Ku fins blood
- 2. ขั้นตอนที่ 1 : คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจาตัว
อายุตั้งแต่ 18-60 ปี
น้าหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ไม่เสพยาเสพติดชนิดใช้เข็มฉีดยา
ไม่เป็นหรือไม่เคยเป็นไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
- 3. ขั้นตอนที่ 2 : การเตรียมพร้อมก่อนบริจาคโลหิต
ก่อนบริจาคโลหิต 1–2 วัน ควรดื่มน้ามาก ๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่น
โลหิตไหลเวียนดี
ควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิต
นอนหลับพักผ่อนเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมง
- 4. ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นตอนการบริจาคโลหิต
1. กรอกประวัติให้ครบถ้วนที่จุด 1
2. วัดความดัน
3. ไปที่จุดลงทะเบียนผู้บริจาคโลหิตที่จุด 2
- 5. ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นตอนการบริจาคโลหิต
4. เมื่อลงทะเบียนเสร็จให้กดบัตรคิวรอที่หน้าห้องคัดกรองผู้บริจาคโลหิต
ที่จุด 3
5. เมื่อถึงคิวคัดกรองผู้บริจาคโลหิต จะมีเจ้าหน้าที่เจาะโลหิตจากปลาย
นิ้วไปตรวจหาค่าความเข้มข้นของโลหิต
- 6. ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นตอนการบริจาคโลหิต
6. ถ้าวัดค่าความเข้มของโลหิตแล้วผ่านก็จะไปที่จุดลงทะเบียนเพื่อรับ
หมายเลขถุงบรรจุโลหิต
7. จากนั้นไปบริจาคโลหิตที่ชั้น 2 (สภากาชาดไทย)
*ถ้าเจาะเลือดจากปลายนิ้วไปตรวจแล้วค่าความเข้มข้นไม่ถึงเกณฑ์ที่
บริจาคได้ เจ้าหน้าที่จะส่งไปยังจุดที่ 8 เพื่อตรวจหาสาเหตุ
- 7. ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นตอนการบริจาคโลหิต
หลังจากนั้นจะได้รับยาเสริมธาตุเหล็กและวิตามินมาทาน ให้ทานจน
หมด และสามารถกลับไปตรวจโลหิตอีกครั้ง
- 8. ขั้นตอนที่ 4 : การดูแลตัวเองหลังจากบริจาคโลหิต
ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีบริการให้ ดื่มน้ามากกว่าปกติเป็นเวลา 1 วัน
ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
หรือรู้สึกผิดปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที
รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และรับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับ
วันละ 1 เม็ดจนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
งดใช้กาลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง
ภายหลังการบริจาคโลหิต เพื่อป้องกันการบวมช้า
การบริจาคโลหิตสามารถทาได้ทุกๆ 3เดือน