค่ไหน" ผมถามต่อ
ป๋องก้มตัวลงเอาซ้ายกุมหัว เอามือขวาลูบหน้า
"พูดกันตรง ๆ ผมไม่จําเป็นที่จะต้องเสียเวลามานั่งคุยกับเราตอนนี้เลยนะ หน้าที่ของผมจบสิ้นอย่างเป็น
ทางการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน"
"ถ้าแม่ของตาลไม่ได้โทรกลับมาหรือหากโทรกลับมาตอนที่ทุกอย่างสายเกินไป ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้"
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ...
"เราเองก็ไม่ใช่เด็ก เรียนปริญญาโทก็แล้ว คิดให้มันดี ๆ ใครกันแน่ที่ห่วงเรามากที่สุด พ่อเราหรือตาล?"
"เราร้องไห้เพราะกระดาษแผ่นนี้ แต่เรารู้ไหมว่าตอนที่ตาลกําลังจะตาย เขาไม่ได้เรียกหาเรานะ เขาเรียก
หาแม่ของเขา"
"ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องไม่ทําอย่างนี้กับเรา"
"ทําไมคุณหมอพูดถึงตาลกับผมแบบนี้" ป๋องเสียงแข็ง แววตาแข็งกร้าว
"ผมพูดความจริง ผมอยู่ตรงนั้น ในวินาทีนั้น คุณได้อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ตอนนั้นคุณทําอะไรถ้าไม่ได้
นอนหลับอยู่ในห้องนี้" ผมเริ่มมีอารมณ์
"ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวคุณหรือแฟนคุณเลยแม้แต่น้อย ถ้าแค่นี้ยังคิดไม่ได้ก็บอกพ่อคุณให้คืน
ตั๋วไปซะ ไม่ต้องบินมาให้เสียสตางค์"
"ผมจะบอกให้นะ ความรักที่ขาดสติมันจะทําให้คนตาบอด ต่อไปมันจะทําให้คนโง่ และเมื่อหนักขึ้นมันจะ
ทําให้คนอกตัญญู"
"คุณอย่านึกนะว่าผมมองคุณไม่ออก ผมขอให้คุณโชคดีกับชีวิต หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก!!!!!"
ผมลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ปึ๊งงงงงง!!!!! เสียงของหนักอะไรสักอย่างที่ถูกปาตามหลังผม ชนกับบานประตู
ผมกลับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องโถงที่บ้าน
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น
"สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดานะคะ"
"ครับผม คุณวิยะดาถึงนานแล้วเหรอครับ"
"อยู่สนามบินค่ะ เครื่องเพิ่งลง คุฎณหมอสะดวกไหมคะคืนนี้"
"วันนี้ผมไม่ค่อยสะดวกครับ ขอเป็นวันพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ ดิฉันจะพักที่ Park Hyatt นะคะ แล้วจะโทรมาเรียนให้คุณหมอทราบอีกครั้งว่า
ดิฉันพักอยู่ห้องไหนตอนเช้าวันพรุ่งนี้"
"ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
แม่ของลูกที่ตายไป ลูกของพ่อที่ยังไม่ตาย ... ทําไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้
ึคนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมทําทุกอย่างเพื่อลูก แต่ลูกกลับไม่เคยสํานึกในความดีของพ่อแม่มัน มองแต่ความ
รักที่เห็นแก่ได้ของตัวเอง
ในเมื่อตาลเองก็มีแม่ที่ดีขนาดนี้ ทําไมตาลถึงทําอะไรที่แสนจะอกตัญญูกับแม่ตัวเองได้ ผมเองก็ไม่เข้าใจ
ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจดอกเล็กดอกนั้นขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง
"ตราสามห่วง ... ลูกกุญแจเมืองไทยนี่หว่า" ผมหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง
...................................................
เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณวิยะดาอีกครั้ง คุณวิยะดาอยากพบผมเช้านั้น แต่เพราะ
วันนี้ผมต้องเข้าที่ทํางาน มีประชุมทั้งวัน ผมจึงนัดคุณวิยะดาไว้ตอนห้าโมงเย็นที่หน้ามหาวิหารน็อทร์-
ดาม (Notre-Dame de Paris) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทํางานผม
วันนั้นทั้งวันผมยุ่งมาก ยุ่งจนเกือบจะลืมเวลานัด
ผมได้พบกับคุณวิยะดา หญิงวัยกลางคนในชุดสีดําที่หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย
"คุณวิยะดาใข่ไหมครับ" ผมเดินเข้าไปถาม
"ผมวัชรพลครับ"
"อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันนึกว่าคุณหมอจะสูงวัยกว่านี้"
ผมยิ้มมุมปากแทนคําขอบคุณ
"ไปเดินเล่นกันนะครับ"
...................................................
ผมเดินนําคุณวิยะดาข้าม Pont au Double ข้างมหาวิหารและพาเดินเลี้ยวซ้ายลงบันไดไปยังถนนเทียบ
ท่าเรือเลียบริมแฎม่น้ําแซน
"คุณวิยะดาขอวีซ่าทันได้ยังไงครับ วีซ่าฝรั่งเศสปกติต้องรอนานนะครับกว่าจะได้"
"ดิฉันวีซ่าอยู่แล้วค่ะ ดิฉันทําธุรกิจส่วนตัว ต้องเดินทางมาต่างประเทศบ่อย ๆ"
หลังจากคําตอบนี้ทั้งผมและคุณวิยะดาต่างก็เดินกันอย่างเงียบ ๆ
"คุณหมอโกรธดิฉันไหมคะ" คุณวิยะดาถามผม
"ผมควรจะโกรธคุณวิยะดาด้วยสาเหตุใดเหรอครับ"
"ลูกสาวของดิฉันทําให้คุณหมอต้องเดือดร้อน"
"คุณวิยะดา"
"เรียกดิฉันว่าดาเฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณหมอ"
"ขอบคุณครับ ... คุณดาไม่เสียใจที่น้องตาลเสียชีวิตเหรอครับ"
"เสียใจสิคะดิฉันถึงได้มาที่นี่เพื่อจะมารับเขากลับบ้านด้วยตัวของดิฉันเอง"
ผมถอนหายใจ ...
คุณดาถอนหายใจ ...
"คุณหมอคะ คุณหมอเชื่อเรื่องวิญญาณไหมคะ"
ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้าคุณดาด้วยความสงสัย
"คุณพ่อน้องตาล สามีดิฉัน ได้มาหาดิฉันในฝันดิฉันเมื่อเสาร์ที่แล้ว บอกว่าให้ดิฉันดูลูกให้ดี ๆ"
"สามีดิฉันเสียชีวิตเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยโรคหัวใจ ก่อนหน้านั้นดิฉันไม่เคยฝันเขาถึงแม้แต่หนเดียว"
"ดิฉันมีลูกสาวสองคน ตาลเป็นคนโต แตนเป็นคนเล็กกําลังเรียนบัญชีอยู่ปี ๓"
"ดิฉันเป็น Single Mother ทํางานเลี้ยงลูกคนเดียว แม้ดิฉันจะไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก แต่ลูกดิฉันก็หาทาง
ให้ตัวเองได้ ไม่ว่าตาลหรือน้องเขา"
"คุณดาได้คุยกับน้องตาลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ" ผมถาม
"สองวันก่อนหน้านั้นค่ะ"
"ตอนนั้นน้องตาลอยู่ที่ไหนเขาบอกคุณดาไหมครับ"
"ค่ะ บอกว่าโทรมาจากมงมาร์ต แกว่าเดินอยู่ฎคนเดียวแล้วแกเหงาก็เลยคิดถึงดิฉัน"
"คุณดาเคยเห็นกุญแจดอกนี้ไหมครับ?" ผมควักลูกกุญแจออกมาให้คุณดาดู
"อุ๊ย!!! .. คุณหมอได้ลูกกุญแจนี้มาจากไหนคะ?!!!"
กุญแจดอกน้อยดอกนั้นดูจะเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาระหว่างผมกับคุณดา
ผมเล่าให้คุณดาฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงตอนที่ผมโมโหเจ้าป๋องในโรงแรม คุณดาดูจะไม่ใส่
ในนักกับเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนัก ดูจะหมกหมุ่นอยู่กับการเอามือลูบ ๆ คลํา ๆ กุญแจดอกน้อยดอกนี้ แวว
ตาที่เหม่อลอยนั้นแฝงไปด้วยความเศร้า
“ดิฉันไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันอีก”
คุณดาเอามือจับเชือกฝางสีชมพูที่ถูกผูกติดอยู่กับรูกุญแจเป็นติ่งห้อย ดูรู้ได้ว่าถูกดึงขาดจากขั้วของ
อะไรสักอย่างด้วยการกระชาก
“ดิฉันปามันทิ้งไปเพราะมันเป็นความทรงจําที่เจ็บปวด ดิฉันไม่ทราบว่าน้องตาลไปได้มันมาจากที่ไหน”
“มันอยู่ในกระเป๋าผ้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุครับ เป็นสิ่งของของผู้ตายซึ่งทางเราต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
“กระเป๋าผ้าดิบ ที่มีด้ายสีปักเป็นรูปเด็กผู้หญิงถืออมยิ้มกับเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใช่ไหมคะคุณ
หมอ”
คําตอบของคุณดาทําให้ผมถึงกับตะลึง!
“มันเป็นของดิฉันเองล่ะค่ะ ดิฉันปักมันด้วยตัวเองในวิชาเย็บปักถักร้อยสมัยดิฉันเป็นนักเรียนมัธยมฯ”
“ดิฉันทิ้งมันลงถังขยะไปตั้งนานแล้ว เพราะไม่อยากจะเห็นมันอีก”
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าน้องตาลไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และนานแค่ไหนแล้ว เพราะตอนนั้นเขายังเล็กมาก เพิ่ง
จะเรียนอยู่ชั้นประถม”
ผมพาคุณดาเดินมาจนสุดทางเลียบริมแม่น้ําแซน ก่อนที่จะพาเดินเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดหน้า Académie
française
“นั่งพักก่อนดีไหมครับ” ผมเชิญคุณดานั่งพักบนม้านั่งยาวกลางสะพาน Pont des Arts
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” คุณดายิ้มให้ผม
“ด้วยความยินดีครับ” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างคุณดา ทิ้งระยะประมาณครึ่งช่วงแขน
เราทั้งคู่นั่งหันหน้าไปทาง Île de la Cité มหานครปารีสที่แสนจะงดงามในยามเย็นนี้ช่างสวยงามยิ่งนักใน
มุมนี้
“คุณหมอคะ คุณหมอว่าเราเคยได้พบกันมาก่อนไหมคะ” ผมดาหันมายิ้มให้ผม
“ผมคิดว่าคงไม่นะครับ” ผมยิ้มกลับ
“อะไรทําให้คุณหมอต้องมาพบกับลูกสาวดิฉัน ทําไมเขาถึงฟังคุณหมอ ตาลเขาไม่ใช่คนฟังใครนะคะ กับ
ดิฉันเขายังไม่ฟังเลย”
“ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณคุณหมอมากที่อนุญาตให้ดิฉันได้อยู่กับลูกในวินาทีสุดท้าย”
“มันเจ็บปวดมากนะคะคุณหมอ แม้มันจะต่างจากวันที่ดิฉันพาเขาออกมาอยู่บนโลกใบนี้ แต่ดิฉันก็ดีใจที่
ได้เป็นคนสุดท้ายที่ได้อยู่กับเขา”
“คุณหมอทราบไหมคะ ตอนที่ดิฉันโทรกลับไปหาคุณหมอ ดิฉันเพิ่งจะประชุมบอร์ดเสร็จ เพิ่งจะเดิน
ออกมา” คุณดาหยุดถอนหายใจ
“ในตอนนั้นดิฉันกรีดร้องจนสลบไปเลยเชียวค่ะ มันเป็นความปวดร้าวที่สุดแสนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร
ทั้งสิ้นที่ดิฉันได้เคยรู้สึกมาในชีวิต
“แต่เมื่อดิฉันฟื้นขึ้นมาแล้วดิฉันก็ถือว่าดิฉันเป็นแม่ที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้อยู่กับลูกตาลในวินาทีสุดท้าย
ของชีวิตเขา”
“ถ้าดิฉันไม่ได้คุณหมอ ดิฉันคงไม่ได้โอกาสได้เป็นแม่ที่แม่ทั้งโลกจะต้องอิจฉา”
“เพราะถึงดิฉันกับลูกจะอยู่ไกลกันคนละฝั่งโลก แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ในหัวใจดิฉันตลอดมา ... และจะอยู่
ตลอดไป”
คุณดาน้ําตารื้น เธอแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะหลับตาลง น้ําตาของเธอไหลอาบแนบแก้มที่แดงระ
เรื่อ
ผมเองก็เริ่มแย่ ... ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้น้ําตาไหลออกมา
"ชายชาติทหารอย่างผมต้ฎองเข้มแข็ง" ผมพยายามเตือนตัวเอง
ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวของผมให้คุณดา
"ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ดิฉันต้องขอโทษด้วย ทําไมดิฉันถึงได้ขี้แยขนาดนี้"
“ดิฉันพยายามติดต่อคุณหมอ ลูกแตน เพื่อนของดิฉัน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อคุณหมอได้” คุณดาเล่า
เหตุการณ์ให้ผมฟังต่อ
“ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจว่ายังไงก็จะต้องมาปารีส มารับลูกตาลกลับไปกับดิฉันให้ได้”
“แกขี้เหงาค่ะคุณหมอ เป็นของแกอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ดิฉันไม่อยากทิ้งแกไว้ที่นี่คนเดียว”
“คุณดาอยากให้ผมช่วยในเรื่องเอกสาร เรื่องการดําเนินการในการนําน้องตาลออกมาไหมครับ?”
ผมใจอ่อน ผมเป็นผู้ชายที่แพ้ความรักของแม่และพ่อ ผมเอามือถูกจมูกเพื่อกลั้นไม่ให้น้ําตาไหลออกมา
...
“ดิฉันคงไม่กล้ารบกวนคุณหมอ ดิฉันคิดว่าน่าจะจัดการเองได้ค่ะ หากติดขัดอะไรอาจต้องเรียนปรึกษา
คุณหมออีกครั้ง”
คุณดาให้เกียรติผมมากจนผมเริ่มเขินตัวเอง
“คุณดาพูดฝรั่งเศสได้เหรอครับ” ผมงัดไม้ตายที่ทําให้คนจากเมืองไทยที่มาฝรั่งเศสต้องยอมผม
“Oui Docteur, j’ai fait mes études à Genève” คุณดาเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ําตา โปรยยิ้มหวานกลับมา
ให้ผม
โอ แม่เจ้า! ช่วยบอกผมทีสิครับว่านี่มันคดีอะไรกัน!!!
“น้ําค้างเริ่มลงแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ”
"ค่ะ คุณหมอ" คุณดายิ้มเป็นการตอบรับ
ผมพาคุณดาเดินจาก Pont des Arts ผ่านพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) เข้า Rue Saint-Honoré
ผ่าน Place Vendôme ก่อนจะถึงโรงแรมที่คุณดาพักซึ่งอยู่ถัดไป
ผมบอกลาคุณดาที่หน้าโรงแรม
“คุณดามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้นะครับ ถ้าผมช่วยได้ ผมสัญญาว่าจะช่วยอย่างเต็มที่” ผมเม้มปาก
พยักหน้า
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม
....................................................
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เดินมุ่งหน้าไปสถานีเมโทรเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้าน
เดินไปได้ไม่ถึง ๓ นาที ผมก็ได้ยินเสียงใครเรียกตามหลังมา
“คุณหมอครับ คุณหมอครับ”
ผมหันไปดู เห็นนายป๋องกําลังวิ่งมาในทิศทางที่ผมยืนอยู่อย่างเร่งรีบ
“คุณหมอครับ ....” “แฮ่ก ๆ ๆ” นายป๋องเสียงหอบ มือทั้งสองเท้าอยู่บนเข่า
“เอ้า...ว่ายังไง มีอะไรว่ามา ... ถือแจกันจะมาปาหัวผมด้วยไหมวันนี้” ผมแซว แต่เก็กหน้าโหดเอาไว้
“คุณหมอครับ ผมต้องกราบขอโทษคุณหมอจริง ๆ ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้” เจ้าป๋องยกมือไหว้ผมปะ
หลก ๆ
“ผมไม่ควรทําตัวแบบนั้นเลย ผมต้องกราบขอโทษคุณหมออีกครั้งจริง ๆ นะครับ”
เห็นเด็กสํานึกผิดผมก็โกรธไม่ลง
“มานั่งคอยคุณแม่น้องตาลอยู่นานแล้วเหรอ” ผมถาม
“ผมมากับคุณพ่อครับ คุณพ่อมาถึงเมื่อบ่ายวันนี้ ผมไปรับ”
“พอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านก็ไล่ให้ผมมาขอโทษคุณหมอเดี๋ยวนี้เลย ผมรู้สึกผิดจริง ๆ
ครับคุณยกโทษให้ผมด้วยนะเถอะนะครับ” เจ้าป๋องทําตาละห้อย
ผมเบี่ยงตัวไปดูก็เห็น คุณดากําลังยืนคุยกับผู้ชายสูงอายุท่านหนึ่ง ดูท่าทางจะคุ้นกันดี
“เอาแล้วมั๊ย คืนนี้ผมจะได้กลับบ้านผมกี่โมงเนี่ย!”
ผมพูดติดตลกกับเจ้าป๋องซึ่งตอนนี้ยืนเชื่องกับผมอย่างกับแมวโดนกัญชา (Catnip)
“สวัสดีครับคุณหมอ ผมภราดร (นามสมมติ) เรียกผมว่า “ดอน” ก็ได้ครับคุณหมอ” คุณพ่อของป๋อง
เดินตามเข้ามา
ผมเข้าใจล่ะว่าทําไมเจ้าป๋องชื่อว่าแดน (Dan)
คุณดาเดินตามหลังมาติด ๆ
“โอย ... คุณหมอขา รบกวนแย่เลยวันนี้” คุณดาดูจะเกรงใจผมมาก
“ไม่เป็นไรครับ ขอผมโทรศัพท์กลับบ้านก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเราไปทานข้าวกัน”
“ขอให้ดิฉันเป็นคนดูแลคุณหมอนะคะ” คุณดารีบพูดชิงขึ้นมา
“ไม่เอาคุณดา มื้อนี้ผมจัดการเอง” คุณดอนรีบชิงกลับ
“คุณหมอเลือกร้านได้เลยครับ”
มื้อนั้นผมไม่ได้มีจินตนาการอะไรมากว่าอยากไปกินที่ไหน เพราะเหนื่อยแล้ว ก็นั่งทานกันที่ Park Hyatt
นั่นล่ะ
ผมเคยมาทานดินเนอร์ที่ Le Pur' ก่อนหน้านี้แล้ว ๓ ครั้ง เป็นภัตตาคารของโรงแรมที่ทําอาหารฝรั่งเศส
อร่อยมาก (แต่ราคารถไฟเหาะตีลังกา) ตามจํานวนดาวที่ได้จาก Le guide MICHELIN (annuaire des
restaurants gastronomiques)
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก
โศกนาฏกรรมรัก

More Related Content

Featured

2024 State of Marketing Report – by Hubspot
2024 State of Marketing Report – by Hubspot2024 State of Marketing Report – by Hubspot
2024 State of Marketing Report – by Hubspot
Marius Sescu
 
Everything You Need To Know About ChatGPT
Everything You Need To Know About ChatGPTEverything You Need To Know About ChatGPT
Everything You Need To Know About ChatGPT
Expeed Software
 
Product Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
Product Design Trends in 2024 | Teenage EngineeringsProduct Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
Product Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
Pixeldarts
 
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental HealthHow Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
ThinkNow
 
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdfAI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
marketingartwork
 
Skeleton Culture Code
Skeleton Culture CodeSkeleton Culture Code
Skeleton Culture Code
Skeleton Technologies
 
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
Neil Kimberley
 
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
contently
 
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
Albert Qian
 
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie InsightsSocial Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Kurio // The Social Media Age(ncy)
 
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Search Engine Journal
 
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
SpeakerHub
 
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
Clark Boyd
 
Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next
Tessa Mero
 
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search IntentGoogle's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Lily Ray
 
How to have difficult conversations
How to have difficult conversations How to have difficult conversations
How to have difficult conversations
Rajiv Jayarajah, MAppComm, ACC
 
Introduction to Data Science
Introduction to Data ScienceIntroduction to Data Science
Introduction to Data Science
Christy Abraham Joy
 
Time Management & Productivity - Best Practices
Time Management & Productivity -  Best PracticesTime Management & Productivity -  Best Practices
Time Management & Productivity - Best Practices
Vit Horky
 
The six step guide to practical project management
The six step guide to practical project managementThe six step guide to practical project management
The six step guide to practical project management
MindGenius
 
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
RachelPearson36
 

Featured (20)

2024 State of Marketing Report – by Hubspot
2024 State of Marketing Report – by Hubspot2024 State of Marketing Report – by Hubspot
2024 State of Marketing Report – by Hubspot
 
Everything You Need To Know About ChatGPT
Everything You Need To Know About ChatGPTEverything You Need To Know About ChatGPT
Everything You Need To Know About ChatGPT
 
Product Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
Product Design Trends in 2024 | Teenage EngineeringsProduct Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
Product Design Trends in 2024 | Teenage Engineerings
 
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental HealthHow Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
How Race, Age and Gender Shape Attitudes Towards Mental Health
 
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdfAI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
AI Trends in Creative Operations 2024 by Artwork Flow.pdf
 
Skeleton Culture Code
Skeleton Culture CodeSkeleton Culture Code
Skeleton Culture Code
 
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
PEPSICO Presentation to CAGNY Conference Feb 2024
 
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
Content Methodology: A Best Practices Report (Webinar)
 
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
How to Prepare For a Successful Job Search for 2024
 
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie InsightsSocial Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
Social Media Marketing Trends 2024 // The Global Indie Insights
 
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
Trends In Paid Search: Navigating The Digital Landscape In 2024
 
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
5 Public speaking tips from TED - Visualized summary
 
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
ChatGPT and the Future of Work - Clark Boyd
 
Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next Getting into the tech field. what next
Getting into the tech field. what next
 
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search IntentGoogle's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
Google's Just Not That Into You: Understanding Core Updates & Search Intent
 
How to have difficult conversations
How to have difficult conversations How to have difficult conversations
How to have difficult conversations
 
Introduction to Data Science
Introduction to Data ScienceIntroduction to Data Science
Introduction to Data Science
 
Time Management & Productivity - Best Practices
Time Management & Productivity -  Best PracticesTime Management & Productivity -  Best Practices
Time Management & Productivity - Best Practices
 
The six step guide to practical project management
The six step guide to practical project managementThe six step guide to practical project management
The six step guide to practical project management
 
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
Beginners Guide to TikTok for Search - Rachel Pearson - We are Tilt __ Bright...
 

โศกนาฏกรรมรัก

  • 1. โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส ... ในฤดูใบไม้ผลิ http://pantip.com/topic/30507449 เช้าวันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากหน่วยช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน (SAMU) แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มารับผม ที่บ้าน ให้ผมรีบเตรียมตัวด้วยเพราะเป็นกรณีเหตุฉุกเฉินยิ่งยวด ก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้ถามเจ้าพนักงานในสาย ผมก็ได้ยินเสียงหวอดังใกล้เข้ามา ผมจึงรีบวางสายและ รีบแต่งตัว (เรียกว่า คว้าเสื้อแล้วกระโดดเข้าไปในกางเกงน่าจะเห็นภาพกว่า) แล้วก็วิ่งลงบันไดจากชั้น ๕ ลงมาข้างล่าง ตํารวจจอดรอผมอยู่ข้างล่าง ผมรีบขึ้นรถด้วยความคิดในหัวที่ยังวิ่งไปมาเพื่อหาคําตอบให้ตัวเองว่า ผมจะต้องไปทําอะไร ที่ไหน และทําไมมันถึงต้องไปด่วนขนาดนี้?! เพราะปกติแล้วงานของนิติจิตแพทย์อย่างผมจะอยู่ในศาล ในคุก ในโรงพยาบาลของนักโทษ และ เนื่องจากคนไข้นิติจิตเวชคือผู้ป่วยคดีที่ถูกตัดสินจากศาลแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นที่นิติจิตแพทย์อย่าง พวกผมจะต้องรีบร้อนอะไรมาก ยังไงคนไข้ก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อรักษาหายก็จะต้องถูก ส่งกลับแดนอยู่ดีจนพ้นโทษ ยกเว้นแต่ในกรณี (ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ผมยังไม่เคยเจอหรอกนะ) เช่น คนไข้จับใครเป็นตัวประกัน หรือหนีออกจากคุกไปก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ ซึ่งตรงนั้น เจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้อง (ตํารวจ เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ฯลฯ) ก็มีหน้าที่และอํานาจในการดําเนินการจับกุมกลับมาได้ เอง ไม่เห็นจําเป็นจะต้องใช้หมออย่าง ผมจึงยิ่งไม่มีความจําเป็นที่จะต้องรีบไปทําอะไรแบบนี้เข้าไปใหญ่ ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้ จะเป็นการทํางานของผมครั้งสุดท้ายในฐานะนิติจิตแพทย์ เป็นเหตุการณ์ที่ทําให้ผมวางมือและกลับไป รักษาทหารที่บาดเจ็บทางจิตใจจากการสู้รบ เพราะสําหรับผมแล้ว มันมีเหตุผลที่เป็นรูฎปธรรมมากกว่า เรื่องจากคนทั่วไป ...............................................
  • 2. บ้านผมอยู่ใจกลางกรุงปารีส ปกติผมจะเดินหรือไม่ก็ขี่จักรยานไปทํางาน ขึ้นอยู่กับว่าผมรีบหรือไม่รีบ แค่ไหน คนที่มีบ้านอยู่ในปาฎรีส ทํางานในปารีสแล้วยังขับรถไปทํางานนั้นเป็นพวกที่งี่เง่ามากในสายตาของ Vrai(e) parisien(e) วันนั้นตํารวจใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที ก็นําผมมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นสถานีรถใต้ดินแห่งหนึ่ง (Métro) ของ ปารีสที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเคยผ่าน มหานครปารีสมีรถไฟใต้ดินทั้งหมด ๑๔ สายใหญ่ มีรถไฟชานเมืองระยะไกล (RER) ทั้งหมด ๕ สาย ยัง ไม่นับรวมรถราง (Tramway d'Île-de-France) และรถประจําทางอีกหลายต่อหลายสาย เฉพาะรถไฟ ชานเมืองระยะไกลในวันธรรมดาก็มีคนใช้บริการวันละหลายล้านคน ยังไม่นับผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินและ อื่น ๆ ชั่วโมงเร่งด่วนของมหานครปารีสคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ ๗ โมง ถึง ๙ โมงเช้า และตอนเย็นช่วงเลิกงาน ตั้งแต่เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม ในชั่วโมงเร่งด่วนรถเมโทรจะมาทุกประมาณ ๒ ถึง ๔ นาที ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นในการจราจรของ แต่ละสาย หากการมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้จึงถือว่าเหตุการณ์วิกฤติและต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ที่สุด ............................................... ผมได้รับการแจ้งว่า รถเมโทรสายนี้ได้จอดสนิทมาแล้วเป็นเวลากว่า ๒๐ นาที ตํารวจเปิดทางให้ผมเดิน ลงไปในสถานี ผมเห็นคนสองกลุ่มกําลังยืนปรึกษากันอยู่ที่ชานชาลาข้างรถเมโทรที่จอดสนิท รถเมโทร เปิดไฟอยู่แต่ไม่มีผู้โดยสารบนรถ
  • 3. เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นผมเดินลงมา จึงรีบพาผมเดินไปหาผู้ชายสามคนที่กําลังยืนปรึกษากันอยู่อย่างคร่ํา เครียด "สวัสดีครับคุณหมอ ผมชื่อหลุยส์ เป็นหัวหน้าทีม นี่คุณหมอฌอง-ปิแอร์ ศัลยแพทย์ นี่คุณหมอโดมินิค แพทย์วิสัญญี” ผมจับมือคุณหมอทั้งสามท่าน รู้สึกได้ว่ามือของ(อาจารย์)หมอหลุยส์เย็นมาก “มีผู้โดยสารกระทําอัตวินิบาตรกรรมด้วยการให้รถไฟทับ” หมอหลุยส์พูดต่อ ถึงจุดนี้ ผมยังสับสนหาจุดต่อและเหตุผลไม่ได้ว่าทําไมแพทย์นิติจิตเวช (นิติจิตแพทย์) อย่างผมถึงต้อง เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย ? “มีคนผลักเขาหรือครับ คนผลักอยู่ที่ไหน” ผมถามด้วยความสงสัย คิดสรุปเข้าข้างตัวเอง เพื่อประมาณการว่า ผมอาจจะต้องไปช่วยตํารวจตรวจ สภาพจิตผู้ต้องหาก่อนส่งฝากขัง แต่หน้าที่นี้แพทย์ท่านไหนก็สามารถทําได้เพราะผู้ต้องหายังไม่ถูก ตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ อาจเป็นการใส่ความก็ได้ “ไม่มีครับไม่มี ผู้โดยสารเดินลงไปเอง เราได้ตรวจดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว” หมอหลุยส์ตอบผมแทบจะ ทันที ทั้งนี้ที่ว่าเดินลงไปนั้น ก็คือเดินลงไปในรางรถไฟ ซึ่งอันตรายมาก มีทั้งสายไฟฟ้าแรงสูง ทั้งอะไร ต่อมิอะไร
  • 4. “ผู้โดยสารตัดหน้ากระชั้นชิดมากในจุดโค้ง คนขับจึงไม่สามารถเบรครถได้ทันที จึงถูกตัวรถดูดเข้าไป” หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจ “ร่างของคนเจ็บถูกรถไฟทับไปครึ่งตัวล่าง ครึ่งบนพ้นแต่ถูกหนีบไว้ระหว่างชานชาลากับโบกี้รถ ที่เหลือ ลงไปนั้นบอบช้ําเสียหาย แต่ยังไม่เสียชีวิต” “อะไรนะครับ!!!” ผมตกใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “มันเป็นเหตุสุดวิสัยครับหมอ ทีมของผมพยายามแล้ว แต่พวกเราไม่สามารถจะทําอะไรได้เลย ผู้โดยสารน่าจะทรมานมากเพราะกระดูกสันหลังยังไม่ถูกตัดขาด สันนิษฐานว่า กระดูกกระบังลมที่หัก ไม่ซี่ใดก็ซี่หนึ่งนั้น ได้ไปกดจุดใดจุดหนึ่งของเส้นเลือดแดงใหญ่ส่วนล่าง (Veine cave inférieure) และ ต้องมีสาเหตุอะไรอีกอย่างที่สามารถทําให้ให้เลือดที่วิ่งออกจากเส้นเลือดแดงใหญ่ส่วนบน (Veine cave supérieure) ยังสามารถวิ่งวนเป็นระบบปิดไปเลี้ยงก้านสมองได้อยู่ ถ้าเราขยับรถโดยไม่ระวัง คนเจ็บ อาจจะเสียชีวิตได้” หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจอีกรอบ “หมอต้องไปแจ้งคนเจ็บว่าทีมแพทย์ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเคลื่อนขบวนรถออกไป เราจะทําอย่ฎาง ระวังที่สุด เพื่อที่จะสามารถประเมิน (Évaluer) ได้ว่าเราพอหาหนทางช่วยชีวิตของคนเจ็บได้อย่างไร แม้ ทีมของผมจะมีโอกาสแค่ศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่พวกเราทุกคนจะทําให้ดีที่สุด” “คนเจ็บเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย” ผมมองหน้าหมอหลุยส์ที่กําลังมองผมด้วยความเมตตา เอามือแกมากุมมือผม “ผมมั่นใจว่าหมอรู้ว่าจะต้องทําอย่างไร “ ณ นาทีนั้น ... ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมหายใจ
  • 5. หน้าที่ของผมคือการเดินไปบอกคนเจ็บถึงแผนการเคลื่อนย้าย ซึ่งแน่นอนว่าจะทําให้ช่องว่างระหว่าง ความเป็นกับความตายชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าทําก็อาจที่จะรอด แม้โอกาสนั้นต่ําจนเกือบจะเหลือศูนย์ แต่อย่างน้อยทุกคนก็ได้พยายามเต็มที่ที่จะ ช่วยอย่างเต็มกําลังความสามารถ แต่ถ้าไม่ทํา ก็จะทําให้คนเจ็บทรมานมากขึ้น และสิ่งที่สําคัญที่สุด ในตอนนี้ ก็คือ เวลา ทุกคนต้องทํางานแข่งกับเวลา และทุกคนกําลังรอผมอยู่คนเดียว! มองไปที่เกิดเหตุ ผมเห็นร่างเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไว้ผมยาวเพียงแค่ไหล่ในเสื้อคลุมบางสีขาวที่ เปรอะไปด้วยคราบโลหิตสีแดงปะปนกับคราบสกปรกสีดําของพื้นสถานี ร่างของเธอพ้นชานชาลา ออกมาเพียงครึ่งบน เอียงค่อนขวาตามทิศแรงเบรกของโบกี้ ผมมองไม่เห็นครึ่งล่างที่อยู่ลึกลงไป ไม่มีเสียงโอดโอย ... ไม่มีเสียงร้องร่ําคร่ําครวญ ในความเงียบนั้น เป็นเสียงส้นรองเท้าของผมกระทบกับพื้นซีเมนต์ของชานชาลาดังก้องไปทั้งสถานี สายตาทุกคู่ในเวลานี้ต่างจ้องมาที่ผม รวมถึงจากของหญิงสาวคนนั้นด้วย ผมย่อตัวลง แต่รีบเปลี่ยนจากการเตรียมนั่งชันเข่า เป็นการนั่งพับเพียบ ผมไม่อยากให้เธอได้ภาพของ ผมเป็นตํารวจที่กําลังสอบสวนผู้ต้องหา ผมอยากเป็นใครก็ได้ที่ทําให้เธอรู้สึกอยากที่จะคุยกับผมให้ได้ โดยเร็วที่สุด "สวัสดีครับ ผมเป็นแพทย์นะครับ”
  • 6. เงียบ ... ไม่มีเสียงตอบใด ๆ “พี่เป็นหมอที่นี่นะครับ พี่ชื่อ อเล็กซ์ น้องชื่ออะไรครับ” เมื่อผมลดดีกรีของภาษาลงมา ผมก็ได้ยินคําตอบแรก “ตาลค่ะ" (นามสมมติ) “น้องตาลรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างไหมบอกพี่สิครับ” “หนูรู้สึกว่าหนูโง่มากเลยค่ะที่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้ หนูคิดถึงแม่” แม้จะไม่ได้คําตอบที่ตรงคําถามผม แต่อย่างน้อยก็ดีที่สามารถช่วยให้เธอได้ระบายความคับแค้นที่คั่ง ค้ฎางในใจออกมา ดีกรีของความเจ็บปวดดูจะไม่ฎใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาดังที่ทีมแพทย์คาดการณ์ไว้ ผมชําเลืองตามองที่หมอหลุยส์ที่ตอนนี้กําลังกอดอกดูผม approach น้องตาลอยู่ ได้ยกนิ้วชี้ขวาขึ้นเป็น สัญญาณให้ผมไปต่อได้ ผมพยายามถอนหายใจให้เบาที่สุด “น้องตาลครับ จําเบอร์โทรศัพท์ของคุณแม่ได้ไหมครับ” “จําได้ค่ะ .. แต่หนูไม่อยากให้แม่รู้ ไม่อยากให้แม่เสียใจ" "น้องตาลครับ ถ้าคุณแม่ก็รักน้องตาล ท่านคงดีใจเวลาได้ยินเสียงหนู เหมือนเวลาน้องตาลได้ยินเสียง คุณแม่นะ" "น้องตาลรักคุณแม่มาก ผมเข้าใจเลยล่ะ รักมากกว่าคนที่ได้ทําลายความรู้สึกของน้องตาลบนโลกที่ห่ว ยแตกใบนี้ !!!" "...... ............ ........" อิคค์ อิคค์ เสียงน้องตาลกระซิกเบา เหมือนกับต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง ผมกลั้นหายใจเอาไว้ และพยายามปล่อยออกอย่างเบาและให้ช้าที่สุด น้องตาลสบตาผม ... ผมยิ้มบาง ๆ กลับไป
  • 7. “ค่ะ พี่หมอ เบอร์ xxx-xxx-xxxx” “รอผมเดี๋ยวนะครับ” ผมล้วงไปหยิบ BlackBerry ของผมออกมาจากแจ๊คเก็ต กดโทรศัพท์ไปที่หมายเลข +66-xx-xxx-xxxx “บริการฝากหมายเลขโทรกลับ ..........” ผมกดไปอีกครั้งก็เป็นแบบเดิมอีก “เบอร์ xxx-xxx-xxxx ถูกต้องนะครับ” น้องตาลพยักหน้า ผมกดโทรศัพท์กลับไปอีกครั้งและฎทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของผมไว้ ผมนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ อีกครั้ง "น้องตาลรู้สึกอย่างไรบ้างครับ" ผมถามด้วยความห่วงใย “ตอนนี้คุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนกําลังพยายามหาวิธีที่จะทางช่วยน้องตาลกันอย่างเต็ม ความสามารถ ตู้ขบวนข้างหลังหลังได้ถูกปลดออกไปแล้ว เหลือแต่ตู้ข้างหน้าที่จะดึงขบวน” ผมพยายามอธิบายอย่าง ช้า ช้ฎา ... ชัด ชัด และพยายามประคองสายตาต่อน้องตาลที่กําลังฉายแวว ของความกลัว
  • 8. ผมกําลังสะกดจิตน้องตาลให้เกิดภาวะย้อนสมาธิไปพร้อมกับผม เทคนิคที่ผมเถียงอาจารย์(จิตเวช)ว่า มันไม่น่าจะใช้งานได้จริงก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วตอนนี้ถึงประสิทธิภาพของมันว่า ไม่มีอะไรที่จะสื่อสาร กับจิตได้นอกจากจิตด้วยกัน ในเวลานี้ จิตของผมได้ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้จิตของน้องตาล ให้จิตสงบ ให้จิตนิ่ง เพราะถ้าผมติดต่อ กับคุณแม่ของน้องตาลไม่ได้ ผมต้องการให้จิตนั้นเรียกสติขึ้นมา เพื่อให้สตินั้นทําหน้าที่เรียกความทรง จําที่ดีในอดีตระหว่างน้องตาลกับคุณแม่ขึ้นมาให้ได้ “ตอนรถไฟเคลื่อน จะมีเจ้าหน้าที่ ดึงตัวหนูไว้ เพื่อกันไม่ให้ ร่างกายของหนู ถูกดูดเข้าไป ข้างใต้ขบวน” "น้องตาลพูดตามผม" ผมพูดเสียงดัง "ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล" ผมพูดนํา "ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ..." สภาพร่างของน้องตาลนั้น ติดคาอยู่ตรงกลางโบกี้พอดี จะเคลื่อนรถไปข้างหน้า หรือจะถอยไปข้างหลัง ก็มีค่า(ระยะ)เท่ากัน ชานชาลาของสถานีแห่งนี้มีช่องว่าง (Gap) ค่อนข้างกว้างเนื่องจากจุดที่เกิดเหตุเป็นมุมโค้งและเป็นสถานี เมโทรเก่า Gap จึงกว้างกว่าปกติ พวกเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ตอนนี้ทุกสายตาต่างก็จดจ้องมาฎฎที่ผมเพื่อรอสัญญาณจากผม “น้องตาลพร้อมนะครับ ...” ในวินาทีที่ผมหลับตาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะตัดสินใจให้สัญญาณนั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ ดังขึ้น ....................................
  • 9. “สวัสดีค่ะ ใครคะ” เสียงหญิงมีอายุถามขึ้นมาในสาย “สวัสดีครับผม นายแพทย์วัชรพล ผมเป็นแพทย์ไทยในกรุงปารีส” “คะ?” “ไม่ทราบว่าเป็นคุณแม่ของน้องลูกตาลใช่ไหมครับ” “ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะคุณหมอ” “คุณแม่ตั้งใจให้ดีนะครับ ตอนนี้น้องลูกตาลประสบอุบัติเหตุที่ปารีส” “อะไรนะคะ !!!” “น้องตกลงไปในรางรถไฟเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว ทีมแพทย์ต่างพยายามหาหนทางช่วยเหลือน้องอย่าง เต็มที่ แต่เนื่องจากบาดแผลของน้องสาหัสมาก เราจึงเห็นว่าต้องเคลื่อนขบวนรถออกเพื่อทําการช่วย น้องออกมาครับ” “คะ?!!!! “คุณแม่อยู่กับลูกนะครับ” ผมส่งโทรศัพท์ให้น้องตาล "ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล ... ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล" ผมพูดย้ํา ปากน้องตาลพึมพําฎตามผม และเมื่อน้องตาลได้ยินเสียงคุณแม่ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น “แม่ขา ตาลขอโทษ ตาลรักแม่ ตาลรักแม่มากกกกกก” แม้ผมจะได้ยินบทสนทนาแค่เพียงฝั่งเดียว แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสําหรับการทําให้ลูกผู้ชายอย่างผมมี สายน้ําอุ่นไหลออกมาจากสองตา ผมหันไปทางทีมแพทย์ พยักหน้า
  • 10. ทุกคนต่างกุลีกุจอในการทําหน้าที่ของตัวเอง เสียงผู้คนวิ่งวนอลหม่าน ... ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์เสีย เอง “ทุกคนพร้อมแล้ว” เสียงหมอหลุยส์ดังขึ้น ผมถอยออกมา เพื่อหลีกทางให้พนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่ มือข้างขวาของน้องตาลกําโทรศัพท์ไว้แน่น ลําตัวถูกประคองโดยเจ้าหน้าที่ เมื่อรถเริ่มเคลื่อนขบวน ผมก็ได้ยินเสียงของน้องตาลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ยยยยยย แม่จ๋า ตาลเจ็บ .... ตาลเจ็บมากกกก แม่จ๋าาาาาาาาาาา ” น้องตาลร้องโหวกเหวก สายตามองผมด้วยความวิงวอน แม้ผมจะเป็นแพทย์ทหารที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว เห็นทหารถูกยิงต่อหน้าต่อตามาแล้ว โดนยิงเองก็แล้ว แต่ผมก็ยังเกือบประคองตัวเองไม่อยู่ “แม่จ๋า .........................................” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ตู๊มมม!!!! เสียงหม้อแปลงไฟระเบิด ทุกสิ่งตกอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของทุกคน เมื่อระบบไฟสํารองเปิดขึ้น ก็ปรากฏภาพที่เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ร่างของน้องตาลครึ่งล่างตกลงไปในรางจําสภาพเดิมไม่ได้ ครึ่งบนอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าหน้าที่สองคน แต่เป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป BlackBerry ของผมตกลงไปในราง เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกลับมาให้ผม ผมยังได้ยินเสียงแม่ของน้องตาล ตะโกนโหวกเหวกดังออกมาเหมือนคนเสียสติ
  • 11. “ลูก ลูก ... ฮือ ... ฮือ ลูกแม่ ลูกตาล ลูกกก ลูกกกก” แล้วสายก็หลุดไป ... เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที ผมหลับตาลง ยืนนิ่ง มือประสานกุมที่ปาก ผมยืนสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่พัก จนได้ยินเสียงดังมา จากตรงหน้า "อาจารย์ครับ นี่คือสิ่งของของผู้ตาย" ผมลืมตาดู เห็นเจ้าหน้าที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ให้ผมอยู่ ในมือมีกระเป๋าผ้าสีขาวปักด้วยด้ายหลากสี เป็นภาพ เด็กผู้หญิงกําลังถืออมยิ้ม ไกลออกไปมีต้นไม้และมีเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่ ผมใส่ถุงมือยางที่เจ้าหน้าที่ยื่นให้ หยิบมาเปิดดูภายใน มีสมุดไดอารี่ฎสีชมพู ยาอม ดินสอ และยางลบ กลิ่นผลไม้ที่ถูกกัด (เป็นรอยฟัน) หายไปครึ่งก้อน มีรูปถ่ายของน้องตาลกําลังยิ้มหัวเราะกับน้องผู้ชาย วัยไล่เลี่ยกัน ด้านหลังเป็นวิว Statue of Liberty มีปากกาเมจิกเขียนไว้บนรูป .... "เรารักป๋องมากนะ"
  • 12. ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บสิ่งของทั้งหมดลงไปในถุงผ้าและส่งกลับไปให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะถอดถุง มือยางออก เดินกลับขึ้นมาบนถนน ก่อนจะหันหลังมองกลับลงไปในสถานีเมโทร "ผมขอให้หนูไปดี ขอให้ไปสู่สุคติ ผมขออโหสิกรรมที่เราเคยได้ทําร่วมกันไว้ไม่ว่าในชาติภพใด ขอให้หมด สิ้นกันไปแต่เพียงในชาตินี้นะหนูนะ" To be continued ..... It is (quite) a long story ผมถอดซิมจาก BlackBerry (BB) ของผมเครื่องนั้นแล้วซีลมันไว้ในถุงก่อนจะเก็บลงไปในกระเป๋าฎทํางาน ผมไม่ได้รังเกียจที่จะใช้มันต่อ แต่ผมว่ามันมีค่ามากกว่าสําหรับคุณแม่ของน้องตาลหากเราไฎด้มีโอกาส พบกัน กว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย กว่าที่ผมจะมีเวลาไปซื้อ BB เครื่องใหม่และจัดการทําให้มันใช้อย่างเครื่อง เก่า ก็ปาไปเกือบทุ่มนึงแล้ว ในทันที่ที่เปิดเครื่อง BB ของผมแจ้งว่า มี 14 missed call จาก +66-xx-xxx-xxxx ไม่นับรวมอีก 7 missed call จากเบอร์ +66 อื่น ๆ ในขณะที่ผมกําลังคิดว่าจะโทรกลับดีไม่โทรกลับดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น "สวัสดีครับอาจารย์ ผมหมวดดูปองนะครับ" "ครับหมวด มีปัญหาอะไรกับเอกสารหรือเปล่า" ผมถามด้วยความสงสัยเพราะก็เพิ่งจะแยกจากกันเมื่อตะกี้นี้ หมวดเป็นคนขับรถพาผมมาส่งที่ร้าน โทรศัพท์นี่ล่ะ "ลูกน้องผมได้รับการข้อมูลการเข้าเมืองยืนยันมาแล้ว ผู้ตายพักอยู่โรงแรมในเขต ๔ (4e arrondissement de Paris) เราได้ประสานไปแล้ว และนําตัวเพื่อนที่เข้าพัดด้วยมาสอบสวน อาจารย์หมอว่างไหม ผมจะ ได้ปิด Dossier คดีเสียที"
  • 13. "หมวดได้เรียนอาจารย์หลุยส์หรือยัง?" "อาจารย์หลุยส์บอกให้อาจารย์เดินหน้าได้เลยครับ แกเป็นคนสั่งให้ผมโทรหาอาจารย์เอง" "แล้วหมวดจะมารับผมเมื่อไหร่" "อาจารย์มองมาทางสิบนาฬิกานะ ผมโบกมืออยู่ ... เห็นไหม ๆ" โห! เอางี้เลยนะหมวด บ้านเบิ้นผมไม่ต้องกลับ น้ําเนิ้มผมไม่ต้องอาบ ทําเหมือนผมเป็นคนไม่มี ครอบครัว?! ผมเดินไปหาผู้หมวดดูปองที่โบกมือยิ้มให้ผมอยู่ หน้าที่ ... ภารกิจ ... จรรยาบรรณ ... ผมบอกกับตัวเอง "คนที่พักกับผู้ตายเป็นใครหมวดมีข้อมูลให้ผมตอนนี้ไหม? เป็นคนไทยใช่ไหม?" ผมถามไปงั้น เพราะยังไง ก็น่าจะไทยชัวร์ "เป็นอเมริกัน'จารย์" "อ้าว! ไม่ใช่คนไทยหรอกเหรอ?! เอา Dossier มาดูสิ" ผมงงตึ๊บ "DAN XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX" (นามสมมติ) ชื่อพยางค์เดียวแต่นามสกุลยาวแปดกิโลขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนมาดากัสการ์ (Madagascar) ก็ต้องเป็นไทย ล้านเปอร์เซนต์ ผมพลิกดู Dossier ของน้องตาลซึ่งถือหนังสือเดินทางไทยมีวีซ่าเข้า Schengen Area ออกโดย Consulat Général de France à Los Angeles!!! Fact
  • 14. ตาล เป็นนักศึกษาปริญญาโทกฏหมาย (LLM) ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ป๋อง ลูกครึ่ง(พ่อ)ไทย-(แม่)อเมริกัน(เอเชีย) เป็นแฟนหนุ่มของตาล เรียนสาขาเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัย แห่งเดียวกัน จบ ป.ตรี จากสถาบันเดียวกันจากเมืองไทย ได้เกียรตินิยมเหมือนกัน ทั้งคู่เป็น High School Sweetheart ที่รักกันมานานและวาดหวังกันไว้ว่าจะแต่งงานกันเมื่อเรียบจบ และอยู่ด้วยกันที่ แคลิฟอร์เนีย ป๋องพาตาลมาเที่ยวที่ยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพราะต้องการที่จะขอตาลแต่งงานที่นี่ และแล้ว Pre-Wedding Honeymoons ก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ป๋องเองก็ย่ําแย่เพราะไม่คิดว่าจะเกิด เรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้น แผนที่เตรียมไว้ในคืนวันนี้ใน Dinner Cruise ที่ป๋องหวังจะเซอร์ไพรส์ตาลด้วยการ คุกเข่าขอแต่งงานเมื่อนักไวโอลินเดินมาข้างโต๊ะ กลายเป็นการยืนก้มหน้าต่อหน้าถุงศพ แหวนหมั้นที่ ป๋องเตรียมไว้ให้ตาลยังถูกกําแน่นในมือข้างขวาที่สั่นสะท้านของป๋อง ......................................... ผมใช้เวลาไปไม่กี่ชั่วโมงในคืนนั้น ป๋องเองก็ให้การทั้งน้ําตา ผมเองก็มีความรักมาก่อน ทําไมผมจะมอง ไม่ออกว่ารักแท้รักเทียมป็นอย่างไร คืนนั้นสมองผม Shutdown สลบคาเตียงในชุดทํางาน ภาพเหตุการณ์ในตอนเช้ายังตามมาหลอกหลอน ผมอีกครั้งในฝัน ผิดที่ว่า BB ที่ผมถือในมือในฝันนั้นดังขึ้นมา ผมสะดุ้งตื่น ... แล้ว BB ของผมก็ดังขึ้นมาจริง ๆ "Bonjour" ผมงัวเงียตอบ "แม่ ๆ ติดแล้ว ๆ" เสียงในสายดังขึ้น ผมได้ยินเสียงวิ่งกุก ๆ ๆ ๆ "คุณหมอ คุณหมอใช่ไหมคะ" เสียงในสายเหนื่อยหอบ
  • 15. "ครับผม คุณแม่น้องตาลใช่ไหมครับ" "ค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดา (นามสมมติฎ) ดิฉันอยู่กําลังจะขึ้นเครื่องจากกรุงเทพฯ มาปารีส จะถึงคืนนี้ค่ะ" "คุณหมอรอดิฉันนะคะ ดิฉันไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้วตอนนี้" "คุณวิยะดามาคนเดียวหรือเปล่าครับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วง "มาคนเดียวค่ะ แต่ตอนนี้พ่อน้องป๋องทราบเรื่องแล้ว จะบินมาหาคุณหมอด้วยจากเอลเอ เราจะไปเจอ กันที่นั่นค่ะ" หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ กับหน้าที่ของคนเป็นหมออย่างผม คนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ (GMT+7) คนหนึ่งอยู่ลอสแองเจลิส (GMT-8) กําลังจะบินมาหาผมที่ปารีส (GMT+1) เพราะอีกคนหนึ่งเสียลูกไป อีกคนลูกกําลังแย่ ผมลุกขึ้นไปอาบน้ําเป็นครั้งแรกในรอบ ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา สายน้ําอุ่นจากฝักบัวที่ตกกระทบศรีษะปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา หึหึ ... ผมหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ผมแต่งตัวเดินออกจากบ้านไปทํางาน อากาศยามเข้าที่ปารีสในฤดูใบไม้ผลินี้ช่างเย็นสบาย ลม โชยโกรกโบกพัดดี แม้จะเป็นใจกลางปารีสก็เถอะ
  • 16. ผมเดินไปก็คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเช้า นึกถึงเรื่องที่ป๋องเล่าให้ผมฟังทั้งน้ําตาเมื่อคืนก่อนตอน มาให้การที่สถานีตํารวจ "ตกลงมันยังไง" ผมบ่นกับตัวเอง ... ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้! "หวัดดีโซฟี" ผมโทรไปหาเลขา "วันนี้ผมไม่เข้าที่ทํางานนะ มีอะไรด่วนให้โทรบอกผมได้ พอดีมีธุระต้องไปทําหน่อย เรื่องเมื่อวานน่ะ" "หมอจะไม่เข้าเลยเหรอ งั้นฉันไปบ้างนะ จะไปซื้อดินสอสีให้เซลีน (ลูกสาว ๖ ขวบ)" "ได้ ๆ ผมอนุญาต สองชั่วโมงพอไหม" "ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองว่าจะไม่ทําให้หมอโดนตาแก่ (เจ้านายผม) ว่าได้แน่นอน ขอบคุณหมอมากนะ" ............................................ ผมเลี้ยวขวาเข้าไปในโรงแรมที่ผมหยุดยืนโทรศัพท์ โรงแรมนั้นเป็นโรงแรมที่ป๋องกับตาลเข้าพัก ผมเกือบจะเดินไปหา Bell แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นนายป๋องนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเก้าอี้ในล็อบบี้ "ว่าไงพ่อหนุ่ม" ผมทัก "อุ๊ย สวัสดีครับคุณหมอ" นายป๋องรีบลุกขึ้นมา ก้มหัวไหว้ผมเสียใกล้จนหัวแทบจะชนอกผม "คุณหมอมาได้ยังไงครับเนี่ย" "ก็เดินมา" ผมอมยิ้มตอบ "เป็นไงเรา นอนหลับไหมเมื่อคืน ขอโทษด้วยนะที่ยาวไปหน่อย เอกสารทั้งนั้น ราชการฝรั่งเศสก็อย่างนี้ล่ะ" "ครับผมเข้าใจ" "ทานอาหารเช้าหรือยัง" ผมถามด้วยความเป็นห่วง "ไม่อะครับคุณหมอ ผมทานอะไรไม่ลง"
  • 17. "เข้าใจ ... งั้นไปเดินเล่นกัน ไปมะ" ผมชวน "ไปไหนครับคุณหมอ" "แถวเนี้ย" ผมยิ้มให้นายป๋องอีกหนึ่งรอบ แล้วก็บุ้ยปากเดินนําไป ผมพานายป๋องเดินทะลุย่าน Marais ข้ามสะพาน Pont Marie ไปที่เกาะ Île Saint-Louis กลางแม่น้ําแซน (Seine) ผมรู้จักเกาะนี้ดีเพราะบ้านแม่แฟนผมอยู่ที่นี่ เป็น Appartement เก่าแก่สมบัติตระกูล อยู่ในตึก โบราณอายุสี่ร้อยกว่าปี Appartement บนเกาะนี้ราคาแพงหูดับตับระเบิด ตึกเก่าแก่โบราฎณขนาดนี้ ต่อ ให้ภายในบ้านมีผีตายโหงควักไส้ไล่บีบคอคนในบ้านยังไม่น่ากลัวหัวหดสยดสยองเท่ากับตอนเห็น ราคา!!! ตรงหัวมุมถนนบ้านแม่แฟนผมนั้น มีม้านั่งตั้งอยู่ ตรงกันข้ามรูปปั้นพระนางไม่มีหัว (La Femme-sans- Tête) ที่หัวหายไปจากตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1710 และจนป่านนี้ก็ยังหาหัวของตัวเองไม่เจอ ช่างน่าสงสารแม่ นางเหลือเกิน! หายเครียดกันแล้วนะ .... คุณผู้อ่านเห็นเก้าอี้ทางขวามือนั่นไหม? ตรงนั้นล่ะ เป็นที่ที่ผมนั่งคุยกับนายป๋อง ผมนั่งทอดสายตาอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนายป๋องที่ตอนนี้ดูจะมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง แต่ยังเศร้าอยู่ เหมือนเดิม อาจารย์(กรีก)เคยสอนผมว่า ถ้าอยากจะให้คนไข้เปิดใจกับเรา ห้ามนั่งคุยกันใน "กล่อง" ใหัพากันไปคุย
  • 18. ในที่ที่เห็นแม่น้ํา เห็นท้องฟ้า เห็นเดือน เห็นตะวัน เห็นโลกกําลังทําหน้าที่ของมัน "ปารีสสวยนะ อากาศดีด้วย อยู่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้จะหามุมแบบนี้นั่งได้ที่ไหน" ผมเปิดฉากการสนทนา "ที่เราเล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนี่ เล่ามาหมดแล้วใช่ไหม" "ครับ" ป๋องตอบเสียงเบา "รู้ใช่ไหมว่าแม่เขาจะมา" ผมถามต่อ "รู้ครับ ถึงคืนนี้" ป๋องตอบผมเสียงเศร้า "น่าเสียดายนะ รักกันดี" ผมเปรยประโยคขึ้นมา "รูปนั้นที่ถ่ายกันกับแฟนเรา ถ่ายกันเมื่อไหร่เหรอ" ผมยิงคําถามต่อ "รูปอะไรครับคุณหมอ!" ป๋องมืงมือขวาที่ชันเข่าเท้าคางไว้ แล้วยืดอกหันมามองผมเต็มตัว "รูปที่อยู่ในถุงผ้ากับไดอารี่ ผมไม่ได้เก็บไว้หรอก ฝากไว้กับตาลเขา เดี๋ยวแม่เขามาก็จะได้ให้ไปพร้อมกัน เลย" "กระเป๋าของตาลยังอยู่ในห้องที่โรงแรมนะครับคุณหมอ!" ป๋องตาลุกวาว "อ้าว แล้วมันถุงของใครล่ะนะ มียางลบ มีดินสอ มียาอมในนั้นด้วยนะ" "เป็นรูปอะไรครับคุณหมอ" ป๋องเสียงเครียด "รูปที่เราถ่ายกับตาลที่นิวยอร์คไง ฉากหลังเป็นเทพีเสรีภาพ" "คุณหมอครับนั่นไม่ใช่รูปตาล" "อ้าว! แล้วใครล่ะนะที่อยู่ในรูปกับคุณ" "เพื่อนของตาลครับชื่อหญิง หญิงเรียนที่นิวยอร์ค ผมพาตาลไปเที่ยวนิวยอร์คเมื่อปีที่แล้วก็เลยได้เจอ กัน"
  • 19. "เพื่อนมหา'ลัยเหรอ" ผมเริ่มงง "เพื่อนตาลตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับคุณหมอ บ้านเขาอยู่ติดกัน" "ป๋องเคยเห็นรูปที่ว่านี้ไหม" ผมชักสงสัย "ไม่เคยครับ ที่จําได้เพราะตาลเป็นคนบอกให้ผมไปยืนถ่ายคู่กับหญิง" "คุณหมอหมายถึงรูปอะไร ขอผมดูได้ไหม" ป๋องเริ่มทําหน้าซีเรียส "ใจเย็น ใจเย็น ... แฟนเราเขียนไดอารี่หรือเปล่า" "ตาลไม่เขียนหรอกครับ ตาลไม่มีไดอารี่ ตาลชอบถ่ายรูป" "แล้วตอนนี้หญิงอยู่ที่ไหน นิวยอร์คเหรอ?" "หญิงไม่ได้มาปารีสด้วยครับ หญิงแยกกับผมและตาลที่ลอนดอนเมื่อสามวันที่แล้ว" "ตกลงได้มาเที่ยวด้วยกันเหรอ" ผมซัก "เขามาของเขาเอง ตาลนัดให้มาเจอกันที่ลอนดอน ได้เที่ยวด้วยกันสามวัน" "จริงผมก็ไม่ชอบหรอกนะครับคุณหมอ เพราะผมอยากอยู่กับตาลสองต่อสอง" "แต่ผมรักตาล ตาลอยากเที่ยวกับหญิง ผมก็ยอม จริงแล้วผมไม่มีความสุขเลยนะตอนนั้น" "ผมไม่อยากมีใครมาอยู่ตรงกลาง ผมอยากให้มีแค่ผมกับตาลเพียงสองคน" ภาพในหัวผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ... ชัดขึ้น ... ชัดขึ้น ... ชัดขึ้น โอย! ... บรรลัยแล้วไหมล่ะเนี่ย!!!!!!! ผมสบถกับตัวเอง ผมมีเวลาประมาณเก้าชั่วโมงก่อนที่แม่ของตาลจะมาถึงปารีส ... โชคดีที่บรรยากาศเป็นใจ ... โชคดีที่ สมองผมส่งคําถามนี้ขึ้นมา "เดินกลับไปโรงแรมเองได้ไหม" ผมลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
  • 20. "กลับได้ครับคุณหมอ" ป๋องตอบผมด้วยความกระตือรือล้น ตาเป็นแวว "ไปรอผมที่นั่นล่ะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงผมจะมารับไปกินข้าว" ..................................................... ผมกึ่งเดินกิ่งวิ่ง จนกลายเป็นการวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่นิติเวชจะหยุดพักเที่ยง เสียก่อน ตอนนี้ภาพในหัวของผมเริ่มปรากฏชัดขึ้น แวบแรกที่ผมเห็นรูปถ่ายใบนั้น ผมยังเครียดมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ให้นึกถึงความรู้สึกของคุณ ตอนอ่านเหตุการณ์ที่ผมเล่าเป็นครั้งแรก) จะว่าผมมองผิดก็อาจจะเป็นได้ เพราะผมได้เห็นน้องตาลก็เพียงแค่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง ๑๐ นาทีมรณะ ตรงนั้น สิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับผมตอนนี้คือไดอารี่เล่มนั้น มันน่าจะเป็นกุญแจสําคัญในการไขปริศนาว่าทําไม ตาลถึงตัดสินใจทําลายชีวิตของตัวเอง ผมต้องรู้ให้ได้ก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งกันไปใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานนี้พร่างพรูเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง Taxi!!!!!!!!!!! ผมแทบจะกระโดดลงไปขวางบนถนน "À l'Institut médico-légal s'il-vous-plaît !!!" ผมนั่งอยู่ใน Morgue ข้างถุงที่ใส่ร่างน้องตาล มีลุงเจ้าหน้าที่สถาบันฯ นั่งเป็นเพื่อนผมที่ประตูทางเข้า
  • 21. กระเป๋าผ้าสีขาวตอนนี้อยู่หน้าผม ... ผมใส่ถุงมือยาง หยิบไดอารี่ออกมา ก่อนจะเริ่มเปิดอ่านทีละแผ่น .... เรื่องราวภายในเป็นเรื่องชีวิตประจําวันทั่วไปที่ถูกเขียนบันทึกไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ตอนที่คนเขียนอยู่เมืองไทย มาจนถึงหน้าสุดท้ายที่ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เกือบจะทุกหน้ามีคําว่า "วันนี้ตาล..." วันนี้ตาลทํา(อะไร) วันนี้ตาลไป(ไหน) วันนี้ตาลโทรมา(เมื่อไหร่) ฯลฯ เท่าที่อ่าน ผมพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็น "หญิง" ที่เขียนถึงเพื่อน ตาลเองก็ดูจะรักเพื่อนคนนี้มาก เพราะเหมือนจะติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาเปรียบเทียบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ผมมีเวลาพิจารณา .... ผมหยิบของออกมาวางไว้บนเตียง ยาอม ดินสอ และยางลบกลิ่นผลไม้ที่ถูกกัดหายไปครึ่งก้อน "ช่วยตรวจให้ผมได้ไหมว่ารอยบนยางลบนี่ เกิดจากฟันของผู้ตายหรือเปล่า" ผมตะโกนบอก "ครับอาจารย์" ลุงเจ้าหน้าที่รีบเดินมาเอายางลบจากมือผม ผมหยิบรูปมาดูอีกครั้ง ลายมือที่เขียนถึงป๋องบนรูป ไม่ใช่ลายมือเดียวกับในไดอารี่ ... ถ้าหญิงเป็นคนเขียนไดอารี่ ลายมือนี้ก็ต้องเป็นลายมือของอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ควรเป็นลายมือของตาล เจ้า ป๋องคงไม่บ้าเขียนว่ารักตัวเอง! ผมเขย่ากล่องยาอม เป็นเสียงแก๊ก ๆ ๆ เทออกมาเป็นกุญแจดอกเล็กหนึ่งดอกที่ผมยังไม่รู้ว่ามันใช้ไข อะไรได้ "เป็นรอยฟันผู้ตายแค่ครึ่งเดียวครับอาจารย์" ลุงเจ้าหน้าที่หันมาบอกผม พลางทําสําเนารูปถ่ายเก็บไว้ เป็นหลักฐาน "ครึ่งเดียวยังไง" ผมเดินไปดู
  • 22. "นี่ครับอาจารย์ ... ด้านขวาใช่ แต่ด้านซ้ายไม่ตรง" แกเทียบให้ผมดู "งั้นก็แสดงว่ายางลบก้อนนี้ถูกกัดมาก่อนใช่ไหมลุง" ผมชักสงสัย "ก็คงเป็นเช่นนั้นล่ะครับ ... อาจารย์สงสัยอะไรเหรอ" "ผมอยากรู้ ผมไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้ฆ่าตัวตายไปทําไม" "บางวันมีถึงสิบรายเลยนะอาจารย์ พวกที่ฆ่าตัวตายในเมโทรน่ะ" ลุงแกคุย "ถ้าผมคิดมากอย่างอาจารย์นะผมลาออกไปนานแล้ว ไม่อยู่ทําจนจะเกษียณหรอก" เรื่องมันชักจะยังไง ... เรื่องในไดอารี่สีชมพูก็ไม่ได้พิเศษมากมายอย่างที่ผมคิด เป็นเรื่องของคนเขียนกับเพื่อนที่ชื่อตาล ชื่อเจ้า ป๋องยังไม่มีด้วยซ้ําไป มีแต่เขียนว่า "แฟนตาล" ผมมองไปที่ถุงที่ใส่ร่างที่เคยเป็นของสาวน้อยอนาคตไกล ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นก้อนเนื้อแข็งทื่อไร้ วิญญาณ ผมมองกลับมาดูกระเป๋าผ้าสีขาวที่อยู่ในมือ ... ผมถอนหายใจ ... "มะรืนนี้ผมจะพาคุณแม่หนูมาที่นี่ ป๋องและคุณพ่อเขาด้วย" ผมก้มลงไปบอกน้องตาล "ถ้าวิญญาณหนูยังวนเวียนอยู่ในภพนี้ ขอให้หนูไปหาคนที่หนูติดต่อได้ อย่าทําบาปกับคุณแม่ บอก สาเหตุให้ท่านทราบนะหนูนะ" ผมเดินออกมาจากสถาบันนิติเวชฯ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรม นี่ก็เลยเวลานัดกับนายป๋องมาครึ่ง ชั่วโมงแล้ว
  • 23. คนขับแท็กซี่ใช้เวลาขับไม่ถึงสิบนาทีก็พาผมมาถึงโรงแรม ผมเอามือล้วงลงไปกระเป๋ากางเกงเพื่อหาเศษ สตางค์มาจ่ายค่าโดยสาร ผมถึงรู้ว่า ... กุญแจดอกเล็กดอกนั้นยังอยู่กับผม! การที่เรารักใครมาก ๆ แล้วคน ๆ นั้นได้จากเราไป มันเหมือนการตายทั้งเป็น ผมว่าตาลเองก็คงรู้ แต่ถึงรู้ก็ยังทํา การที่ตาลกระโดดให้รถไฟทับแต่ไม่ตายในทันที ทําให้ผมกับเด็กสาว คนนี้ต้องมารู้จักกัน ซึ่งแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึงสิบนาที แต่มันก็มากพอที่จะทําให้ผมต้องเอา ตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทั้งที่ผมไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเข้ามาเลยก็ได้ ความรักนั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ รักแรกพบก็เหมือนกับยาเสพติด แรกรักจะมีแต่ด้านดีที่ฉายให้ เห็น จนเมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นความเคยชิน สิ่งที่เคยเข้าใจในตอนแรกก็กลับกลายเป็นไม่เข้าใจ ในตอนนี้ สิ่งที่เคยได้อยากมีก็ไม่อยากได้ฎอีกต่อไป ............................................................ ป๋องพาผมขึ้นไปบนห้องพักในโรงแรม ตาทั้งสองข้างของป๋องบวมแดง เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่าง หนัก "ผมอยากให้คุณหมอได้ดูอะไร" ในห้องพัก ข้าวของทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย ป๋องชี้ไปที่เตียงที่อยู่ติดริม หน้าต่าง บนนั้นมีกระดาษเล็ก ๆ ที่ยับยู่ยี่หนึ่งแผ่น เขียนไว้ว่า เห็นป๋องนอนยิ้มอยู่ก็เลยไม่ปลุก คงฝันดีอยู่ ตาลไปก่อนนะ "มันหล่นอยู่ในซอกเตียงครับคุณหมอ ผมเก็บห้องเตรียมไว้เพื่อแม่ของตาลจะขึ้นมาก็เลยเจอ"
  • 24. "คุณหมอครับ ผมผิดตรงไหน ผมไม่ดีตรงไหน ทําไมตาลถึงทําอย่างนี้กับผม?!" ตาทั้งสองข้างของป๋อง เริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ผมเอามือขวาโอบไหล่ ประคองเด็กหนุ่มคนนี้มานั่งบนเตียง "ป๋องฟังหมอนะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ตาลมีชีวิตหนึ่งชีวิตเท่ากับที่ป๋องมี การที่ตาลพลาดจากสิ่งที่ ตาลคิดไม่ได้ความว่าเขาจะไม่รักป๋องนะ" ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้ากระจก "เหตุผลใช้ไม่ได้กับความรัก ความรักเป็นความรู้สึก เป็นเสน่หา ความสําเร็จในความรักไม่ใช่การ แต่งงานหรือการมีครอบครัว มันอยู่ที่นี่" ผมกํามือขวาและเอาไปทาบเหนือราวนมด้านซ้าย "ถ้าตาลมีเหตุผลของเขาที่จะทําอย่างนี้ และเขาบอกป๋องว่าเขาจะไปฆ่าตัวตายป๋องจะทําอย่างไร" "ผมก็ไม่ให้เขาไป ผมจะยื้อเข้าไว้" ป๋องมองตาผม "จะยื้อได้นานแค่ไหน" ผมถามต่อ ป๋องก้มตัวลงเอาซ้ายกุมหัว เอามือขวาลูบหน้า "พูดกันตรง ๆ ผมไม่จําเป็นที่จะต้องเสียเวลามานั่งคุยกับเราตอนนี้เลยนะ หน้าที่ของผมจบสิ้นอย่างเป็น ทางการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน" "ถ้าแม่ของตาลไม่ได้โทรกลับมาหรือหากโทรกลับมาตอนที่ทุกอย่างสายเกินไป ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้" ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ... "เราเองก็ไม่ใช่เด็ก เรียนปริญญาโทก็แล้ว คิดให้มันดี ๆ ใครกันแน่ที่ห่วงเรามากที่สุด พ่อเราหรือตาล?" "เราร้องไห้เพราะกระดาษแผ่นนี้ แต่เรารู้ไหมว่าตอนที่ตาลกําลังจะตาย เขาไม่ได้เรียกหาเรานะ เขาเรียก หาแม่ของเขา" "ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องไม่ทําอย่างนี้กับเรา"
  • 25. "ทําไมคุณหมอพูดถึงตาลกับผมแบบนี้" ป๋องเสียงแข็ง แววตาแข็งกร้าว "ผมพูดความจริง ผมอยู่ตรงนั้น ในวินาทีนั้น คุณได้อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ตอนนั้นคุณทําอะไรถ้าไม่ได้ นอนหลับอยู่ในห้องนี้" ผมเริ่มมีอารมณ์ "ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวคุณหรือแฟนคุณเลยแม้แต่น้อย ถ้าแค่นี้ยังคิดไม่ได้ก็บอกพ่อคุณให้คืน ตั๋วไปซะ ไม่ต้องบินมาให้เสียสตางค์" "ผมจะบอกให้นะ ความรักที่ขาดสติมันจะทําให้คนตาบอด ต่อไปมันจะทําให้คนโง่ และเมื่อหนักขึ้นมันจะ ทําให้คนอกตัญญู" "คุณอย่านึกนะว่าผมมองคุณไม่ออก ผมขอให้คุณโชคดีกับชีวิต หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก!!!!!" ผมลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปึ๊งงงงงง!!!!! เสียงของหนักอะไรสักอย่างที่ถูกปาตามหลังผม ชนกับบานประตู ผมกลับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องโถงที่บ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น "สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดานะคะ" "ครับผม คุณวิยะดาถึงนานแล้วเหรอครับ" "อยู่สนามบินค่ะ เครื่องเพิ่งลง คุฎณหมอสะดวกไหมคะคืนนี้" "วันนี้ผมไม่ค่อยสะดวกครับ ขอเป็นวันพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ" "ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ ดิฉันจะพักที่ Park Hyatt นะคะ แล้วจะโทรมาเรียนให้คุณหมอทราบอีกครั้งว่า ดิฉันพักอยู่ห้องไหนตอนเช้าวันพรุ่งนี้" "ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
  • 26. แม่ของลูกที่ตายไป ลูกของพ่อที่ยังไม่ตาย ... ทําไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้ ึคนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมทําทุกอย่างเพื่อลูก แต่ลูกกลับไม่เคยสํานึกในความดีของพ่อแม่มัน มองแต่ความ รักที่เห็นแก่ได้ของตัวเอง ในเมื่อตาลเองก็มีแม่ที่ดีขนาดนี้ ทําไมตาลถึงทําอะไรที่แสนจะอกตัญญูกับแม่ตัวเองได้ ผมเองก็ไม่เข้าใจ ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจดอกเล็กดอกนั้นขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง "ตราสามห่วง ... ลูกกุญแจเมืองไทยนี่หว่า" ผมหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ................................................... เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณวิยะดาอีกครั้ง คุณวิยะดาอยากพบผมเช้านั้น แต่เพราะ วันนี้ผมต้องเข้าที่ทํางาน มีประชุมทั้งวัน ผมจึงนัดคุณวิยะดาไว้ตอนห้าโมงเย็นที่หน้ามหาวิหารน็อทร์- ดาม (Notre-Dame de Paris) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทํางานผม วันนั้นทั้งวันผมยุ่งมาก ยุ่งจนเกือบจะลืมเวลานัด ผมได้พบกับคุณวิยะดา หญิงวัยกลางคนในชุดสีดําที่หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย "คุณวิยะดาใข่ไหมครับ" ผมเดินเข้าไปถาม "ผมวัชรพลครับ" "อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันนึกว่าคุณหมอจะสูงวัยกว่านี้" ผมยิ้มมุมปากแทนคําขอบคุณ "ไปเดินเล่นกันนะครับ"
  • 27. ................................................... ผมเดินนําคุณวิยะดาข้าม Pont au Double ข้างมหาวิหารและพาเดินเลี้ยวซ้ายลงบันไดไปยังถนนเทียบ ท่าเรือเลียบริมแฎม่น้ําแซน "คุณวิยะดาขอวีซ่าทันได้ยังไงครับ วีซ่าฝรั่งเศสปกติต้องรอนานนะครับกว่าจะได้" "ดิฉันวีซ่าอยู่แล้วค่ะ ดิฉันทําธุรกิจส่วนตัว ต้องเดินทางมาต่างประเทศบ่อย ๆ" หลังจากคําตอบนี้ทั้งผมและคุณวิยะดาต่างก็เดินกันอย่างเงียบ ๆ "คุณหมอโกรธดิฉันไหมคะ" คุณวิยะดาถามผม "ผมควรจะโกรธคุณวิยะดาด้วยสาเหตุใดเหรอครับ" "ลูกสาวของดิฉันทําให้คุณหมอต้องเดือดร้อน" "คุณวิยะดา" "เรียกดิฉันว่าดาเฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณหมอ" "ขอบคุณครับ ... คุณดาไม่เสียใจที่น้องตาลเสียชีวิตเหรอครับ" "เสียใจสิคะดิฉันถึงได้มาที่นี่เพื่อจะมารับเขากลับบ้านด้วยตัวของดิฉันเอง" ผมถอนหายใจ ... คุณดาถอนหายใจ ... "คุณหมอคะ คุณหมอเชื่อเรื่องวิญญาณไหมคะ" ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้าคุณดาด้วยความสงสัย "คุณพ่อน้องตาล สามีดิฉัน ได้มาหาดิฉันในฝันดิฉันเมื่อเสาร์ที่แล้ว บอกว่าให้ดิฉันดูลูกให้ดี ๆ" "สามีดิฉันเสียชีวิตเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยโรคหัวใจ ก่อนหน้านั้นดิฉันไม่เคยฝันเขาถึงแม้แต่หนเดียว" "ดิฉันมีลูกสาวสองคน ตาลเป็นคนโต แตนเป็นคนเล็กกําลังเรียนบัญชีอยู่ปี ๓"
  • 28. "ดิฉันเป็น Single Mother ทํางานเลี้ยงลูกคนเดียว แม้ดิฉันจะไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก แต่ลูกดิฉันก็หาทาง ให้ตัวเองได้ ไม่ว่าตาลหรือน้องเขา" "คุณดาได้คุยกับน้องตาลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ" ผมถาม "สองวันก่อนหน้านั้นค่ะ" "ตอนนั้นน้องตาลอยู่ที่ไหนเขาบอกคุณดาไหมครับ" "ค่ะ บอกว่าโทรมาจากมงมาร์ต แกว่าเดินอยู่ฎคนเดียวแล้วแกเหงาก็เลยคิดถึงดิฉัน" "คุณดาเคยเห็นกุญแจดอกนี้ไหมครับ?" ผมควักลูกกุญแจออกมาให้คุณดาดู "อุ๊ย!!! .. คุณหมอได้ลูกกุญแจนี้มาจากไหนคะ?!!!" กุญแจดอกน้อยดอกนั้นดูจะเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาระหว่างผมกับคุณดา ผมเล่าให้คุณดาฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงตอนที่ผมโมโหเจ้าป๋องในโรงแรม คุณดาดูจะไม่ใส่ ในนักกับเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนัก ดูจะหมกหมุ่นอยู่กับการเอามือลูบ ๆ คลํา ๆ กุญแจดอกน้อยดอกนี้ แวว ตาที่เหม่อลอยนั้นแฝงไปด้วยความเศร้า “ดิฉันไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันอีก” คุณดาเอามือจับเชือกฝางสีชมพูที่ถูกผูกติดอยู่กับรูกุญแจเป็นติ่งห้อย ดูรู้ได้ว่าถูกดึงขาดจากขั้วของ อะไรสักอย่างด้วยการกระชาก
  • 29. “ดิฉันปามันทิ้งไปเพราะมันเป็นความทรงจําที่เจ็บปวด ดิฉันไม่ทราบว่าน้องตาลไปได้มันมาจากที่ไหน” “มันอยู่ในกระเป๋าผ้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุครับ เป็นสิ่งของของผู้ตายซึ่งทางเราต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน” “กระเป๋าผ้าดิบ ที่มีด้ายสีปักเป็นรูปเด็กผู้หญิงถืออมยิ้มกับเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใช่ไหมคะคุณ หมอ” คําตอบของคุณดาทําให้ผมถึงกับตะลึง! “มันเป็นของดิฉันเองล่ะค่ะ ดิฉันปักมันด้วยตัวเองในวิชาเย็บปักถักร้อยสมัยดิฉันเป็นนักเรียนมัธยมฯ” “ดิฉันทิ้งมันลงถังขยะไปตั้งนานแล้ว เพราะไม่อยากจะเห็นมันอีก” “ดิฉันไม่เข้าใจว่าน้องตาลไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และนานแค่ไหนแล้ว เพราะตอนนั้นเขายังเล็กมาก เพิ่ง จะเรียนอยู่ชั้นประถม” ผมพาคุณดาเดินมาจนสุดทางเลียบริมแม่น้ําแซน ก่อนที่จะพาเดินเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดหน้า Académie française “นั่งพักก่อนดีไหมครับ” ผมเชิญคุณดานั่งพักบนม้านั่งยาวกลางสะพาน Pont des Arts “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” คุณดายิ้มให้ผม “ด้วยความยินดีครับ” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างคุณดา ทิ้งระยะประมาณครึ่งช่วงแขน เราทั้งคู่นั่งหันหน้าไปทาง Île de la Cité มหานครปารีสที่แสนจะงดงามในยามเย็นนี้ช่างสวยงามยิ่งนักใน มุมนี้ “คุณหมอคะ คุณหมอว่าเราเคยได้พบกันมาก่อนไหมคะ” ผมดาหันมายิ้มให้ผม “ผมคิดว่าคงไม่นะครับ” ผมยิ้มกลับ “อะไรทําให้คุณหมอต้องมาพบกับลูกสาวดิฉัน ทําไมเขาถึงฟังคุณหมอ ตาลเขาไม่ใช่คนฟังใครนะคะ กับ ดิฉันเขายังไม่ฟังเลย” “ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณคุณหมอมากที่อนุญาตให้ดิฉันได้อยู่กับลูกในวินาทีสุดท้าย”
  • 30. “มันเจ็บปวดมากนะคะคุณหมอ แม้มันจะต่างจากวันที่ดิฉันพาเขาออกมาอยู่บนโลกใบนี้ แต่ดิฉันก็ดีใจที่ ได้เป็นคนสุดท้ายที่ได้อยู่กับเขา” “คุณหมอทราบไหมคะ ตอนที่ดิฉันโทรกลับไปหาคุณหมอ ดิฉันเพิ่งจะประชุมบอร์ดเสร็จ เพิ่งจะเดิน ออกมา” คุณดาหยุดถอนหายใจ “ในตอนนั้นดิฉันกรีดร้องจนสลบไปเลยเชียวค่ะ มันเป็นความปวดร้าวที่สุดแสนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร ทั้งสิ้นที่ดิฉันได้เคยรู้สึกมาในชีวิต “แต่เมื่อดิฉันฟื้นขึ้นมาแล้วดิฉันก็ถือว่าดิฉันเป็นแม่ที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้อยู่กับลูกตาลในวินาทีสุดท้าย ของชีวิตเขา” “ถ้าดิฉันไม่ได้คุณหมอ ดิฉันคงไม่ได้โอกาสได้เป็นแม่ที่แม่ทั้งโลกจะต้องอิจฉา” “เพราะถึงดิฉันกับลูกจะอยู่ไกลกันคนละฝั่งโลก แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ในหัวใจดิฉันตลอดมา ... และจะอยู่ ตลอดไป” คุณดาน้ําตารื้น เธอแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะหลับตาลง น้ําตาของเธอไหลอาบแนบแก้มที่แดงระ เรื่อ ผมเองก็เริ่มแย่ ... ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้น้ําตาไหลออกมา "ชายชาติทหารอย่างผมต้ฎองเข้มแข็ง" ผมพยายามเตือนตัวเอง ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวของผมให้คุณดา "ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ดิฉันต้องขอโทษด้วย ทําไมดิฉันถึงได้ขี้แยขนาดนี้" “ดิฉันพยายามติดต่อคุณหมอ ลูกแตน เพื่อนของดิฉัน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อคุณหมอได้” คุณดาเล่า เหตุการณ์ให้ผมฟังต่อ “ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจว่ายังไงก็จะต้องมาปารีส มารับลูกตาลกลับไปกับดิฉันให้ได้” “แกขี้เหงาค่ะคุณหมอ เป็นของแกอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ดิฉันไม่อยากทิ้งแกไว้ที่นี่คนเดียว” “คุณดาอยากให้ผมช่วยในเรื่องเอกสาร เรื่องการดําเนินการในการนําน้องตาลออกมาไหมครับ?”
  • 31. ผมใจอ่อน ผมเป็นผู้ชายที่แพ้ความรักของแม่และพ่อ ผมเอามือถูกจมูกเพื่อกลั้นไม่ให้น้ําตาไหลออกมา ... “ดิฉันคงไม่กล้ารบกวนคุณหมอ ดิฉันคิดว่าน่าจะจัดการเองได้ค่ะ หากติดขัดอะไรอาจต้องเรียนปรึกษา คุณหมออีกครั้ง” คุณดาให้เกียรติผมมากจนผมเริ่มเขินตัวเอง “คุณดาพูดฝรั่งเศสได้เหรอครับ” ผมงัดไม้ตายที่ทําให้คนจากเมืองไทยที่มาฝรั่งเศสต้องยอมผม “Oui Docteur, j’ai fait mes études à Genève” คุณดาเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ําตา โปรยยิ้มหวานกลับมา ให้ผม โอ แม่เจ้า! ช่วยบอกผมทีสิครับว่านี่มันคดีอะไรกัน!!! “น้ําค้างเริ่มลงแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ” "ค่ะ คุณหมอ" คุณดายิ้มเป็นการตอบรับ ผมพาคุณดาเดินจาก Pont des Arts ผ่านพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) เข้า Rue Saint-Honoré ผ่าน Place Vendôme ก่อนจะถึงโรงแรมที่คุณดาพักซึ่งอยู่ถัดไป
  • 32. ผมบอกลาคุณดาที่หน้าโรงแรม “คุณดามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้นะครับ ถ้าผมช่วยได้ ผมสัญญาว่าจะช่วยอย่างเต็มที่” ผมเม้มปาก พยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณหมอ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม .................................................... ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เดินมุ่งหน้าไปสถานีเมโทรเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้าน เดินไปได้ไม่ถึง ๓ นาที ผมก็ได้ยินเสียงใครเรียกตามหลังมา “คุณหมอครับ คุณหมอครับ” ผมหันไปดู เห็นนายป๋องกําลังวิ่งมาในทิศทางที่ผมยืนอยู่อย่างเร่งรีบ “คุณหมอครับ ....” “แฮ่ก ๆ ๆ” นายป๋องเสียงหอบ มือทั้งสองเท้าอยู่บนเข่า “เอ้า...ว่ายังไง มีอะไรว่ามา ... ถือแจกันจะมาปาหัวผมด้วยไหมวันนี้” ผมแซว แต่เก็กหน้าโหดเอาไว้ “คุณหมอครับ ผมต้องกราบขอโทษคุณหมอจริง ๆ ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้” เจ้าป๋องยกมือไหว้ผมปะ หลก ๆ “ผมไม่ควรทําตัวแบบนั้นเลย ผมต้องกราบขอโทษคุณหมออีกครั้งจริง ๆ นะครับ” เห็นเด็กสํานึกผิดผมก็โกรธไม่ลง “มานั่งคอยคุณแม่น้องตาลอยู่นานแล้วเหรอ” ผมถาม “ผมมากับคุณพ่อครับ คุณพ่อมาถึงเมื่อบ่ายวันนี้ ผมไปรับ” “พอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านก็ไล่ให้ผมมาขอโทษคุณหมอเดี๋ยวนี้เลย ผมรู้สึกผิดจริง ๆ
  • 33. ครับคุณยกโทษให้ผมด้วยนะเถอะนะครับ” เจ้าป๋องทําตาละห้อย ผมเบี่ยงตัวไปดูก็เห็น คุณดากําลังยืนคุยกับผู้ชายสูงอายุท่านหนึ่ง ดูท่าทางจะคุ้นกันดี “เอาแล้วมั๊ย คืนนี้ผมจะได้กลับบ้านผมกี่โมงเนี่ย!” ผมพูดติดตลกกับเจ้าป๋องซึ่งตอนนี้ยืนเชื่องกับผมอย่างกับแมวโดนกัญชา (Catnip) “สวัสดีครับคุณหมอ ผมภราดร (นามสมมติ) เรียกผมว่า “ดอน” ก็ได้ครับคุณหมอ” คุณพ่อของป๋อง เดินตามเข้ามา ผมเข้าใจล่ะว่าทําไมเจ้าป๋องชื่อว่าแดน (Dan) คุณดาเดินตามหลังมาติด ๆ “โอย ... คุณหมอขา รบกวนแย่เลยวันนี้” คุณดาดูจะเกรงใจผมมาก “ไม่เป็นไรครับ ขอผมโทรศัพท์กลับบ้านก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเราไปทานข้าวกัน” “ขอให้ดิฉันเป็นคนดูแลคุณหมอนะคะ” คุณดารีบพูดชิงขึ้นมา “ไม่เอาคุณดา มื้อนี้ผมจัดการเอง” คุณดอนรีบชิงกลับ “คุณหมอเลือกร้านได้เลยครับ” มื้อนั้นผมไม่ได้มีจินตนาการอะไรมากว่าอยากไปกินที่ไหน เพราะเหนื่อยแล้ว ก็นั่งทานกันที่ Park Hyatt นั่นล่ะ ผมเคยมาทานดินเนอร์ที่ Le Pur' ก่อนหน้านี้แล้ว ๓ ครั้ง เป็นภัตตาคารของโรงแรมที่ทําอาหารฝรั่งเศส อร่อยมาก (แต่ราคารถไฟเหาะตีลังกา) ตามจํานวนดาวที่ได้จาก Le guide MICHELIN (annuaire des restaurants gastronomiques)