5. 5
ผมก็คิดไป อ่านไปเรื่อยๆ กับคาถามนี้จนผมได้มาพบกับงาน 2 ชิ้น ของฌ็อง โบรดิยาร์ด ชิ้นนึงกับ
สลาวอย ชิเช็กอีกชิ้นนึง ซึ่งพูดในลักษณะเดียวกัน (จริงๆ คือชิเช็กนาเอาไอเดียของโบรดิยาร์ดเรื่อง
Simulacra หรือโลกจริงจาลองมาใช้) ฉะนั้นผมเลยขอยกมาให้ดูด้วยกันเลยตรงนี้ด้วยนะครับ
ในงานที่มีชื่อว่า Welcome to the Dessert of the Real!: Five Essays on September 11 and
Related Dates ชิเช็กได้กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า
“...poorpeoplearoundtheworlddream aboutbecomingAmericans -sowhatdothewell-
to-do Americans, immobilised in their well-being, dream about? About the global
catastrophe that would shatter their lives.”
[เหล่าผู้ยากไร้ทั่วโลกต่างเฝ้าใฝ่ฝันกันหวังว่าจะได้มีชีวิตเยี่ยงคนอเมริกัน แล้วเหล่าชนอเมริกันผู้มี
อันจะกิน และถูกกักขังอยู่ในภาพของความสมบูรณ์พูนสุขของตนนั้นล่ะเฝ้าฝันถึงสิ่งใด? นั่นก็คงจะ
เป็นความล่มสลายของโลกที่จะมาทาให้ชีวิตของพวกเขาป่นปี้ลงได้]
ในทานองเดียวกัน โบรดิยาร์ดก็ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเค้าที่ชื่อว่า The Spirit of Terrorism ว่า
“We dreamt of this event [9/11]. ... They did it, but we wished for it.”
(พวกเราเฝ้าฝันถึงเหตุการณ์นี้[9/11]...พวกเขาคือผู้ลงมือ ทว่าพวกเราคือผู้ซึ่งปรารถนามัน)
และคาตอบในลักษณะเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักคิดสายทวนกระแสอย่างพวกชิเช็ก หรือ
โบรดิยาร์ด แต่แม้แต่นักคิด Neo-Conservative ตัวพ่ออย่าง Irving Kristol (คนนี้เป็นคนพิมพ์งานของฟูกุยา
มะออกมาด้วย และมีสมญานามว่า Godfather of Neoconservativism) ก็ได้ออกมาพูดในทานองเดียวกัน
6. 6
ก่อนเกิด 9/11 นานเลยนะครับ นั่นคือ ตอนสงครามเย็นจนลง และสหรัฐอเมริกาได้ขึ้นมาเป็น Supreme
Goal ของโลกเรียบร้อยแล้ว Kristol ก็กล่าวโดยพอสรุปความได้ว่า "บัดนี้เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้จบสิ้นลงไป
แล้ว อะไรเล่าที่จะมาเป็นเป้าหมายของเราต่อไป?" ซึ่งในการตอบคาถามของตนเอง ที่ Irving ได้ตั้งไว้เองนี้
เค้าได้เสนอไว้ ดังนี้:
"We may have won the Cold War, which is nice - more than nice, it's wonderful. But this
means that now the enemy is us, not them."
เพราะฉะนั้นสาหรับผมแล้ว นี่แหละคือภาพคาตอบต่อคาถามที่ผมได้ตั้งเอาไว้ และคือคาตอบของ
ความย้อนแย้งประการแรกของ Liberal Democracy/Modernity ที่ผมเรียกว่า "ความย้อนแย้งภายใน" คือ
Liberal Modernity มันกลายเป็นรูปแบบที่พยายามพัฒนาตัวเองไปถึงที่สุด เพื่อเป้าหมายคือการทาลาย
หรือความชิบหายของตัวมันเอง แต่แน่นอนการตอบเพียงแต่ว่าเราฝันถึงการโดนทาลายจนป่นปี้ (shatter)
นั้นคงเป็นอะไรที่ลอยๆ ไปหน่อย และง่ายไปสักนิด และจุดนี้เองที่งานของผมเริ่มพยายามอธิบายว่ามันเกิด
อะไรขึ้นบ้างจาก “เป้าหมายของตัวเป้าหมายเอง” (Goal for the goal itself) ที่พยายามจะทาลายตัวมันเอง
ลง และ paradox ที่ว่านี้มันไม่ใช่อะไรที่คนจะรู้สึกถึงมันได้โดยง่าย เพราะเราถูกก่อร่าง หล่อหลอม และ
ครอบคลุมเรื่อยมา ผ่าน "ภาพจาลอง" (Simulation) ต่างๆ มากมาย ทั้งภาพยนตร์ ละคร การ์ตูน นิยาย ฯลฯ
จนมันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราอยู่ หรือกลายเป็นโลกทั้งใบของเราไปโดยปริยายในที่สุด หรือ
กล่าวในอีกลักษณะหนึ่งก็คือ ประชากรส่วนใหญ่ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของรัฐซึ่งได้กลายไปเป็น
เป้าหมาย หรือ goal ของรัฐอื่นๆ หรือรัฐที่ยิ่ง modernized (ถูกทาให้ทันสมัย เข้าสู่ภาวะสมัยใหม่) มาก
เท่าไหร่นั้นได้ถูกโยกย้ายไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งไปอยู่ใน Hyperreal World (โลกจริงล้นจริง) อย่างแยกไม่ออก
มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมี Simulations มาทาหน้าที่เป็นตัวเคลื่อนย้ายประชากรไปยังโลก Hyperreal (ความ
จริงล้นจริง) นั่นเอง เพราะฉะนั้นแม้เหล่าอเมริกันชนจะฝันถึงโลกาวินาศดังโบรดิยาร์ดว่าไว้ แต่พวกเค้าไม่ได้
รู้ตัวเลยว่ากาลังฝันถึงมันอยู่ และไม่เคยนึกเลยว่า สิ่งที่พวกเขาฝันถึงนั้น มันจะมาถึงจริงๆ พวกเขาจึง
พยายามเชิดชูบูชา และสนับสนุนการขยายตัววิถีประชาธิปไตย "ในแบบของพวกเขา" ต่อไป จนในที่สุด มัน
ก็ก้าวไปถึงจุดที่ฝันเค้าเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ
7. 7
ด้วยความไม่รู้ตัวถึงฝันที่ตัวเองเฝ้าใฝ่หา และเกินกว่าจะคาดเดาได้ว่าฝันนั้นมันจะมาถึงจริงๆ นี้เอง
ที่ทาให้เกิดความย้อนแย้งอีกประการหนึ่งขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมเรียกหลวมๆ ว่า "ความย้อนแย้งภายนอก"
(External Paradox) ซึ่งมันเกิดมาจากความพยายามผลักดัน และขยายประชาธิปไตยเสรีนี่แหละ คือ เมื่อ
ประชาธิปไตยเสรี ถูกมองเป็นสิ่งทรงคุณค่าในตัวมันเองแล้ว และทุกฝ่ายต่างก็เชิดชูบูชา ทาการสนับสนุน
อย่างเต็มที่ พยายามปกป้องอย่างสุดความสามารถ พยายามจะส่งเสริมและขยายแนวคิดของเสรี
ประชาธิปไตยให้แผ่ขยายมากยิ่งขึ้น จึงทาให้เกิดการ "ฆ่ากันเพื่อปกป้อง และขยายตัวของระบอบที่สร้าง
ขึ้นมาเพื่อให้คนไม่ต้องฆ่ากันตาย" (Tofight in the name of democracy) ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อจุดหมายของ
Liberal Democracy ในกระแส Liberal Modernity มันคือการให้ได้มาซึ่ง Perpetual Peace หรือสันติภาพ
อันถาวรนั่นย่อมหมายความถึงการต้องปกป้องเสรีประชาธิปไตยอย่างถาวรด้วย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง และถึง
ที่สุดก็คือ ความย้อนแย้งภายนอกนี้ก็คือ เสรีประชาธิปไตยได้กลายเป็นระบอบที่ต้องการสร้างความสันติสุข
อันถาวรด้วยการฆ่ากันซ้าๆ อย่างถาวรนั่นเอง คงเป็นลักษณะเดียวกันกับที่จอร์จ ออร์เวลล์ได้กล่าวไว้ใน
งานเขียนของเค้าที่ชื่อ 1984 แต่ในบริบทที่แตกต่างกันบ้าง ว่า "War is Peace. Freedom is Slavery.
Ignorance is Strength." (สงครามคือสันติภาพ, อิสรภาพคือการเป็นทาส, ความไม่รู้คือพลัง) นั่นเอง
ฉะนั้น เมื่อสันติภาพอันถาวร มันเท่ากับสงครามที่ไม่มีวันจบแล้ว เมื่อเรามองย้อนกลับไป เราก็จะ
พอเห็นเค้าลางของปรากฏการณ์ดังกล่าวได้โดยไม่ยากนัก เช่น ในทางหนึ่งมันคงเป็นการยากที่จะปฏิเสธ
บทบาทของสงครามเย็นในฐานะสงครามเพื่อปกป้องสันติภาพของประเทศตะวันตก นอกจากนี้ยังมี
สงครามยาเสพติด หรือพวก Humanitarian Intervention ต่างๆ อีก จนท้ายที่สุดก็มาถึง "สงครามต่อต้าน
การก่อการร้าย" ที่แม้จะถูกประกาศขึ้นครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดีโรนัล เรแกน แต่ก็เพิ่งจะมาดังเอาจริงๆ
ในสมัยรัฐบาล George W Bush ด้วยอิทธิพลของเหตุการณ์ 9/11 ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทาให้สงครามต่อต้าน
การก่อการร้ายดูจะพิเศษไปกว่าสงครามอื่นๆ ก่อนหน้านั้นก็ดูจะอยู่ที่ว่า มันเป็นสงครามที่พยายามจะระงับ
ความกลัวด้วยกระบวนการสร้างความกลัวขึ้นมานั่นเอง เพราะฉะนั้นในแง่นี้แล้ว อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็น
สงครามที่เข้าล็อกที่สุด เหมาะสมที่สุดในการขยายพันธ์เสรีนิยมประชาธิปไตยก็เป็นได้ ในเมื่อมันทาลาย
ความกลัว ด้วยการสร้างความกลัวเอง จึงเป็นวังวนที่ไม่มีวันจบสิ้น ใช้งานกับสงครามที่ไม่มีวันจบ เพื่อ