Submit Search
Upload
การใช้ที่ดิน
•
0 likes
•
73 views
P
phatcharaprapa niamhom
Follow
การใช้ประโยชน์ที่ดิน
Read less
Read more
Education
Report
Share
Report
Share
1 of 25
Download now
Download to read offline
Recommended
58670129
58670129
phatcharaprapa niamhom
Lu 58670077
Lu 58670077
phatcharaprapa niamhom
58670214 lab
58670214 lab
phatcharaprapa niamhom
Week5 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโชยน์ที่ดิน-ploy
Week5 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโชยน์ที่ดิน-ploy
phatcharaprapa niamhom
Week 4-การใช้ประโยชน์ที่ดิน-ployy
Week 4-การใช้ประโยชน์ที่ดิน-ployy
phatcharaprapa niamhom
Week 3-การปรับแก้เชิงตำแหน่ง-ploy (1)
Week 3-การปรับแก้เชิงตำแหน่ง-ploy (1)
phatcharaprapa niamhom
Week 2-ploy (1)
Week 2-ploy (1)
phatcharaprapa niamhom
Lab5.2
Lab5.2
phatcharaprapa niamhom
Recommended
58670129
58670129
phatcharaprapa niamhom
Lu 58670077
Lu 58670077
phatcharaprapa niamhom
58670214 lab
58670214 lab
phatcharaprapa niamhom
Week5 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโชยน์ที่ดิน-ploy
Week5 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโชยน์ที่ดิน-ploy
phatcharaprapa niamhom
Week 4-การใช้ประโยชน์ที่ดิน-ployy
Week 4-การใช้ประโยชน์ที่ดิน-ployy
phatcharaprapa niamhom
Week 3-การปรับแก้เชิงตำแหน่ง-ploy (1)
Week 3-การปรับแก้เชิงตำแหน่ง-ploy (1)
phatcharaprapa niamhom
Week 2-ploy (1)
Week 2-ploy (1)
phatcharaprapa niamhom
Lab5.2
Lab5.2
phatcharaprapa niamhom
Lab 5.1
Lab 5.1
phatcharaprapa niamhom
Lab 5.docx
Lab 5.docx
phatcharaprapa niamhom
Lab 4
Lab 4
phatcharaprapa niamhom
Lab5เสด
Lab5เสด
phatcharaprapa niamhom
Lab5bb 1
Lab5bb 1
phatcharaprapa niamhom
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
phatcharaprapa niamhom
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
phatcharaprapa niamhom
Lab3bb
Lab3bb
phatcharaprapa niamhom
Week2bb
Week2bb
phatcharaprapa niamhom
Lab 3.docx
Lab 3.docx
phatcharaprapa niamhom
Lab4
Lab4
phatcharaprapa niamhom
Lab 3แก้แล้ว
Lab 3แก้แล้ว
phatcharaprapa niamhom
Lab2
Lab2
phatcharaprapa niamhom
Lab 2
Lab 2
phatcharaprapa niamhom
Lab 1
Lab 1
phatcharaprapa niamhom
More Related Content
More from phatcharaprapa niamhom
Lab 5.1
Lab 5.1
phatcharaprapa niamhom
Lab 5.docx
Lab 5.docx
phatcharaprapa niamhom
Lab 4
Lab 4
phatcharaprapa niamhom
Lab5เสด
Lab5เสด
phatcharaprapa niamhom
Lab5bb 1
Lab5bb 1
phatcharaprapa niamhom
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
phatcharaprapa niamhom
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
phatcharaprapa niamhom
Lab3bb
Lab3bb
phatcharaprapa niamhom
Week2bb
Week2bb
phatcharaprapa niamhom
Lab 3.docx
Lab 3.docx
phatcharaprapa niamhom
Lab4
Lab4
phatcharaprapa niamhom
Lab 3แก้แล้ว
Lab 3แก้แล้ว
phatcharaprapa niamhom
Lab2
Lab2
phatcharaprapa niamhom
Lab 2
Lab 2
phatcharaprapa niamhom
Lab 1
Lab 1
phatcharaprapa niamhom
More from phatcharaprapa niamhom
(15)
Lab 5.1
Lab 5.1
Lab 5.docx
Lab 5.docx
Lab 4
Lab 4
Lab5เสด
Lab5เสด
Lab5bb 1
Lab5bb 1
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
ต่อLab 4-envi5.3-bb
Lab3bb
Lab3bb
Week2bb
Week2bb
Lab 3.docx
Lab 3.docx
Lab4
Lab4
Lab 3แก้แล้ว
Lab 3แก้แล้ว
Lab2
Lab2
Lab 2
Lab 2
Lab 1
Lab 1
การใช้ที่ดิน
1.
1 ความหมายของการใชที่ดิน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงการใชประโยชนที่ดินวาเปนไปในรูปใด เชน
การทําเกษตรกรรม เหมืองแร การกอสรางอาคารที่อยูอาศัย เปนตน ประเภทของรูปแบบการใชที่ดิน การใชประโยชนที่ดินที่ไมมีการควบคุมหรือวางผังเมือง จะมีลักษณะเคลาคละปะปนกันไมเปนระเบียบ ความแออัดจะกระจุกตัวอยูที่ศูนยกลางและกระจายออกไปรอบนอกชุมชนอยางไรทิศทางและแบบแผน เมื่อ ชุมชนขยายตัวไปสูความเปนเมืองปญหาตางๆก็จะตามมา การวางผังเมืองเปนการจัดระเบียบการใชประโยชน ที่ดิน ระบบคมนาคมขนสงและเตรียมรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคตโดยการพิจารณาแผนประเภทการ ใชประโยชนที่ดินเปนการพิจารณาจากการใชอาคารและที่ดินที่เกี่ยวของกับการดํารงชีพของประชาชน 3 สวน คือ 1. สวนที่อยูอาศัย แบงออกเปนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย 5 ประเภท 2. สวนทํางานและบริการสาธารณะ แบงออกเปนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม ที่ดินประเภทสถาบันราชการ สาธารณูปโภคสาธารณูปการที่ดิน ประเภทสถาบันการศึกษา ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม ที่ดินประเภทชนบทและ เกษตรกรรม และ 3. สวนที่พักผอนหยอนใจ แบงออกเปนที่ดินประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษา คุณภาพสิ่งแวดลอม ที่ดินประเภทอนุรักษ ในที่นี้จะขอกลาวถึงเพียง 4 ประเภทสําคัญ คือ 1. ที่ดินประเภทที่ อยูอาศัย 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม 4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุม การพัฒนา 1. ที่ดินประเภทที่อยูอาศัย (Residential Land Uses) แนวความคิดหลักที่ใชในการวางผังที่อยูอาศัยไดแก Neighbourhood Concept เปนการกระจาย ความเจริญจากชุมชนหลักออกไปสูสวนตางๆ ของเมือง ใหประชาชนไดรับการบริการทางดานสาธารณูปโภค และสาธารณูปการโดยทั่วถึง และเทาเทียมกัน มีการอยูอาศัยที่ดีและนาพึงปรารถนา กรมการผังเมืองไดจําแนก ที่ดินประเภทที่อยูอาศัยออกเปน 5 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนมาก 2. ประเภทพาณิชยกรรมและที่อยูอาศัยหนาแนนมาก 3. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนปานกลาง 4. ประเภทที่อยูอาศัยหนาแนนนอย 5. ประเภทอนุรักษเพื่อการอยูอาศัย การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทที่อยูอาศัย มีหลักการสําคัญวาพื้นที่ดังกลาวควรจะเปน บริเวณที่มีการระบายน้ําดี ลักษณะดินไมเปนอุปสรรคตอการกอสราง มีศักยภาพในการจัดบริการทางดาน สาธารณูปโภคสาธารณูปการไดเพียงพอ มีความสะดวกในการเขาถึง มีความปลอดภัยจากสิ่งรบกวนตางๆ มี สภาพแวดลอมที่ดีใกลสถานที่ทํางานและยานการคา เปนตน 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (Commercial Land Uses) การใชประโยชนที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรมเปนลักษณะเดนของการใชประโยชนที่ดินในเมืองเปน บริเวณที่มีการรวมตัวของการใชประโยชนที่ดินที่เขมขน เปนศูนยกลางธุรกิจการพาณิชยและการบริการ โดย เฉลี่ยแลวประมาณรอยละ 2-5 ของพื้นที่เมืองเปนที่ดินที่ใชประโยชนเพื่อการพาณิชยกรรม การใชที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แบงออกเปน 2 ประเภทหลัก คือ
2.
2 1. รานคาเบ็ดเตล็ด และตลาดสด
(Neighbourhood & Convinient Stores and Community Markets) เปนสถานที่จําหนายสินคาเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจําวัน รวมถึงตลาดสด ซึ่งเปนศูนยรวมธุรกิจการ คาขายเบ็ดเตล็ดของชุมชน มีขนาดพื้นที่เล็กและกระจายตัวอยูทั่วไป 2. ศูนยพาณิชยกรรมกลางเมือง (Central Business District) เปนบริเวณที่กวางใหญที่สุดและ หนาแนนที่สุดของธุรกิจการคาขายและการใหบริการ เปนที่รวมของกิจการคาปลีก สํานักงานใหบริการ สถาบัน การเงิน สถานเริงรมย โรงแรมและอื่นๆ C.B.D. แบงออกเปน 2 ประเภท คือ - C.B.D. ในเมือง ซึ่งใชพื้นที่นอย อยูในทําเลที่ตั้งของการแขงขัน ราคาที่ดินแพง อาคาร สูง เพื่อการใชประโยชนอยางเต็มที่ในพื้นที่ที่จํากัด - C.B.D. ชานเมือง เปนผลมาจากปจจุบัน กิจกรรมที่เปนธุรกิจกลางของเมืองใหญๆ ที่ อยูใจกลางเมืองตองประสบปญหาตางๆ อาทิ การจราจรติดขัด ราคาที่ดินสูง ความแออัด และเสื่อมโทรม ประกอบกับความเจริญกาวหนาดานการสื่อสารและการคมนาคมที่สะดวก จึงไดมีการขยายตัวออกไปอยูชาน เมือง การกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทพาณิชยกรรม มีหลักการที่สําคัญ คือพื้นที่ดังกลาวควรอยูบนที่ ราบปลอดภัยจากน้ําทวมสามารถระบายไดดี มีความสะดวกในการเขาถึง มีระบบโครงขายถนนที่ไดมาตรฐาน และสามารถติดตอเชื่อมโยงกับบริเวณอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการสัญจร อยูในบริเวณที่มีสถาบันการเงินและ การบริการสาธารณะอื่นๆ 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Land Uses) ในประเทศไทยไดกําหนดการใชประโยชนที่ดินประเภทอุตสาหกรรมไวไมเกินรอยละ 10 ของ พื้นที่เมือง โดยแบงที่ดินประเภทอุตสาหกรรมออกเปน 3 ประเภทหลัก คือ 1. ประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินคา 2. ประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ 3. ประเภทคลังสินคา การวิเคราะหอุตสาหกรรมเพื่อกําหนดที่ตั้งและขนาดของพื้นที่ในการวางผังเมืองไดพิจารณา จําแนกเปนประเภทตามกระบวนการผลิตและกระบวนการเชื่อมโยงกับการผลิต เพราะกระบวนการผลิตเปน ปจจัยทําใหเกิดผลกระทบดานที่ตั้ง ความสัมพันธระหวางการใชที่ดินแตละประเภท สวนกระบวนการเชื่อมโยง กิจกรรมอื่นตามมา อาทิ การขนสง การสื่อสารธุรกิจการคาและบริการ เปนตน หลักการกําหนดที่ตั้งของที่ดิน ประเภทอุตสาหกรรมที่สําคัญ ควรเปนพื้นที่ที่มีความลาดชันไมเกินรอยละ 5 เพื่อการระบายน้ําและกําจัดของ เสีย อยูใกลเสนทางคมนาคมสายหลักมีความพรอมในดานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เปนบริเวณที่มีราคา ที่ดินต่ํา และมีพื้นที่เพียงพอสําหรับการขยายตัวของโรงงานในอนาคต อยูใกลแหลงวัตถุดิบ ใกลตลาด ไมอยูใน ทิศทางที่ควันฝุนละออง กลิ่น เสียง ถูกลมพัดเขาเมือง ไมอยูในทิศทางที่สงผลกระทบตอแหลงน้ํา หรือทางลําน้ํา ธรรมชาติ และตองไมเกิดผลกระทบกับจุดเดนของเมือง 4. ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา ที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาเปนการใชประโยชนที่ดินประเภทหนึ่งที่มีความสําคัญ และจําเปนสําหรับเมือง วัตถุประสงคของการกําหนดการใชที่ดินประเภทนี้ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของ เมืองใหอยูในบริเวณที่กําหนด รักษาสภาพแวดลอมและระบบนิเวศนของเมือง และสรางภาพลักษณของเมือง ใหสมดุลยกับธรรมชาติ โดยแบงที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนาออกเปน 4 ประเภท คือ 1. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอม 2. ประเภทอนุรักษชนบทและเกษตรกรรม 3. ประเภทอนุรักษเพื่อสงเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย 4. ประเภทที่โลงเพื่อนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมและการประมง
3.
3 พื้นที่ที่เหมาะสมแกการจัดใหเปนที่ดินประเภทที่สงวนและควบคุมการพัฒนา คือ พื้นที่ที่เปน แหลงวัตถุดิบหรือทรัพยากรทางธรรมชาติ
พื้นที่ที่มีน้ําทวมขังหรือรับการระบายน้ํา พื้นที่สาธารณูปโภคของเมือง พื้นที่อนุรักษและสงวนรักษา พื้นที่ที่เปดกันใหเปนที่โลง เปนตน แผนการใชที่ดินของประเทศไทย การวางแผนการใชที่ดินมีจุดมุงหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใชที่ดิน แผนการใชที่ดินนําไปใช สวนใหญมักจะอยูในหนวยหรือขอบเขตการปกครอง เชน ตําบล อําเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ เปนตน และ บางกรณีอาจเปนแผนการใชที่ดินระดับลุมน้ํา การที่จะไดแผนการใชที่ดินออกมาจะตองผานการประเมินคา ทรัพยากรตางๆ ที่เกี่ยงของกับที่ดิน ขอมูลที่ถูกตองแมนยําของสภาพการใชที่ดินในปจจุบันมีความจําเปนอยาง ยิ่งในการใชแผนการใชที่ดินเพื่อที่จะนําขอมูลเหลานี้นํามาวิเคราะหชี้บงศักยภาพการใชที่ดินในสถานภาพที่ แทจริง แผนการใชที่ดินของประเทศไทยก็ไดดําเนินการตามขั้นตอน คือ มีการประเมินคาที่ดินทางกายภาพ แลวนําเอาขอมูลทางเศรษฐกิจสังคมมาเปรียบเทียบเพื่อยืนยันใหเห็นผลตอบแทนที่ใหประโยชนสูงสุด โดยใหมี ผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด แผนการใชที่ดินของประเทศไทยจึงสรุปไดดังนี้ - แผนการใชที่ดินเพื่อกสิกรรม แผนการใชที่ดินดานกสิกรรมของประเทศไทยยังจําแนกออกเปน 2 บริเวณใหญๆ ไดแก ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือมีศักยภาพในการชลประทาน ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตที่อาศัยน้ําฝน ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตชลประทานหรือที่มีศักยภาพในการชลประทาน ซึ่งแบง ออกเปนเขตยอยไดดังนี้คือ 1.1ทํานาในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 43,824,203 ไร หรือ รอยละ 13.67 ของเนื้อที่ ประเทศไดแก บริเวณที่ราบลุมน้ํารายใหญของประเทศที่มีเนื้อดินเหมาะสมตอการทํานาและใหผลตอบแทนใน การผลิตขาวสูงกวาบริเวณอื่น บริเวณนี้เหมาะสําหรับการผลิตขาวเพื่อการบริโภคของประชากรในประเทศและ สําหรับสงออก ในบริเวณที่มีการชลประทานสมบูรณแบบจะสามารถปลูกขาวได 2 ครั้งตอป หรือ 5 ครั้งตอ การทํานา 2 ป พื้นที่บริเวณนี้ควรสงวนไวใชในการเกษตรเพราะเปนบริเวณที่รัฐไดลงทุนดานการชลประทาน และสาธารณูปโภคไวสูง ปจจุบันพื้นที่เหลานี้ที่อยูใกลชุมชนจะถูกนําไปใชเพื่อเปนที่อยูอาศัย และโรงงาน อุตสาหกรรมเปนจํานวนมากซึ่งเปนการใชที่ดินอยางไมเหมาะสมตรงตามศักยภาพของที่ดิน 1.2ปลูกพืชไรในเขตชลประทาน มีเนื้อที่ 23,453,398 ไร หรือรอยละ 7.31 ของเนื้อที่ ประเทศ ไดแก บริเวณพื้นที่ดอนที่มีระบบชลประทานเขาถึง พื้นที่นี้เหมาะสมที่จะนํามาใชในการผลิตพืชผัก หรือพืชไรที่ใหผลผลิตสูงหรือตองการคุณภาพที่ตองการ เชน การผลิตเมล็ดพันธุการผลิตที่ไดผลผลิตสูงตาม ความตองการเนื่องจากสามารถควบคุมน้ําและปุยได การผลิตที่ตองการคุณภาพมาตรฐาน เชน การผลิตเพื่อ การสงออกที่มีปริมาณสารตกคางในผลิตภัณฑต่ําตามที่ตลาดทั้งในและนอกประเทศควบคุม ขอควรพิจารณาในเขตกสิกรรมโครงการชลประทาน น้ําเปนปจจัยที่สําคัญยิ่งประการหนึ่งในการทําการเกษตร อาศัยน้ําจากธรรมชาติในการประกอบ การเกษตรเปนสําคัญ ดังนั้น ปญหาการขาดแคลนน้ําสําหรับการเจริญเติบโตของพืชมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ โดยเฉพาะในฤดูแลง เพื่อเล็งเห็นความสําคัญของน้ําเพื่อการเกษตรจึงมีการจัดการชลประทานเพื่อแกปญหาการ ขาดแคลนน้ําในชวงขาดน้ํา
4.
4 และเพื่อใหระบบการชลประทานประสบความสําเร็จตามความประสงค จําเปนตองศึกษาถึง ความสัมพันธระหวางปจจัยตางๆ เกี่ยวกับลักษณะของที่ดินวาเหมาะสมหรือไมในการใหการชลประทาน
ปจจัย ที่ควรพิจารณา คือ 1. คุณสมบัติของดิน 2. สภาพพื้นที่ 3. การระบายน้ํา 1. ปจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของดิน คุณสมบัติตางๆ ของดินทางฟสิกส เคมี และชีววิทยา ใชเปนบรรทัดฐานเริ่มแรกในการ ประเมินคาของที่ดินเพื่อการชลประทาน คุณสมบัติเหลานี้บางชนิดก็เปลี่ยนแปลงไดยาก เชน เนื้อดิน แต บางอยางก็เปลี่ยนแปลงไดงาย โดยการเขตกรรม คุณลักษณะของดินมีความสัมพันธตอการพัฒนาที่ดิน ความสําคัญในดานการปลูกพืชและดานเศรษฐกิจของแตละคุณลักษณะของดินในแตละพื้นที่ แตกตางกันออกไปขึ้นอยูกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะพื้นที่ ปริมาณน้ํา และการใชที่ดิน คุณลักษณะของที่ดินที่ พึงประสงคเพื่อความสําเร็จในการปลูกพืชโดยการใหการชลประทานควรมีลักษณะดังนี้ คือ - มีความจุความชื้นที่มีประโยชนตอพืช - น้ําซึมผานไดเร็วเพื่อการถายเทอากาศ - มีอัตราการแทรกซึมของน้ําชาพอที่จะปองกันมิใหเกิดการสูญหายสูสวนลางของชั้นดิน มากเกินไป หรือเกิดความแหงแลง - มีความลึกพอที่รากพืชจะเจริญเติบโตไดดี - ทําการปฏิบัติงานในไรนาไดงาย - ไมมีเกลือ (saline) สะสมอยูหรือถึงมีอยูก็ถูกชะลางไดงาย - มีความจุในการแลกเปลี่ยนประจุบวก และธาตุอาหารพืชเพียงพอและไมมีสารที่เปนพิษ - ภายใตการใหน้ําชลประทานที่เหมาะสมตองมีความตานทานตอการกัดกรอนที่มีมาก เกินไป 2. ปจจัยเกี่ยวกับลักษณะพื้นที่ ความยากงายในการนําน้ํามาสูไรนามีผลตอคาใชจาย และการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ในบาง กรณียังมีผลตอความสามารถในการปรับตัวของพืช ความมั่นคงหรือความคงทนของสิ่งกอสราง และการระบาย น้ําปจจัยของลักษณะพื้นที่ที่ใชในการพิจารณาระดับความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการชลประทานไดแก 2.1ความลาดชันของพื้นที่ 2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน 2.3ตําแหนงของพื้นที่ 2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน 2.5สิ่งปกคลุมดิน 2.1ความลาดชันของพื้นที่ การที่จะพิจารณาถึงความลาดชันของพื้นที่วาเหมาะสมหรือไมใน การใหการชลประทาน จะตองคํานึงถึงสิ่งตางๆ ดังตอไปนี้ (ก) ความยากงายของดินตอการถูกกัดกรอน (ข) ชนิดของพืชที่จะปลูก (ค) อัตราการแทรกซึมของน้ํา และความจุความชื้นที่เปนประโยชนตอพืชเพื่อ ความสําเร็จในการชลประทานโดยปราศจากการสูญเสียน้ํามากเกินไป โดยการไหล บาไปบนพื้นผิวดิน หรือไหลสูสวนลางของดิน
5.
5 (ง) พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงความลาดชันบอยๆ ทําใหที่ดินเปนผืนเล็กๆ
มีผลใหการ ใหน้ําชลประทานเปนไปในระยะสั้นมาก (จ) วิธีการใหการชลประทาน ซึ่งแตกตางกันไปในแตละชนิดของพื้นที่ 2.2ลักษณะของพื้นผิวที่ดิน ที่ดินที่มีพื้นผิวไมสม่ําเสมอทําใหเพิ่มคาใชจายในการผลิตและ ทําใหผลผลิตของพืชต่ํา การพัฒนาในพื้นที่เชนนี้ตองคํานึงถึง (ก) ชนิดของการชลประทาน (ข) คาใชจายในการปรับระดับพื้นที่ดิน (ค) อิทธิผลของการปรับระดับพื้นที่ดินตอผลผลิตของพืชเนื่องจากหนาดินสูญหายไป ปกติการประเมินคุณลักษณะของดินนั้นจะประเมินภายหลังทําการปรับระดับพื้นที่ แลวมากกวากอนทําการปรับระดับ โดยทั่วไปแลวดินที่มีความลึกมากๆ เชนดิน ตะกอนลําน้ําใหมๆ สามารถที่จะทําการปรับระดับไดลึก และคาความสามารถใน การผลิตของที่ดินที่ลดลงก็เปนเพียงชั่วคราว แตในดินเกาหรือดินที่มีลักษณะชั้น หนาตัดดินที่สมบูรณ ซึ่งมีชั้นของการสะสมของปูนอยูใกลผิวดิน หรือเปนดินที่มี วัตถุที่ไมยอมใหน้ําซึมผานไดอยูใกลกับผิวดิน เมื่อทําการปรับระดับพื้นที่ดิน ปริมาณของผลผลิตของพืชจะลดลงอยางมาก และเพิ่มอุปสรรคในการระบายน้ํา หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิตมากขึ้น 2.3ตําแหนงของพื้นที่ พิจารณาถึงเมื่อที่ดินแยกเปนที่สูง และที่ต่ําซึ่งจะทําใหเพิ่มคาใชจาย ในการพัฒนาที่ดินหรือในการปฏิบัติงาน ระดับของความเหมาะสมของที่ดินที่เปนหยอมๆ เชนนี้ขึ้นอยูกับความ ยากงายในการใหน้ําชลประทาน และการใชเครื่องจักรกลในไรนา 2.4ขนาดและรูปรางของที่ดิน ขนาด รูปราง และที่ตั้งของที่ดินตองพิจารณาในดาน ความสามารถที่จะทําพื้นที่ดินใหเปนไรนาขนาดใหญได ในดานประสิทธิภาพของการใหการชลประทาน และ ผลตอบแทนตองไดรับในอัตราที่เหมาะสมกับที่ดินชั้นนั้นๆ นอกจากนี้ยังใชพิจารณาถึงชนิดของการชลประทาน ที่จะใชดวย 2.5สิ่งปกคลุมดิน พืชพรรณหรือกอนกรวดกอนหินตางๆ ที่ปกคลุมอยูบนพื้นผิวดิน ตอง นําเอาออกกอนการทําเขตกรรม ซึ่งทําใหเสียคาใชจายในการพัฒนาที่ดิน แตไมเอาสิ่งปกคลุมดินเหลานี้ออกไป เสียกอนการทําเขตกรรม จะทําใหความสามารถในการผลิตของดินลดลง หรือเพิ่มคาใชจายในการผลิต สิ่ง ตางๆ เหลานี้มีผลตอการจัดแบงชั้นของที่ดิน 3. ปจจัยของการระบายน้ํา การระบายน้ําที่มากเกินไปออกจากพื้นที่ดินทําได 2 วิธี คือ 3.1การระบายน้ําบนผิวดิน ไดแก การระบายน้ําออกจากพื้นที่ตามพื้นผิวดิน โดยน้ําหลาก แผซาน (sheet) และทางธารน้ํา (stream flow) 3.2การระบายน้ําภายในหรือใตผิวดิน เปนการระบายน้ําที่มีมากเกินพอภายในดิน โดยการ ไหลลงสูสวนกลางของหนาตัดดินหรือไหลซึมทางดานขาง ผานชั้นดิน ดินชั้นลางและชั้น หินใตดิน ข. แผนการใชที่ดินในเขตที่อาศัยน้ําฝน ซึ่งแบงเปนเขตยอยไดดังนี้ 1.3เขตทํานา มีเนื้อที่ 10,581,939 ไรหรือรอยละ 3.30 ของเนื้อที่ประเทศบริเวณนี้สวน ใหญเปนบริเวณที่ราบลุม สวนใหญใชพื้นที่ทํานาแตมีปญหาเกี่ยวกับเรื่องน้ําเนื่องจากจําเปนตองอาศัยน้ําฝนซึ่ง มีความเสี่ยงมากบางพื้นที่ทําการปลูกแลวฝนมาไมตองตามฤดูกาลก็อาจตองทําการปลูกใหมหรือบางบริเวณมี น้ําทวมขังสูงก็ทําใหขาวเสียหายได
6.
6 1.4เขตปลูกพืชไรมีเนื้อที่ 85,716,928 ไร
หรือรอยละ 26.73 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแก บริเวณที่ดอน ดินตอบสนองตอการใชปุยไดดี ถามีการแพรกระจายของฝนดีอาจปลูกพืชไรไดมากกวา 2 ครั้ง พืชที่ปลูกไดแก ฝาย ขาวโพด ออย มันสําปะหลัง นอกจากนี้ยังสามารถปลูกไมผล เชน มะมวง มะขามหวาน มะขามเปรี้ยวได 1.5เขตปลูกไมผล ไมยืนตน มีเนื้อที่ 4,471,389 ไร หรือรอยละ 1.39 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแกบริเวณที่ดอนที่มีความลาดชันเปนสวนใหญเปนตนคอนขางลึก จะพบเศษหิน กรวด หรือลูกรังระหวาง 50 เซนติเมตรถึง 1 เมตร แนะนําใหใชพื้นที่นี้นํามาปลูกไมผล ซึ่งการปลูกจะตองทําการขุดหลุมใหกวางและ ลึกมีการรองกนหลุมดวยอินทรียวัตถุ ปุยคอก ปุยหมัก หินฟอสเฟต และเอาหนาดินกลบลงกนหลุม สวนดิน ลางเอากลบไวหนาดินสลับกัน นอกจากนี้ควรมีแหลงน้ําที่สามารถใหน้ําแกไมผลไดตลอดดวย การปฏิบัติรักษาในบริเวณนี้ก็คือควรทําการปลูกพืชในแนวระดับ เพื่อปองกันการสูญเสียหนาดิน มีการปลูกพืชคลุมดินในระหวางแถวไมหลักเพื่อคลุมดินเปนการเพิ่มอินทรียวัตถุและเพิ่มแรธาตุอาหารบางชนิด แกพืชหลักไดอีกดวย ขอควรพิจารณาการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมในเขตน้ําฝน ขอควรพิจารณาในการพัฒนาการกสิกรรมโดยอาศัยน้ําฝน หมายถึง พื้นที่การเกษตรที่อาศัย น้ําฝนเปนสําคัญ แตน้ําฝนตามธรรมชาตินั้นตกไมแนนอน บางปปริมาณฝนนอย บางปมากเกินความตองการ ทรัพยากรก็มีคุณภาพต่ํา ปจจัยตางๆ เหลานี้มีสวนทําใหประสิทธิภาพการผลิตในดานเกษตรต่ํา ทําใหการวาง แผนการผลิตก็ดี การประเมินปริมาณและคุณภาพของผลิตผลก็ดี ไมไดผลดีเทาที่ควร เปนสาเหตุใหเกษตรกร ในอาณาบริเวณนี้ประสบกับการเสี่ยงภัยสูง มีรายไดหมิ่นเหมกับรายจาย เพื่อที่จะพัฒนาเขตเกษตรอาศัยน้ําฝน ใหมีการเสี่ยงลดลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จึงขอเสนอแนะแนวปฏิบัติดังตอไปนี้คือ 1. จัดทําแผนที่ภูมิอากาศเกษตร (Agro-Ecological Zone) เพื่อใชเปนเครื่อง ประกอบกับแผนที่ดินในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝน แลวเริ่มดําเนินการสํารวจสภาพการทํากสิกรรมและขอมูลอื่นๆ ของแตละเขตภูมิอากาศเกษตร เพื่อใหไดขอมูลภาคพื้นดินที่ถูกตองนํามาประกอบในการพิจารณาหาทาง พัฒนาการเกษตรตอไป 2. ควรมีมาตรการในการพยากรณหรือคาดคะเนเกี่ยวกับดินฟาอากาศ เพื่อกสิกรจะไดมีโอกาส ทราบลวงหนา และทําใหบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น 3. สถานีทดลองการเกษตรควรทําการวิจัย คนควา ทดลอง ปรับปรุงพันธุพืชพันธุสัตว การ ปราบศัตรูพืช การจัดระบบการปลูกพืช การเขตกรรม การจัดฟารม ใหเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของแตละ เขตภูมิอากาศ 4. ควรจัดตั้งโครงการถาวรเพื่อสํารองเมล็ดพันธุพืช พันธุสัตว เมื่อถึงภาวะฉุกเฉิน เชน ความ แหงแลง หรือน้ําทวม 5. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีระยะแหงแลงนาน โดยไมสามารถที่จะทําการกสิกรรมได ควรจัดสํารวจหาแหลงน้ําใตดิน ทั้งบอน้ําลึกและบอน้ําตื้น เพื่อนํามาใชบริโภคและเพื่อการกสิกรรม 6. ในเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนมักมีปาไมนอยและแหงแลง ควรจัดใหมีการปลูกไมยืนตนเพื่อ สรางความชุมชื้น เปนรมเงาและเปนปาหยอมขึ้น ไมที่ใชปลูกนั้นควรเปนไมโตเร็วสําหรับทําฟน เพื่อเปนพลังงาน ทดแทน ไมผลเพื่อบริโภค หรือไมทนความแหงแลงและขึ้นไดในดินเลว เชน กระถินณรงค ไผ ยูคาลิปตัส 7. ดินในบริเวณเขตกสิกรรมอาศัยน้ําฝนที่มีเนื้อหยาบ มักจะมีการพังทลายไดงาย และมีความ อุดมสมบูรณต่ํา จําเปนจะตองหาทางอนุรักษดินและน้ํา กลาวคือ จะตองปองกันดินพังทลาย ยกระดับความอุดม สมบูรณของดิน โดยการใชทั้งปุยอินทรียและปุยเคมี การทําการเขตกรรมที่เหมาะสมจะทําใหเปนการสงวนน้ําใน ดินและควรหาวัสดุคลุมดินในระหวางการปลูกพืช
7.
7 8. เนื่องจากกสิกรในเขตการกสิกรรมที่อาศัยน้ําฝนมักเปนกสิกรรายยอย ไมคอยไดรับความ ชวยเหลือหรือบริการตางๆ
เหมือนกสิกรในเขตชลประทาน เพื่อที่จะพัฒนาการเกษตรในเขตน้ําฝนใหไดผล กสิกรเหลานี้ควรจะไดรับความชวยเหลือดานเงินทุน การตลาด การคมนาคม และดานสาธารณูปโภคอื่นๆ แนวทางและมาตรการในการใชที่ดินเพื่อการเกษตร 1. ใหใชประโยชนที่ดินตามโซนการปลูกพืชที่กําหนดไวในแผนที่ ที่แสดงแผนการใชที่ดินของ ประเทศไทย การกําหนดโซนการปลูกพืชเศรษฐกิจเหลานี้ ถาไดนําเอาไปใชในโครงการการพัฒนาเศรษฐกิจ ของจังหวัดจะเกิดประโยชนอยางเต็มที่แกนักวางแผน นักวิชาการเกษตร นักสงเสริม ตลอดจนตัวเกษตรกรเอง ทั้งนี้เพราะ (1)งายตอการควบคุมดูแล การกําจัดโรคแมลง การขยายพันธุ การชลประทาน ตลอดจน การสงเสริมหรือการใหคําแนะนําของเจาหนาที่ตางๆ เพราะในโซนเดียวกันจะมีความ ตองการของปจจัยในการผลิตคลายคลึงกัน (2)ชวยในการคาดคะเนปริมาณผลผลิตของจังหวัด และสะดวกในการติดตามผลวาบรรลุ ถึงเปาหมายที่ทางจังหวัดตองการหรือไม (3)ชวยในการพิจารณาเลือกชนิดของพืชที่ปลูกตามความตองการของตลาดโดยให เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน 2. ควรเรงการเพิ่มผลผลิตตอหนวยพื้นที่ใหไดผลอยางจริงจังขึ้นโดยพิจารณาใหเหมาะสมกับ สภาพที่เปนอยูปจจุบัน เชน หาวิธีการปรับปรุงบํารุงดินที่เหมาะสม มีการเลือกใชพันธุพืชที่ดี มีการกําหนดเวลา การปลูกพืชที่สอดคลองกับสภาพอากาศ พื้นที่ที่มีการชลประทานควรมีการพัฒนาระบบชลประทานใหมี ประสิทธิภาพตลอดจนมีหลักในการปองกันโรคและแมลงที่ดี 3. ควรมีการจัดระบบการปลูกพืชที่เหมาะสม การจัดระบบการปลูกพืชขึ้นอยูกับปจจัยหลาย อยาง เชน สภาพของดิน ปริมาณน้ําฝน หรือลักษณะของแหลงน้ํา ตลอดจนอายุและลักษณะของพืชที่จะปลูก ระบบการปลูกพืชไมจําเปนตองเปนระบบเดียวกันทั้งจังหวัด การจะใชระบบการปลูกพืชแบบไหนขึ้นอยูกับ ความเหมาะสม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไดตามความตองการ แตควรยึดหลักเกณฑโดยทั่วๆไปวาจะพยายาม ปลอยใหดินอยูในสภาพวางเปลาระยะเวลานอยที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งพยายามปลูกพืชหลายๆ ชนิด ในรอบป นั่นเอง 4. ควรมีการกําหนดเปาหมายการผลิตไวลวงหนา เพื่อจะไดเตรียมการอยางพรอมเพรียง การ กําหนดเปาหมายวาจะปลูกอะไร ตองการที่จะใหไดผลผลิตเทาใด ควรพิจารณามาจากลักษณะทางสังคมของ เกษตรกร ตลอดจนความเอื้ออํานวยของปจจัยในการผลิตตางๆ 5. บริเวณที่มีศักยภาพทางการเกษตรสูง และมีปจจัยในการผลิตพรอมมูล เชน บริเวณพื้นที่ เขตโครงการชลประทาน ควรจะไดมีโครงการจัดรูปที่ดินขึ้นเพื่อใหไดประโยชนจากพื้นที่อยางสมบูรณ ใน บริเวณที่อาศัยน้ําฝนก็อาจใหสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) เขามาจัดการ เชน บริเวณปาที่จะ เปดใหราษฎรเขาอยูอาศัย 6. ควรมีการประกันราคาผลผลิตทางเกษตร เพื่อใหเกษตรกรขายไดราคาที่เหมาะสมคุมกับการ ลงทุน 7. ควรปรับปรุงสถาบันที่เกี่ยวของกับเกษตรกรใหมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น เชน กลุมเกษตรกร สหกรณการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณการเกษตร องคการตลาดเพื่อเกษตรกรรม รัฐควร สนับสนุนและสงเสริมใหสถาบันเกษตรกรตางๆ เหลานี้สามารถขยายธุรกิจไดกวางขวางมากขึ้น
8.
8 8. ปรับปรุงและแกไขกฎหมายที่เกี่ยวของกับการใชที่ดินใหเหมาะสม โดยเฉพาะอยางยิ่ง กฎหมายที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน
ที่ดินอยูในความดูแลของทหารหรือที่ดินที่หมดสภาพเปนปาสงวนแลว แตมี ศักยภาพพอที่จะใชปลูกพืชเศษฐกิจได และมีราษฎรอาศัยอยูมาก เชน บริเวณ 2 ฝงแมน้ํา ควรเพิกถอนแลว จัดใหราษฎรมีเอกสิทธิ์ในการทํากินใหถูกตองตามกฎหมาย แตในบริเวณใดที่มีดินเลว ยากในการปรับปรุง แกไข ควรนํามาพิจารณาเพื่อใชในกิจการอื่นๆ เชน ทางดานปศุสัตวหรือพัฒนาใหเปนปาโดยการปลูกทดแทน นอกจากนี้ควรเนนการตรากฎหมายเกี่ยวกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทางดานอนุรักษดินและน้ํา เพื่อรักษาทรัพยากรอันล้ําคาเหลานี้ไวชั่วหลาน - แผนการใชที่ดินเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว 48,699,633 ไรหรือรอยละ 15.19 ของพื้นที่ประเทศ บริเวณที่กําหนดแผนใหใชเพื่อการทําทุงหญาเลี้ยงสัตว ไดแก บริเวณที่เปนดินตื้น ปาถูกทําลายและจะมีความ ลาดชัน ทําใหหนาดินถูกชะลางพังทลายออกไปมาก ความอุดมสมบูรณของดินก็จะลดลงตามไปดวย การทําพื้น ที่มาใชปลูกหญาเพื่อทําการปศุสัตวมีการยึดตัวกันหนาแนนขึ้นทําใหยากตอการชะลางหนาดิน นอกจากนี้รากพืช ที่ยึดเกาะกันเองและยึดเกาะดิน จะทําใหดินเพิ่มอินทรียวัตถุเพิ่มความชื้นในดินและทําใหดินเกาะกันดีขึ้น ถา หากปลูกพืชตระกูลถั่วปนในแปลงหญาแลว นอกจากจะทําใหคุณคาของอาหารสัตวเพิ่มขึ้นแลวรากของพืช ตระกูลถั่วยังสรางปมเพื่อยึดไนโตรเจน ทําใหดินมีธาตุไนโตรเจนเพิ่มขึ้นจากธรรมชาติไดอีก ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อปศุสัตว เกษตรกรนอกจากจะปลูกพืชแลวยังมีการเลี้ยงสัตวควบคูไปดวยเพื่อไวใชงานและผลพลอยได ของครอบครัวที่ทําเปนการคามักมีอยูนอย จากขอมูลทางทรัพยากรดินมีพื้นที่ที่จะนํามาพัฒนา เพื่อจัดทําทุง หญาเลี้ยงสัตวได นโยบายที่ควรนําพื้นที่มาพัฒนาเพื่อการปศุสัตวควรดําเนินนโยบายดังนี้ 1. ดําเนินการใชประโยชนที่ดินตามแผนที่กําหนดบริเวณ โดยพื้นที่นี้มักไมเหมาะสมในการที่จะ นํามาใชปลูกพืช 2. ควรมีการจัดการที่ดี โดยการจัดใหมีการปลูกหญาปนพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มคุณคาของอาหาร และเปนการบํารุงดิน พรอมทั้งพัฒนาแหลงน้ําเพื่อใหสัตวบริโภค และเพื่อการรักษาสุขอนามัยสัตว 3. ควรกําหนดเปาหมายการผลิตและการตลาดใหสอดคลองสัมพันธ กับการพัฒนาปศุสัตว 4. รัฐควรใหการสนับสนุนอยางจริงจังในดานการจัดหาพันธุสัตวที่ดี การใหคําแนะนําเกี่ยวกับ การปฏิบัติบํารุงรักษา การแนะนําดานการตลาด ตลอดจนการถายทอดเทคโนโลยี เชน เทคนิคการผสมเทียม การคนควาสูตรอาหารที่มีคุณภาพดี ราคาต่ํา เปนตน 5. รัฐตองมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการเก็บรักษา และการแปรรูปผลิตภัณฑ เชน การจัด กลุมผูเลี้ยงสัตวเพื่อสรางหองเย็นเก็บรักษาผลิตภัณฑ เชน นม เนื้อ ไข มีการจัดสรางโรงฆาสัตวที่ทันสมัย สงเสริมการผลิตตอเนื่อง เชน การทําไอศครีม นมเปรี้ยว เนย กุนเชียง ผลิตภัณฑสําเร็จรูป และผลิตภัณฑที่ บรรจุกระปอง - แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม ไดแก บริเวณที่เปนภูเขา เนินเขา บริเวณที่เปนดินตื้นมาก บริเวณที่มีหิน โผล หรือบริเวณที่มีปาชายเลนหรือบริเวณปาตามธรรมชาติขึ้นหนาแนนอยูแลว บริเวณปาชายเลนหรือบริเวณที่ แนะนําใหคงสภาพไวเปนปาธรรมชาติ เพื่อรักษาไวเปนตนน้ําลําธารเปนที่รักษาระบบนิเวศนวิทยา สวนใดที่มีแร ที่มีคุณคาเมื่อมีการใชสัมปทานควรมีขอกําหนด และควบคุมผูใชสัมปทานดําเนินงานใหถูกตองตามหลักวิชาการ เพื่อใหเกิดความเสียหายตอบริเวณนี้ใหนอยที่สุดตลอดจนทําการปรับปรุงพื้นที่ใหใกลเคียงกันกับกอนไดรับ สัมปทาน และไมใหรบกวนระบบนิเวศนดวย เชน การปลอยน้ําจากการลางแร 1. เขตปาชายเลน มีเนื้อที่ 1,128,494 ไร หรือรอยละ 0.35 ของเนื้อที่ประเทศ เปน บริเวณปาที่อยูตามชายทะเลเปนปาชายเลน เชน โกงกาง แสม ลําพู จาก ตาตุม เสม็ด เปนบริเวณที่มีไม
9.
9 คุณภาพสูงที่ใชในการทําถาน ฟน เสาเข็ม
นอกจากนี้ยังเปนบริเวณที่มีความสําคัญตอระบบนิเวศนตอสัตวบก และสัตวน้ําในทะเล ปจจุบันพื้นที่ปาชายเลนถูกบุกรุกเปนอยางมากเนื่องจากธุรกิจกุงกุลาดําทํารายไดเปนอยางดี กับเกษตรกร แตทําใหมีการใชประโยชนปาชายเลนในดานเศรษฐกิจเพื่ออนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และการ อนุรักษระบบนิเวศนแลวควรมีมาตรการในการใชพื้นที่ปาชายเลนดังตอไปนี้ 1) กําหนดเขตการใชปาชายเลนใหแนนอนและมีกฎหมายรองรับ 2) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาระบบนิเวศนวิทยาอยางสมบูรณเพื่อทราบถึง ขอมูลพื้นฐานของสิ่งตางๆที่มีอยูในวงจรระบบนิเวศนปาชายเลน ศึกษา ความสัมพันธเกี่ยวเนื่องตลอดจนผลกระทบตางๆ ที่จะเกิดขึ้น 3) สงเสริมและเรงรัดใหมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหมๆ ในเรื่อง ของการจัดการเพื่ออนุรักษและการใชประโยชนปาชายเลน 4) ควรใหมีการฟนฟูสภาพปาชายเลนโดยการสงเสริมการปลูกสรางสวนปาชายเลนให มากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแบบการทําประมงรวมดวย 5) ควรใหมีการประสานงานของหนวยงานที่มีหนาที่เกี่ยวของกับการใชทรัพยากรปา ชายเลนเพื่อวางแผนการใชทรัพยากรธรรมชาติดังกลาวแตละดานใหถูกตองตาม หลักวิชาการและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไมทําลายระบบนิเวศนปาชายเลน 2. เขตปาพรุ มีเนื้อที่ 261,860 ไร หรือรอยละ 0.08 ของเนื้อที่ประเทศ สวนใหญ ไดแกบริเวณปาพรุในจังหวัดนราธิวาส เปนพื้นที่ปาที่เกิดในพรุใหญที่สุดในประเทศไทยเปนพื้นที่ควรสงวนไว เพราะมีคุณคามหาศาลตอระบบนิเวศน ถามีการเขาไปจัดการหรือทําลายปาพรุนี้จะกอใหเกิดผลกระทบอยาง มากมาย ตอระบบนิเวศนในบริเวณนี้และบริเวณใกลเคียง 3. เขตปาไมทั่วไป มีเนื้อที่ 99,688,037 ไร หรือรอยละ 31.09 ของเนื้อที่ประเทศ ไดแก ปาตางๆ ตามภูเขา เนินเขา และพื้นที่ราบทั่วๆไป และพื้นที่ที่ไมเหมาะสมในการทําประโยชนอยางอื่น เชน บริเวณพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง ที่ที่มีหินโผล เปนตน บริเวณเหลานี้ควรอนุรักษปาธรรมชาติไว และทําการ เพาะปลูกปาทดแทนเพื่อใหมีพื้นที่ตนน้ําลําธารอยูในสัดสวนที่เหมาะสมเพื่อรักษาระบบนิเวศนของพื้นที่ดวย ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม เพื่อรักษาและควบคุมทรัพยากรปาไมใหคงสภาพสมบูรณที่สุดเทาที่จะทําได อันจะเปนประโยชน โดยตรงตอสภาพทางนิเวศนตางๆจึงเห็นสมควรใหปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ “นโยบายการใชและ กรรมสิทธิ์ที่ดิน” ซึ่งพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้คือ ไดจําแนกประเภทที่ดินอยางกวางขวางออกเปน 2 เขต คือ 1. พื้นที่ทําการเกษตรที่อยูอาศัย และอื่นๆ 160.35 ลานไร 2. ปาไมถาวร เนื้อที่ประมาณ 160.35 ลานไร ในพื้นที่ปาไมถาวร 160.35 ลานไร กรมปาไมไดประกาศเขตปาสงวนแหงชาติ เขตวนอุทยาน แหงชาติเขตรักษาพันธุสัตวปา และอื่นๆ ไดพื้นที่ประมาณ 123 ลานไร และมีปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศ เปน ปาสงวนอีก เรียกวา ปาเตรียมการสงวน ในสวนของพื้นที่ปาไมถาวรนั้น คณะรัฐมนตรีไดกําหนดนโยบายพอสรุปสาระสําคัญไดดังนี้ ก. พื้นที่ปาไมถาวรที่ยังไมไดประกาศเปนเขตปาสงวนแหงชาติ ใหดําเนินการดังตอไปนี้ 1) ใหกระทรวงเกษตรและสหกรณรวมกับกรมที่ดิน กรมแผนที่ทหาร และหนวยงานที่ เกี่ยวของทําการสํารวจและจําแนกที่ดินอยางละเอียด ภายใตการกํากับดูแลของ คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน
10.
10 2) พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตร แตยังมีสภาพปาไมอยูใหรักษาไวเปนปาตอไป
ไมควร จําแนกออกเปนพื้นที่ทํากิน 3) พื้นที่ที่จําแนกเปนปาไม ใหกรมปาไมดําเนินการประกาศ เปนปาสงวนแหงชาติ ตาม หลักเกณฑของกรมปาไม ข. พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่ถูกราษฎรบุกรุก ใหดําเนินการดังตอไปนี้ 1) จัดทําโครงการจําแนกประเภทที่ดินภายใตการกํากับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน 2) พื้นที่ไมเหมาะสมแกการเกษตร ใหกรมปาไมหรือหนวยงานที่เกี่ยวของจัดทําโครงการ ใชประโยชนที่ดินทํากิน โดยใหดําเนินการสํารวจความเหมาะสมของดินเปนหลักเกณฑ ในการทําโครงการ - แผนการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง มีเนื้อที่ 2,871,069 ไร หรือรอยละ 0.89 ของเนื้อที่ ประเทศ เปนบริเวณแหลงน้ํา เชน หวย หนอง คลอง บึง แมน้ํา และอางเก็บน้ํา เปนบริเวณที่เสนอแนะใหใช พื้นที่เพื่อการประมง น้ําในอางเก็บน้ําและแมน้ําบางแหงยังสูงมากนํามาผลิตกระแสไฟฟาเพื่อการชลประทาน อุปโภคบริโภค การขับดันน้ําเค็มบริเวณใกลปากอาว บางแหงนํามาใชเปนสถานที่พักผอนหยอนใจ เชน บริเวณ ริมฝงแมน้ํา หนองน้ํา ริมอางเก็บน้ํา การพักตามแพริมน้ําหรือเกาะในอางเก็บน้ําหรือการลองแพหรือลากจูงแพ เปนตน ขอควรระวังการใชพื้นที่บริเวณนี้ก็คือ การทิ้งของเสียลงในน้ําเพราะจะมีผลตอระบบนิเวศน ผลกระทบ ตอสัตวน้ําและตอผูใชน้ําตอนลางของแมน้ํา ขอเสนอแนะการใชที่ดินเพื่อการพัฒนาการประมง ถึงแมวาการใชประโยชนที่ดินเพื่อกิจการประมงจะจํากัดอยูในบริเวณที่มีน้ําอยูแลวในธรรมชาติหรือ แหลงน้ําที่มนุษยทําขึ้น เชน อางเก็บน้ํา บอ สระ เราก็จําเปนที่จะตองกําหนดแนวนโยบายหรือมาตรการ เกี่ยวกับกิจการประมงขึ้นมา เพราะปริมาณของสัตวน้ําหรือทรัพยากรประมงจะสมบูรณมากนอยเพียงใดยอมขึ้น โดยตรงกับคุณภาพของน้ําที่เปนอยูในปจจุบันระบบนิเวศนที่เกี่ยวของตลอดจนลักษณะหรือวิธีการประมง เพื่อคงไวซึ่งทรัพยากรประมงในแหลงน้ําตางๆ อันเปนการสนับสนุนใหประชาชนมีรายไดจากการ ประมงสําหรับยกระดับของตนเองใหสูงขึ้น และจะชวยใหทรัพยากรประมงอยูโดยถาวรตลอดไป แนวทางและ มาตรการในการใชประโยชนที่ดินเพื่อการประมงควรดําเนินการดังตอไปนี้ 1. พิจารณาคุณภาพของน้ําและขนาดของพื้นที่ของการประมง โดยทําการสํารวจ ปกเขต รังวัด ลํา คลอง หนองบึง แหลงน้ําสาธารณะเพื่อทําการบูรณะใหมีสภาพเหมาะสมในการประมง 2. ทําการสํารวจพันธุสัตวในแหลงน้ําทั้งหมด และปลอยพันธุปลาลงเพื่อเพิ่มผลผลิตในแหลงน้ํา ตอไป 3. สนับสนุนและออกมาตรการในการจัดการลุมน้ํา เพื่อใหพื้นที่รับน้ําของอางเก็บน้ํา หนองน้ํา ลํา คลองธรรมชาติอื่นๆ ใหไดน้ําที่เหมาะสมทางดานปริมาณ คุณภาพ และในเวลาที่ตองการ และเพื่อรักษาความ สมดุลยของระบบนิเวศน 4. ควรกําหนดแนวกันชนรอบอางเก็บน้ําเพื่อปองกันผลกระทบซึ่งเกิดจากการกระทําของมนุษย 5. ดําเนินการดานอนุรักษและบํารุงพันธุสัตวน้ํา เชน กําหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุสัตวน้ํา กําหนดเวลาและวิธีการประมงที่เหมาะสม ควบคุมปริมาณผลผลิตสัตวน้ําที่จับดวยเครื่องมือบางประเภท และ พิจารณาหาทางดําเนินการบํารุงพันธุสัตวน้ําที่มีคุณคาทางเศรษฐกิจใหมีปริมาณเพิ่มขึ้น 6. ควรดําเนินการพัฒนาเทคโนโลยีทางการประมง และพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําใหแก ราษฎร ภายในจังหวัดตางๆ มักจะมีหนวยงานวิชาการที่เกี่ยวของกับการประมงอยู 2 หนวยงาน คือ สถานี ประมง และสํานักงานประมงจังหวัด ซึ่งมีหนาที่เพาะพันธุสัตวน้ําจืด ทดลองคนควาเพื่อปรับปรุงการเพาะเลี้ยง
11.
11 และขยายพันธุสัตว แลวนําวิทยาการแผนใหมไปเผยแพรสงเสริมและสาธิตใหแกเกษตรกรผูประกอบอาชีพเลี้ยง สัตวน้ําจืดใหดําเนินการถูกตองตามหลักวิทยาการ และปรับปรุงแหลงน้ําสาธารณะใหผลผลิตทางการประมงสูง เนื่องจากแผนการใชที่ดินสําหรับประเทศไทยเปนการผลิตแผนที่ที่มีมาตรสวนเล็กไมสามารถกําหนด พื้นที่นี้ใหเหมาะสมเพื่อการอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยูอาศัยไดจึงขอเสนอแนวนโยบาย
การใชที่ดินเพื่อการ อุตสาหกรรมและเพื่อเปนเมืองและชุมชนดังตอไปนี้ นโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม การใชที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมยังดําเนินไปยังไมสัมพันธกับศักยภาพของที่ดินที่นํามาใชประโยชน เทาที่ควร ซึ่งการใชประโยชนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมควรมีนโยบายและมาตรการดังตอไปนี้ 1. บริเวณที่ดินที่จะทําเมื่อพัฒนาเพื่อการอุตสาหกรรมควรเปนพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรต่ํา 2. ควรสนับสนุนใหใชทรัพยากรในประเทศ ใชแรงงานจํานวนมากและเพื่อการสงออก โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมในดานการเกษตร 3. ควรจัดเปนยานหรือนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสะดวกในการจัดระบบตางๆ เชน ถนน ไฟแรงสูง น้ํา โทรศัพท Telex 4. ควรจัดใหมีบริการพื้นฐานที่สมบูรณ เชน มีบริการสาธารณูปโภค สถานพักผอนหยอนใจ สถานศึกษา สถานพยาบาล การระบายน้ํา 5. ควรมีระบบควบคุมมลภาวะ กลาวคือ มีการควบคุมการกําจัดน้ําเสีย การทิ้งสิ่งปฏิกูล การ ควบคุมไมใหมีการทิ้งโลหะหนักลงในแมน้ํา ลําคลอง การกําจัดเสียง กลิ่นและควัน เปนตน 6. ไมควรตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใกลกับสถานชุมชน สถานที่ราชการ สถานที่ทองเที่ยว ตลอดจน สถานพักผอนหยอนใจ 7. บริเวณที่มีการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมควรใหมีผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอยที่สุด แนวนโยบายการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชน เพื่อใหมีการใชประโยชนที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชนเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ ควรมีนโยบาย และมาตรการดังตอไปนี้ 1. ควรกําหนดเขตการตั้งชุมชนไวลวงหนาในพื้นที่ที่แนนอน เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนใน อนาคต 2. สนับสนุนใหมีการวางผังเมืองรวมของชุมชนตางๆ 3. ควรจัดการใชประโยชนที่ดินใหเปนระเบียบ โดยกําหนดพื้นที่การใชประโยชนแยกออกไปตาม ลักษณะการใช เชน บริเวณที่ตั้งหนวยราชการ บริเวณที่ทําการธุรกิจ บริเวณที่อยูอาศัย บริเวณทําสถานที่ พักผอนหยอนใจ บริเวณทําสวนหยอม สวนสาธารณะตลอดจนจัดบริเวณที่รองรับและกําจัดของเสีย เปนตน ตาราง สรุปแผนการใชที่ดินของประเทศไทย เนื้อที่สัญลักษณ แผนการใชที่ดิน ไร รอยละ 1. 1.1 1.2 แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรม ก. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน เขตชลประทาน หรือมีศักยภาพใน การชลประทาน เขตทํานา เขตปลูกพืชไร ข. แผนการใชที่ดินเพื่อการกสิกรรมใน 168,047,857 67,277,601 43,824,203 23,453,398 100,770,256 52.40 20.98 13.67 7.31 31.42
12.
12 1.3 1.4 1.5 2. 3. 3.1 3.2 3.3 เขตที่อาศัยน้ําฝน เขตทํานา เขตปลูกพืชไร เขตปลูกไมผล-ไมยืนตน แผนการใชที่ดินเพื่อทุงหญาเลี้ยงสัตว แผนการใชที่ดินเพื่อกิจการปาไม เขตปาชายเลน เขตปาพรุ เขตปาไมทั่วไป เขตพัฒนาเพื่อกิจกรรมประมงและแหลงน้ํา 10,581,939 85,716,928 4,471,389 48,699,633 101,078,391 1,128,494 261,860 99,688,037 2,871,069 3.30 26.73 1.39 15.19 31.52 0.35 0.08 31.09 0.89 รวม 320,696,950 100 ที่มา
: กรมผังเมือง ความเหมาะสมของที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมของประเทศไทย ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน
13.
13 การใชที่ดินของประเทศไทย พ.ศ. 2543
14.
14 หมายเหตุ : 1. ขอมูลการใชที่ดินจัดทําจากแผนที่การใชที่ดินระดับลุมน้ําและระดับจังหวัดปลาสุด
และวิเคราะหจากภาพ ดาวเทียม LANDSAT-TM มาตราสวน 1: 500,000 บันทึกขอมูลป พ.ศ. 2541 2. พื้นที่ปาไมรวมทั้งพื้นที่ปาเสื่อมโทรมดวย 3. พื้นที่สวนปารวมอยูในพื้นที่บางสวนของไมยืนตนดวย 4. ไรหมุนเวียนเปนการปลูกพืชอายุสั้นบนพื้นที่ลาดชัน การปลูกพืชจะยายหมุนเวียนพื้นที่เพาะปลูกเพื่อใหดิน พักตัว และมีความอุดมสมบูรณเหมาะสมในการปลูกพืช 5. ทุงหญาธรรมชาติ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือพื้นที่เคยถูกใชทําประโยชนมากอน มีสภาพเปนทุง หญาสลับไมพุมหรือมีไผขึ้น 6. พื้นที่ลุมเปนพื้นที่ไมใชประโยชน มีสภาพเปนพื้นที่ลุมน้ําขัง มีหญาหรือวัชพืชน้ําขึ้นปกคลุม ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน การเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย พ.ศ. 2523,2529 และ 2541 จากขอเท็จจริงที่วาการใชที่ดินนั้นไมคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา กรมพัฒนาที่ดินได ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินของประเทศไทย โดยการแปลภาพถายทางอากาศ และภาพดาวเทียม และ การตรวจสอบในสนาม ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 พบวาในขณะที่พื้นที่ปาไมลดลง พื้นที่เกษตรกรรม เพิ่มขึ้น รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 เทาตัวจาก พ.ศ. 2523 อยางไรก็ตามเปนที่นาสังเกตวาตั้งแต พ.ศ. 2529 เปนตนมา พื้นที่นาไดลดลงประมาณ 3.5 ลานไร ขณะเดียวกันพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตวน้ําไดเพิ่มขึ้น ประมาณ 1 ลานไร ตารางแสดงการเปรียบเทียบการใชที่ดินบางประเภทของประเทศไทย พ.ศ. 2523 , 2529 และ 2541
15.
15 หมายเหตุ : 1)
- 3) แปลจากภาพดาวเทียมมาตราสวน 1: 500,000 4) รวมนาเกลืออยูดวย 5) ไมไดจําแนกเปนพื้นที่ปาไมโดยเฉพาะ แตรวมอยูในพื้นที่อื่นๆ ที่มีเนื้อที่ทุกประเภทรวม 134,523,887 6) เปนพื้นที่ทุงหญาธรรมชาติที่มีที่ดินที่ไมไดใชประโยชนรวมอยูดวย ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน จากขอมูลระดับประเทศดังกลาวจะพบวา ในขณะพื้นที่ปาไมลดลงเปลี่ยนมาเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แตในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมนั้น “ที่นากลับลดลง” ที่นาที่ลดลงนั้นไดเปลี่ยนสภาพไป เปนโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยูอาศัย สนามกอลฟ รีสอรทหรือที่พักผอนหยอนใจจํานวนมาก จากการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดินพบวา ในระหวางป พ.ศ. 2530 - 2536 ที่ดินเพื่อการเกษตร ในเขตปริมณฑลเปลี่ยนแปลงสภาพไปเฉลี่ย 18,000 ไร ตอป ในเขตปริมณฑลที่มีการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินเกษตรกรรมเพื่อกิจกรรมอื่นๆ มากพื้นที่หนึ่งคือ จังหวัดปทุมธานี จากการสํารวจในป พ.ศ. 2531 จังหวัดปทุมธานีมีโครงการบานจัดสรรจํานวน 46 โครงการ (โสภณ ชมชาญ 2538) ตอมาในเดือนมีนาคม 2537 จากการสํารวจในพื้นที่อําเภอคลองหลวง ธัญบุรี และ หนองเสือ พบวามีโครงการจัดสรรที่ดิน บานจัดสรร รีสอรท และสนามกอลฟรวม 146 โครงการ ในเดือน กุมภาพันธ 2543 ไดมีการสํารวจโครงการบานจัดสรร เหลืออยูประมาณ 30 โครงการ แตพื้นที่ที่อยูในโครงการ พัฒนาที่ดินตางๆ ที่หยุดหรือชลอโครงการไว ซึ่งเดิมเปนที่เกษตรกรรมไดทิ้งรางมิไดใชประโยชนเปนจํานวน มาก ที่ตั้งของโครงการดังกลาวนี้เปนพื้นที่ที่เหมาะสมตอการเกษตรและอยูในเขตชลประทาน ไดมีการประมาณ ถึงผลผลิตทางการเกษตรวา หากมีการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมในภาคกลางโดยทั่วไป 1 ไร จะเทากับสูญเสีย พื้นที่เกษตรกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 4 ไร
16.
16 อยางไรก็ตามจากการวิเคราะหพบวา พื้นที่ที่ไมไดใชประโยชน ซึ่งมีจํานวน
32.1 ลานไร 36.45 ลานไร และ 29.89 ลานไร ใน พ.ศ. 2523, 2529 และ 2541 ตามลําดับนั้น สวนหนึ่งเคยเปนที่ดินที่ใชเพื่อ เกษตรกรรมมากอน ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่การเกษตรในแตละชวง จะมีเนื้อที่เกษตรกรรมมากกวา 168 ลาน ตาม ความสามารถในการรองรับ (carrying capacity) มาตั้งแต พ.ศ. 2529 หากจะวิเคราะหจากพื้นที่ปาไมที่ยังคงเหลืออยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3 ลานไร * และคงสภาพปาอยูเพียง 81 ลานไรแลว จะวิเคราะหได 2 กรณี คือ (1)กรณีใชพื้นที่ในความรับผิดชอบ 103.3 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน 217.4 ลานไร (320.7-103.3 = 217.4 ลานไร) (2) กรณีใชพื้นที่ปาไมที่ยังเหลืออยูจริง 81 ลานไร จะมีพื้นที่ที่ใชเพื่อกิจกรรมอื่นๆ จํานวน 239.7 ลานไร (320.7-81 = 239.7 ลานไร) “จากผลการวิเคราะหดังกลาวจะแสดงใหเห็นวา การใชที่ดินในปจจุบันโดยเฉพาะเพื่อการ เกษตรกรรม เกินกวาความสามารถในการรองรับของที่ดินได จึงเกิดปญหาที่ดินที่สงผลใหสิ่งแวดลอมของ ชาติเสื่อมโทรมลงอยางรวดเร็ว” * ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 และ 17 มีนาคม 2535 นั้น ไดมีการจําแนกพื้นที่ปาไมเปนเขต อนุรักษ (โซน C) จํานวน 88.23 ลานไร เขตเศรษฐกิจ (โซน E) จํานวน 51.88 ลานไร และเขตที่ เหมาะสมตอการเกษตรกรรม (โซน A) จํานวน 7.22 ลานไร ตอมาใน พ.ศ. 2536 กรมปาไมไดสงมอบ พื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่มีประชาชนเขาทํากินรวม 44 ลานไร ใหแกสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งสวนหนึ่งมาจากปาเศรษฐกิจ (โซน E) ดังนั้น ปาอนุรักษ (โซน C) และปา เศรษฐกิจ (โซน E) จึงอยูในความรับผิดชอบของกรมปาไมประมาณ 103.3 ลานไร ปญหาที่เกี่ยวของกับทรัพยากรที่ดิน 1. ปญหาทางกายภาพ ไดแก 1.1 ความอุดมสมบูรณของดินโดยธรรมชาติต่ํา เนื่องจากวัตถุตนกําเนิดดินมีแรธาตุอาหารพืชเปนองคประกอบต่ํา ประกอบกับประเทศไทยอยูในเขตที่มีฝนตกชุก แรธาตุตาง ๆ เปลี่ยนสภาพและถูกชะลางไปกับน้ําไดรวดเร็ว อีกทั้ง พื้นที่ที่ทําการเกษตรกรรมถูกใชมาเปนเวลาชานานโดยไมมีการบํารุงดูแลรักษา 1.2 ดินมีปญหาพิเศษ ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินไดทําการศึกษา พบวา ดินที่มีปญหา จํานวนเนื้อที่ (ไร) 1. ดินเค็ม (Salt Affected Soils) 21,718,774 1.1 ดินเค็มชายทะเล (Coastal Saline Soils) 3,611,567 1.1.1 ดินเค็มชายทะเลที่มีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils, Potentially Acid) 2,885,081 1.1.2 ดินเค็มชายทะเลที่ไมมีความเปรี้ยวแฝง (Coastal Saline Soils, 726,486
Download now