More Related Content
More from Thongkum Virut (20)
ขบวนการเผด็จการไทยปัจจุบันเป็นยาพิษต่อราชบัลลังก์
- 3. ฝ่ ายขวาฝ่ ายกลางและฝ่ ายซ้ายดังกล่าวนี้กาหนดจากขบวนการการเมืองทั้งหมดในประเทศ
คือรวมกันทั้งขบวนการเผด็จการขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์
แต่ทว่าในแต่ละขบวนการยังแบ่งออกเป็น“ฝ่ ายขวา“ “ ฝ่ ายกลาง“ และ “ ฝ่ ายซ้าย“
คือในขบวนการเผด็จการมีฝ่ายขวาฝ่ ายกลางและฝ่ ายซ้าย ในขบวนการประชาธิปไตยมีฝ่ายขวาฝ่ ายกลางและฝ่ ายซ้าย
และในขบวนการคอมมิวนิสต์มีฝ่ ายขวาฝ่ ายกลางและฝ่ ายซ้าย นัยหนึ่งฝ่ ายขวามีขวามีกลางและมีซ้ายฝ่ ายกลางมีขวา
มีกลางและมีซ้ายและฝ่ ายซ้ายก็มีขวามีกลางและมีซ้าย
สภาพเช่นนี้ทาให้บางคนเข้าใจว่าซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตย
และซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยเป็นขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์
ความจริงแล้วขบวนการเผด็จการกับขบวนการประชาธิปไตยมีการปะปนกันได้
คือซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตยได้
และอาจเป็นกลางหรือเป็นซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยก็ได้
ยกตัวอย่างเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง๒๔๗๕รัชกาลที่๗ทรงถูกถือว่าเป็นซ้ายในฝ่ ายขวา
(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) พระองค์ท่านกลับทรงเป็นฝ่ ายกลางในขบวนการประชาธิปไตย แต่นายปรีดีพนมยงค์และผู้ติดตาม
ซึ่งเป็นฝ่ ายซ้ายในขบวนการประชาธิปไตย(เพราะมีแนวสังคมนิยม) นั้นไม่ใช่ฝ่ ายขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์
แต่ฝ่ ายซ้ายของประชาธิปไตยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ฉะนั้นซ้ายของประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ขวาของคอมมิวนิสต์
และขวาของคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่ซ้ายของประชาธิปไตย ระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยและเผด็จการนั้น ไม่ว่าขวา
กลางหรือซ้ายแบ่งแยกกันเด็ดขาดปะปนกันไม่ได้ แต่ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยแบ่งแยกกันไม่เด็ดขาด
จึงปะปนกันได้
แต่ในประเทศไทยมีการปะปนกันทั้ง๓สิ่ง เช่นเมื่อพูดถึงซ้ายก็ไม่จาแนกว่าซ้ายของเผด็จการหรือซ้ายของประชาธิปไตย
หรือซ้ายของคอมมิวนิสต์ นัยหนึ่งไม่จาแนกว่าเป็นซ้ายของขวาหรือซ้ายของกลางหรือซ้ายของซ้าย
เป็นเหตุให้เอาคอมมิวนิสต์ไปปะปนกับประชาธิปไตยและเผด็จการ
นักประชาธิปไตยบางส่วนถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์กระทั่งนักเผด็จการบางส่วนก็ถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์ ทาให้คาว่า“ ซ้าย“
หมายถึงคอมมิวนิสต์หรือเป็นพวกของคอมมิวนิสต์ซึ่งแท้จริงแล้วซ้ายของเผด็จการ(ซ้ายของขวา)และซ้ายของประชาธิปไตย
(ซ้ายของกลาง)นั้นเป็นคนละเรื่องกับคอมมิวนิสต์อย่างเช่นคุณชวนคุณสุรินทร์ คุณวีระซึ่งถือกันว่าเป็นซ้ายของขวา
(ซ้ายในพรรคประชาธิปัตย์) ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อกรณี ๖ตุลาคม
และขบวนการสังคมนิยมในปัจจุบันซึ่งเป็นซ้ายในขบวนการเป็นต้น
- 8. ซึ่งตรงกับบันทึกของพ.อ.มนูญ รูปขจรที่ว่า“ เราพวกแม่ทัพนายกองทหารทุกกรมกอง
หัวใจยังเต็มเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก “(จากหนังสือพิมพ์ชาวไทย๒๒
พ.ค. ๒๕๒๔)
ข้อเท็จจริงที่ยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป
พระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า
ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ข้อเท็จจริงที่ยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป
พระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า
ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ขบวนการเผด็จการในอดีตสมัยเท่านั้นสอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนแป
ลงไป แม้ขบวนการเผด็จการนั้นก็ไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว
จาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
ซึ่งจะสอดคล้องก็แต่กับขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น
ใช่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์จะสอดคล้องกับขบวนการเผด็จการก็หาไม่
ในปัจจุบันประเทศไทยครอบงาอยู่ด้วยขบวนการเผด็จการ ซึ่งยังคงรักษาระบอบเผด็จการไว้
เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาบ้าง ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง
จึงไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
ดังนั้นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันจึงเป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
เช่นเดียวกับขบวนการเผด็จการก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง๒๔๗๕
เป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกัน
แต่ยาพิษนี้ทาอันตรายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ไม่มากก็เพราะว่านอกจากจะได้เปลี่ยนสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณา