More Related Content
Similar to อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 6/3 (15)
อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 6/3
- 2. ไมโครโฟน
• ไมโครโฟน คืออุปกรณ์รับเสียงแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อ
ประมวลผลในเครื่องขยายเสียงหรืออุปกรณ์ผสมเสียงอื่น ๆ ไมโครโฟน
ประกอบด้วยขดลวดและแม่เหล็กเป็นหลัก เมื่อเสียงกระทบตัวรับใน
ไมโครโฟน จะทาให้ขดลวดสั่นสะเทือนตัดกับสนามแม่เหล็ก จึงทาให้
เกิดสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการทางานตรงข้ามกับลาโพง โดยทั่วไป
ไมโครโฟนใช้รับเสียงพูดหรือเสียงร้องเพลง
- 3. ชนิดของไมโครโฟน
• แบ่งตามลักษณะของโครงสร้างวัสดุ ไมโครโฟนแบ่งออกได้เป็น 6 ชนิด ด้วยกันคือ
1) แบบคาร์บอน (Cabon mic) ทาจากผงถ่าน คุณภาพไม่ค่อยดี นิยมใช้กับ
เครื่องรับโทรศัพท์
2) แบบคริสตัล (Crystal mic) ใช้แร่คริสตัลเป็นตัวสั่นสะเทือน ทาให้เกิดพลังงาน
ไฟฟ้า ไมโครโฟนชนิดนี้ไม่ทนต่อสภาพของอุณหภูมิและความชื้น ราคาถูก
3) แบบเซรามิค (Ceramic mic) คล้ายแบบคริสตัล แต่มีความทนทานสูงกว่า
นิยใช้ติดตั้งกับเครื่องยานพาหนะ
4) แบบคอนเดนเซอร์ (Condenser mic) ใช้คอนเดนเซอร์ เป็นตัวสร้างความถี่
เพื่อทาให้เกิดสัญญาณขึ้น แต่ต้องอาศัยแบตเตอรี่ เป็นตัวช่วยในการทางาน คุณภาพ
เสียงดี เบาเล็กกระทัดรัด
- 4. • 5) แบบไดนามิค (Dynamic mic) ใช้แม่เหล็กถาวร และมีขดลวด
(moving coil) เคลื่อนไหวไปมาในสนามแม่เหล็ก ทาให้เกิดการ
เหนี่ยวนา และเกิดกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร คุณภาพของเสียงดี มีความ
คงทน เหมาะที่จะใช้งานสาธารณะ
6) แบบริบบอน (Ribbon mic) ใช้แผ่นอลูมิเนียมเบา บางคล้ายกับ
ริบบิ้น จึงต้องอยู่ระหว่างแม่เหล็กถาวรกาลังสูง เมื่อคลื่นเสียงมากระทบ
กับแผ่นอลูมิเนียม จะสั่นสะเทือนและเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ไมโครโฟน
ชนิดนี้จะมีราคาแพง มีคุณภาพดีมาก มีความไวสูง แม้แต่เสียงหายใจ
ลมพัด จะรับเสียงได้ เหมาะที่จะนาไปใช้ในห้องส่งวิทยุโทรทัศน์-
บันทึกเสียง
- 5. ลาโพง
• ลาโพง (อังกฤษ: loudspeaker, speaker) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า
เชิงกลอย่างหนึ่ง ทาหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นเสียง มีด้วยกัน
หลายแบบ คาว่า ลาโพงมักจะเรียกรวมกัน ทั้งดอกลาโพง หรือตัว
ขับ (driver) และลาโพงทั้งตู้ (speaker system) ที่
ประกอบด้วยลาโพงและวงจรอิเล็กทรอนิกส์สาหรับแบ่งย่าน
ความถี่ (ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก)
• ลาโพงนับเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในระบบเครื่องเสียง โดยมีขนาด
ตั้งแต่เล็กเท่าปลายนิ้ว จนถึงใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนับสิบนิ้ว โดย
มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน
- 6. จอระบบสัมผัส (touchscreen)
• จอระบบสัมผัส (touchscreen) เป็นรูปแบบหนึ่งของอุปกรณ์
แสดงผลและนาเข้าข้อมูลที่ผสมร่วมกัน เพื่อลดขนาดพื้นที่การใช้งาน
โดยโปรแกรมจะแสดงผลภาพกราฟิกบนจอภาพ และผู้ใช้สามารถใช้นิ้ว
มือสัมผัสบนจอภาพ เพื่อเลือกรายการต่างๆ ทั้งที่อยู่ในลักษณะของ
รูปภาพ หรือข้อความก็ได้ เพื่อสั่งงาน จอสัมผัสนิยมนามาใช้ในลักษณะ
ของงานที่ช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาการใช้อุปกรณ์นาเข้าแบบจับต้อง เช่น
แป้นพิมพ์, เมาส์ เป็นต้น
- 7. • หน้าจอสัมผัสจะสามารถรู้ตาแหน่งที่เราสัมผัสได้นั้นจะต้องอาศัยระบบพื้นฐานซึ่งมี 3 ประเภท คือ
ตัวต้านทาน (resistive)
ระบบตัวต้านทานประกอบด้วย ช่องกระจกเคลือบด้วยตัวนาและตัวต้านทานโดยทั้งสองชั้นนี้ไม่ได้อยู่
ติดกัน โดยมีตัวกั้นและชั้นตัวต้านทานที่ปรับค่าได้อยู่บนสุด ในขณะที่หน้าจอกาลังทางานจะมี
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั้งสองชั้น เมื่อผู้ใช้สัมผัสหน้าจอ ทาให้ชั้นทั้งสองชั้นสัมผัสกันตรงตาแหน่งที่เรา
สัมผัส เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน และถูกบันทึกไว้และคานวณหาตาแหน่งโดยทันที
เมื่อรู้ว่าสัมผัสตรงส่วนใดแล้ว จะมีไดรเวอร์พิเศษที่ทาหน้าที่แปลการสัมผัสไปเป็นสัญญาณหรือรหัส
ส่งไปให้ระบบปฏิบัติการ
ตัวเก็บประจุ (capacitive)
ระบบตัวเก็บประจุ จะเป็นชั้นที่ไว้สาหรับเก็บประจุไฟฟ้าซึ่งจะวางอยู่บนช่องกระจกของหน้าจอ เมื่อผู้ใช้
สัมผัสหน้าจอ ประจุไฟฟ้าบางส่วนจะถูกส่งไปยังตัวผู้ใช้ทาให้ประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในตัวเก็บประจุลดลง การ
ลดลงนี้จะเป็นตัวบอกตาแหน่งของการสัมผัสซึ่งจะมีวงจรที่คอยตรวจสอบอยู่ที่มุมของหน้าจอทั้งสี่มุม
ต่อจากนั้นคอมพิวเตอร์จะคานวณ จากผลต่างของประจุไฟฟ้าในแต่ละมุม จนได้ตาแหน่งตรงที่ผู้ใช้สัมผัส
แล้วจึงส่งไปให้ไดรเวอร์
- 8. • คลื่นเสียงที่ผิวของหน้าจอ (surface acoustic wave)
ระบบคลื่นเสียง บนหน้าจอของระบบคลื่นเสียงที่ผิวหน้าจอจะมีตัวรับ และส่งสัญญาณอยู่
ตลอดแนวตั้งและแนวนอน ของแผ่นกระจกของหน้าจอ และตัวตัวสะท้อน ซึ่งจะทาหน้าที่ ส่ง
สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่มาจากตัวส่งสัญญาณไปยังตัวอื่น ตัวรับสัญญาณจะเป็นตัวบอกถ้า
คลื่นถูกรบกวนโดยการสัมผัสของผู้ใช้ และจะสามารถระบตาแหน่งที่สัมผัสได้ การใช้ระบบคลื่น
ทาให้หน้าจอสามารถแสดงภาพได้อย่างชัดเจนมากกว่าทั้งสองระบบข้างต้น