More Related Content
More from Benjaporn Kantawong (20)
พันธุศาสตร์ กิ๊ฟนันบอย
- 5. ผลงานทางพันธุศาสตร์
• เกรเกอร์ เมนเดล เผชิญความผิดหวังนับ 20 ปี ที่เขายังคงสอนหนังสือ
เพื่อชดเชยความผิดหวัง เขาทำางานในสวนของวัดทุกเวลาที่ว่าง ที่นั่น
มีพันธุ์พืชมากมาย แต่ละชนิดแตกต่างหลากหลายอย่าง ความแตกต่าง
นี้ ทำาให้เกรเกอร์นึกสงสัย เขาได้ผสมพันธุ์ถั่วเดียว กันและต่างพันธุ์
เป็นจำานวนแตกต่างถึง 22 ชนิดของต้นถั่ว เพื่อศึกษาลักษณะทั้งหมด
เป็นเวลารวม 8 ปีเต็มในการทดลองร่วมพันครั้ง พบได้ 3 สิ่ง ดังนี้
1. สิ่งแรก เมื่อผสมพันธุ์ถั่วชนิดต่างกันสองชนิดผลผลิตต่อมาที่ได้เป็น
พันธุ์ชนิดเดียว ยกตัวอย่าง ถ้าหากเขาผสมพันธุ์ถั่วเมล็ดสีเหลืองกับ
ชนิดเมล็ดสีแดง มันจะผลิตพันธุ์เมล็ดสีเหลืองออกมา
2. ต่อไป เมื่อผสมพันธุ์ต่างชนิดกันของผลผลิตรุ่นแรก รุ่นต่อไปจะมีเมล็ด
ทั้งสองชนิด ในทุกๆสี่ต้นจะมีสามต้นที่มีเมล็ดสีเหลือง และ 1 ต้น ที่มี
เมล็ดสีเขียว นี่เป็นเพราะว่าหน่วยถ่ายพันธุ์ที่ผลิตเมล็ดสีเหลืองเป็น
หน่วยถ่ายพันธุ์ที่ เด่น คือ โดมิแนนท์ยีน หน่วยถ่ายพันธุ์ที่ผลิตเมล็ดสี
เขียวเรียกว่า รีเซสซีพยีน หรือหน่วยถ่ายพันธุ์ด้อย
3. ถ้าหากเขาผสมพันธุ์ถั่วต่างชนิดกันด้วยถั่วสองชนิด หรือมากกว่านั้นที่
มีลักษณะแตกต่างกัน เขาจะค้นพบกฎข้อที่สาม สมมติว่าเขาผสมพันธุ์
ถั่วที่มีเมล็ดเรียบสีเหลืองกับพันธุ์ถั่วที่มีเมล็ด หยาบสีเขียว รุ่นแรกเมล็ด
เรียบสีเหลืองจะเป็นตัวเด่น ในรุ่นต่อไปจะมีอัตราส่วนเมล็ดเรียบสี
เหลือง 9 ส่วน ต่อเมล็ดเรียบสีเขียว 3ส่วน เมล็ดหยาบสีเหลือง 3 ส่วน
ต่อเมล็ดหยาบสีเขียว 1 ส่วน
- 8. การศึกษาลักษณะพันธุกรรมของเมนเดล
การทดลองของเมนเดล
1.เมนเดลประสบผลสำาเร็จในการทดลอง จนตั้งเป็นกฎเกี่ยวกับการ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่มายังลูกหลานใน ช่วงต่อๆมาได้
เนื่องจากสาเหตุสำาคัญสองประการ คือ
เมนเดลรู้จักเลือกชนิดของพืชมาทำาการทดลอง พืชที่เมนเดลใช้ในการ
ทดลองคือถั่วลันเตา (Pisum sativum) ซึ่งมีข้อดีในการศึกษาด้านพันธุศาสตร์
หลายประการ เช่น
1.1 เป็นพืชที่ผสมตัวเอง (self- fertilized) ซึ่งสามารถสร้างพันธุ์แท้ได้ง่าย
หรือจะทำาการผสมข้ามพันธุ์ (cross- fertilized) เพื่อสร้างลูกผสมก็ทำาได้ง่ายโดย
วิธีผสมโดยใช้มือช่วย (hand pollination)
1.2 เป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องทำานุบำารุงรักษามากนัก ใช้เวลาปลูกตั้งแต่ปลูก
จนถึงเก็บเกี่ยวภายในหนึ่งฤดูปลูก (growing season) หรือประมาณ 3 เดือน
เท่านั้น และยังให้เมล็ดในปริมาณที่มากด้วย
1.3 เป็นพืชที่ มีลักษณะทางพันธุกรรม ที่แตกต่างกันชัดเจนหลายลักษณะ ซึ่ง
ในการทดลองดังกล่าว เมนเดลได้นำามาใช้ 7 ลักษณะด้วยกัน
2.เมนเดลรู้จักวางแผนการทดลอง
2.1 เลือกศึกษาการถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาแต่ละลักษณะก่อน เมื่อ
เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะนั้น ๆ แล้ว เขาจึงได้ศึกษาการถ่ายทอดสอง
ลักษณะไปพร้อม ๆ กัน
2.2 ในการผสมพันธุ์จะใช้พ่อแม่ พันธุ์แท้ (pure line) ในลักษณะที่ตรงกันข้าม
กัน มาทำาการผสมข้ามพันธุ์เพื่อสร้างลูกผสมโดยใช้มือช่วย (hand pollination )
2.3 ลูกผสมจากข้อ 2.2 เรียกว่าลูกผสมช่วงที่ 1 หรือ F1( first filial generation)
- 10. ข้อสรุปจากการวิเคราะห์ของเมนเดล
• การถ่ายทอดลักษณะหนึ่งลักษณะใดของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดยปัจจัย
(fector) เป็นคู่ๆ ต่อมาปัจจัยเหล่านั้นถูกเรียกว่า ยีน (gene)
• ยีนที่ควบคุมลักษณะต่างๆจะอยู่กันเป็นคู่ๆ และสามารถถ่ายทอดไปยัง
รุ่นต่อไปได้
• ลักษณะแต่ละลักษณะจะมียีนควบคุม 1 คู่ โดยมียีนหนึ่งมาจากพ่อและ
อีกยีนมาจากแม่
• เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์(gamete) ยีนที่อยู่เป็นคู่ๆจะแยกออกจาก
กันไปอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ของแต่ละเซลล์และ ยีนเหล่านั้นจะเข้าคู่กัน
ได้ใหม่อีกในไซโกต
• ลักษณะที่ไม่ปรากฏในรุ่น F1 ไม่ได้สูญหายไปไหนเพียงแต่ไม่
สามารถแสดงออกมาได้
• ลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่น F1 มีเพียงลักษณะเดียวเรียกว่า
ลักษณะเด่น ( dominant) ส่วนลักษณะที่ปรากฏในรุ่น F2 และมีโอกาส
ปรากฏในรุ่นต่อไปได้น้อยกว่า เรียกว่า ลักษณะด้อย (recessive)
• ในรุ่น F2 จะได้ลักษณะเด่นและลักษณะด้อยปรากฏออกมาเป็น
อัตราส่วน เด่น : ด้อย = 3 : 1
- 11. • ความน่าจะเป็นและกฎแห่งการแยก
ความน่าจะเป็น (Probability)
“ ”อัตราส่วนจำานวนครั้งของเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ต่อเหตุการณ์นั้น
อัตราส่วนในทางพันธุศาสตร์ คือ อัตราส่วนทางจีโนไทป์ และอัตราส่วนทาง
ฟีโนไทป์
• กฎความน่าจะเป็น
1.กฎการบวก (Addition Law)
- เหตุการณ์ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆกันได้
- เรียกเหตุการณ์นี้ว่า mutually exclusive events
- โอกาสที่เกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งจะเท่ากับผลบวกของโอกาสที่จะ
เกิดแต่ละเหตุการณ์
P(เหตุการณ์ A หรือ B อย่างใดอย่างหนึ่ง) = P(A) + P(B)
2. กฎการคูณ (Multiplication Law)
- เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์หรือมากกว่า
- เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน
- เรียกเหตุการณ์นี้ว่า Independent events
- โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ A และ B พร้อมกัน = P(A) x P(B)
- 13. กฎข้อที่ 1 ของเมนเดล (Mendel’s Law of
Segregation)
• “มีใจความว่า ยีนแต่ละคู่ที่ควบคุมแต่ละลักษณะทาง
พันธุกรรม
ของสิ่งมีชีวิต จะแยกตัวจากกันเป็นอิสระไปสู่เซลล์
”สืบพันธุ์แต่ละเซลล์
- 14. กฎข้อที่ 2 ของเมนเดล (Mendel’s Law of
Independent Assortment)
• “ มีใจความว่า ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จะมี
การรวมกลุ่มของหน่วยควบคุมลักษณะทาง
พันธุกรรม (ยีนเดียวของทุกยีน) ซึ่งการรวมกลุ่ม
”นี้เกิดขึ้นอย่างอิสระ
- 15. การทดสอบพันธุกรรม (Test Cross)
• Test Cross คือ การนำาสิ่งมีชีวิตที่สงสัยว่าเป็นลักษณะ
เด่นหรือไม่ไปผสมกับลักษณะด้อยของสิ่งมีชีวิต
นั้น(tester) แล้วสังเกตุอัตราส่วนของลูกที่ได้ มีขั้นตอน
ดังนี้
• นำาตัวที่มีลักษณะเด่นไปผสมกับตัวที่มีลักษณะด้อย
• รอดูอัตราส่วนในรุ่นลูก โดยพิจารณาดังนี้
- 20. Multiple gene
• Multiple gene (Polygenes) : การที่ยีนหลายคู่ร่วมกันควบคุม
ลักษณะที่แสดง
ออกมา เช่น ผิวดำา (อัลลีลที่ควบคุมการสร้างเมลานิน ) โดยสีผิว
ดำาถูกควบคุมด้วยยีนเด่น 3 อัลลีลส์ คือ A, B,C ส่วน อัลลีล a, b, c
แสดงการไม่สร้างเม็ดสีและปฏิกิกริยาของยีนเป็น
แบบincomplete dominance
- 22. Epistasis
• การเกิดปฏิกิริยาร่วมระหว่างยีนที่อยู่คนละตำาแหน่ง (locus) ซึ่งมีผลให้ยีนจาก
ตำาแหน่งหนึ่งไปเปลี่ยนแปลงอิทธิพลของยีน ณ อีกตำาแหน่งหนึ่งได้ ซึ่งอาจ
เกิดขึ้นระหว่างยีนจาก 2 ตำาแหน่งหรือมากกว่าก็ได้ ที่ควบคุมลักษณะปรากฎ
(phenotype) เดียวกัน ยีนที่ข่มตัวอื่นเรียกว่า epistatic gene ส่วนยีนที่ถูกข่ม
“เรียกว่า hypostatic gene”
• ประเภทของ Epistasis
- Complementary epistasis : ต้องการผลิตผลที่สร้างจากยีนทั้งสองตำาแหน่ง
เพื่อการแสดง phenotype เช่น หงอนไก่
- Recessive epistasis : ควบคุมด้วยยีน 2 คู่ โดย homozygous recessive ของ
ยีนตำาแหน่งหนึ่ง สามารถข่มการแสดงออกของยีนอีกตำาแหน่งหนึ่งได้ เช่น สี
ขนแมว
- 23. - Dominant epistasis : ควบคุมด้วยยีน 2 คู่ โดย dominance allele
ของตำาแหน่งหนึ่ง สามารถข่มการแสดงออกของยีนอีกตำาแหน่ง
หนึ่งได้ เช่น สีขนแกะ
- Duplicate recessive epistasis : ยีนทั้ง 2 ตำาแหน่ง ทำาให้เกิด
phenotype ที่เหมือนกัน แต่ homozygous recessive genotype
ของยีนตำาแหน่งหนึ่ง สามารถข่มการแสดงออกของยีนอีก
ตำาแหน่งหนึ่งได้เช่นเดียวกันกับ recessive epistasis ทั่วไป เช่น
ยีนที่ควบคุมลักษณะขนกำามะหยี่ของกระต่าย
- Duplicate dominant epistasis : ยีนทั้ง 2 ตำาแหน่ง ทำาให้เกิด
phenotype ที่เหมือนกัน แต่ dominant allele ของตำาแหน่งหนึ่ง
สามารถข่มการแสดงออกของยีนอีกตำาแหน่งหนึ่งได้เช่น
เดียวกันกับ dominant epistasis ทั่วไป เช่น ยีนที่ควบคุมลักษณะ
หน้าสีขาวแบบ Simmental และ แบบ Hereford