SlideShare a Scribd company logo
1 of 25
Download to read offline
1
ความหมายของการใชที่ดิน
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงการใชประโยชนที่ดินวาเปนไปในรูปใด เชน การทําเกษตรกรรม เหมืองแร
การกอสรางอาคารที่อยูอาศัย เปนตน
ประเภทของรูปแบบการใชที่ดิน
การใชประโยชนที่ดินที่ไมมีการควบคุมหรือวางผังเมือง จะมีลักษณะเคลาคละปะปนกันไมเปนระเบียบ
ความแออัดจะกระจุกตัวอยูที่ศูนยกลางและกระจายออกไปรอบนอกชุมชนอยางไรทิศทางและแบบแผน เมื่อ
ชุมชนขยายตัวไปสูความเปนเมืองปญหาตางๆก็จะตามมา การวางผังเมืองเปนการจัดระเบียบการใชประโยชน
ที่ดิน ระบบคมนาคมขนสงและเตรียมรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคตโดยการพิจารณาแผนประเภทการ
ใชประโยชนที่ดินเปนการพิจารณาจากการใชอาคารและที่ดินที่เกี่ยวของกับการดํารงชีพของประชาชน 3 สวน
คือ 1. สวนที่อยูอาศัย แบงออกเปนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย 5 ประเภท 2. สวนทํางานและบริการสาธารณะ
แบงออกเปนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม ที่ดินประเภทสถาบันราชการ สาธารณูปโภคสาธารณูปการที่ดิน
ประเภทสถาบันการศึกษา ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม ที่ดินประเภทชนบทและ
เกษตรกรรม และ 3. สวนที่พักผอนหยอนใจ แบงออกเปนที่ดินประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษา
คุณภาพสิ่งแวดลอม ที่ดินประเภทอนุรักษ ในที่นี้จะขอกลาวถึงเพียง 4 ประเภทสําคัญ คือ 1. ที่ดินประเภทที่
อยูอาศัย 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม 4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุม
การพัฒนา
1. ที่ดินประเภทที่อยูอาศัย (Residential Land Uses)
แนวความคิดหลักที่ใชในการวางผังที่อยูอาศัยไดแก Neighbourhood Concept เปนการกระจาย
ความเจริญจากชุมชนหลักออกไปสูสวนตางๆ ของเมือง ใหประชาชนไดรับการบริการทางดานสาธารณูปโภค
และสาธารณูปการโดยทั่วถึง และเทาเทียมกัน มีการอยูอาศัยที่ดีและนาพึงปรารถนา กรมการผังเมืองไดจําแนก
ที่ดินประเภทที่อยูอาศัยออกเปน 5 ประเภท ดังนี้
1. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนมาก
2. ประเภทพาณิชยกรรมและที่อยูอาศัยหนาแนนมาก
3. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนปานกลาง
4. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนนอย
5. ประเภทอนุรักษเพื่อการอยูอาศัย
การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย มีหลักการสําคัญวาพื้นที่ดังกลาวควรจะเปน
บริเวณที่มีการระบายน้ําดี ลักษณะดินไมเปนอุปสรรคตอการกอสราง มีศักยภาพในการจัดบริการทางดาน
สาธารณูปโภคสาธารณูปการไดเพียงพอ มีความสะดวกในการเขาถึง มีความปลอดภัยจากสิ่งรบกวนตางๆ มี
สภาพแวดลอมที่ดีใกลสถานที่ทํางานและยานการคา เปนตน
2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (Commercial Land Uses)
การใชประโยชนที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรมเปนลักษณะเดนของการใชประโยชนที่ดินในเมืองเปน
บริเวณที่มีการรวมตัวของการใชประโยชนที่ดินที่เขมขน เปนศูนยกลางธุรกิจการพาณิชยและการบริการ โดย
เฉลี่ยแลวประมาณรอยละ 2-5 ของพื้นที่เมืองเปนที่ดินที่ใชประโยชนเพื่อการพาณิชยกรรม
การใชที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แบงออกเปน 2 ประเภทหลัก คือ
2
1. รานคาเบ็ดเตล็ด และตลาดสด (Neighbourhood & Convinient Stores and Community
Markets) เปนสถานที่จําหนายสินคาเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจําวัน รวมถึงตลาดสด ซึ่งเปนศูนยรวมธุรกิจการ
คาขายเบ็ดเตล็ดของชุมชน มีขนาดพื้นที่เล็กและกระจายตัวอยูทั่วไป
2. ศูนยพาณิชยกรรมกลางเมือง (Central Business District) เปนบริเวณที่กวางใหญที่สุดและ
หนาแนนที่สุดของธุรกิจการคาขายและการใหบริการ เปนที่รวมของกิจการคาปลีก สํานักงานใหบริการ สถาบัน
การเงิน สถานเริงรมย โรงแรมและอื่นๆ C.B.D. แบงออกเปน 2 ประเภท คือ
- C.B.D. ในเมือง ซึ่งใชพื้นที่นอย อยูในทําเลที่ตั้งของการแขงขัน ราคาที่ดินแพง อาคาร
สูง เพื่อการใชประโยชนอยางเต็มที่ในพื้นที่ที่จํากัด
- C.B.D. ชานเมือง เปนผลมาจากปจจุบัน กิจกรรมที่เปนธุรกิจกลางของเมืองใหญๆ ที่
อยูใจกลางเมืองตองประสบปญหาตางๆ อาทิ การจราจรติดขัด ราคาที่ดินสูง ความแออัด และเสื่อมโทรม
ประกอบกับความเจริญกาวหนาดานการสื่อสารและการคมนาคมที่สะดวก จึงไดมีการขยายตัวออกไปอยูชาน
เมือง การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม มีหลักการที่สําคัญ คือพื้นที่ดังกลาวควรอยูบนที่
ราบปลอดภัยจากน้ําทวมสามารถระบายไดดี มีความสะดวกในการเขาถึง มีระบบโครงขายถนนที่ไดมาตรฐาน
และสามารถติดตอเชื่อมโยงกับบริเวณอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการสัญจร อยูในบริเวณที่มีสถาบันการเงินและ
การบริการสาธารณะอื่นๆ
3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Land Uses)
ในประเทศไทยไดกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทอุตสาหกรรมไวไมเกินรอยละ 10 ของ
พื้นที่เมือง โดยแบงที่ดินประเภทอุตสาหกรรมออกเปน 3 ประเภทหลัก คือ
1. ประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินคา
2. ประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ
3. ประเภทคลังสินคา
การวิเคราะหอุตสาหกรรมเพื่อกําหนดที่ตั้งและขนาดของพื้นที่ในการวางผังเมืองไดพิจารณา
จําแนกเปนประเภทตามกระบวนการผลิตและกระบวนการเชื่อมโยงกับการผลิต เพราะกระบวนการผลิตเปน
ปจจัยทําใหเกิดผลกระทบดานที่ตั้ง ความสัมพันธระหวางการใชที่ดินแตละประเภท สวนกระบวนการเชื่อมโยง
กิจกรรมอื่นตามมา อาทิ การขนสง การสื่อสารธุรกิจการคาและบริการ เปนตน หลักการกําหนดที่ตั้งของที่ดิน
ประเภทอุตสาหกรรมที่สําคัญ ควรเปนพื้นที่ที่มีความลาดชันไมเกินรอยละ 5 เพื่อการระบายน้ําและกําจัดของ
เสีย อยูใกลเสนทางคมนาคมสายหลักมีความพรอมในดานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เปนบริเวณที่มีราคา
ที่ดินต่ํา และมีพื้นที่เพียงพอสําหรับการขยายตัวของโรงงานในอนาคต อยูใกลแหลงวัตถุดิบ ใกลตลาด ไมอยูใน
ทิศทางที่ควันฝุนละออง กลิ่น เสียง ถูกลมพัดเขาเมือง ไมอยูในทิศทางที่สงผลกระทบตอแหลงน้ํา หรือทางลําน้ํา
ธรรมชาติ และตองไมเกิดผลกระทบกับจุดเดนของเมือง
4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา
ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาเปนการใชประโยชนที่ดินประเภทหนึ่งที่มีความสําคัญ
และจําเปนสําหรับเมือง วัตถุประสงคของการกําหนดการใชที่ดินประเภทนี้ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของ
เมืองใหอยูในบริเวณที่กําหนด รักษาสภาพแวดลอมและระบบนิเวศนของเมือง และสรางภาพลักษณของเมือง
ใหสมดุลยกับธรรมชาติ โดยแบงที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาออกเปน 4 ประเภท คือ
1. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอม
2. ประเภทอนุรักษชนบทและเกษตรกรรม
3. ประเภทอนุรักษเพื่อสงเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
4. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมและการประมง
3
พื้นที่ที่เหมาะสมแกการจัดใหเปนที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา คือ พื้นที่ที่เปน
แหลงวัตถุดิบหรือทรัพยากรทางธรรมชาติ พื้นที่ที่มีน้ําทวมขังหรือรับการระบายน้ํา พื้นที่สาธารณูปโภคของเมือง
พื้นที่อนุรักษและสงวนรักษา พื้นที่ที่เปดกันใหเปนที่โลง เปนตน
แผนการใชที่ดินของประเทศไทย
การวางแผนการใชที่ดินมีจุดมุงหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใชที่ดิน แผนการใชที่ดินนําไปใช
สวนใหญมักจะอยูในหนวยหรือขอบเขตการปกครอง เชน ตําบล อําเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ เปนตน และ
บางกรณีอาจเปนแผนการใชที่ดินระดับลุมน้ํา การที่จะไดแผนการใชที่ดินออกมาจะตองผานการประเมินคา
ทรัพยากรตางๆ ที่เกี่ยงของกับที่ดิน ขอมูลที่ถูกตองแมนยําของสภาพการใชที่ดินในปจจุบันมีความจําเปนอยาง
ยิ่งในการใชแผนการใชที่ดินเพื่อที่จะนําขอมูลเหลานี้นํามาวิเคราะหชี้บงศักยภาพการใชที่ดินในสถานภาพที่
แทจริง
แผนการใชที่ดินของประเทศไทยก็ไดดําเนินการตามขั้นตอน คือ มีการประเมินคาที่ดินทางกายภาพ
แลวนําเอาขอมูลทางเศรษฐกิจสังคมมาเปรียบเทียบเพื่อยืนยันใหเห็นผลตอบแทนที่ใหประโยชนสูงสุด โดยใหมี
ผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด แผนการใชที่ดินของประเทศไทยจึงสรุปไดดังนี้
- แผนการใชที่ดินเพื่อกสิกรรม
แผนการใชที่ดินดานกสิกรรมของประเทศไทยยังจําแนกออกเปน 2 บริเวณใหญๆ ไดแก
ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือมีศักยภาพในการชลประทาน
ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตที่อาศัยน้ําฝน
ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือที่มีศักยภาพในการชลประทาน ซึ่งแบง
ออกเปนเขตยอยไดดังนี้คือ
1.1ทํานาในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 43,824,203 ไร หรือ รอยละ 13.67 ของเนื้อที่
ประเทศไดแก บริเวณที่ราบลุมน้ํารายใหญของประเทศที่มีเนื้อดินเหมาะสมตอการทํานาและใหผลตอบแทนใน
การผลิตขาวสูงกวาบริเวณอื่น บริเวณนี้เหมาะสําหรับการผลิตขาวเพื่อการบริโภคของประชากรในประเทศและ
สําหรับสงออก ในบริเวณที่มีการชลประทานสมบูรณแบบจะสามารถปลูกขาวได 2 ครั้งตอป หรือ 5 ครั้งตอ
การทํานา 2 ป พื้นที่บริเวณนี้ควรสงวนไวใชในการเกษตรเพราะเปนบริเวณที่รัฐไดลงทุนดานการชลประทาน
และสาธารณูปโภคไวสูง ปจจุบันพื้นที่เหลานี้ที่อยูใกลชุมชนจะถูกนําไปใชเพื่อเปนที่อยูอาศัย และโรงงาน
อุตสาหกรรมเปนจํานวนมากซึ่งเปนการใชที่ดินอยางไมเหมาะสมตรงตามศักยภาพของที่ดิน
1.2ปลูกพืชไรในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 23,453,398 ไร หรือรอยละ 7.31 ของเนื้อที่
ประเทศ ไดแก บริเวณพื้นที่ดอนที่มีระบบชลประทานเขาถึง พื้นที่นี้เหมาะสมที่จะนํามาใชในการผลิตพืชผัก
หรือพืชไรที่ใหผลผลิตสูงหรือตองการคุณภาพที่ตองการ เชน การผลิตเมล็ดพันธุการผลิตที่ไดผลผลิตสูงตาม
ความตองการเนื่องจากสามารถควบคุมน้ําและปุยได การผลิตที่ตองการคุณภาพมาตรฐาน เชน การผลิตเพื่อ
การสงออกที่มีปริมาณสารตกคางในผลิตภัณฑต่ําตามที่ตลาดทั้งในและนอกประเทศควบคุม
ขอควรพิจารณาในเขตกสิกรรมโครงการชลประทาน
น้ําเปนปจจัยที่สําคัญยิ่งประการหนึ่งในการทําการเกษตร อาศัยน้ําจากธรรมชาติในการประกอบ
การเกษตรเปนสําคัญ ดังนั้น ปญหาการขาดแคลนน้ําสําหรับการเจริญเติบโตของพืชมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ
โดยเฉพาะในฤดูแลง เพื่อเล็งเห็นความสําคัญของน้ําเพื่อการเกษตรจึงมีการจัดการชลประทานเพื่อแกปญหาการ
ขาดแคลนน้ําในชวงขาดน้ํา
4
และเพื่อใหระบบการชลประทานประสบความสําเร็จตามความประสงค จําเปนตองศึกษาถึง
ความสัมพันธระหวางปจจัยตางๆ เกี่ยวกับลักษณะของที่ดินวาเหมาะสมหรือไมในการใหการชลประทาน ปจจัย
ที่ควรพิจารณา คือ
1. คุณสมบัติของดิน
2. สภาพพื้นที่
3. การระบายน้ํา
1. ปจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของดิน
คุณสมบัติตางๆ ของดินทางฟสิกส เคมี และชีววิทยา ใชเปนบรรทัดฐานเริ่มแรกในการ
ประเมินคาของที่ดินเพื่อการชลประทาน คุณสมบัติเหลานี้บางชนิดก็เปลี่ยนแปลงไดยาก เชน เนื้อดิน แต
บางอยางก็เปลี่ยนแปลงไดงาย โดยการเขตกรรม คุณลักษณะของดินมีความสัมพันธตอการพัฒนาที่ดิน
ความสําคัญในดานการปลูกพืชและดานเศรษฐกิจของแตละคุณลักษณะของดินในแตละพื้นที่
แตกตางกันออกไปขึ้นอยูกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะพื้นที่ ปริมาณน้ํา และการใชที่ดิน คุณลักษณะของที่ดินที่
พึงประสงคเพื่อความสําเร็จในการปลูกพืชโดยการใหการชลประทานควรมีลักษณะดังนี้ คือ
- มีความจุความชื้นที่มีประโยชนตอพืช
- น้ําซึมผานไดเร็วเพื่อการถายเทอากาศ
- มีอัตราการแทรกซึมของน้ําชาพอที่จะปองกันมิใหเกิดการสูญหายสูสวนลางของชั้นดิน
มากเกินไป หรือเกิดความแหงแลง
- มีความลึกพอที่รากพืชจะเจริญเติบโตไดดี
- ทําการปฏิบัติงานในไรนาไดงาย
- ไมมีเกลือ (saline) สะสมอยูหรือถึงมีอยูก็ถูกชะลางไดงาย
- มีความจุในการแลกเปลี่ยนประจุบวก และธาตุอาหารพืชเพียงพอและไมมีสารที่เปนพิษ
- ภายใตการใหน้ําชลประทานที่เหมาะสมตองมีความตานทานตอการกัดกรอนที่มีมาก
เกินไป
2. ปจจัยเกี่ยวกับลักษณะพื้นที่
ความยากงายในการนําน้ํามาสูไรนามีผลตอคาใชจาย และการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ในบาง
กรณียังมีผลตอความสามารถในการปรับตัวของพืช ความมั่นคงหรือความคงทนของสิ่งกอสราง และการระบาย
น้ําปจจัยของลักษณะพื้นที่ที่ใชในการพิจารณาระดับความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการชลประทานไดแก
2.1ความลาดชันของพื้นที่
2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน
2.3ตําแหนงของพื้นที่
2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน
2.5สิ่งปกคลุมดิน
2.1ความลาดชันของพื้นที่ การที่จะพิจารณาถึงความลาดชันของพื้นที่วาเหมาะสมหรือไมใน
การใหการชลประทาน จะตองคํานึงถึงสิ่งตางๆ ดังตอไปนี้
(ก) ความยากงายของดินตอการถูกกัดกรอน
(ข) ชนิดของพืชที่จะปลูก
(ค) อัตราการแทรกซึมของน้ํา และความจุความชื้นที่เปนประโยชนตอพืชเพื่อ
ความสําเร็จในการชลประทานโดยปราศจากการสูญเสียน้ํามากเกินไป โดยการไหล
บาไปบนพื้นผิวดิน หรือไหลสูสวนลางของดิน
5
(ง) พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงความลาดชันบอยๆ ทําใหที่ดินเปนผืนเล็กๆ มีผลใหการ
ใหน้ําชลประทานเปนไปในระยะสั้นมาก
(จ) วิธีการใหการชลประทาน ซึ่งแตกตางกันไปในแตละชนิดของพื้นที่
2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน ที่ดินที่มีพื้นผิวไมสม่ําเสมอทําใหเพิ่มคาใชจายในการผลิตและ
ทําใหผลผลิตของพืชต่ํา การพัฒนาในพื้นที่เชนนี้ตองคํานึงถึง
(ก) ชนิดของการชลประทาน
(ข) คาใชจายในการปรับระดับพื้นที่ดิน
(ค) อิทธิผลของการปรับระดับพื้นที่ดินตอผลผลิตของพืชเนื่องจากหนาดินสูญหายไป
ปกติการประเมินคุณลักษณะของดินนั้นจะประเมินภายหลังทําการปรับระดับพื้นที่
แลวมากกวากอนทําการปรับระดับ โดยทั่วไปแลวดินที่มีความลึกมากๆ เชนดิน
ตะกอนลําน้ําใหมๆ สามารถที่จะทําการปรับระดับไดลึก และคาความสามารถใน
การผลิตของที่ดินที่ลดลงก็เปนเพียงชั่วคราว แตในดินเกาหรือดินที่มีลักษณะชั้น
หนาตัดดินที่สมบูรณ ซึ่งมีชั้นของการสะสมของปูนอยูใกลผิวดิน หรือเปนดินที่มี
วัตถุที่ไมยอมใหน้ําซึมผานไดอยูใกลกับผิวดิน เมื่อทําการปรับระดับพื้นที่ดิน
ปริมาณของผลผลิตของพืชจะลดลงอยางมาก และเพิ่มอุปสรรคในการระบายน้ํา
หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิตมากขึ้น
2.3ตําแหนงของพื้นที่ พิจารณาถึงเมื่อที่ดินแยกเปนที่สูง และที่ต่ําซึ่งจะทําใหเพิ่มคาใชจาย
ในการพัฒนาที่ดินหรือในการปฏิบัติงาน ระดับของความเหมาะสมของที่ดินที่เปนหยอมๆ เชนนี้ขึ้นอยูกับความ
ยากงายในการใหน้ําชลประทาน และการใชเครื่องจักรกลในไรนา
2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน ขนาด รูปราง และที่ตั้งของที่ดินตองพิจารณาในดาน
ความสามารถที่จะทําพื้นที่ดินใหเปนไรนาขนาดใหญได ในดานประสิทธิภาพของการใหการชลประทาน และ
ผลตอบแทนตองไดรับในอัตราที่เหมาะสมกับที่ดินชั้นนั้นๆ นอกจากนี้ยังใชพิจารณาถึงชนิดของการชลประทาน
ที่จะใชดวย
2.5สิ่งปกคลุมดิน พืชพรรณหรือกอนกรวดกอนหินตางๆ ที่ปกคลุมอยูบนพื้นผิวดิน ตอง
นําเอาออกกอนการทําเขตกรรม ซึ่งทําใหเสียคาใชจายในการพัฒนาที่ดิน แตไมเอาสิ่งปกคลุมดินเหลานี้ออกไป
เสียกอนการทําเขตกรรม จะทําใหความสามารถในการผลิตของดินลดลง หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิต สิ่ง
ตางๆ เหลานี้มีผลตอการจัดแบงชั้นของที่ดิน
3. ปจจัยของการระบายน้ํา การระบายน้ําที่มากเกินไปออกจากพื้นที่ดินทําได 2 วิธี คือ
3.1การระบายน้ําบนผิวดิน ไดแก การระบายน้ําออกจากพื้นที่ตามพื้นผิวดิน โดยน้ําหลาก
แผซาน (sheet) และทางธารน้ํา (stream flow)
3.2การระบายน้ําภายในหรือใตผิวดิน เปนการระบายน้ําที่มีมากเกินพอภายในดิน โดยการ
ไหลลงสูสวนกลางของหนาตัดดินหรือไหลซึมทางดานขาง ผานชั้นดิน ดินชั้นลางและชั้น
หินใตดิน
ข. แผนการใชที่ดินในเขตที่อาศัยน้ําฝน ซึ่งแบงเปนเขตยอยไดดังนี้
1.3เขตทํานา มีเนื้อที่ 10,581,939 ไรหรือรอยละ 3.30 ของเนื้อที่ประเทศบริเวณนี้สวน
ใหญเปนบริเวณที่ราบลุม สวนใหญใชพื้นที่ทํานาแตมีปญหาเกี่ยวกับเรื่องน้ําเนื่องจากจําเปนตองอาศัยน้ําฝนซึ่ง
มีความเสี่ยงมากบางพื้นที่ทําการปลูกแลวฝนมาไมตองตามฤดูกาลก็อาจตองทําการปลูกใหมหรือบางบริเวณมี
น้ําทวมขังสูงก็ทําใหขาวเสียหายได
6
1.4เขตปลูกพืชไรมีเนื้อที่ 85,716,928 ไร หรือรอยละ 26.73 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแก
บริเวณที่ดอน ดินตอบสนองตอการใชปุยไดดี ถามีการแพรกระจายของฝนดีอาจปลูกพืชไรไดมากกวา 2 ครั้ง
พืชที่ปลูกไดแก ฝาย ขาวโพด ออย มันสําปะหลัง นอกจากนี้ยังสามารถปลูกไมผล เชน มะมวง มะขามหวาน
มะขามเปรี้ยวได
1.5เขตปลูกไมผล ไมยืนตน มีเนื้อที่ 4,471,389 ไร หรือรอยละ 1.39 ของเนื้อที่ประเทศ
ไดแกบริเวณที่ดอนที่มีความลาดชันเปนสวนใหญเปนตนคอนขางลึก จะพบเศษหิน กรวด หรือลูกรังระหวาง
50 เซนติเมตรถึง 1 เมตร แนะนําใหใชพื้นที่นี้นํามาปลูกไมผล ซึ่งการปลูกจะตองทําการขุดหลุมใหกวางและ
ลึกมีการรองกนหลุมดวยอินทรียวัตถุ ปุยคอก ปุยหมัก หินฟอสเฟต และเอาหนาดินกลบลงกนหลุม สวนดิน
ลางเอากลบไวหนาดินสลับกัน นอกจากนี้ควรมีแหลงน้ําที่สามารถใหน้ําแกไมผลไดตลอดดวย
การปฏิบัติรักษาในบริเวณนี้ก็คือควรทําการปลูกพืชในแนวระดับ เพื่อปองกันการสูญเสียหนาดิน
มีการปลูกพืชคลุมดินในระหวางแถวไมหลักเพื่อคลุมดินเปนการเพิ่มอินทรียวัตถุและเพิ่มแรธาตุอาหารบางชนิด
แกพืชหลักไดอีกดวย
ขอควรพิจารณาการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตน้ําฝน
ขอควรพิจารณาในการพัฒนาการกสิกรรมโดยอาศัยน้ําฝน หมายถึง พื้นที่การเกษตรที่อาศัย
น้ําฝนเปนสําคัญ แตน้ําฝนตามธรรมชาตินั้นตกไมแนนอน บางปปริมาณฝนนอย บางปมากเกินความตองการ
ทรัพยากรก็มีคุณภาพต่ํา ปจจัยตางๆ เหลานี้มีสวนทําใหประสิทธิภาพการผลิตในดานเกษตรต่ํา ทําใหการวาง
แผนการผลิตก็ดี การประเมินปริมาณและคุณภาพของผลิตผลก็ดี ไมไดผลดีเทาที่ควร เปนสาเหตุใหเกษตรกร
ในอาณาบริเวณนี้ประสบกับการเสี่ยงภัยสูง มีรายไดหมิ่นเหมกับรายจาย เพื่อที่จะพัฒนาเขตเกษตรอาศัยน้ําฝน
ใหมีการเสี่ยงลดลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จึงขอเสนอแนะแนวปฏิบัติดังตอไปนี้คือ
1. จัดทําแผนที่ภูมิอากาศเกษตร (Agro-Ecological Zone) เพื่อใชเปนเครื่อง
ประกอบกับแผนที่ดินในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝน แลวเริ่มดําเนินการสํารวจสภาพการทํากสิกรรมและขอมูลอื่นๆ
ของแตละเขตภูมิอากาศเกษตร เพื่อใหไดขอมูลภาคพื้นดินที่ถูกตองนํามาประกอบในการพิจารณาหาทาง
พัฒนาการเกษตรตอไป
2. ควรมีมาตรการในการพยากรณหรือคาดคะเนเกี่ยวกับดินฟาอากาศ เพื่อกสิกรจะไดมีโอกาส
ทราบลวงหนา และทําใหบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
3. สถานีทดลองการเกษตรควรทําการวิจัย คนควา ทดลอง ปรับปรุงพันธุพืชพันธุสัตว การ
ปราบศัตรูพืช การจัดระบบการปลูกพืช การเขตกรรม การจัดฟารม ใหเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของแตละ
เขตภูมิอากาศ
4. ควรจัดตั้งโครงการถาวรเพื่อสํารองเมล็ดพันธุพืช พันธุสัตว เมื่อถึงภาวะฉุกเฉิน เชน ความ
แหงแลง หรือน้ําทวม
5. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีระยะแหงแลงนาน โดยไมสามารถที่จะทําการกสิกรรมได
ควรจัดสํารวจหาแหลงน้ําใตดิน ทั้งบอน้ําลึกและบอน้ําตื้น เพื่อนํามาใชบริโภคและเพื่อการกสิกรรม
6. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีปาไมนอยและแหงแลง ควรจัดใหมีการปลูกไมยืนตนเพื่อ
สรางความชุมชื้น เปนรมเงาและเปนปาหยอมขึ้น ไมที่ใชปลูกนั้นควรเปนไมโตเร็วสําหรับทําฟน เพื่อเปนพลังงาน
ทดแทน ไมผลเพื่อบริโภค หรือไมทนความแหงแลงและขึ้นไดในดินเลว เชน กระถินณรงค ไผ ยูคาลิปตัส
7. ดินในบริเวณเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนที่มีเนื้อหยาบ มักจะมีการพังทลายไดงาย และมีความ
อุดมสมบูรณต่ํา จําเปนจะตองหาทางอนุรักษดินและน้ํา กลาวคือ จะตองปองกันดินพังทลาย ยกระดับความอุดม
สมบูรณของดิน โดยการใชทั้งปุยอินทรียและปุยเคมี การทําการเขตกรรมที่เหมาะสมจะทําใหเปนการสงวนน้ําใน
ดินและควรหาวัสดุคลุมดินในระหวางการปลูกพืช
7
8. เนื่องจากกสิกรในเขตการกสิกรรมที่อาศัยน้ําฝนมักเปนกสิกรรายยอย ไมคอยไดรับความ
ชวยเหลือหรือบริการตางๆ เหมือนกสิกรในเขตชลประทาน เพื่อที่จะพัฒนาการเกษตรในเขตน้ําฝนใหไดผล
กสิกรเหลานี้ควรจะไดรับความชวยเหลือดานเงินทุน การตลาด การคมนาคม และดานสาธารณูปโภคอื่นๆ
แนวทางและมาตรการในการใชที่ดินเพื่อการเกษตร
1. ใหใชประโยชนที่ดินตามโซนการปลูกพืชที่กําหนดไวในแผนที่ ที่แสดงแผนการใชที่ดินของ
ประเทศไทย
การกําหนดโซนการปลูกพืชเศรษฐกิจเหลานี้ ถาไดนําเอาไปใชในโครงการการพัฒนาเศรษฐกิจ
ของจังหวัดจะเกิดประโยชนอยางเต็มที่แกนักวางแผน นักวิชาการเกษตร นักสงเสริม ตลอดจนตัวเกษตรกรเอง
ทั้งนี้เพราะ
(1)งายตอการควบคุมดูแล การกําจัดโรคแมลง การขยายพันธุ การชลประทาน ตลอดจน
การสงเสริมหรือการใหคําแนะนําของเจาหนาที่ตางๆ เพราะในโซนเดียวกันจะมีความ
ตองการของปจจัยในการผลิตคลายคลึงกัน
(2)ชวยในการคาดคะเนปริมาณผลผลิตของจังหวัด และสะดวกในการติดตามผลวาบรรลุ
ถึงเปาหมายที่ทางจังหวัดตองการหรือไม
(3)ชวยในการพิจารณาเลือกชนิดของพืชที่ปลูกตามความตองการของตลาดโดยให
เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน
2. ควรเรงการเพิ่มผลผลิตตอหนวยพื้นที่ใหไดผลอยางจริงจังขึ้นโดยพิจารณาใหเหมาะสมกับ
สภาพที่เปนอยูปจจุบัน เชน หาวิธีการปรับปรุงบํารุงดินที่เหมาะสม มีการเลือกใชพันธุพืชที่ดี มีการกําหนดเวลา
การปลูกพืชที่สอดคลองกับสภาพอากาศ พื้นที่ที่มีการชลประทานควรมีการพัฒนาระบบชลประทานใหมี
ประสิทธิภาพตลอดจนมีหลักในการปองกันโรคและแมลงที่ดี
3. ควรมีการจัดระบบการปลูกพืชที่เหมาะสม การจัดระบบการปลูกพืชขึ้นอยูกับปจจัยหลาย
อยาง เชน สภาพของดิน ปริมาณน้ําฝน หรือลักษณะของแหลงน้ํา ตลอดจนอายุและลักษณะของพืชที่จะปลูก
ระบบการปลูกพืชไมจําเปนตองเปนระบบเดียวกันทั้งจังหวัด การจะใชระบบการปลูกพืชแบบไหนขึ้นอยูกับ
ความเหมาะสม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไดตามความตองการ แตควรยึดหลักเกณฑโดยทั่วๆไปวาจะพยายาม
ปลอยใหดินอยูในสภาพวางเปลาระยะเวลานอยที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งพยายามปลูกพืชหลายๆ ชนิด ในรอบป
นั่นเอง
4. ควรมีการกําหนดเปาหมายการผลิตไวลวงหนา เพื่อจะไดเตรียมการอยางพรอมเพรียง การ
กําหนดเปาหมายวาจะปลูกอะไร ตองการที่จะใหไดผลผลิตเทาใด ควรพิจารณามาจากลักษณะทางสังคมของ
เกษตรกร ตลอดจนความเอื้ออํานวยของปจจัยในการผลิตตางๆ
5. บริเวณที่มีศักยภาพทางการเกษตรสูง และมีปจจัยในการผลิตพรอมมูล เชน บริเวณพื้นที่
เขตโครงการชลประทาน ควรจะไดมีโครงการจัดรูปที่ดินขึ้นเพื่อใหไดประโยชนจากพื้นที่อยางสมบูรณ ใน
บริเวณที่อาศัยน้ําฝนก็อาจใหสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) เขามาจัดการ เชน บริเวณปาที่จะ
เปดใหราษฎรเขาอยูอาศัย
6. ควรมีการประกันราคาผลผลิตทางเกษตร เพื่อใหเกษตรกรขายไดราคาที่เหมาะสมคุมกับการ
ลงทุน
7. ควรปรับปรุงสถาบันที่เกี่ยวของกับเกษตรกรใหมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น เชน กลุมเกษตรกร
สหกรณการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณการเกษตร องคการตลาดเพื่อเกษตรกรรม รัฐควร
สนับสนุนและสงเสริมใหสถาบันเกษตรกรตางๆ เหลานี้สามารถขยายธุรกิจไดกวางขวางมากขึ้น
8
8. ปรับปรุงและแกไขกฎหมายที่เกี่ยวของกับการใชที่ดินใหเหมาะสม โดยเฉพาะอยางยิ่ง
กฎหมายที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน ที่ดินอยูในความดูแลของทหารหรือที่ดินที่หมดสภาพเปนปาสงวนแลว แตมี
ศักยภาพพอที่จะใชปลูกพืชเศษฐกิจได และมีราษฎรอาศัยอยูมาก เชน บริเวณ 2 ฝงแมน้ํา ควรเพิกถอนแลว
จัดใหราษฎรมีเอกสิทธิ์ในการทํากินใหถูกตองตามกฎหมาย แตในบริเวณใดที่มีดินเลว ยากในการปรับปรุง
แกไข ควรนํามาพิจารณาเพื่อใชในกิจการอื่นๆ เชน ทางดานปศุสัตวหรือพัฒนาใหเปนปาโดยการปลูกทดแทน
นอกจากนี้ควรเนนการตรากฎหมายเกี่ยวกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทางดานอนุรักษดินและน้ํา
เพื่อรักษาทรัพยากรอันล้ําคาเหลานี้ไวชั่วหลาน
- แผนการใชที่ดินเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว 48,699,633 ไรหรือรอยละ 15.19 ของพื้นที่ประเทศ
บริเวณที่กําหนดแผนใหใชเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว ไดแก บริเวณที่เปนดินตื้น ปาถูกทําลายและจะมีความ
ลาดชัน ทําใหหนาดินถูกชะลางพังทลายออกไปมาก ความอุดมสมบูรณของดินก็จะลดลงตามไปดวย การทําพื้น
ที่มาใชปลูกหญาเพื่อทําการปศุสัตวมีการยึดตัวกันหนาแนนขึ้นทําใหยากตอการชะลางหนาดิน นอกจากนี้รากพืช
ที่ยึดเกาะกันเองและยึดเกาะดิน จะทําใหดินเพิ่มอินทรียวัตถุเพิ่มความชื้นในดินและทําใหดินเกาะกันดีขึ้น ถา
หากปลูกพืชตระกูลถั่วปนในแปลงหญาแลว นอกจากจะทําใหคุณคาของอาหารสัตวเพิ่มขึ้นแลวรากของพืช
ตระกูลถั่วยังสรางปมเพื่อยึดไนโตรเจน ทําใหดินมีธาตุไนโตรเจนเพิ่มขึ้นจากธรรมชาติไดอีก
ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อปศุสัตว
เกษตรกรนอกจากจะปลูกพืชแลวยังมีการเลี้ยงสัตวควบคูไปดวยเพื่อไวใชงานและผลพลอยได
ของครอบครัวที่ทําเปนการคามักมีอยูนอย จากขอมูลทางทรัพยากรดินมีพื้นที่ที่จะนํามาพัฒนา เพื่อจัดทําทุง
หญาเลี้ยงสัตวได นโยบายที่ควรนําพื้นที่มาพัฒนาเพื่อการปศุสัตวควรดําเนินนโยบายดังนี้
1. ดําเนินการใชประโยชนที่ดินตามแผนที่กําหนดบริเวณ โดยพื้นที่นี้มักไมเหมาะสมในการที่จะ
นํามาใชปลูกพืช
2. ควรมีการจัดการที่ดี โดยการจัดใหมีการปลูกหญาปนพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มคุณคาของอาหาร
และเปนการบํารุงดิน พรอมทั้งพัฒนาแหลงน้ําเพื่อใหสัตวบริโภค และเพื่อการรักษาสุขอนามัยสัตว
3. ควรกําหนดเปาหมายการผลิตและการตลาดใหสอดคลองสัมพันธ กับการพัฒนาปศุสัตว
4. รัฐควรใหการสนับสนุนอยางจริงจังในดานการจัดหาพันธุสัตวที่ดี การใหคําแนะนําเกี่ยวกับ
การปฏิบัติบํารุงรักษา การแนะนําดานการตลาด ตลอดจนการถายทอดเทคโนโลยี เชน เทคนิคการผสมเทียม
การคนควาสูตรอาหารที่มีคุณภาพดี ราคาต่ํา เปนตน
5. รัฐตองมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการเก็บรักษา และการแปรรูปผลิตภัณฑ เชน การจัด
กลุมผูเลี้ยงสัตวเพื่อสรางหองเย็นเก็บรักษาผลิตภัณฑ เชน นม เนื้อ ไข มีการจัดสรางโรงฆาสัตวที่ทันสมัย
สงเสริมการผลิตตอเนื่อง เชน การทําไอศครีม นมเปรี้ยว เนย กุนเชียง ผลิตภัณฑสําเร็จรูป และผลิตภัณฑที่
บรรจุกระปอง
- แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม ไดแก บริเวณที่เปนภูเขา เนินเขา บริเวณที่เปนดินตื้นมาก บริเวณที่มีหิน
โผล หรือบริเวณที่มีปาชายเลนหรือบริเวณปาตามธรรมชาติขึ้นหนาแนนอยูแลว บริเวณปาชายเลนหรือบริเวณที่
แนะนําใหคงสภาพไวเปนปาธรรมชาติ เพื่อรักษาไวเปนตนน้ําลําธารเปนที่รักษาระบบนิเวศนวิทยา สวนใดที่มีแร
ที่มีคุณคาเมื่อมีการใชสัมปทานควรมีขอกําหนด และควบคุมผูใชสัมปทานดําเนินงานใหถูกตองตามหลักวิชาการ
เพื่อใหเกิดความเสียหายตอบริเวณนี้ใหนอยที่สุดตลอดจนทําการปรับปรุงพื้นที่ใหใกลเคียงกันกับกอนไดรับ
สัมปทาน และไมใหรบกวนระบบนิเวศนดวย เชน การปลอยน้ําจากการลางแร
1. เขตปาชายเลน มีเนื้อที่ 1,128,494 ไร หรือรอยละ 0.35 ของเนื้อที่ประเทศ เปน
บริเวณปาที่อยูตามชายทะเลเปนปาชายเลน เชน โกงกาง แสม ลําพู จาก ตาตุม เสม็ด เปนบริเวณที่มีไม
9
คุณภาพสูงที่ใชในการทําถาน ฟน เสาเข็ม นอกจากนี้ยังเปนบริเวณที่มีความสําคัญตอระบบนิเวศนตอสัตวบก
และสัตวน้ําในทะเล ปจจุบันพื้นที่ปาชายเลนถูกบุกรุกเปนอยางมากเนื่องจากธุรกิจกุงกุลาดําทํารายไดเปนอยางดี
กับเกษตรกร แตทําใหมีการใชประโยชนปาชายเลนในดานเศรษฐกิจเพื่ออนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และการ
อนุรักษระบบนิเวศนแลวควรมีมาตรการในการใชพื้นที่ปาชายเลนดังตอไปนี้
1) กําหนดเขตการใชปาชายเลนใหแนนอนและมีกฎหมายรองรับ
2) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาระบบนิเวศนวิทยาอยางสมบูรณเพื่อทราบถึง
ขอมูลพื้นฐานของสิ่งตางๆที่มีอยูในวงจรระบบนิเวศนปาชายเลน ศึกษา
ความสัมพันธเกี่ยวเนื่องตลอดจนผลกระทบตางๆ ที่จะเกิดขึ้น
3) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหมๆ ในเรื่อง
ของการจัดการเพื่ออนุรักษและการใชประโยชนปาชายเลน
4) ควรใหมีการฟนฟูสภาพปาชายเลนโดยการสงเสริมการปลูกสรางสวนปาชายเลนให
มากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแบบการทําประมงรวมดวย
5) ควรใหมีการประสานงานของหนวยงานที่มีหนาที่เกี่ยวของกับการใชทรัพยากรปา
ชายเลนเพื่อวางแผนการใชทรัพยากรธรรมชาติดังกลาวแตละดานใหถูกตองตาม
หลักวิชาการและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไมทําลายระบบนิเวศนปาชายเลน
2. เขตปาพรุ มีเนื้อที่ 261,860 ไร หรือรอยละ 0.08 ของเนื้อที่ประเทศ สวนใหญ
ไดแกบริเวณปาพรุในจังหวัดนราธิวาส เปนพื้นที่ปาที่เกิดในพรุใหญที่สุดในประเทศไทยเปนพื้นที่ควรสงวนไว
เพราะมีคุณคามหาศาลตอระบบนิเวศน ถามีการเขาไปจัดการหรือทําลายปาพรุนี้จะกอใหเกิดผลกระทบอยาง
มากมาย ตอระบบนิเวศนในบริเวณนี้และบริเวณใกลเคียง
3. เขตปาไมทั่วไป มีเนื้อที่ 99,688,037 ไร หรือรอยละ 31.09 ของเนื้อที่ประเทศ
ไดแก ปาตางๆ ตามภูเขา เนินเขา และพื้นที่ราบทั่วๆไป และพื้นที่ที่ไมเหมาะสมในการทําประโยชนอยางอื่น
เชน บริเวณพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง ที่ที่มีหินโผล เปนตน บริเวณเหลานี้ควรอนุรักษปาธรรมชาติไว และทําการ
เพาะปลูกปาทดแทนเพื่อใหมีพื้นที่ตนน้ําลําธารอยูในสัดสวนที่เหมาะสมเพื่อรักษาระบบนิเวศนของพื้นที่ดวย
ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม
เพื่อรักษาและควบคุมทรัพยากรปาไมใหคงสภาพสมบูรณที่สุดเทาที่จะทําได อันจะเปนประโยชน
โดยตรงตอสภาพทางนิเวศนตางๆจึงเห็นสมควรใหปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ “นโยบายการใชและ
กรรมสิทธิ์ที่ดิน” ซึ่งพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้คือ
ไดจําแนกประเภทที่ดินอยางกวางขวางออกเปน 2 เขต คือ
1. พื้นที่ทําการเกษตรที่อยูอาศัย และอื่นๆ 160.35 ลานไร
2. ปาไมถาวร เนื้อที่ประมาณ 160.35 ลานไร
ในพื้นที่ปาไมถาวร 160.35 ลานไร กรมปาไมไดประกาศเขตปาสงวนแหงชาติ เขตวนอุทยาน
แหงชาติเขตรักษาพันธุสัตวปา และอื่นๆ ไดพื้นที่ประมาณ 123 ลานไร และมีปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศ
เปน ปาสงวนอีก เรียกวา ปาเตรียมการสงวน
ในสวนของพื้นที่ปาไมถาวรนั้น คณะรัฐมนตรีไดกําหนดนโยบายพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้
ก. พื้นที่ปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศเปนเขตปาสงวนแหงชาติ ใหดําเนินการดังตอไปนี้
1) ใหกระทรวงเกษตรและสหกรณรวมกับกรมที่ดิน กรมแผนที่ทหาร และหนวยงานที่
เกี่ยวของทําการสํารวจและจําแนกที่ดินอยางละเอียด ภายใตการกํากับดูแลของ
คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน
10
2) พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตร แตยังมีสภาพปาไมอยูใหรักษาไวเปนปาตอไป ไมควร
จําแนกออกเปนพื้นที่ทํากิน
3) พื้นที่ที่จําแนกเปนปาไม ใหกรมปาไมดําเนินการประกาศ เปนปาสงวนแหงชาติ ตาม
หลักเกณฑของกรมปาไม
ข. พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่ถูกราษฎรบุกรุก ใหดําเนินการดังตอไปนี้
1) จัดทําโครงการจําแนกประเภทที่ดินภายใตการกํากับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน
2) พื้นที่ไมเหมาะสมแกการเกษตร ใหกรมปาไมหรือหนวยงานที่เกี่ยวของจัดทําโครงการ
ใชประโยชนที่ดินทํากิน โดยใหดําเนินการสํารวจความเหมาะสมของดินเปนหลักเกณฑ
ในการทําโครงการ
- แผนการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง มีเนื้อที่ 2,871,069 ไร หรือรอยละ 0.89 ของเนื้อที่
ประเทศ เปนบริเวณแหลงน้ํา เชน หวย หนอง คลอง บึง แมน้ํา และอางเก็บน้ํา เปนบริเวณที่เสนอแนะใหใช
พื้นที่เพื่อการประมง น้ําในอางเก็บน้ําและแมน้ําบางแหงยังสูงมากนํามาผลิตกระแสไฟฟาเพื่อการชลประทาน
อุปโภคบริโภค การขับดันน้ําเค็มบริเวณใกลปากอาว บางแหงนํามาใชเปนสถานที่พักผอนหยอนใจ เชน บริเวณ
ริมฝงแมน้ํา หนองน้ํา ริมอางเก็บน้ํา การพักตามแพริมน้ําหรือเกาะในอางเก็บน้ําหรือการลองแพหรือลากจูงแพ
เปนตน ขอควรระวังการใชพื้นที่บริเวณนี้ก็คือ การทิ้งของเสียลงในน้ําเพราะจะมีผลตอระบบนิเวศน ผลกระทบ
ตอสัตวน้ําและตอผูใชน้ําตอนลางของแมน้ํา
ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง
ถึงแมวาการใชประโยชนที่ดินเพื่อกิจการประมงจะจํากัดอยูในบริเวณที่มีน้ําอยูแลวในธรรมชาติหรือ
แหลงน้ําที่มนุษยทําขึ้น เชน อางเก็บน้ํา บอ สระ เราก็จําเปนที่จะตองกําหนดแนวนโยบายหรือมาตรการ
เกี่ยวกับกิจการประมงขึ้นมา เพราะปริมาณของสัตวน้ําหรือทรัพยากรประมงจะสมบูรณมากนอยเพียงใดยอมขึ้น
โดยตรงกับคุณภาพของน้ําที่เปนอยูในปจจุบันระบบนิเวศนที่เกี่ยวของตลอดจนลักษณะหรือวิธีการประมง
เพื่อคงไวซึ่งทรัพยากรประมงในแหลงน้ําตางๆ อันเปนการสนับสนุนใหประชาชนมีรายไดจากการ
ประมงสําหรับยกระดับของตนเองใหสูงขึ้น และจะชวยใหทรัพยากรประมงอยูโดยถาวรตลอดไป แนวทางและ
มาตรการในการใชประโยชนที่ดินเพื่อการประมงควรดําเนินการดังตอไปนี้
1. พิจารณาคุณภาพของน้ําและขนาดของพื้นที่ของการประมง โดยทําการสํารวจ ปกเขต รังวัด ลํา
คลอง หนองบึง แหลงน้ําสาธารณะเพื่อทําการบูรณะใหมีสภาพเหมาะสมในการประมง
2. ทําการสํารวจพันธุสัตวในแหลงน้ําทั้งหมด และปลอยพันธุปลาลงเพื่อเพิ่มผลผลิตในแหลงน้ํา
ตอไป
3. สนับสนุนและออกมาตรการในการจัดการลุมน้ํา เพื่อใหพื้นที่รับน้ําของอางเก็บน้ํา หนองน้ํา ลํา
คลองธรรมชาติอื่นๆ ใหไดน้ําที่เหมาะสมทางดานปริมาณ คุณภาพ และในเวลาที่ตองการ และเพื่อรักษาความ
สมดุลยของระบบนิเวศน
4. ควรกําหนดแนวกันชนรอบอางเก็บน้ําเพื่อปองกันผลกระทบซึ่งเกิดจากการกระทําของมนุษย
5. ดําเนินการดานอนุรักษและบํารุงพันธุสัตวน้ํา เชน กําหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุสัตวน้ํา
กําหนดเวลาและวิธีการประมงที่เหมาะสม ควบคุมปริมาณผลผลิตสัตวน้ําที่จับดวยเครื่องมือบางประเภท และ
พิจารณาหาทางดําเนินการบํารุงพันธุสัตวน้ําที่มีคุณคาทางเศรษฐกิจใหมีปริมาณเพิ่มขึ้น
6. ควรดําเนินการพัฒนาเทคโนโลยีทางการประมง และพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําใหแก
ราษฎร ภายในจังหวัดตางๆ มักจะมีหนวยงานวิชาการที่เกี่ยวของกับการประมงอยู 2 หนวยงาน คือ สถานี
ประมง และสํานักงานประมงจังหวัด ซึ่งมีหนาที่เพาะพันธุสัตวน้ําจืด ทดลองคนควาเพื่อปรับปรุงการเพาะเลี้ยง
11
และขยายพันธุสัตว แลวนําวิทยาการแผนใหมไปเผยแพรสงเสริมและสาธิตใหแกเกษตรกรผูประกอบอาชีพเลี้ยง
สัตวน้ําจืดใหดําเนินการถูกตองตามหลักวิทยาการ และปรับปรุงแหลงน้ําสาธารณะใหผลผลิตทางการประมงสูง
เนื่องจากแผนการใชที่ดินสําหรับประเทศไทยเปนการผลิตแผนที่ที่มีมาตรสวนเล็กไมสามารถกําหนด
พื้นที่นี้ใหเหมาะสมเพื่อการอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยูอาศัยไดจึงขอเสนอแนวนโยบาย การใชที่ดินเพื่อการ
อุตสาหกรรมและเพื่อเปนเมืองและชุมชนดังตอไปนี้
นโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม
การใชที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมยังดําเนินไปยังไมสัมพันธกับศักยภาพของที่ดินที่นํามาใชประโยชน
เทาที่ควร ซึ่งการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมควรมีนโยบายและมาตรการดังตอไปนี้
1. บริเวณที่ดินที่จะทําเมื่อพัฒนาเพื่อการอุตสาหกรรมควรเปนพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรต่ํา
2. ควรสนับสนุนใหใชทรัพยากรในประเทศ ใชแรงงานจํานวนมากและเพื่อการสงออก โดยเฉพาะ
อุตสาหกรรมในดานการเกษตร
3. ควรจัดเปนยานหรือนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสะดวกในการจัดระบบตางๆ เชน ถนน ไฟแรงสูง น้ํา
โทรศัพท Telex
4. ควรจัดใหมีบริการพื้นฐานที่สมบูรณ เชน มีบริการสาธารณูปโภค สถานพักผอนหยอนใจ
สถานศึกษา สถานพยาบาล การระบายน้ํา
5. ควรมีระบบควบคุมมลภาวะ กลาวคือ มีการควบคุมการกําจัดน้ําเสีย การทิ้งสิ่งปฏิกูล การ
ควบคุมไมใหมีการทิ้งโลหะหนักลงในแมน้ํา ลําคลอง การกําจัดเสียง กลิ่นและควัน เปนตน
6. ไมควรตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใกลกับสถานชุมชน สถานที่ราชการ สถานที่ทองเที่ยว ตลอดจน
สถานพักผอนหยอนใจ
7. บริเวณที่มีการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมควรใหมีผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด
แนวนโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชน
เพื่อใหมีการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชนเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ ควรมีนโยบาย
และมาตรการดังตอไปนี้
1. ควรกําหนดเขตการตั้งชุมชนไวลวงหนาในพื้นที่ที่แนนอน เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนใน
อนาคต
2. สนับสนุนใหมีการวางผังเมืองรวมของชุมชนตางๆ
3. ควรจัดการใชประโยชนที่ดินใหเปนระเบียบ โดยกําหนดพื้นที่การใชประโยชนแยกออกไปตาม
ลักษณะการใช เชน บริเวณที่ตั้งหนวยราชการ บริเวณที่ทําการธุรกิจ บริเวณที่อยูอาศัย บริเวณทําสถานที่
พักผอนหยอนใจ บริเวณทําสวนหยอม สวนสาธารณะตลอดจนจัดบริเวณที่รองรับและกําจัดของเสีย เปนตน
ตาราง สรุปแผนการใชที่ดินของประเทศไทย
เนื้อที่สัญลักษณ แผนการใชที่ดิน
ไร รอยละ
1.
1.1
1.2
แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรม
ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน
เขตชลประทาน หรือมีศักยภาพใน
การชลประทาน
เขตทํานา
เขตปลูกพืชไร
ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน
168,047,857
67,277,601
43,824,203
23,453,398
100,770,256
52.40
20.98
13.67
7.31
31.42
12
1.3
1.4
1.5
2.
3.
3.1
3.2
3.3
เขตที่อาศัยน้ําฝน
เขตทํานา
เขตปลูกพืชไร
เขตปลูกไมผล-ไมยืนตน
แผนการใชที่ดินเพื่อทุงหญาเลี้ยงสัตว
แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม
เขตปาชายเลน
เขตปาพรุ
เขตปาไมทั่วไป
เขตพัฒนาเพื่อกิจกรรมประมงและแหลงน้ํา
10,581,939
85,716,928
4,471,389
48,699,633
101,078,391
1,128,494
261,860
99,688,037
2,871,069
3.30
26.73
1.39
15.19
31.52
0.35
0.08
31.09
0.89
รวม 320,696,950 100
ที่มา : กรมผังเมือง
ความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมของประเทศไทย
ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน
13
การใชที่ดินของประเทศไทย พ.ศ. 2543
14
หมายเหตุ :
1. ขอมูลการใชที่ดินจัดทําจากแผนที่การใชที่ดินระดับลุมน้ําและระดับจังหวัดปลาสุด และวิเคราะหจากภาพ
ดาวเทียม LANDSAT-TM มาตราสวน 1: 500,000 บันทึกขอมูลป พ.ศ. 2541
2. พื้นที่ปาไมรวมทั้งพื้นที่ปาเสื่อมโทรมดวย
3. พื้นที่สวนปารวมอยูในพื้นที่บางสวนของไมยืนตนดวย
4. ไรหมุนเวียนเปนการปลูกพืชอายุสั้นบนพื้นที่ลาดชัน การปลูกพืชจะยายหมุนเวียนพื้นที่เพาะปลูกเพื่อใหดิน
พักตัว และมีความอุดมสมบูรณเหมาะสมในการปลูกพืช
5. ทุงหญาธรรมชาติ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือพื้นที่เคยถูกใชทําประโยชนมากอน มีสภาพเปนทุง
หญาสลับไมพุมหรือมีไผขึ้น
6. พื้นที่ลุมเปนพื้นที่ไมใชประโยชน มีสภาพเปนพื้นที่ลุมน้ําขัง มีหญาหรือวัชพืชน้ําขึ้นปกคลุม
ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน
การเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย
พ.ศ. 2523,2529 และ 2541
จากขอเท็จจริงที่วาการใชที่ดินนั้นไมคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา กรมพัฒนาที่ดินได
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินของประเทศไทย โดยการแปลภาพถายทางอากาศ และภาพดาวเทียม และ
การตรวจสอบในสนาม ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 พบวาในขณะที่พื้นที่ปาไมลดลง พื้นที่เกษตรกรรม
เพิ่มขึ้น รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 เทาตัวจาก พ.ศ. 2523 อยางไรก็ตามเปนที่นาสังเกตวาตั้งแต
พ.ศ. 2529 เปนตนมา พื้นที่นาไดลดลงประมาณ 3.5 ลานไร ขณะเดียวกันพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตวน้ําไดเพิ่มขึ้น
ประมาณ 1 ลานไร
ตารางแสดงการเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย พ.ศ. 2523 , 2529 และ 2541
15
หมายเหตุ : 1) - 3) แปลจากภาพดาวเทียมมาตราสวน 1: 500,000
4) รวมนาเกลืออยูดวย
5) ไมไดจําแนกเปนพื้นที่ปาไมโดยเฉพาะ แตรวมอยูในพื้นที่อื่นๆ ที่มีเนื้อที่ทุกประเภทรวม
134,523,887
6) เปนพื้นที่ทุงหญาธรรมชาติที่มีที่ดินที่ไมไดใชประโยชนรวมอยูดวย
ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน
จากขอมูลระดับประเทศดังกลาวจะพบวา ในขณะพื้นที่ปาไมลดลงเปลี่ยนมาเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่
เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แตในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมนั้น “ที่นากลับลดลง” ที่นาที่ลดลงนั้นไดเปลี่ยนสภาพไป
เปนโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยูอาศัย สนามกอลฟ รีสอรทหรือที่พักผอนหยอนใจจํานวนมาก
จากการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดินพบวา ในระหวางป พ.ศ. 2530 - 2536 ที่ดินเพื่อการเกษตร
ในเขตปริมณฑลเปลี่ยนแปลงสภาพไปเฉลี่ย 18,000 ไร ตอป
ในเขตปริมณฑลที่มีการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินเกษตรกรรมเพื่อกิจกรรมอื่นๆ มากพื้นที่หนึ่งคือ
จังหวัดปทุมธานี จากการสํารวจในป พ.ศ. 2531 จังหวัดปทุมธานีมีโครงการบานจัดสรรจํานวน 46 โครงการ
(โสภณ ชมชาญ 2538) ตอมาในเดือนมีนาคม 2537 จากการสํารวจในพื้นที่อําเภอคลองหลวง ธัญบุรี และ
หนองเสือ พบวามีโครงการจัดสรรที่ดิน บานจัดสรร รีสอรท และสนามกอลฟรวม 146 โครงการ ในเดือน
กุมภาพันธ 2543 ไดมีการสํารวจโครงการบานจัดสรร เหลืออยูประมาณ 30 โครงการ แตพื้นที่ที่อยูในโครงการ
พัฒนาที่ดินตางๆ ที่หยุดหรือชลอโครงการไว ซึ่งเดิมเปนที่เกษตรกรรมไดทิ้งรางมิไดใชประโยชนเปนจํานวน
มาก ที่ตั้งของโครงการดังกลาวนี้เปนพื้นที่ที่เหมาะสมตอการเกษตรและอยูในเขตชลประทาน ไดมีการประมาณ
ถึงผลผลิตทางการเกษตรวา หากมีการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมในภาคกลางโดยทั่วไป 1 ไร จะเทากับสูญเสีย
พื้นที่เกษตรกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 4 ไร
16
อยางไรก็ตามจากการวิเคราะหพบวา พื้นที่ที่ไมไดใชประโยชน ซึ่งมีจํานวน 32.1 ลานไร 36.45
ลานไร และ 29.89 ลานไร ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 ตามลําดับนั้น สวนหนึ่งเคยเปนที่ดินที่ใชเพื่อ
เกษตรกรรมมากอน ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่การเกษตรในแตละชวง จะมีเนื้อที่เกษตรกรรมมากกวา 168 ลาน ตาม
ความสามารถในการรองรับ (carrying capacity) มาตั้งแต พ.ศ. 2529
หากจะวิเคราะหจากพื้นที่ปาไมที่ยังคงเหลืออยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3
ลานไร * และคงสภาพปาอยูเพียง 81 ลานไรแลว จะวิเคราะหได 2 กรณี คือ
(1)กรณีใชพื้นที่ในความรับผิดชอบ 103.3 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน
217.4 ลานไร (320.7-103.3 = 217.4 ลานไร)
(2) กรณีใชพื้นที่ปาไมที่ยังเหลืออยูจริง 81 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน
239.7 ลานไร (320.7-81 = 239.7 ลานไร)
“จากผลการวิเคราะหดังกลาวจะแสดงใหเห็นวา การใชที่ดินในปจจุบันโดยเฉพาะเพื่อการ
เกษตรกรรม เกินกวาความสามารถในการรองรับของที่ดินได จึงเกิดปญหาที่ดินที่สงผลใหสิ่งแวดลอมของ
ชาติเสื่อมโทรมลงอยางรวดเร็ว”
* ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 และ 17 มีนาคม 2535 นั้น ไดมีการจําแนกพื้นที่ปาไมเปนเขต
อนุรักษ (โซน C) จํานวน 88.23 ลานไร เขตเศรษฐกิจ (โซน E) จํานวน 51.88 ลานไร และเขตที่
เหมาะสมตอการเกษตรกรรม (โซน A) จํานวน 7.22 ลานไร ตอมาใน พ.ศ. 2536 กรมปาไมไดสงมอบ
พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่มีประชาชนเขาทํากินรวม 44 ลานไร ใหแกสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการ
เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งสวนหนึ่งมาจากปาเศรษฐกิจ (โซน E) ดังนั้น ปาอนุรักษ (โซน C) และปา
เศรษฐกิจ (โซน E) จึงอยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3 ลานไร
ปญหาที่เกี่ยวของกับทรัพยากรที่ดิน
1. ปญหาทางกายภาพ ไดแก
1.1 ความอุดมสมบูรณของดินโดยธรรมชาติต่ํา เนื่องจากวัตถุตนกําเนิดดินมีแรธาตุอาหารพืชเปนองคประกอบต่ํา
ประกอบกับประเทศไทยอยูในเขตที่มีฝนตกชุก แรธาตุตาง ๆ เปลี่ยนสภาพและถูกชะลางไปกับน้ําไดรวดเร็ว อีกทั้ง
พื้นที่ที่ทําการเกษตรกรรมถูกใชมาเปนเวลาชานานโดยไมมีการบํารุงดูแลรักษา
1.2 ดินมีปญหาพิเศษ ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินไดทําการศึกษา พบวา
ดินที่มีปญหา จํานวนเนื้อที่ (ไร)
1. ดินเค็ม (Salt Affected Soils) 21,718,774
1.1 ดินเค็มชายทะเล (Coastal Saline Soils) 3,611,567
1.1.1 ดินเค็มชายทะเลที่มีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils,
Potentially Acid)
2,885,081
1.1.2 ดินเค็มชายทะเลที่ไมมีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils, 726,486
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน
การใช้ที่ดิน

More Related Content

More from phatcharaprapa niamhom (15)

Lab 5.1
Lab 5.1Lab 5.1
Lab 5.1
 
Lab 5.docx
Lab 5.docxLab 5.docx
Lab 5.docx
 
Lab 4
Lab 4Lab 4
Lab 4
 
Lab5เสด
Lab5เสดLab5เสด
Lab5เสด
 
Lab5bb 1
Lab5bb 1Lab5bb 1
Lab5bb 1
 
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bbต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
 
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bbต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
 
Lab3bb
Lab3bbLab3bb
Lab3bb
 
Week2bb
Week2bbWeek2bb
Week2bb
 
Lab 3.docx
Lab 3.docxLab 3.docx
Lab 3.docx
 
Lab4
Lab4Lab4
Lab4
 
Lab 3แก้แล้ว
Lab 3แก้แล้วLab 3แก้แล้ว
Lab 3แก้แล้ว
 
Lab2
Lab2Lab2
Lab2
 
Lab 2
Lab 2Lab 2
Lab 2
 
Lab 1
Lab 1Lab 1
Lab 1
 

การใช้ที่ดิน

  • 1. 1 ความหมายของการใชที่ดิน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงการใชประโยชนที่ดินวาเปนไปในรูปใด เชน การทําเกษตรกรรม เหมืองแร การกอสรางอาคารที่อยูอาศัย เปนตน ประเภทของรูปแบบการใชที่ดิน การใชประโยชนที่ดินที่ไมมีการควบคุมหรือวางผังเมือง จะมีลักษณะเคลาคละปะปนกันไมเปนระเบียบ ความแออัดจะกระจุกตัวอยูที่ศูนยกลางและกระจายออกไปรอบนอกชุมชนอยางไรทิศทางและแบบแผน เมื่อ ชุมชนขยายตัวไปสูความเปนเมืองปญหาตางๆก็จะตามมา การวางผังเมืองเปนการจัดระเบียบการใชประโยชน ที่ดิน ระบบคมนาคมขนสงและเตรียมรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคตโดยการพิจารณาแผนประเภทการ ใชประโยชนที่ดินเปนการพิจารณาจากการใชอาคารและที่ดินที่เกี่ยวของกับการดํารงชีพของประชาชน 3 สวน คือ 1. สวนที่อยูอาศัย แบงออกเปนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย 5 ประเภท 2. สวนทํางานและบริการสาธารณะ แบงออกเปนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม ที่ดินประเภทสถาบันราชการ สาธารณูปโภคสาธารณูปการที่ดิน ประเภทสถาบันการศึกษา ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม ที่ดินประเภทชนบทและ เกษตรกรรม และ 3. สวนที่พักผอนหยอนใจ แบงออกเปนที่ดินประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษา คุณภาพสิ่งแวดลอม ที่ดินประเภทอนุรักษ ในที่นี้จะขอกลาวถึงเพียง 4 ประเภทสําคัญ คือ 1. ที่ดินประเภทที่ อยูอาศัย 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม 4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุม การพัฒนา 1. ที่ดินประเภทที่อยูอาศัย (Residential Land Uses) แนวความคิดหลักที่ใชในการวางผังที่อยูอาศัยไดแก Neighbourhood Concept เปนการกระจาย ความเจริญจากชุมชนหลักออกไปสูสวนตางๆ ของเมือง ใหประชาชนไดรับการบริการทางดานสาธารณูปโภค และสาธารณูปการโดยทั่วถึง และเทาเทียมกัน มีการอยูอาศัยที่ดีและนาพึงปรารถนา กรมการผังเมืองไดจําแนก ที่ดินประเภทที่อยูอาศัยออกเปน 5 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนมาก 2. ประเภทพาณิชยกรรมและที่อยูอาศัยหนาแนนมาก 3. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนปานกลาง 4. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนนอย 5. ประเภทอนุรักษเพื่อการอยูอาศัย การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย มีหลักการสําคัญวาพื้นที่ดังกลาวควรจะเปน บริเวณที่มีการระบายน้ําดี ลักษณะดินไมเปนอุปสรรคตอการกอสราง มีศักยภาพในการจัดบริการทางดาน สาธารณูปโภคสาธารณูปการไดเพียงพอ มีความสะดวกในการเขาถึง มีความปลอดภัยจากสิ่งรบกวนตางๆ มี สภาพแวดลอมที่ดีใกลสถานที่ทํางานและยานการคา เปนตน 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (Commercial Land Uses) การใชประโยชนที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรมเปนลักษณะเดนของการใชประโยชนที่ดินในเมืองเปน บริเวณที่มีการรวมตัวของการใชประโยชนที่ดินที่เขมขน เปนศูนยกลางธุรกิจการพาณิชยและการบริการ โดย เฉลี่ยแลวประมาณรอยละ 2-5 ของพื้นที่เมืองเปนที่ดินที่ใชประโยชนเพื่อการพาณิชยกรรม การใชที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แบงออกเปน 2 ประเภทหลัก คือ
  • 2. 2 1. รานคาเบ็ดเตล็ด และตลาดสด (Neighbourhood & Convinient Stores and Community Markets) เปนสถานที่จําหนายสินคาเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจําวัน รวมถึงตลาดสด ซึ่งเปนศูนยรวมธุรกิจการ คาขายเบ็ดเตล็ดของชุมชน มีขนาดพื้นที่เล็กและกระจายตัวอยูทั่วไป 2. ศูนยพาณิชยกรรมกลางเมือง (Central Business District) เปนบริเวณที่กวางใหญที่สุดและ หนาแนนที่สุดของธุรกิจการคาขายและการใหบริการ เปนที่รวมของกิจการคาปลีก สํานักงานใหบริการ สถาบัน การเงิน สถานเริงรมย โรงแรมและอื่นๆ C.B.D. แบงออกเปน 2 ประเภท คือ - C.B.D. ในเมือง ซึ่งใชพื้นที่นอย อยูในทําเลที่ตั้งของการแขงขัน ราคาที่ดินแพง อาคาร สูง เพื่อการใชประโยชนอยางเต็มที่ในพื้นที่ที่จํากัด - C.B.D. ชานเมือง เปนผลมาจากปจจุบัน กิจกรรมที่เปนธุรกิจกลางของเมืองใหญๆ ที่ อยูใจกลางเมืองตองประสบปญหาตางๆ อาทิ การจราจรติดขัด ราคาที่ดินสูง ความแออัด และเสื่อมโทรม ประกอบกับความเจริญกาวหนาดานการสื่อสารและการคมนาคมที่สะดวก จึงไดมีการขยายตัวออกไปอยูชาน เมือง การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม มีหลักการที่สําคัญ คือพื้นที่ดังกลาวควรอยูบนที่ ราบปลอดภัยจากน้ําทวมสามารถระบายไดดี มีความสะดวกในการเขาถึง มีระบบโครงขายถนนที่ไดมาตรฐาน และสามารถติดตอเชื่อมโยงกับบริเวณอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการสัญจร อยูในบริเวณที่มีสถาบันการเงินและ การบริการสาธารณะอื่นๆ 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Land Uses) ในประเทศไทยไดกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทอุตสาหกรรมไวไมเกินรอยละ 10 ของ พื้นที่เมือง โดยแบงที่ดินประเภทอุตสาหกรรมออกเปน 3 ประเภทหลัก คือ 1. ประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินคา 2. ประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ 3. ประเภทคลังสินคา การวิเคราะหอุตสาหกรรมเพื่อกําหนดที่ตั้งและขนาดของพื้นที่ในการวางผังเมืองไดพิจารณา จําแนกเปนประเภทตามกระบวนการผลิตและกระบวนการเชื่อมโยงกับการผลิต เพราะกระบวนการผลิตเปน ปจจัยทําใหเกิดผลกระทบดานที่ตั้ง ความสัมพันธระหวางการใชที่ดินแตละประเภท สวนกระบวนการเชื่อมโยง กิจกรรมอื่นตามมา อาทิ การขนสง การสื่อสารธุรกิจการคาและบริการ เปนตน หลักการกําหนดที่ตั้งของที่ดิน ประเภทอุตสาหกรรมที่สําคัญ ควรเปนพื้นที่ที่มีความลาดชันไมเกินรอยละ 5 เพื่อการระบายน้ําและกําจัดของ เสีย อยูใกลเสนทางคมนาคมสายหลักมีความพรอมในดานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เปนบริเวณที่มีราคา ที่ดินต่ํา และมีพื้นที่เพียงพอสําหรับการขยายตัวของโรงงานในอนาคต อยูใกลแหลงวัตถุดิบ ใกลตลาด ไมอยูใน ทิศทางที่ควันฝุนละออง กลิ่น เสียง ถูกลมพัดเขาเมือง ไมอยูในทิศทางที่สงผลกระทบตอแหลงน้ํา หรือทางลําน้ํา ธรรมชาติ และตองไมเกิดผลกระทบกับจุดเดนของเมือง 4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาเปนการใชประโยชนที่ดินประเภทหนึ่งที่มีความสําคัญ และจําเปนสําหรับเมือง วัตถุประสงคของการกําหนดการใชที่ดินประเภทนี้ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของ เมืองใหอยูในบริเวณที่กําหนด รักษาสภาพแวดลอมและระบบนิเวศนของเมือง และสรางภาพลักษณของเมือง ใหสมดุลยกับธรรมชาติ โดยแบงที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาออกเปน 4 ประเภท คือ 1. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอม 2. ประเภทอนุรักษชนบทและเกษตรกรรม 3. ประเภทอนุรักษเพื่อสงเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย 4. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมและการประมง
  • 3. 3 พื้นที่ที่เหมาะสมแกการจัดใหเปนที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา คือ พื้นที่ที่เปน แหลงวัตถุดิบหรือทรัพยากรทางธรรมชาติ พื้นที่ที่มีน้ําทวมขังหรือรับการระบายน้ํา พื้นที่สาธารณูปโภคของเมือง พื้นที่อนุรักษและสงวนรักษา พื้นที่ที่เปดกันใหเปนที่โลง เปนตน แผนการใชที่ดินของประเทศไทย การวางแผนการใชที่ดินมีจุดมุงหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใชที่ดิน แผนการใชที่ดินนําไปใช สวนใหญมักจะอยูในหนวยหรือขอบเขตการปกครอง เชน ตําบล อําเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ เปนตน และ บางกรณีอาจเปนแผนการใชที่ดินระดับลุมน้ํา การที่จะไดแผนการใชที่ดินออกมาจะตองผานการประเมินคา ทรัพยากรตางๆ ที่เกี่ยงของกับที่ดิน ขอมูลที่ถูกตองแมนยําของสภาพการใชที่ดินในปจจุบันมีความจําเปนอยาง ยิ่งในการใชแผนการใชที่ดินเพื่อที่จะนําขอมูลเหลานี้นํามาวิเคราะหชี้บงศักยภาพการใชที่ดินในสถานภาพที่ แทจริง แผนการใชที่ดินของประเทศไทยก็ไดดําเนินการตามขั้นตอน คือ มีการประเมินคาที่ดินทางกายภาพ แลวนําเอาขอมูลทางเศรษฐกิจสังคมมาเปรียบเทียบเพื่อยืนยันใหเห็นผลตอบแทนที่ใหประโยชนสูงสุด โดยใหมี ผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด แผนการใชที่ดินของประเทศไทยจึงสรุปไดดังนี้ - แผนการใชที่ดินเพื่อกสิกรรม แผนการใชที่ดินดานกสิกรรมของประเทศไทยยังจําแนกออกเปน 2 บริเวณใหญๆ ไดแก ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือมีศักยภาพในการชลประทาน ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตที่อาศัยน้ําฝน ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือที่มีศักยภาพในการชลประทาน ซึ่งแบง ออกเปนเขตยอยไดดังนี้คือ 1.1ทํานาในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 43,824,203 ไร หรือ รอยละ 13.67 ของเนื้อที่ ประเทศไดแก บริเวณที่ราบลุมน้ํารายใหญของประเทศที่มีเนื้อดินเหมาะสมตอการทํานาและใหผลตอบแทนใน การผลิตขาวสูงกวาบริเวณอื่น บริเวณนี้เหมาะสําหรับการผลิตขาวเพื่อการบริโภคของประชากรในประเทศและ สําหรับสงออก ในบริเวณที่มีการชลประทานสมบูรณแบบจะสามารถปลูกขาวได 2 ครั้งตอป หรือ 5 ครั้งตอ การทํานา 2 ป พื้นที่บริเวณนี้ควรสงวนไวใชในการเกษตรเพราะเปนบริเวณที่รัฐไดลงทุนดานการชลประทาน และสาธารณูปโภคไวสูง ปจจุบันพื้นที่เหลานี้ที่อยูใกลชุมชนจะถูกนําไปใชเพื่อเปนที่อยูอาศัย และโรงงาน อุตสาหกรรมเปนจํานวนมากซึ่งเปนการใชที่ดินอยางไมเหมาะสมตรงตามศักยภาพของที่ดิน 1.2ปลูกพืชไรในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 23,453,398 ไร หรือรอยละ 7.31 ของเนื้อที่ ประเทศ ไดแก บริเวณพื้นที่ดอนที่มีระบบชลประทานเขาถึง พื้นที่นี้เหมาะสมที่จะนํามาใชในการผลิตพืชผัก หรือพืชไรที่ใหผลผลิตสูงหรือตองการคุณภาพที่ตองการ เชน การผลิตเมล็ดพันธุการผลิตที่ไดผลผลิตสูงตาม ความตองการเนื่องจากสามารถควบคุมน้ําและปุยได การผลิตที่ตองการคุณภาพมาตรฐาน เชน การผลิตเพื่อ การสงออกที่มีปริมาณสารตกคางในผลิตภัณฑต่ําตามที่ตลาดทั้งในและนอกประเทศควบคุม ขอควรพิจารณาในเขตกสิกรรมโครงการชลประทาน น้ําเปนปจจัยที่สําคัญยิ่งประการหนึ่งในการทําการเกษตร อาศัยน้ําจากธรรมชาติในการประกอบ การเกษตรเปนสําคัญ ดังนั้น ปญหาการขาดแคลนน้ําสําหรับการเจริญเติบโตของพืชมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ โดยเฉพาะในฤดูแลง เพื่อเล็งเห็นความสําคัญของน้ําเพื่อการเกษตรจึงมีการจัดการชลประทานเพื่อแกปญหาการ ขาดแคลนน้ําในชวงขาดน้ํา
  • 4. 4 และเพื่อใหระบบการชลประทานประสบความสําเร็จตามความประสงค จําเปนตองศึกษาถึง ความสัมพันธระหวางปจจัยตางๆ เกี่ยวกับลักษณะของที่ดินวาเหมาะสมหรือไมในการใหการชลประทาน ปจจัย ที่ควรพิจารณา คือ 1. คุณสมบัติของดิน 2. สภาพพื้นที่ 3. การระบายน้ํา 1. ปจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของดิน คุณสมบัติตางๆ ของดินทางฟสิกส เคมี และชีววิทยา ใชเปนบรรทัดฐานเริ่มแรกในการ ประเมินคาของที่ดินเพื่อการชลประทาน คุณสมบัติเหลานี้บางชนิดก็เปลี่ยนแปลงไดยาก เชน เนื้อดิน แต บางอยางก็เปลี่ยนแปลงไดงาย โดยการเขตกรรม คุณลักษณะของดินมีความสัมพันธตอการพัฒนาที่ดิน ความสําคัญในดานการปลูกพืชและดานเศรษฐกิจของแตละคุณลักษณะของดินในแตละพื้นที่ แตกตางกันออกไปขึ้นอยูกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะพื้นที่ ปริมาณน้ํา และการใชที่ดิน คุณลักษณะของที่ดินที่ พึงประสงคเพื่อความสําเร็จในการปลูกพืชโดยการใหการชลประทานควรมีลักษณะดังนี้ คือ - มีความจุความชื้นที่มีประโยชนตอพืช - น้ําซึมผานไดเร็วเพื่อการถายเทอากาศ - มีอัตราการแทรกซึมของน้ําชาพอที่จะปองกันมิใหเกิดการสูญหายสูสวนลางของชั้นดิน มากเกินไป หรือเกิดความแหงแลง - มีความลึกพอที่รากพืชจะเจริญเติบโตไดดี - ทําการปฏิบัติงานในไรนาไดงาย - ไมมีเกลือ (saline) สะสมอยูหรือถึงมีอยูก็ถูกชะลางไดงาย - มีความจุในการแลกเปลี่ยนประจุบวก และธาตุอาหารพืชเพียงพอและไมมีสารที่เปนพิษ - ภายใตการใหน้ําชลประทานที่เหมาะสมตองมีความตานทานตอการกัดกรอนที่มีมาก เกินไป 2. ปจจัยเกี่ยวกับลักษณะพื้นที่ ความยากงายในการนําน้ํามาสูไรนามีผลตอคาใชจาย และการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ในบาง กรณียังมีผลตอความสามารถในการปรับตัวของพืช ความมั่นคงหรือความคงทนของสิ่งกอสราง และการระบาย น้ําปจจัยของลักษณะพื้นที่ที่ใชในการพิจารณาระดับความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการชลประทานไดแก 2.1ความลาดชันของพื้นที่ 2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน 2.3ตําแหนงของพื้นที่ 2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน 2.5สิ่งปกคลุมดิน 2.1ความลาดชันของพื้นที่ การที่จะพิจารณาถึงความลาดชันของพื้นที่วาเหมาะสมหรือไมใน การใหการชลประทาน จะตองคํานึงถึงสิ่งตางๆ ดังตอไปนี้ (ก) ความยากงายของดินตอการถูกกัดกรอน (ข) ชนิดของพืชที่จะปลูก (ค) อัตราการแทรกซึมของน้ํา และความจุความชื้นที่เปนประโยชนตอพืชเพื่อ ความสําเร็จในการชลประทานโดยปราศจากการสูญเสียน้ํามากเกินไป โดยการไหล บาไปบนพื้นผิวดิน หรือไหลสูสวนลางของดิน
  • 5. 5 (ง) พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงความลาดชันบอยๆ ทําใหที่ดินเปนผืนเล็กๆ มีผลใหการ ใหน้ําชลประทานเปนไปในระยะสั้นมาก (จ) วิธีการใหการชลประทาน ซึ่งแตกตางกันไปในแตละชนิดของพื้นที่ 2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน ที่ดินที่มีพื้นผิวไมสม่ําเสมอทําใหเพิ่มคาใชจายในการผลิตและ ทําใหผลผลิตของพืชต่ํา การพัฒนาในพื้นที่เชนนี้ตองคํานึงถึง (ก) ชนิดของการชลประทาน (ข) คาใชจายในการปรับระดับพื้นที่ดิน (ค) อิทธิผลของการปรับระดับพื้นที่ดินตอผลผลิตของพืชเนื่องจากหนาดินสูญหายไป ปกติการประเมินคุณลักษณะของดินนั้นจะประเมินภายหลังทําการปรับระดับพื้นที่ แลวมากกวากอนทําการปรับระดับ โดยทั่วไปแลวดินที่มีความลึกมากๆ เชนดิน ตะกอนลําน้ําใหมๆ สามารถที่จะทําการปรับระดับไดลึก และคาความสามารถใน การผลิตของที่ดินที่ลดลงก็เปนเพียงชั่วคราว แตในดินเกาหรือดินที่มีลักษณะชั้น หนาตัดดินที่สมบูรณ ซึ่งมีชั้นของการสะสมของปูนอยูใกลผิวดิน หรือเปนดินที่มี วัตถุที่ไมยอมใหน้ําซึมผานไดอยูใกลกับผิวดิน เมื่อทําการปรับระดับพื้นที่ดิน ปริมาณของผลผลิตของพืชจะลดลงอยางมาก และเพิ่มอุปสรรคในการระบายน้ํา หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิตมากขึ้น 2.3ตําแหนงของพื้นที่ พิจารณาถึงเมื่อที่ดินแยกเปนที่สูง และที่ต่ําซึ่งจะทําใหเพิ่มคาใชจาย ในการพัฒนาที่ดินหรือในการปฏิบัติงาน ระดับของความเหมาะสมของที่ดินที่เปนหยอมๆ เชนนี้ขึ้นอยูกับความ ยากงายในการใหน้ําชลประทาน และการใชเครื่องจักรกลในไรนา 2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน ขนาด รูปราง และที่ตั้งของที่ดินตองพิจารณาในดาน ความสามารถที่จะทําพื้นที่ดินใหเปนไรนาขนาดใหญได ในดานประสิทธิภาพของการใหการชลประทาน และ ผลตอบแทนตองไดรับในอัตราที่เหมาะสมกับที่ดินชั้นนั้นๆ นอกจากนี้ยังใชพิจารณาถึงชนิดของการชลประทาน ที่จะใชดวย 2.5สิ่งปกคลุมดิน พืชพรรณหรือกอนกรวดกอนหินตางๆ ที่ปกคลุมอยูบนพื้นผิวดิน ตอง นําเอาออกกอนการทําเขตกรรม ซึ่งทําใหเสียคาใชจายในการพัฒนาที่ดิน แตไมเอาสิ่งปกคลุมดินเหลานี้ออกไป เสียกอนการทําเขตกรรม จะทําใหความสามารถในการผลิตของดินลดลง หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิต สิ่ง ตางๆ เหลานี้มีผลตอการจัดแบงชั้นของที่ดิน 3. ปจจัยของการระบายน้ํา การระบายน้ําที่มากเกินไปออกจากพื้นที่ดินทําได 2 วิธี คือ 3.1การระบายน้ําบนผิวดิน ไดแก การระบายน้ําออกจากพื้นที่ตามพื้นผิวดิน โดยน้ําหลาก แผซาน (sheet) และทางธารน้ํา (stream flow) 3.2การระบายน้ําภายในหรือใตผิวดิน เปนการระบายน้ําที่มีมากเกินพอภายในดิน โดยการ ไหลลงสูสวนกลางของหนาตัดดินหรือไหลซึมทางดานขาง ผานชั้นดิน ดินชั้นลางและชั้น หินใตดิน ข. แผนการใชที่ดินในเขตที่อาศัยน้ําฝน ซึ่งแบงเปนเขตยอยไดดังนี้ 1.3เขตทํานา มีเนื้อที่ 10,581,939 ไรหรือรอยละ 3.30 ของเนื้อที่ประเทศบริเวณนี้สวน ใหญเปนบริเวณที่ราบลุม สวนใหญใชพื้นที่ทํานาแตมีปญหาเกี่ยวกับเรื่องน้ําเนื่องจากจําเปนตองอาศัยน้ําฝนซึ่ง มีความเสี่ยงมากบางพื้นที่ทําการปลูกแลวฝนมาไมตองตามฤดูกาลก็อาจตองทําการปลูกใหมหรือบางบริเวณมี น้ําทวมขังสูงก็ทําใหขาวเสียหายได
  • 6. 6 1.4เขตปลูกพืชไรมีเนื้อที่ 85,716,928 ไร หรือรอยละ 26.73 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแก บริเวณที่ดอน ดินตอบสนองตอการใชปุยไดดี ถามีการแพรกระจายของฝนดีอาจปลูกพืชไรไดมากกวา 2 ครั้ง พืชที่ปลูกไดแก ฝาย ขาวโพด ออย มันสําปะหลัง นอกจากนี้ยังสามารถปลูกไมผล เชน มะมวง มะขามหวาน มะขามเปรี้ยวได 1.5เขตปลูกไมผล ไมยืนตน มีเนื้อที่ 4,471,389 ไร หรือรอยละ 1.39 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแกบริเวณที่ดอนที่มีความลาดชันเปนสวนใหญเปนตนคอนขางลึก จะพบเศษหิน กรวด หรือลูกรังระหวาง 50 เซนติเมตรถึง 1 เมตร แนะนําใหใชพื้นที่นี้นํามาปลูกไมผล ซึ่งการปลูกจะตองทําการขุดหลุมใหกวางและ ลึกมีการรองกนหลุมดวยอินทรียวัตถุ ปุยคอก ปุยหมัก หินฟอสเฟต และเอาหนาดินกลบลงกนหลุม สวนดิน ลางเอากลบไวหนาดินสลับกัน นอกจากนี้ควรมีแหลงน้ําที่สามารถใหน้ําแกไมผลไดตลอดดวย การปฏิบัติรักษาในบริเวณนี้ก็คือควรทําการปลูกพืชในแนวระดับ เพื่อปองกันการสูญเสียหนาดิน มีการปลูกพืชคลุมดินในระหวางแถวไมหลักเพื่อคลุมดินเปนการเพิ่มอินทรียวัตถุและเพิ่มแรธาตุอาหารบางชนิด แกพืชหลักไดอีกดวย ขอควรพิจารณาการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตน้ําฝน ขอควรพิจารณาในการพัฒนาการกสิกรรมโดยอาศัยน้ําฝน หมายถึง พื้นที่การเกษตรที่อาศัย น้ําฝนเปนสําคัญ แตน้ําฝนตามธรรมชาตินั้นตกไมแนนอน บางปปริมาณฝนนอย บางปมากเกินความตองการ ทรัพยากรก็มีคุณภาพต่ํา ปจจัยตางๆ เหลานี้มีสวนทําใหประสิทธิภาพการผลิตในดานเกษตรต่ํา ทําใหการวาง แผนการผลิตก็ดี การประเมินปริมาณและคุณภาพของผลิตผลก็ดี ไมไดผลดีเทาที่ควร เปนสาเหตุใหเกษตรกร ในอาณาบริเวณนี้ประสบกับการเสี่ยงภัยสูง มีรายไดหมิ่นเหมกับรายจาย เพื่อที่จะพัฒนาเขตเกษตรอาศัยน้ําฝน ใหมีการเสี่ยงลดลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จึงขอเสนอแนะแนวปฏิบัติดังตอไปนี้คือ 1. จัดทําแผนที่ภูมิอากาศเกษตร (Agro-Ecological Zone) เพื่อใชเปนเครื่อง ประกอบกับแผนที่ดินในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝน แลวเริ่มดําเนินการสํารวจสภาพการทํากสิกรรมและขอมูลอื่นๆ ของแตละเขตภูมิอากาศเกษตร เพื่อใหไดขอมูลภาคพื้นดินที่ถูกตองนํามาประกอบในการพิจารณาหาทาง พัฒนาการเกษตรตอไป 2. ควรมีมาตรการในการพยากรณหรือคาดคะเนเกี่ยวกับดินฟาอากาศ เพื่อกสิกรจะไดมีโอกาส ทราบลวงหนา และทําใหบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น 3. สถานีทดลองการเกษตรควรทําการวิจัย คนควา ทดลอง ปรับปรุงพันธุพืชพันธุสัตว การ ปราบศัตรูพืช การจัดระบบการปลูกพืช การเขตกรรม การจัดฟารม ใหเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของแตละ เขตภูมิอากาศ 4. ควรจัดตั้งโครงการถาวรเพื่อสํารองเมล็ดพันธุพืช พันธุสัตว เมื่อถึงภาวะฉุกเฉิน เชน ความ แหงแลง หรือน้ําทวม 5. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีระยะแหงแลงนาน โดยไมสามารถที่จะทําการกสิกรรมได ควรจัดสํารวจหาแหลงน้ําใตดิน ทั้งบอน้ําลึกและบอน้ําตื้น เพื่อนํามาใชบริโภคและเพื่อการกสิกรรม 6. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีปาไมนอยและแหงแลง ควรจัดใหมีการปลูกไมยืนตนเพื่อ สรางความชุมชื้น เปนรมเงาและเปนปาหยอมขึ้น ไมที่ใชปลูกนั้นควรเปนไมโตเร็วสําหรับทําฟน เพื่อเปนพลังงาน ทดแทน ไมผลเพื่อบริโภค หรือไมทนความแหงแลงและขึ้นไดในดินเลว เชน กระถินณรงค ไผ ยูคาลิปตัส 7. ดินในบริเวณเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนที่มีเนื้อหยาบ มักจะมีการพังทลายไดงาย และมีความ อุดมสมบูรณต่ํา จําเปนจะตองหาทางอนุรักษดินและน้ํา กลาวคือ จะตองปองกันดินพังทลาย ยกระดับความอุดม สมบูรณของดิน โดยการใชทั้งปุยอินทรียและปุยเคมี การทําการเขตกรรมที่เหมาะสมจะทําใหเปนการสงวนน้ําใน ดินและควรหาวัสดุคลุมดินในระหวางการปลูกพืช
  • 7. 7 8. เนื่องจากกสิกรในเขตการกสิกรรมที่อาศัยน้ําฝนมักเปนกสิกรรายยอย ไมคอยไดรับความ ชวยเหลือหรือบริการตางๆ เหมือนกสิกรในเขตชลประทาน เพื่อที่จะพัฒนาการเกษตรในเขตน้ําฝนใหไดผล กสิกรเหลานี้ควรจะไดรับความชวยเหลือดานเงินทุน การตลาด การคมนาคม และดานสาธารณูปโภคอื่นๆ แนวทางและมาตรการในการใชที่ดินเพื่อการเกษตร 1. ใหใชประโยชนที่ดินตามโซนการปลูกพืชที่กําหนดไวในแผนที่ ที่แสดงแผนการใชที่ดินของ ประเทศไทย การกําหนดโซนการปลูกพืชเศรษฐกิจเหลานี้ ถาไดนําเอาไปใชในโครงการการพัฒนาเศรษฐกิจ ของจังหวัดจะเกิดประโยชนอยางเต็มที่แกนักวางแผน นักวิชาการเกษตร นักสงเสริม ตลอดจนตัวเกษตรกรเอง ทั้งนี้เพราะ (1)งายตอการควบคุมดูแล การกําจัดโรคแมลง การขยายพันธุ การชลประทาน ตลอดจน การสงเสริมหรือการใหคําแนะนําของเจาหนาที่ตางๆ เพราะในโซนเดียวกันจะมีความ ตองการของปจจัยในการผลิตคลายคลึงกัน (2)ชวยในการคาดคะเนปริมาณผลผลิตของจังหวัด และสะดวกในการติดตามผลวาบรรลุ ถึงเปาหมายที่ทางจังหวัดตองการหรือไม (3)ชวยในการพิจารณาเลือกชนิดของพืชที่ปลูกตามความตองการของตลาดโดยให เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน 2. ควรเรงการเพิ่มผลผลิตตอหนวยพื้นที่ใหไดผลอยางจริงจังขึ้นโดยพิจารณาใหเหมาะสมกับ สภาพที่เปนอยูปจจุบัน เชน หาวิธีการปรับปรุงบํารุงดินที่เหมาะสม มีการเลือกใชพันธุพืชที่ดี มีการกําหนดเวลา การปลูกพืชที่สอดคลองกับสภาพอากาศ พื้นที่ที่มีการชลประทานควรมีการพัฒนาระบบชลประทานใหมี ประสิทธิภาพตลอดจนมีหลักในการปองกันโรคและแมลงที่ดี 3. ควรมีการจัดระบบการปลูกพืชที่เหมาะสม การจัดระบบการปลูกพืชขึ้นอยูกับปจจัยหลาย อยาง เชน สภาพของดิน ปริมาณน้ําฝน หรือลักษณะของแหลงน้ํา ตลอดจนอายุและลักษณะของพืชที่จะปลูก ระบบการปลูกพืชไมจําเปนตองเปนระบบเดียวกันทั้งจังหวัด การจะใชระบบการปลูกพืชแบบไหนขึ้นอยูกับ ความเหมาะสม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไดตามความตองการ แตควรยึดหลักเกณฑโดยทั่วๆไปวาจะพยายาม ปลอยใหดินอยูในสภาพวางเปลาระยะเวลานอยที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งพยายามปลูกพืชหลายๆ ชนิด ในรอบป นั่นเอง 4. ควรมีการกําหนดเปาหมายการผลิตไวลวงหนา เพื่อจะไดเตรียมการอยางพรอมเพรียง การ กําหนดเปาหมายวาจะปลูกอะไร ตองการที่จะใหไดผลผลิตเทาใด ควรพิจารณามาจากลักษณะทางสังคมของ เกษตรกร ตลอดจนความเอื้ออํานวยของปจจัยในการผลิตตางๆ 5. บริเวณที่มีศักยภาพทางการเกษตรสูง และมีปจจัยในการผลิตพรอมมูล เชน บริเวณพื้นที่ เขตโครงการชลประทาน ควรจะไดมีโครงการจัดรูปที่ดินขึ้นเพื่อใหไดประโยชนจากพื้นที่อยางสมบูรณ ใน บริเวณที่อาศัยน้ําฝนก็อาจใหสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) เขามาจัดการ เชน บริเวณปาที่จะ เปดใหราษฎรเขาอยูอาศัย 6. ควรมีการประกันราคาผลผลิตทางเกษตร เพื่อใหเกษตรกรขายไดราคาที่เหมาะสมคุมกับการ ลงทุน 7. ควรปรับปรุงสถาบันที่เกี่ยวของกับเกษตรกรใหมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น เชน กลุมเกษตรกร สหกรณการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณการเกษตร องคการตลาดเพื่อเกษตรกรรม รัฐควร สนับสนุนและสงเสริมใหสถาบันเกษตรกรตางๆ เหลานี้สามารถขยายธุรกิจไดกวางขวางมากขึ้น
  • 8. 8 8. ปรับปรุงและแกไขกฎหมายที่เกี่ยวของกับการใชที่ดินใหเหมาะสม โดยเฉพาะอยางยิ่ง กฎหมายที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน ที่ดินอยูในความดูแลของทหารหรือที่ดินที่หมดสภาพเปนปาสงวนแลว แตมี ศักยภาพพอที่จะใชปลูกพืชเศษฐกิจได และมีราษฎรอาศัยอยูมาก เชน บริเวณ 2 ฝงแมน้ํา ควรเพิกถอนแลว จัดใหราษฎรมีเอกสิทธิ์ในการทํากินใหถูกตองตามกฎหมาย แตในบริเวณใดที่มีดินเลว ยากในการปรับปรุง แกไข ควรนํามาพิจารณาเพื่อใชในกิจการอื่นๆ เชน ทางดานปศุสัตวหรือพัฒนาใหเปนปาโดยการปลูกทดแทน นอกจากนี้ควรเนนการตรากฎหมายเกี่ยวกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทางดานอนุรักษดินและน้ํา เพื่อรักษาทรัพยากรอันล้ําคาเหลานี้ไวชั่วหลาน - แผนการใชที่ดินเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว 48,699,633 ไรหรือรอยละ 15.19 ของพื้นที่ประเทศ บริเวณที่กําหนดแผนใหใชเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว ไดแก บริเวณที่เปนดินตื้น ปาถูกทําลายและจะมีความ ลาดชัน ทําใหหนาดินถูกชะลางพังทลายออกไปมาก ความอุดมสมบูรณของดินก็จะลดลงตามไปดวย การทําพื้น ที่มาใชปลูกหญาเพื่อทําการปศุสัตวมีการยึดตัวกันหนาแนนขึ้นทําใหยากตอการชะลางหนาดิน นอกจากนี้รากพืช ที่ยึดเกาะกันเองและยึดเกาะดิน จะทําใหดินเพิ่มอินทรียวัตถุเพิ่มความชื้นในดินและทําใหดินเกาะกันดีขึ้น ถา หากปลูกพืชตระกูลถั่วปนในแปลงหญาแลว นอกจากจะทําใหคุณคาของอาหารสัตวเพิ่มขึ้นแลวรากของพืช ตระกูลถั่วยังสรางปมเพื่อยึดไนโตรเจน ทําใหดินมีธาตุไนโตรเจนเพิ่มขึ้นจากธรรมชาติไดอีก ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อปศุสัตว เกษตรกรนอกจากจะปลูกพืชแลวยังมีการเลี้ยงสัตวควบคูไปดวยเพื่อไวใชงานและผลพลอยได ของครอบครัวที่ทําเปนการคามักมีอยูนอย จากขอมูลทางทรัพยากรดินมีพื้นที่ที่จะนํามาพัฒนา เพื่อจัดทําทุง หญาเลี้ยงสัตวได นโยบายที่ควรนําพื้นที่มาพัฒนาเพื่อการปศุสัตวควรดําเนินนโยบายดังนี้ 1. ดําเนินการใชประโยชนที่ดินตามแผนที่กําหนดบริเวณ โดยพื้นที่นี้มักไมเหมาะสมในการที่จะ นํามาใชปลูกพืช 2. ควรมีการจัดการที่ดี โดยการจัดใหมีการปลูกหญาปนพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มคุณคาของอาหาร และเปนการบํารุงดิน พรอมทั้งพัฒนาแหลงน้ําเพื่อใหสัตวบริโภค และเพื่อการรักษาสุขอนามัยสัตว 3. ควรกําหนดเปาหมายการผลิตและการตลาดใหสอดคลองสัมพันธ กับการพัฒนาปศุสัตว 4. รัฐควรใหการสนับสนุนอยางจริงจังในดานการจัดหาพันธุสัตวที่ดี การใหคําแนะนําเกี่ยวกับ การปฏิบัติบํารุงรักษา การแนะนําดานการตลาด ตลอดจนการถายทอดเทคโนโลยี เชน เทคนิคการผสมเทียม การคนควาสูตรอาหารที่มีคุณภาพดี ราคาต่ํา เปนตน 5. รัฐตองมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการเก็บรักษา และการแปรรูปผลิตภัณฑ เชน การจัด กลุมผูเลี้ยงสัตวเพื่อสรางหองเย็นเก็บรักษาผลิตภัณฑ เชน นม เนื้อ ไข มีการจัดสรางโรงฆาสัตวที่ทันสมัย สงเสริมการผลิตตอเนื่อง เชน การทําไอศครีม นมเปรี้ยว เนย กุนเชียง ผลิตภัณฑสําเร็จรูป และผลิตภัณฑที่ บรรจุกระปอง - แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม ไดแก บริเวณที่เปนภูเขา เนินเขา บริเวณที่เปนดินตื้นมาก บริเวณที่มีหิน โผล หรือบริเวณที่มีปาชายเลนหรือบริเวณปาตามธรรมชาติขึ้นหนาแนนอยูแลว บริเวณปาชายเลนหรือบริเวณที่ แนะนําใหคงสภาพไวเปนปาธรรมชาติ เพื่อรักษาไวเปนตนน้ําลําธารเปนที่รักษาระบบนิเวศนวิทยา สวนใดที่มีแร ที่มีคุณคาเมื่อมีการใชสัมปทานควรมีขอกําหนด และควบคุมผูใชสัมปทานดําเนินงานใหถูกตองตามหลักวิชาการ เพื่อใหเกิดความเสียหายตอบริเวณนี้ใหนอยที่สุดตลอดจนทําการปรับปรุงพื้นที่ใหใกลเคียงกันกับกอนไดรับ สัมปทาน และไมใหรบกวนระบบนิเวศนดวย เชน การปลอยน้ําจากการลางแร 1. เขตปาชายเลน มีเนื้อที่ 1,128,494 ไร หรือรอยละ 0.35 ของเนื้อที่ประเทศ เปน บริเวณปาที่อยูตามชายทะเลเปนปาชายเลน เชน โกงกาง แสม ลําพู จาก ตาตุม เสม็ด เปนบริเวณที่มีไม
  • 9. 9 คุณภาพสูงที่ใชในการทําถาน ฟน เสาเข็ม นอกจากนี้ยังเปนบริเวณที่มีความสําคัญตอระบบนิเวศนตอสัตวบก และสัตวน้ําในทะเล ปจจุบันพื้นที่ปาชายเลนถูกบุกรุกเปนอยางมากเนื่องจากธุรกิจกุงกุลาดําทํารายไดเปนอยางดี กับเกษตรกร แตทําใหมีการใชประโยชนปาชายเลนในดานเศรษฐกิจเพื่ออนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และการ อนุรักษระบบนิเวศนแลวควรมีมาตรการในการใชพื้นที่ปาชายเลนดังตอไปนี้ 1) กําหนดเขตการใชปาชายเลนใหแนนอนและมีกฎหมายรองรับ 2) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาระบบนิเวศนวิทยาอยางสมบูรณเพื่อทราบถึง ขอมูลพื้นฐานของสิ่งตางๆที่มีอยูในวงจรระบบนิเวศนปาชายเลน ศึกษา ความสัมพันธเกี่ยวเนื่องตลอดจนผลกระทบตางๆ ที่จะเกิดขึ้น 3) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหมๆ ในเรื่อง ของการจัดการเพื่ออนุรักษและการใชประโยชนปาชายเลน 4) ควรใหมีการฟนฟูสภาพปาชายเลนโดยการสงเสริมการปลูกสรางสวนปาชายเลนให มากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแบบการทําประมงรวมดวย 5) ควรใหมีการประสานงานของหนวยงานที่มีหนาที่เกี่ยวของกับการใชทรัพยากรปา ชายเลนเพื่อวางแผนการใชทรัพยากรธรรมชาติดังกลาวแตละดานใหถูกตองตาม หลักวิชาการและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไมทําลายระบบนิเวศนปาชายเลน 2. เขตปาพรุ มีเนื้อที่ 261,860 ไร หรือรอยละ 0.08 ของเนื้อที่ประเทศ สวนใหญ ไดแกบริเวณปาพรุในจังหวัดนราธิวาส เปนพื้นที่ปาที่เกิดในพรุใหญที่สุดในประเทศไทยเปนพื้นที่ควรสงวนไว เพราะมีคุณคามหาศาลตอระบบนิเวศน ถามีการเขาไปจัดการหรือทําลายปาพรุนี้จะกอใหเกิดผลกระทบอยาง มากมาย ตอระบบนิเวศนในบริเวณนี้และบริเวณใกลเคียง 3. เขตปาไมทั่วไป มีเนื้อที่ 99,688,037 ไร หรือรอยละ 31.09 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแก ปาตางๆ ตามภูเขา เนินเขา และพื้นที่ราบทั่วๆไป และพื้นที่ที่ไมเหมาะสมในการทําประโยชนอยางอื่น เชน บริเวณพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง ที่ที่มีหินโผล เปนตน บริเวณเหลานี้ควรอนุรักษปาธรรมชาติไว และทําการ เพาะปลูกปาทดแทนเพื่อใหมีพื้นที่ตนน้ําลําธารอยูในสัดสวนที่เหมาะสมเพื่อรักษาระบบนิเวศนของพื้นที่ดวย ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม เพื่อรักษาและควบคุมทรัพยากรปาไมใหคงสภาพสมบูรณที่สุดเทาที่จะทําได อันจะเปนประโยชน โดยตรงตอสภาพทางนิเวศนตางๆจึงเห็นสมควรใหปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ “นโยบายการใชและ กรรมสิทธิ์ที่ดิน” ซึ่งพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้คือ ไดจําแนกประเภทที่ดินอยางกวางขวางออกเปน 2 เขต คือ 1. พื้นที่ทําการเกษตรที่อยูอาศัย และอื่นๆ 160.35 ลานไร 2. ปาไมถาวร เนื้อที่ประมาณ 160.35 ลานไร ในพื้นที่ปาไมถาวร 160.35 ลานไร กรมปาไมไดประกาศเขตปาสงวนแหงชาติ เขตวนอุทยาน แหงชาติเขตรักษาพันธุสัตวปา และอื่นๆ ไดพื้นที่ประมาณ 123 ลานไร และมีปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศ เปน ปาสงวนอีก เรียกวา ปาเตรียมการสงวน ในสวนของพื้นที่ปาไมถาวรนั้น คณะรัฐมนตรีไดกําหนดนโยบายพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้ ก. พื้นที่ปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศเปนเขตปาสงวนแหงชาติ ใหดําเนินการดังตอไปนี้ 1) ใหกระทรวงเกษตรและสหกรณรวมกับกรมที่ดิน กรมแผนที่ทหาร และหนวยงานที่ เกี่ยวของทําการสํารวจและจําแนกที่ดินอยางละเอียด ภายใตการกํากับดูแลของ คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน
  • 10. 10 2) พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตร แตยังมีสภาพปาไมอยูใหรักษาไวเปนปาตอไป ไมควร จําแนกออกเปนพื้นที่ทํากิน 3) พื้นที่ที่จําแนกเปนปาไม ใหกรมปาไมดําเนินการประกาศ เปนปาสงวนแหงชาติ ตาม หลักเกณฑของกรมปาไม ข. พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่ถูกราษฎรบุกรุก ใหดําเนินการดังตอไปนี้ 1) จัดทําโครงการจําแนกประเภทที่ดินภายใตการกํากับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน 2) พื้นที่ไมเหมาะสมแกการเกษตร ใหกรมปาไมหรือหนวยงานที่เกี่ยวของจัดทําโครงการ ใชประโยชนที่ดินทํากิน โดยใหดําเนินการสํารวจความเหมาะสมของดินเปนหลักเกณฑ ในการทําโครงการ - แผนการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง มีเนื้อที่ 2,871,069 ไร หรือรอยละ 0.89 ของเนื้อที่ ประเทศ เปนบริเวณแหลงน้ํา เชน หวย หนอง คลอง บึง แมน้ํา และอางเก็บน้ํา เปนบริเวณที่เสนอแนะใหใช พื้นที่เพื่อการประมง น้ําในอางเก็บน้ําและแมน้ําบางแหงยังสูงมากนํามาผลิตกระแสไฟฟาเพื่อการชลประทาน อุปโภคบริโภค การขับดันน้ําเค็มบริเวณใกลปากอาว บางแหงนํามาใชเปนสถานที่พักผอนหยอนใจ เชน บริเวณ ริมฝงแมน้ํา หนองน้ํา ริมอางเก็บน้ํา การพักตามแพริมน้ําหรือเกาะในอางเก็บน้ําหรือการลองแพหรือลากจูงแพ เปนตน ขอควรระวังการใชพื้นที่บริเวณนี้ก็คือ การทิ้งของเสียลงในน้ําเพราะจะมีผลตอระบบนิเวศน ผลกระทบ ตอสัตวน้ําและตอผูใชน้ําตอนลางของแมน้ํา ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง ถึงแมวาการใชประโยชนที่ดินเพื่อกิจการประมงจะจํากัดอยูในบริเวณที่มีน้ําอยูแลวในธรรมชาติหรือ แหลงน้ําที่มนุษยทําขึ้น เชน อางเก็บน้ํา บอ สระ เราก็จําเปนที่จะตองกําหนดแนวนโยบายหรือมาตรการ เกี่ยวกับกิจการประมงขึ้นมา เพราะปริมาณของสัตวน้ําหรือทรัพยากรประมงจะสมบูรณมากนอยเพียงใดยอมขึ้น โดยตรงกับคุณภาพของน้ําที่เปนอยูในปจจุบันระบบนิเวศนที่เกี่ยวของตลอดจนลักษณะหรือวิธีการประมง เพื่อคงไวซึ่งทรัพยากรประมงในแหลงน้ําตางๆ อันเปนการสนับสนุนใหประชาชนมีรายไดจากการ ประมงสําหรับยกระดับของตนเองใหสูงขึ้น และจะชวยใหทรัพยากรประมงอยูโดยถาวรตลอดไป แนวทางและ มาตรการในการใชประโยชนที่ดินเพื่อการประมงควรดําเนินการดังตอไปนี้ 1. พิจารณาคุณภาพของน้ําและขนาดของพื้นที่ของการประมง โดยทําการสํารวจ ปกเขต รังวัด ลํา คลอง หนองบึง แหลงน้ําสาธารณะเพื่อทําการบูรณะใหมีสภาพเหมาะสมในการประมง 2. ทําการสํารวจพันธุสัตวในแหลงน้ําทั้งหมด และปลอยพันธุปลาลงเพื่อเพิ่มผลผลิตในแหลงน้ํา ตอไป 3. สนับสนุนและออกมาตรการในการจัดการลุมน้ํา เพื่อใหพื้นที่รับน้ําของอางเก็บน้ํา หนองน้ํา ลํา คลองธรรมชาติอื่นๆ ใหไดน้ําที่เหมาะสมทางดานปริมาณ คุณภาพ และในเวลาที่ตองการ และเพื่อรักษาความ สมดุลยของระบบนิเวศน 4. ควรกําหนดแนวกันชนรอบอางเก็บน้ําเพื่อปองกันผลกระทบซึ่งเกิดจากการกระทําของมนุษย 5. ดําเนินการดานอนุรักษและบํารุงพันธุสัตวน้ํา เชน กําหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุสัตวน้ํา กําหนดเวลาและวิธีการประมงที่เหมาะสม ควบคุมปริมาณผลผลิตสัตวน้ําที่จับดวยเครื่องมือบางประเภท และ พิจารณาหาทางดําเนินการบํารุงพันธุสัตวน้ําที่มีคุณคาทางเศรษฐกิจใหมีปริมาณเพิ่มขึ้น 6. ควรดําเนินการพัฒนาเทคโนโลยีทางการประมง และพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําใหแก ราษฎร ภายในจังหวัดตางๆ มักจะมีหนวยงานวิชาการที่เกี่ยวของกับการประมงอยู 2 หนวยงาน คือ สถานี ประมง และสํานักงานประมงจังหวัด ซึ่งมีหนาที่เพาะพันธุสัตวน้ําจืด ทดลองคนควาเพื่อปรับปรุงการเพาะเลี้ยง
  • 11. 11 และขยายพันธุสัตว แลวนําวิทยาการแผนใหมไปเผยแพรสงเสริมและสาธิตใหแกเกษตรกรผูประกอบอาชีพเลี้ยง สัตวน้ําจืดใหดําเนินการถูกตองตามหลักวิทยาการ และปรับปรุงแหลงน้ําสาธารณะใหผลผลิตทางการประมงสูง เนื่องจากแผนการใชที่ดินสําหรับประเทศไทยเปนการผลิตแผนที่ที่มีมาตรสวนเล็กไมสามารถกําหนด พื้นที่นี้ใหเหมาะสมเพื่อการอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยูอาศัยไดจึงขอเสนอแนวนโยบาย การใชที่ดินเพื่อการ อุตสาหกรรมและเพื่อเปนเมืองและชุมชนดังตอไปนี้ นโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม การใชที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมยังดําเนินไปยังไมสัมพันธกับศักยภาพของที่ดินที่นํามาใชประโยชน เทาที่ควร ซึ่งการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมควรมีนโยบายและมาตรการดังตอไปนี้ 1. บริเวณที่ดินที่จะทําเมื่อพัฒนาเพื่อการอุตสาหกรรมควรเปนพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรต่ํา 2. ควรสนับสนุนใหใชทรัพยากรในประเทศ ใชแรงงานจํานวนมากและเพื่อการสงออก โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมในดานการเกษตร 3. ควรจัดเปนยานหรือนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสะดวกในการจัดระบบตางๆ เชน ถนน ไฟแรงสูง น้ํา โทรศัพท Telex 4. ควรจัดใหมีบริการพื้นฐานที่สมบูรณ เชน มีบริการสาธารณูปโภค สถานพักผอนหยอนใจ สถานศึกษา สถานพยาบาล การระบายน้ํา 5. ควรมีระบบควบคุมมลภาวะ กลาวคือ มีการควบคุมการกําจัดน้ําเสีย การทิ้งสิ่งปฏิกูล การ ควบคุมไมใหมีการทิ้งโลหะหนักลงในแมน้ํา ลําคลอง การกําจัดเสียง กลิ่นและควัน เปนตน 6. ไมควรตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใกลกับสถานชุมชน สถานที่ราชการ สถานที่ทองเที่ยว ตลอดจน สถานพักผอนหยอนใจ 7. บริเวณที่มีการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมควรใหมีผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด แนวนโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชน เพื่อใหมีการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชนเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ ควรมีนโยบาย และมาตรการดังตอไปนี้ 1. ควรกําหนดเขตการตั้งชุมชนไวลวงหนาในพื้นที่ที่แนนอน เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนใน อนาคต 2. สนับสนุนใหมีการวางผังเมืองรวมของชุมชนตางๆ 3. ควรจัดการใชประโยชนที่ดินใหเปนระเบียบ โดยกําหนดพื้นที่การใชประโยชนแยกออกไปตาม ลักษณะการใช เชน บริเวณที่ตั้งหนวยราชการ บริเวณที่ทําการธุรกิจ บริเวณที่อยูอาศัย บริเวณทําสถานที่ พักผอนหยอนใจ บริเวณทําสวนหยอม สวนสาธารณะตลอดจนจัดบริเวณที่รองรับและกําจัดของเสีย เปนตน ตาราง สรุปแผนการใชที่ดินของประเทศไทย เนื้อที่สัญลักษณ แผนการใชที่ดิน ไร รอยละ 1. 1.1 1.2 แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรม ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน เขตชลประทาน หรือมีศักยภาพใน การชลประทาน เขตทํานา เขตปลูกพืชไร ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน 168,047,857 67,277,601 43,824,203 23,453,398 100,770,256 52.40 20.98 13.67 7.31 31.42
  • 12. 12 1.3 1.4 1.5 2. 3. 3.1 3.2 3.3 เขตที่อาศัยน้ําฝน เขตทํานา เขตปลูกพืชไร เขตปลูกไมผล-ไมยืนตน แผนการใชที่ดินเพื่อทุงหญาเลี้ยงสัตว แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม เขตปาชายเลน เขตปาพรุ เขตปาไมทั่วไป เขตพัฒนาเพื่อกิจกรรมประมงและแหลงน้ํา 10,581,939 85,716,928 4,471,389 48,699,633 101,078,391 1,128,494 261,860 99,688,037 2,871,069 3.30 26.73 1.39 15.19 31.52 0.35 0.08 31.09 0.89 รวม 320,696,950 100 ที่มา : กรมผังเมือง ความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมของประเทศไทย ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน
  • 14. 14 หมายเหตุ : 1. ขอมูลการใชที่ดินจัดทําจากแผนที่การใชที่ดินระดับลุมน้ําและระดับจังหวัดปลาสุด และวิเคราะหจากภาพ ดาวเทียม LANDSAT-TM มาตราสวน 1: 500,000 บันทึกขอมูลป พ.ศ. 2541 2. พื้นที่ปาไมรวมทั้งพื้นที่ปาเสื่อมโทรมดวย 3. พื้นที่สวนปารวมอยูในพื้นที่บางสวนของไมยืนตนดวย 4. ไรหมุนเวียนเปนการปลูกพืชอายุสั้นบนพื้นที่ลาดชัน การปลูกพืชจะยายหมุนเวียนพื้นที่เพาะปลูกเพื่อใหดิน พักตัว และมีความอุดมสมบูรณเหมาะสมในการปลูกพืช 5. ทุงหญาธรรมชาติ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือพื้นที่เคยถูกใชทําประโยชนมากอน มีสภาพเปนทุง หญาสลับไมพุมหรือมีไผขึ้น 6. พื้นที่ลุมเปนพื้นที่ไมใชประโยชน มีสภาพเปนพื้นที่ลุมน้ําขัง มีหญาหรือวัชพืชน้ําขึ้นปกคลุม ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน การเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย พ.ศ. 2523,2529 และ 2541 จากขอเท็จจริงที่วาการใชที่ดินนั้นไมคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา กรมพัฒนาที่ดินได ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินของประเทศไทย โดยการแปลภาพถายทางอากาศ และภาพดาวเทียม และ การตรวจสอบในสนาม ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 พบวาในขณะที่พื้นที่ปาไมลดลง พื้นที่เกษตรกรรม เพิ่มขึ้น รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 เทาตัวจาก พ.ศ. 2523 อยางไรก็ตามเปนที่นาสังเกตวาตั้งแต พ.ศ. 2529 เปนตนมา พื้นที่นาไดลดลงประมาณ 3.5 ลานไร ขณะเดียวกันพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตวน้ําไดเพิ่มขึ้น ประมาณ 1 ลานไร ตารางแสดงการเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย พ.ศ. 2523 , 2529 และ 2541
  • 15. 15 หมายเหตุ : 1) - 3) แปลจากภาพดาวเทียมมาตราสวน 1: 500,000 4) รวมนาเกลืออยูดวย 5) ไมไดจําแนกเปนพื้นที่ปาไมโดยเฉพาะ แตรวมอยูในพื้นที่อื่นๆ ที่มีเนื้อที่ทุกประเภทรวม 134,523,887 6) เปนพื้นที่ทุงหญาธรรมชาติที่มีที่ดินที่ไมไดใชประโยชนรวมอยูดวย ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน จากขอมูลระดับประเทศดังกลาวจะพบวา ในขณะพื้นที่ปาไมลดลงเปลี่ยนมาเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แตในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมนั้น “ที่นากลับลดลง” ที่นาที่ลดลงนั้นไดเปลี่ยนสภาพไป เปนโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยูอาศัย สนามกอลฟ รีสอรทหรือที่พักผอนหยอนใจจํานวนมาก จากการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดินพบวา ในระหวางป พ.ศ. 2530 - 2536 ที่ดินเพื่อการเกษตร ในเขตปริมณฑลเปลี่ยนแปลงสภาพไปเฉลี่ย 18,000 ไร ตอป ในเขตปริมณฑลที่มีการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินเกษตรกรรมเพื่อกิจกรรมอื่นๆ มากพื้นที่หนึ่งคือ จังหวัดปทุมธานี จากการสํารวจในป พ.ศ. 2531 จังหวัดปทุมธานีมีโครงการบานจัดสรรจํานวน 46 โครงการ (โสภณ ชมชาญ 2538) ตอมาในเดือนมีนาคม 2537 จากการสํารวจในพื้นที่อําเภอคลองหลวง ธัญบุรี และ หนองเสือ พบวามีโครงการจัดสรรที่ดิน บานจัดสรร รีสอรท และสนามกอลฟรวม 146 โครงการ ในเดือน กุมภาพันธ 2543 ไดมีการสํารวจโครงการบานจัดสรร เหลืออยูประมาณ 30 โครงการ แตพื้นที่ที่อยูในโครงการ พัฒนาที่ดินตางๆ ที่หยุดหรือชลอโครงการไว ซึ่งเดิมเปนที่เกษตรกรรมไดทิ้งรางมิไดใชประโยชนเปนจํานวน มาก ที่ตั้งของโครงการดังกลาวนี้เปนพื้นที่ที่เหมาะสมตอการเกษตรและอยูในเขตชลประทาน ไดมีการประมาณ ถึงผลผลิตทางการเกษตรวา หากมีการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมในภาคกลางโดยทั่วไป 1 ไร จะเทากับสูญเสีย พื้นที่เกษตรกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 4 ไร
  • 16. 16 อยางไรก็ตามจากการวิเคราะหพบวา พื้นที่ที่ไมไดใชประโยชน ซึ่งมีจํานวน 32.1 ลานไร 36.45 ลานไร และ 29.89 ลานไร ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 ตามลําดับนั้น สวนหนึ่งเคยเปนที่ดินที่ใชเพื่อ เกษตรกรรมมากอน ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่การเกษตรในแตละชวง จะมีเนื้อที่เกษตรกรรมมากกวา 168 ลาน ตาม ความสามารถในการรองรับ (carrying capacity) มาตั้งแต พ.ศ. 2529 หากจะวิเคราะหจากพื้นที่ปาไมที่ยังคงเหลืออยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3 ลานไร * และคงสภาพปาอยูเพียง 81 ลานไรแลว จะวิเคราะหได 2 กรณี คือ (1)กรณีใชพื้นที่ในความรับผิดชอบ 103.3 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน 217.4 ลานไร (320.7-103.3 = 217.4 ลานไร) (2) กรณีใชพื้นที่ปาไมที่ยังเหลืออยูจริง 81 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน 239.7 ลานไร (320.7-81 = 239.7 ลานไร) “จากผลการวิเคราะหดังกลาวจะแสดงใหเห็นวา การใชที่ดินในปจจุบันโดยเฉพาะเพื่อการ เกษตรกรรม เกินกวาความสามารถในการรองรับของที่ดินได จึงเกิดปญหาที่ดินที่สงผลใหสิ่งแวดลอมของ ชาติเสื่อมโทรมลงอยางรวดเร็ว” * ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 และ 17 มีนาคม 2535 นั้น ไดมีการจําแนกพื้นที่ปาไมเปนเขต อนุรักษ (โซน C) จํานวน 88.23 ลานไร เขตเศรษฐกิจ (โซน E) จํานวน 51.88 ลานไร และเขตที่ เหมาะสมตอการเกษตรกรรม (โซน A) จํานวน 7.22 ลานไร ตอมาใน พ.ศ. 2536 กรมปาไมไดสงมอบ พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่มีประชาชนเขาทํากินรวม 44 ลานไร ใหแกสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งสวนหนึ่งมาจากปาเศรษฐกิจ (โซน E) ดังนั้น ปาอนุรักษ (โซน C) และปา เศรษฐกิจ (โซน E) จึงอยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3 ลานไร ปญหาที่เกี่ยวของกับทรัพยากรที่ดิน 1. ปญหาทางกายภาพ ไดแก 1.1 ความอุดมสมบูรณของดินโดยธรรมชาติต่ํา เนื่องจากวัตถุตนกําเนิดดินมีแรธาตุอาหารพืชเปนองคประกอบต่ํา ประกอบกับประเทศไทยอยูในเขตที่มีฝนตกชุก แรธาตุตาง ๆ เปลี่ยนสภาพและถูกชะลางไปกับน้ําไดรวดเร็ว อีกทั้ง พื้นที่ที่ทําการเกษตรกรรมถูกใชมาเปนเวลาชานานโดยไมมีการบํารุงดูแลรักษา 1.2 ดินมีปญหาพิเศษ ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินไดทําการศึกษา พบวา ดินที่มีปญหา จํานวนเนื้อที่ (ไร) 1. ดินเค็ม (Salt Affected Soils) 21,718,774 1.1 ดินเค็มชายทะเล (Coastal Saline Soils) 3,611,567 1.1.1 ดินเค็มชายทะเลที่มีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils, Potentially Acid) 2,885,081 1.1.2 ดินเค็มชายทะเลที่ไมมีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils, 726,486