Recommended
More Related Content
Featured
Featured (20)
Carbohydrate
- 2. บทที่บทที่ 22 เคมีที่เป็นพื้นฐานเคมีที่เป็นพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตของสิ่งมีชีวิต ผู้สอน นายผู้สอน นาย ภูวดล สำาลีภูวดล สำาลี
- 4. จุดประสงค์การ เรียนรู้ • สืบค้น วิเคราะห์และอภิปราย เกี่ยวกับโครงสร้าง และหน้าที่ ของสารอนินทรีย์ที่เป็นองค์ ประกอบของเซลล์สิ่งมีชีวิต • อธิบายสูตรโครงสร้างของสาร อินทรีย์ชนิดต่าง ๆ และบอก หน้าที่ของสารอินทรีย์แต่ละ ชนิด
- 5. การจำาแนกประเภทของสารที่เป็น พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตหลักเกณฑ์ : องค์ประกอบหลักภายในสาร จำาแนกได้ 2 ประเภท • CarbohydrateCarbohydrate • ProteinProtein • LipidLipid • NNucleic aciducleic acid • WaterWater • MineralMineral • WaterWater • MineralMineral
- 7. สสารต่างๆ ในธรรมชาติ ประกอบด้วยธาตุ Sodium Chlorine Sodium Chloride
- 8. ธาตุที่มีความจำาเป็นต่อสิ่งมีชีวิต มีมากกว่า 25 ชนิด แต่มีเพียง 4 ชนิดเท่านั้นที่เป็น องค์ประกอบหลัก ได้แก่ - Carbon(C) - Hydrogen(H) - Oxygen(O) - Nitrogen(N) (มากกว่า 95 %ของนำ้าหนัก ตัว)
- 10. โครงสร้าง อะตอม อะตอมเป็นโครงสร้างที่เล็ก ที่สุดของธาตุที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว ของธาตุหนึ่ง ๆ โครงสร้างอะตอม ประกอบด้วยอนุภาคหลักคือ โปรตอน (Proton) อิเล็คตรอน (Electron)
- 11. การรวมกันของอะตอมเป็นโมเลกุล ด้วยแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมวิธี ต่าง ๆ หรือด้วย Chemical bond ต่าง ๆ ได้แก่ 1. Covalent bond 2. Ionic bond 3. Hydrogen bond 4. Van der Waals interaction 5. Hydrophobic interaction
- 12. - เป็นพันธะที่เกิดระหว่าง อะตอมที่ใช้อิเล็คตรอนวงนอกสุด ร่วมกัน ทำาให้ทั้งสองอะตอมมีอิเล็ค ตรอนวงนอกครบจำานวน 2 หรือ 8 อิเล็คตรอน เกิดความ เสถียรยิ่งขึ้น - มีความแข็งแรงมาก ต้องใช้ ความร้อนสูง จึงจะทำาลายพันธะนี้ได้ 1. covalent bond1. covalent bond
- 14. Polar Covalent Bonds in a water molecule
- 15. 2. Hydrogen bond 2. Hydrogen bond เป็นพันธะที่เกิดจากอะตอมของ H ที่ เกิดพันธะกับอะตอมที่มีค่า electronegativity สูง ทำาให้อะตอมของ H มีประจุบวกน้อย ๆ และพร้อมที่จะเกิด แรงดึงดูดกับอะตอมที่มีค่า electronegativity สูงในโมเลกุลอื่น ๆ ที่ มีประจุเป็นลบน้อย ๆ เช่น โมเลกุลของนำ้า
- 16. 3. Ionic bondเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่าง อะตอมที่มีประจุต่างกัน ตัวอย่างเช่น โมเลกุลของ NaCl เกิดจากอะตอมของ Na ให้ electron แก่ Cl กลายเป็น Na+ ขณะที่ Cl กลายเป็น Cl- ผลทำาให้ electron วงนอกของ อะตอม Na และ Cl ครบ 8
- 18. เป็นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลหรือ ภายในโมเลกุลเดียวกัน มีผลทำาให้เกิด รูปร่างของโมเลกุล แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่ไม่ชอบนำ้า (hydrophobic) เช่น หยดนำ้ามันเล็กๆ ลงใน นำ้า หยดนำ้ามันเหล่านี้ จะรวมกันเป็นหยดใหญ่ เพื่อสัมผัสกับนำ้าน้อยที่สุด แรงดึงดูดระหว่าง หยดนี้ คือ hydrophobic interaction ระหว่าง 5. hydrophobic interaction 4. Van der Waals interaction
- 22. สมบัติของนำ้ำ • เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง - แต่ละโมเลกุลยึดกันด้วย Hydrogen bond
- 23. สมบัติของนำ้ำ • เป็นตัวทำำละลำยที่ดี – Hydrophilic (ชอบนำ้ำ) สำรที่มีสมบัติละลำยนำ้ำ ได้ – Hydrophobic (ไม่ชอบนำ้ำ) สำรที่มีสมบัติไม่ ละลำยนำ้ำKMnO4 KMnO4 ละลำยนำ้ำละลำยนำ้ำ นำ้ำมันพืชนำ้ำมันพืช ไม่ละลำยไม่ละลำย
- 28. • เป็นตัวทำำละลำยที่ดี ซึ่งละลำยสำรได้มำก ที่สุด จึงเรียกเป็น universal solvent • เป็นองค์ประกอบของเซลล์สิ่งมีชีวิตที่พบมำก ที่สุดถึง 2/3 ของนำ้ำหนักตัว • ช่วยรักษำอุณหภูมิในร่ำงกำยของสิ่งมีชีวิต • ช่วยรักษำสมดุลกรด – เบส • ช่วยในกำรลำำเลียงสำรต่ำงๆไปทั่วร่ำงกำย และขับของเสีย • เป็นตัวร่วมปฏิกิริยำเคมีในเซลล์ทุกๆ ปฏิกิริยำ หน้ำที่และควำมสำำคัญต่อสิ่งมีหน้ำที่และควำมสำำคัญต่อสิ่งมี ชีวิตชีวิต หน้ำที่และควำมสำำคัญต่อสิ่งมีหน้ำที่และควำมสำำคัญต่อสิ่งมี ชีวิตชีวิต
- 30. แร่ธำตุ ควำมสำำคัญ อำกำรของพืชที่ขำด แร่ธำตุ ไนโตร เจน N 1.บำำรุงใบ ลำำต้น 2.สร้ำงคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ให้กับใบลำำต้น ผลและควำมเจริญ ของพืช ใบเหลือง โตช้ำ แคระ ผลผลิตตำ่ำ ฟอสฟ อรัส P 1.เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่ เกี่ยวข้องกับกำรแบ่งเซลล์และกำร ถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม และโครโมโซม 2.ช่วยในกำรเปลี่ยนแป้งให้เป็น นำ้ำตำลในพืช 3.ช่วยทำำให้รำกเจริญเติบโตแข็ง แรง 4.ช่วยเร่งให้พืชมีกำรผลิตผลและ เร่งให้ผลสุกเร็วขึ้น ใบเขียวเข้มผิดปกติ ต้นเปรำะหักง่ำย
- 31. แคลเซี ยม Ca 1.เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ 2.เร่งกำรทำำงำนของเอนไซม์ 3.เป็นตัวช่วยในกำรงอกของเมล็ด พืชบำงชนิด ยอดเน่ำ ใบม้วน เข้ำหำกัน รำกเน่ำ รำกสั้นกว่ำปกติ แมกนีเ ซียม Mg 1.เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ ทำำให้พืชมีสีเขียว ใบเหลืองระหว่ำงเส้นใบ ใบเปรำะหักง่ำย มีจุดขำว ลำำต้นเปลี่ยนสีจำกล่ำง จนถึงยอด โพแทส เซียม K 1.ช่วยในกำรผลิตนำ้ำตำล แป้ง และเซลลูโลส และพืชหัวต้องกำร โปแตสเซียมมำก เพื่อช่วยในกำร สะสมแป้ง 2.ช่วยรักษำสมดุลย์ของนำ้ำ 3.ควบคุมกำรปิดเปิดของปำกใบ 4.ปริมำณโปแตสเซียมในพืชเป็น ตัวควบคุมอัตรำเร็วของ กระบวนกำรกำรสังเครำะห์แสง ใบแก่มีจุดเหลือง ใบ ไหม้เกรียม
- 32. 1 2 3
- 33. ธำตุหลักที่พบมำกถึง 96% ของนำ้ำหนักตัว คือ O> C > H> N แร่ธำตุที่พบรองลงมำ 4% ของนำ้ำหนักตัว คือ 1. แคลเซียม Ca 2. ฟอสฟอรัส P 3. แมกนีเซียม Mg 4. โพแทสเซียม K 5. โซเดียม Na 6. เหล็ก Fe 7. ไอโอดีน I 8. ฟลูออไรด์ F
- 34. • โพแทสเซียม K ควบคุมปริมำณนำ้ำในร่ำงกำย ช่วยในกำรหดตัวของกล้ำมเนื้อและ นำำกระแสประสำท • โซเดียม Na ควบคุมปริมำณนำ้ำในร่ำงกำย เกี่ยวข้องกับกำรนำำกระแสประสำท และกำรทำำงำนของกล้ำมเนื้อ • แมกนีเซียม Mg ช่วยในกำรทำำงำนของระบบ
- 35. • แคลเซียม Ca เป็นองค์ประกอบที่สำำคัญของ กระดูกและฟัน ช่วยให้ประสำทและกล้ำมเนื้อ ทำำงำนได้ตำมปกติ ช่วยให้เลือดแข็งตัว • ฟอสฟอรัส P เป็นส่วนประกอบของกรดนิวคลีอิก และATPซึ่งเป็นสำรที่ให้พลังงำน
- 36. • เหล็ก Fe เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบิน และเอนไซม์บำงชนิด • กำำมะถัน S เป็นส่วนประกอบของเครำติน (Keratin) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง และเป็นส่วนประกอบสำำคัญของ ผิวหนัง ขน เล็บ เส้นผม • ไอโอดีน I เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน ไทรอกซินที่ต่อมไทรอยด์
- 37. ธำตุเหล่ำนี้มีควำมจำำเป็นต่อสิ่งมี ชีวิตทั้งสิ้น ถ้ำขำดธำตุใดธำตุหนึ่ง อำจทำำให้เกิดควำมผิดปกติถึงตำย ได้ The effect of nitrogen Goiteriodine deficiency
- 39. functional groupfunctional group • หมู่ฟังก์ชัน = กลุ่มอะตอมที่ แสดงสมบัติเฉพำะ • หมู่ฟังก์ชัน = กลุ่มอะตอมที่ แสดงสมบัติเฉพำะ ◌ สำรประกอบไฮโดรคำร์บอน = สำรประกอบที่มีเฉพำะคำร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ
- 40. Functional groupFunctional group hydro xyl carbo xyl keton e aldeh yde C O R R O C H R O O C H R O HR นำ้ำตำล, กลี เซอรอล กรดไขมัน, กรด อะมิโน นำ้ำตำล นำ้ำตำล หมู่ฟังก์ชัน (function group) คือ หมู่อะตอม หรือกลุ่ม อะตอมของธำตุที่แสดงสมบัติเฉพำะของสำรอินทรีย์ชนิด หนึ่ง โดยไปเกี่ยวข้องในกำรเกิดปฏิกิริยำ
- 41. amin o sulfh ydryl phos phate HR S OO P O O R H R H N โปรตีน, กรดอะ มิโน โปรตีน, กรดอะ มิโน ฟอสโฟลิพิด, นิว คลีโอไทด์กรดนิว Functional groupFunctional group
- 44. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates) คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates)หมายถึง : สารประกอบอินทรีย์ที่พบ มากที่สุด ในธรรมชาติ ประกอบด้วยธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน สูตร โมเลกุล เมื่อ n มีค่าตั้งแต่ 3 - 7 แต่ในธรรมชาติ ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็น 5 หรือ 6 คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) มีรากศัพท์มาจากสูตร (CH2O)n คือคล้ายการเติม นำ้า (hydraets) ลงใน คาร์บอน ดังนั้น คาร์บอน และ ไฮเดรต (CH2 O)n
- 47. 1. มอโนแซ็กคา ไรด์( monosaccharide) 1. มอโนแซ็กคา ไรด์( monosaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็กที่สุด เรียกอีกอย่างว่า นำ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน(C)ตั้งแต่ 3-7 อะต มีสูตรโมเลกุลคือ (CH2O) n เมื่อ n คือ จำานวนอะตอมของ C
- 48. รู้ หรือไม่ ?เพื่อบ่งบอกจำานวนคาร์บอนในมอโน แซ๊กคาไรด์ เรามักจะเรียกชื่อตาม จำานวน คาร์บอน ที่เป็นองค์ประกอบ โดยมีขั้นตอน การอ่าน ดังนี้ 1.อ่านจำานวนคาร์บอน เป็นภาษากรีก สาม อ่านว่า ไตร (tri) สี่ อ่านว่า เตตระ (tetra) ห้า อ่านว่า เพนตะ (penta) หก อ่านว่า เฮกซะ (hexa) 2. อ่านลงท้ายเสียง ด้วยคำา ว่า – โอส (- ose) = Hexos e
- 49. จำานวน อะตอม ของคาร์บอน (C) ชื่อของมอโน แซ็กคาไรด์ ตัวอย่าง 3 ไตรโอส (Triose) Glyceraldehy de 4 เทโทรส (Tetrose) Erythrose 5 * เพนโทส (Pentose) Ribose , deoxyribose 6 * เฮกโซส (Hexose) Glucose , fructose ,
- 54. Linear and ring forms of glucoseLinear and ring forms of glucose http://io.uwinnipeg.ca/~simmons/1115/cm1503/carbohydrates.htm
- 55. 1. มอโนแซ็กคาไรด์( monosaccharide)1. มอโนแซ็กคาไรด์( monosaccharide) 1.กลูโคส (glucose) 1.กลูโคส (glucose) C6H12O 6 C6H12O 6
- 56. กลูโคสมี 2 ฟอร์ม คือ α-glucose และ β – glucose โดยแตกต่างกันที่ C ตำาแหน่งที่ 1 α-glucose จะมีหมู่ OHอยู่ใต้ระนาบของ β – glucose จะมีหมู่ OHอยู่เหนือระนาบขอ
- 57. 1. มอโนแซ็กคาไรด์( monosaccharide)1. มอโนแซ็กคาไรด์( monosaccharide) 2.กาแลกโทส (galactose) C6H12O 6 3.ฟรักโทส (fructose) C6H12O 6
- 58. นำ้าตาลทั้ง 3 ชนิดมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน เราเรียกนำ้าตาลทั้ง 3 ชนิดนี้ว่า เป็น ไอโซเม อร์ (isomer) กัน กลูโคส (glucose) กาแลกโทส ฟรักโทส (fructose) C6H12O 6
- 60. 2.โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide)ที่พบใน ธรรมชาติ ที่พบใน ธรรมชาติ 1. ไดแซ๊กคาไรด์ (disaccharide) di = 2 ได้แก่ มอลโทส (maltose) , แลกโทส (lactose) , และซูโครส (sucrose) 2. ไตรแซ๊กคาไรด์ (disaccharide) tri = 3 ได้แก่ แรฟฟิโนส (raffinose)
- 61. 2. โอลิโกแซ็กคาไรด์( oligosaccharide) เกิดจากมอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่ 2-10 โมเลกุล จับกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก( glycosidic bond) กลูโคส (glucose) กลูโคส (glucose) มอลโทส ( C12H22O11) α -1,4
- 62. 2. โอลิโกแซ็กคาไรด์( oligosaccharide) มอโนแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุล ทำาให้เกิด ไดแซ็กคาไรด์ 1 โมเลกุล และนำ้า 1 โมเลกุล C6H12O6 + C6H12O6 C12H22O11 + H2O
- 64. มอลโทส ( moltose) แลกโทส (lactose) และซูโครส กลูโ คส ฟรัก โทส กา แลกโท ส กลูโ คส พันธะไกลโคซิดิก มอลโทส กลูโ คส พันธะไกลโคซิดิก พันธะไกลโคซิดิก ซูโครส กลูโ คส แลกโทส ดแซ็คคาไรด์ที่สำาคัญดแซ็คคาไรด์ที่สำาคัญ
- 66. 1. ไดแซ๊กคาไรด์ (disaccharide) แหล่ง ที่พบ โครส (sucrose) นำ้าตาล ทราย กลูโคส ฟรุกโทส
- 67. 1. ไตรแซ๊กคาไรด์ (trisaccharide) แหล่ง ที่พบ ฟฟิโนส (raffinose) หัวบีทรูท ( Beta vulgaris L. ) กา แลกโทส กลูโ คส ฟรุกโทส
- 69. 3.พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) 3.พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide)คือ เป็นคาร์โบไฮเดรต โมเลกุลใหญ่ ประกอบด้วยมอโนแซ๊ก คาไรด์ ตั้งแต่ 15 หน่วยขึ้นไปต่อกัน ด้วยพันธะ ไกลโคซิดิกทำาให้เกิด เป็นสายโซ่ยาว คำาถามชวน คิด ? นักเรียนทราบหรือไม่ว่า ถ้าเราใช้ หน้าที่ของ polysaccharide เป็น เกณฑ์การจำาแนก จะ
- 70. ประเภทของ Polysaccharide1. Polysacchari de สะสม คือ ทำาหน้าที่เป็นอาหารสะสมในสิ่งมีชีวิต เมื่อสิ่ง มีชีวิตต้องการพลังงานก็จะสลายออกมาทีละ โมเลกุล ผ่านการเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงาน ออกมา polysaccharide สะสม ได้แก่ แป้ง (starch) ไกลโคเจน (glycogen)2. Polysaccharide โครงสร้างคือ พอลิแซ๊กคาไรด์ที่ให้ความแข็งแรงแก่เซลล์ พบได้ทั้งในเซลล์พืช เช่น เซลลูโลส (cellulose) หรือ ไคติน (chitin) ที่พบใน Exoskeleton ของ arthropod จำาแนก 2 ประเภท
- 71. 1. Polysaccharide สะสม 1. Polysaccharide สะสม . แป้ง (starch) : เป็นอาหารสะสมที่พืช เก็บไว้บางส่วนของพืช เช่น ……................................... หรือ เก็บไว้ในส่วนของ เมล็ด เช่น …………………………… …………. โดยแป้ง มีส่วนประกอบ ที่สำาคัญ 2 ชนิดคือ หัวมันเทศ หัวมัน แกว หัวมันฝรั่ง เมล็ดข้าวโพด ข้าว เจ้า ข้าวเหนียว อะไมโล ส อะไมโล เพกทิน
- 72. เปรียบเทียบ amylose & amylopectinamylose amylopectin โครงสร้าง : ประกอบด้วย กลูโคสเรียงตัวต่อกันเป็นสาย ยาว ไม่มี การแตกแขนง โครงสร้าง : ประกอบด้วย กลูโคสเรียงตัวต่อกันเป็นสาย ยาว มี การแตกกิ่งก้าน ขนาด : ขนาด เล็ก และขด เป็นเกลียว ขนาด : ขนาด ใหญ่ ประกอบด้วยกลูโคสประมาณ 300 – 6000 หน่วยต่อกัน
- 73. 1. Polysacchari de สะสม ไกลโคเจน (glycogen) : เป็นพอลิแซ๊กคาไรด์ที่ สะสมในคนและสัตว์ โดยสะสมอยู่ที่ ตับ และ กล้ามเนื้อ ประกอบด้วย โมเลกุลของกลูโคสเรียง ตัวต่อกัน มีลักษณะ คล้ายกับ amylopectin แต่มีขนาดใหญ่กว่า
- 74. เปรียบเทียบ Glycogen & Amylopectinข้อ เหมือนโครงสร้าง : ประกอบด้วย โมเลกุลของกลูโคส เรียงตัวต่อ กัน และมีการแตกแขนง โครงสร้าง : ประกอบด้วย โมเลกุลของกลูโคส เรียงตัวต่อ กัน และมีการแตกแขนง ข้อต่าง มีขนาดเล็ก เพราะความถี่ ในการแตกกิ่งน้อยกว่า (ทุกๆ 20 – 24 หน่วย) มีขนาดใหญ่ เพราะ ความถี่ในการแตกกิ่ง มากกว่า (ทุกๆ 8 – 12 Glyco gen Amylopectin
- 78. 3.พอลิแซ็กคา ไรด์( polysaccharide) ไคติน (chitin)ไคติน (chitin): เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ ที่พบ มากที่สุดรองจาก cellulose โดยพบได้ในส่วนเปลือก ของ…………….. …...ประกอบขึ้นจากการ เรียงตัวของ N – แอซิติล – D – กลูโคซามีน Arthropo d
- 80. ความสำาคัญของคาร์โบไฮเดรต 4.Cellulose และ chitin เป็นโครงสร้าง ของพืชและสัตว์ 1.ทำาหน้าที่ให้พลังงานและเป็น แหล่งคาร์บอนแก่สิ่งมีชีวิต 2.ribose และ deoxyribose เป็นองค์ประกอบของ nuc 3.เป็นแหล่งสะสมพลังงานของสิ่งมีชีวิต โดยพืชเก็บสะสมพลังงานในรูปของ starch ส่วนสัตว์เก็บสะสมพลังงานในรูป ของ glycogen
Editor's Notes
- Ddd