DEVC++ & MATLAP

1. การใช้โปรแกรม DEVC+++ เขียนภาษา C
กด Ctrl+N เพื่อสร้าง หน้าใหม่สาหรับเขียนโค้ด
#include <stdio.h> คือจุดเริ่มต้นของการเขียนภาษา C
void main( ) คือ ส่วนของฟังก์ชัน main() โดยประกาศชนิดข้อมูลที่คืนค่ากลับเป็น void และ
ค่าที่รับเข้ามาในฟังก์ชันเป็น void หมายถึง ฟังก์ชันนี้จะไม่มีการคืนค่าใดๆ กลับออกไป และไม่
มีการรับค่าใด ๆ เข้ามาในฟังก์ชัน

2. ต้องใส่ปีกกาทุกครั้ง { }
Printf คือ คาสั่งให้แสดงผล
โดย save นามสกุลเป็น .c
พิมพ์ประโยคที่ต้องการให้แสดงใน (“…ประโยค...”)
เมื่อจบคาสั่งแต่ละบรรทัดต้องใส่ ; ทุกครั้ง !!!

3. n คือ คาสั่งในการขึ้นบรรทัดใหม่ แล้วกด F11 เพื่อแสดงผล
a คือ คาสั่งที่ทาให้เกิดเสียง
 การบวกเลข
int คือ การกาหนดตัวแปร ใช้คู่กับ %d
ซึ่งเป็นการประกาศค่าจานวนเต็ม
“,” สาคัญมาก ถ้าไม่มีจะทาให้ค่า
คลาดเคลื่อนได้

4.  การคูณธรรมดา
โจทย์: รับค่าเลขจานวนเต็ม 2 จานวน และหาผลคูณของเลขจานวนทั้ง 2 จานวน
1. Int %d คือการประกาศค่าตัวแปรจานวนเต็ม
-sum คือผลรวม
-num1 , num2 คือตัวเลขที่จะต้องกรอกข้อมูลเข้าไปตอนแสดงผล โดยสุดท้ายจะต้องบอกทุก
ครั้งว่ารับค่าเปอร์เซ็นอะไร
2. Printf(“…ข้อมูลที่ต้องการให้แสดง..”) จะเป็นข้อความหรือสมการก็ได้
ถ้าเป็นสมการ ให้เขียนสมการใน “ ” แล้ว , เพื่อบอกว่าสมการนั้นมีตัวแปรคืออะไรบ้างแล้วใส่
วงเล็บปิด
3. Scanf คือ การนาเข้าข้อมูล โดยใส่ %d แล้วให้ระบุว่า %d นั้นคืออะไร โดยต้องมี ,&เสมอ
4. กาหนดสมการ แล้ว printf ค่าของสมการ

5.  การหาพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู
Float %f คือการประกาศค่าตัวแปลที่เป็นจุดทศนิยม แล้วทาตามขั้นตอนของ int %d
 การเปลี่ยนคริตศักราช เป็นพุทศักราช

6.  จงหาพื้นที่วงกลม
 การเปลี่ยนพื้นหลัง wallpaper
ต้องระบุหลัง %f ให้ชัดเจนว่า
%f ตัวนั้นหมายถึงอะไร
-การเปลี่ยนพื้นหลัง wallpaper ทุกอย่างต้องระบุให้
ชัดเจนตามนี้เพราะต้องเชื่อมต่อกับdextop
-โดยกรอกที่อยู่ของภาพและชื่อภาพ

7.  การหาตัวอักษร
 การหาจานวนตัวอักษร
การใส่คอมเมน //ข้อความ // หรือ /*ข้อความ */ โดยที่โปรแกรมจะไม่นามาคานวณ
การประกาศตัวอักษรต้องประกาศ char แสดง %c
โดย a มีค่าเป็นตัวเลข คือ97 สามารถบวกเลขได้
ถึง 122 ซึ่งคือตัว z

8.  การใช้ iF else if
 โปรแกรมการคานวณเกรด
การทา IF else if มีการประกาศตัวแปร int เพียงตัวแปรเดียวเท่านั้น หลัง else if ไม่
ต้องใส่ ; และเมื่อจบ else if ต้องใส่ else ปิดท้ายเสมอ

9.  การใช้ if
 การถามว่า “มีพี่ชายไหม ถ้ามี พี่ชายคุณอายุเท่าไหร่”
มีการประกาศตัวแปร 2 ตัวแปร
1.ถามว่ามีพี่ชายไหม ประการตัวแปร char
2.ถามว่าพี่ชายอายุเท่าไหร่ ประกาศตัวแปร int
ถ้าตอบว่าไม่มีจะแสดงผลว่า “Good bye” โดยไม่ต้องมีการถามอายุอีก

10.  การถามอายุ
ประกาศตัวแปร int โดยใช้If else

11.  การใช้ for
For คือ การทาซ้า
For(ค่าเริ่มต้น(เริ่มนับที่ค่าเท่าไหร่);นับถึงลาดับที่เท่าไหร่;.ให้ทาการอะไร (โดยต้องใส่
เครื่องหมายซ้ากัน2ครั้ง))

12.  การคานวณสูตรคูณ
-ประกาศตัวแปร int 2 ตัว คือ mother และ count โดยให้ลูกค้ากรอกเลขแม่สูตรคูณที่
ต้องการเอง
-ใช้for เพื่อให้ทาซ้า

13.  การสร้างกรอบ

14.  การใช้ while

15.  การใช้ while&switch

16.  การใช้ Do while

17. การใช้โปรแกรมMATLAP
โปรแกรมนี้จะง่ายกว่าการเขียนภาษา C เนื่องจากไม่ต้องเขียนโค้ดหลายๆบรรทัด
เขียนคาสั่งได้เลย
, คือ การแบ่งตัวเลขออกจากกัน ถ้าไม่ใส่ , โปรแกรมจะเข้าใจว่าเป็นเลขตัวเดียวกัน
; คือ คาสังให้ขึ้นบรรทัดใหม่
ถ้าเขียนโค้ดผิด แต่ enter ไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้อีก ให้เขียนโค้ดใหม่ขึ้นมา
แทนได้เลย

18.  การนับแบบเรียงค่า
ค่าเริ่มต้น : ค่าสุดท้าย
ค่าเริ่มต้น : นับทีละเท่าไร : ค่าสุดท้าย
การ plot graph
 การ plot กราฟ
กราฟนี้ใช้ค่า x = 0 3 6 9 12 15 18 ตามที่เคยกาหนดไว้

19. กาหนดค่า x เพื่อให้กราฟมีความแตกต่างอย่าเห็นได้ชัด

20.  การเปลี่ยนลักษณะกราฟ
Plot (x, ‘สี เส้น ลักษณะพิกัด’)
1.Plot (x, ‘--bs’) 2. Plot (x, ‘b--o’)
3. Plot (x, ‘c*’) 4. Plot (x, ‘c--*’) 6. Plot (x, ‘y--*’)

21.  การทาเครื่องคิดเลข
เลือก Push Button เพื่อสร้างช่องสาหรับแสดง
ผลลัพธ์และช่องสาหรับปุ่มเครื่องคิดเลข
สาหรับเปลี่ยนสีพื้นหลัง ตั้งชื่อกรอบ และแก้ไขกรอบ

22. สร้าง 4 แถว 5 คอลัม
เลือก Push Button เพื่อสร้างปุ่มตัวเลขและ
เครื่องหมาย

23. *ทาแบบนี้ทั้งตัวเลขและเครื่องหมาย
ใส่ 0 ตรง String
ใส่ zero ตรง Text box

24. พิมพ์code เพื่อให้เลขปรากฏในช่อง input
str=get(handles.input,'String');
str=strcat(str,'0');
set(handles.input,'String',str);
คลิกขวาที่ช่องตัวเลข เลือก View Callbacks
เลือก Callback เพื่อที่จะเขียน code ให้เลข
หรือเครื่องหมายนั้นสามารถใช้งานได้

25. กด Run เพื่อทดสอบว่ากดเลข 0 แล้วจะแสดงในช่องinputหรือไม่ ถ้าเลข 0 สามารถ
แสดงในช่อง input ก็ให้ทาการ
Coppy code อันเดิมแล้วเปลี่ยนจากเลข “0” เป็นเลขอื่นๆของแต่ละฟังก์ชั่น ทาไป
เรื่อยๆ ตั้งแต่ 0-9 และเครื่องหมาย - + X / แล้วทาการทดสอบอีกครั้งเพื่อดูว่าตัวเลข
สามารถใช้งานได้ทุกตัวหรือไม่

26. พิมพ์code เพื่อใช้ฟังก์ชั่น +/-
str=get(handles.input,'String');
s=str2double(str);
e=-(s);
t=num2str(e);
set(handles.input,'String',t);
พิมพ์codeเพื่อใช้ฟังชั่นสแควรูท
str=get(handles.input,'String');
s=str2double(str);
sqr=sqrt(s);
t=num2str(sqr);
set(handles.result,'String',t);
พิมพ์code เพื่อใช้ฟังชั่น %
str=get(handles.input,'String');
s=str2double(str);
per=s/100;
t=num2str(per);
set(handles.result,'String',t);
พิมพ์code เพื่อใช้ฟังชั่น 1/X
str=get(handles.input,'String');
s=str2double(str);
div=(1/s);
t=num2str(div);
set(handles.result,'String',t);
พิมพ์code เพื่อใช้ฟังชั่นผลลัพธ์
str=get(handles.input,'String');
str=evel(str);
set(handles.result,'String',str);
str=get(handles.input,'String');
str=eval(str,'.');
set(handles.result,'String',str);

27.  การเรียกภาพ
เปิด browse for folder เพื่อเปิดไฟล์ภาพ
เรียกไฟล์ภาพโดย imread (ชื่อไฟล์ที่อยู่ของภาพในไดเรกทอรี่) กรณีที่เปิดที่อยู่ของ
ไฟล์แล้ว พิมพ์แต่ชื่อไฟล์
ตัวเลขทั้งหมดคือสีต่างๆ
ในภาพ
บอกให้ทราบว่าเป็น
ภาพสี

28. figure,imshow(I) คือฟังก์ชันให้แสดงภาพ
Figure คือ พื้นที่สาหรับเรียกภาพ , กราฟ
I คือ ชื่อภาพที่ได้ถูกกาหนดขึ้น
 การเปลี่ยนภาพสีเป็นสีเทา
Ggray = rgb2gray(I)

29. Imhist คือฟังก์ชันบอกค่ากราฟ
กราฟที่เห็นในภาพคือจานวนพิกเซล
Im2bw การทาภาพขาวดา

30.  การทาตารางเมตริกซ์
**จานวนเลขต้องเท่ากัน ค่าตัวเลขต่างกันได้**
Image คือบอกค่าสี
Colorbar แสดงเฉดสี
ตารางเมตริกซ์

31.  การเรียกกล้อง webcam
Imaqtool เรียกกล้องเว็บแคม
เลือก Start priview

32.  การทาภาพ 3มิติ
เปิดภาพ กด seract แล้วกด crop ภาพทางซ้าย แล้วกด ctrl z เพื่อกลับมาทาข้างขวา
ใช้new script คือการเขียนคาสั่งทีเดียว
คาสั่งเปลี่ยนภาพสีเป็นเทา
L1 = rgb2gray(imread('left.jpg'));
L2 = rgb2gray(imread('right.jpg'));

33. เปลี่ยนภาพเทา เป็น แดง-ฟ้าอ่อน
ตรงไตเติล จะพิมพ์ตัวเล็กหรือตัวพิมพ์ใหญ่ก็ได้
hold on;
ให้ภาพอยู่ในเฟลมเดียวกัน

34. Code การเขียนภาพ 3 มิติ
I1 = rgb2gray(imread('Lion1.jpg'));
I2 = rgb2gray(imread('Lion2.jpg'));
imshowpair(I1, I2,'montage');
title('I1 (left); I2 (right)');
figure;
imshowpair(I1,I2,'ColorChannels','red-cyan');
title('Composite Image (Red - Left Image, Cyan - Right Image)');
blobs1 = detectSURFFeatures(I1, 'MetricThreshold', 2000);
blobs2 = detectSURFFeatures(I2, 'MetricThreshold', 2000);
figure;
imshow(I1);
hold on;

35. plot(selectStrongest(blobs1, 30));
title('Thirty strongest SURF features in I1');
figure;
imshow(I2);
hold on;
plot(selectStrongest(blobs2, 30));
title('Thirty strongest SURF features in I2');
[features1, validBlobs1] = extractFeatures(I1, blobs1);
[features2, validBlobs2] = extractFeatures(I2, blobs2);
indexPairs = matchFeatures(features1, features2, 'Metric', 'SAD', ...
'MatchThreshold', 5);
matchedPoints1 = validBlobs1(indexPairs(:,1),:);
matchedPoints2 = validBlobs2(indexPairs(:,2),:);
figure;
showMatchedFeatures(I1, I2, matchedPoints1, matchedPoints2);
legend('Putatively matched points in I1', 'Putatively matched points in I2');
[fMatrix, epipolarInliers, status] = estimateFundamentalMatrix(...
matchedPoints1, matchedPoints2, 'Method', 'RANSAC', ...
'NumTrials', 10000, 'DistanceThreshold', 0.1, 'Confidence', 99.99);
if status ~= 0 || isEpipoleInImage(fMatrix, size(I1)) ...
|| isEpipoleInImage(fMatrix', size(I2))
error(['Either not enough matching points were found or '...
'the epipoles are inside the images. You may need to '...

36. 'inspect and improve the quality of detected features ',...
'and/or improve the quality of your images.']);
end
inlierPoints1 = matchedPoints1(epipolarInliers, :);
inlierPoints2 = matchedPoints2(epipolarInliers, :);
figure;
showMatchedFeatures(I1, I2, inlierPoints1, inlierPoints2);
legend('Inlier points in I1', 'Inlier points in I2');
[t1, t2] = estimateUncalibratedRectification(fMatrix, ...
inlierPoints1.Location, inlierPoints2.Location, size(I2));
tform1 = projective2d(t1);
tform2 = projective2d(t2);
I1Rect = imwarp(I1, tform1, 'OutputView', imref2d(size(I1)));
I2Rect = imwarp(I2, tform2, 'OutputView', imref2d(size(I2)));
% transform the points to visualize them together with the rectified images
pts1Rect = transformPointsForward(tform1, inlierPoints1.Location);
pts2Rect = transformPointsForward(tform2, inlierPoints2.Location);
figure;
showMatchedFeatures(I1Rect, I2Rect, pts1Rect, pts2Rect);
legend('Inlier points in rectified I1', 'Inlier points in rectified I2');
Irectified = cvexTransformImagePair(I1, tform1, I2, tform2);

37. figure;
imshow(Irectified);
title('Rectified Stereo Images (Red - Left Image, Cyan - Right Image)');
cvexRectifyImages('left.jpg', 'right.jpg');
 การเปลี่ยนสีภาพเป็น RGB (สีจากแม่สี 3 สี คือสีแดง สีเขียว และสี
น้าเงิน)
ใช้imread ในการเรียกภาพ โดยพิมพ์imread ตามด้วยชื่อภาพและ
นามสกุลของภาพ เช่น imread(‘B40.TIP’) ภาพจะปรากฏขึ้นดังรูป

38. ใช้คาสั่ง imshow ทาการเปลี่ยนแม่แบบสีให้เป็น RGB
ใช้code NIR = histeq(imread('B40.TIF'));
G = histeq(imread('B50.TIP'));
R = histeq(imread ('B40.TIP'));
RGB = cat(3,NIR,G.R);
figure,imshow(RGB);
เมื่อกด F5 ภาพจะเปลี่ยนเป็นเหมือนภาพด้านบน