โครงการฝนหลวง
- 3. *เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินเยี่ยม
พสกนิกร เมื่อปี พ.ศ. 2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความ
เดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้าอุปโภคบริโภคและ
การเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดาริ "ฝน
หลวง"(Artificial rain) ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดาเนินการ ซึ่งต่อมา
ได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัด
สานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้วยความสาเร็จของ
โครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสานักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นในปี พ.ศ.
2518 ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการ
พระราชดาริฝนหลวงต่อไป
- 4. * วิธีการทาฝนหลวง
1. เทคโนโลยีฝนหลวง
* เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลง
สภาพอากาศ โดยเน้นการทาฝน เพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก
*(Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อให้ฝนตกกระจายอย่าง
สม่าเสมอ (Rain redistribution) สาหรับป้องกันหรือบรรเทา
ภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงนั้น เป็นวิชาการที่ใหม่สาหรับ
ประเทศไทยและของโลก ในระยะแรกเริ่มของการทดลองและวิจัย กรรมวิธี
การปฏิบัติการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงติดตามผล
การวางแผนการทดลองปฏิบัติการ การสังเกตจากรายงานแทบทุกครั้งโดย
ใกล้ชิด ทรงหาความรู้และประสบการณ์จากนักวิชาการที่ทรงคุณวุฒิทางด้าน
อุตุนิยมวิทยา
- 5. *ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อเมฆ
* เป็นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ
โดยการโปรยสารเคมีผลละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์
(NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มี
ความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียม
คลอไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทาหน้าที่เสริม
ประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ (Cloud
Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทาให้
กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศให้กลายเป็นเม็ดน้าเกิดเร็วขึ้น
กว่าธรรมชาติ และเกิดกลุ่มเมฆจานวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะ
พัฒนาเป็นเมฆก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา
- 6. *ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน
เป็นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาดของเมฆและ
ขนาดของเม็ดน้าในก้อนเมฆ จะปฏิบัติการเมื่อเมฆที่ก่อตัวจากขั้นตอนที่ 1 หรือ
เมฆเดิมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรย
สารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต
ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสม
*บัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้าขนาดเล็กในก้อนเมฆให้
กลายเป็นเม็ดน้าขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่ง
เป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้า ความร้อนที่
เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหล
- 7. *ขั้นตอนที่สาม : โจมตี
* เป็นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝน ซึ่งสามารถ
กระทาได้ 3 วิธี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเมฆ และชนิดของเครื่องบินที่มีอยู่ ดังนี้
* วิธีที่ 1 "โจมตีเมฆอุ่น แบบแซนด์วิช"
* ถ้าเป็นเมฆอุ่น เมื่อเมฆแก่ตัว ยอดเมฆจะอยู่ที่ระดับ 10,000 ฟุต หรือสูง
กว่าเล็กน้อย และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย จะทาการโจมตีโดยวิธี
Sandwich คือ ใช้เครื่อง บิน 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์
(Nacl) ทับยอดเมฆ หรือไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรือ ไม่เกิน 10,000 ฟุต
อีกเครื่องหนึ่งโปรยผงยูเรีย (Urea) ที่ฐานเมฆ ทามุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆ
จะเริ่มตกเป็นฝนลงสู่พื้นดิน
- 8. *วิธีที่ 2 "โจมตีเมฆเย็น แบบธรรมดา"
* ถ้าเป็นเมฆเย็นและมีเครื่องบินเมฆเย็นเพียงเครื่องเดียว เมื่อเมฆ
เย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทาการโจมตีโดย
การยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความ
สูงประมาณ 21,500 ฟุต ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง -8 ถึง 12 องศา
เซลเซียส มีกระแสอากาศไหลขึ้นสูงกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมี
ปริมาณน้าเย็นจัดไม่ตากว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไข
เหมาะสม อนุภาคของสาร Agl จะทาหน้าที่เป็นแกนเยือกแข็ง (Ice
Nuclei)
- 9. *วิธีที่ 3 "โจมตีเมฆเย็น แบบซูเปอร์แซนด์วิช"
* หากเป็นเมฆเย็น และมีเครื่องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆ
เย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทาการโจมตีโดยการ
ผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เครื่องบินเมฆเย็นจะยิงพลุ
สารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ
21,500 ฟุต ส่วนเครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ที่
ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 - 10,000 ฟุต) และเครื่องบินเมฆอุ่นอีก 1
เครื่อง จะโปรยสารเคมีผงยูเรียที่ระดับชิดฐานเมฆ ทามุมเยื้องกัน 45 องศา
วิธีการนี้จะทาให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณน้าฝนสูงยิ่งขึ้น และเทคนี้โปรด
เกล้าฯ ให้เรียกชื่อว่า SUPER SANDWICH
- 10. *ขั้นตอนที่สี่ : เพิ่มฝน
* การโจมตีเมฆในขั้นตอนที่ 3 ทั้งสามวิธี อาจจะทาให้ฝนใกล้จะตก
หรือเริ่มตกแล้ว ขั้นตอนที่ 4 นี้ จะเร่งการตกของฝนและเพิ่มปริมาณน้าโดย
การโปรยเกล็ดน้าแข้งแห้ง (Dry ice) ที่ระดับใต้ฐานเมฆประมาณ
1,000 ฟุต เกล็ดน้าแข็งแห้งซึ่งมีอุณหภูมิต่าถึง -78 องศาเซลเซียส จะปรับ
อุณหภูมิของบรรยากาศระหว่างฐานเมฆกับพื้นดินให้เย็นลง ทาให้ฐานเมฆยิ่ง
ลดระดับต่าลง ฝนจะตกในทันที หรือที่ตกอยู่แล้ว จะมีอัตราการตกของฝน
สูงขึ้น ลดอัตราการระเหยของเม็ดฝนขณะล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน และทาให้ฝน
ตกต่อเนื่องเป็นเวลานานขึ้นและหนาแน่นยิ่งขึ้น