SlideShare a Scribd company logo
1 of 76
Download to read offline
1
INDEX
Chapter 1 == If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) ==
Chapter 2 == Question Tag ==
Chapter 3 == Tenses (1) Present Simple Tense ==
Chapter 4 == Tenses (2) Present Continuous Tense ==
Chapter 5 == Tenses (3) Past Simple Tense ==
Chapter 6 == Tenses (4) Present Perfect Tense ==
Chapter 7 == Tenses (5) Future Simple Tense ==
Chapter 8 == Singular and Plural ==
Chapter 9 == Tenses (6) Past Continuous Tense ==
Chapter 10 == Tenses (7) Present Perfect Continuous Tense ==
Chapter 11 == Tenses (8) Past Perfect Tense ==
Chapter 12 == Tenses (9) Future Perfect Tense ==
Chapter 13 == Errors in Tenses (1) ==
Chapter 14 == Errors in Tenses (2) ==
Chapter 15 == Indirect Speech : Introduction ==
Chapter 16 == Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน ==
Chapter 17 == Indirect Speech : ประโยคคาสั่งหรือประโยคขอร้อง ==
Chapter 18 == Indirect Speech : ประโยคคาถาม ==
Chapter 19 == Indirect Speech : ประโยคที่ใช้ LET'S ==
Chapter 20 == Indirect Speech : ประโยคอุทาน ( Exclamation ) ==
Chapter 21 == Indirect Speech : รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน ===
Chapter 22 == Indirect Speech : ประโยค Direct ที่ขึ้นต้นด้วย Yes หรือ No ==
Chapter 23 == Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ ==
Chapter 24 == Passive Voice : Introduction ==
Chapter 25 == Passive Voice : หลักการเปลี่ยน ==
Chapter 26 == Passive Voice : ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses ==
Chapter 27 == Passive Voice : คากริยาที่ไม่สามารถทาเป็นประโยค Passive ได้ ==
Chapter 28 == Passive Voice : ประโยคคาถาม ==
Chapter 29 == Passive Voice : ประโยคคาสั่ง ==
Chapter 30 == Passive Voice : ประโยคที่ไม่ต้องการ by ==
Chapter 31 == Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว ===
2
Chapter 32 == Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ===
Chapter 33 == Passive Voice : กรณีอื่นๆ ===
Chapter 34 == Verb : Introduction ===
Chapter 35 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Be ===
Chapter 36 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Do ===
Chapter 37 == Verb : หน้าที่ของ May, Might ===
Chapter 38 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Have ===
Chapter 39 == Verb : หน้าที่ของ Will, Shall ===
Chapter 40 == Verb : หน้าที่ของ Would, Should ===
Chapter 41 == Verb : หน้าที่ของ Can, Could ===
Chapter 42 == Verb : หน้าที่ของ Have to, Have got to, Had better ===
Chapter 43 == Verb : หน้าที่ของ Must ===
Chapter 44 == Verb : หน้าที่ของ Ought to ===
Chapter 45 == Verb : หน้าที่ของ Dare ===
Chapter 46 == Verb : หน้าที่ของ Need ===
Chapter 47 == Verb : หน้าที่ของ Used to ===
Chapter 48 == Sentences : Simple Sentence ===
Chapter 49 == Sentences : Compound Sentence ===
Chapter 50 == Sentences : Complex Sentence ===
Chapter 51 == Sectences : Compound Complex Sentence ===
Chapter 52 == Word Building : Common Prefixes (1) ===
Chapter 53 == Word Building : Common Prefixes (2) ===
Chapter 54 == Word Building : Common Prefixes (3) ===
Chapter 55 == Word Building : Common Suffixes ===
Chapter 56 == Preposition : On ===
Chapter 57 == Preposition : In ===
Chapter 58 == Preposition : At ===
Chapter 59 == Preposition : By ===
Chapter 60 == Preposition : Out of ===
Chapter 61 == Preposition : With ===
Chapter 62 == Preposition : Before & After ===
Chapter 63 == Preposition : Of
3
บทที่ ๑ ( Chapter 1 )
ประโยคเงื่อนไข ( If-Clause )
If -Clause หรือที่เรารู้จักกันดีในภาษาไทยว่า " ประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) " นั้นนะครับ ถ้า
หากจะแบ่งหลักๆ จริงๆ ละก็ ผมขอแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ เลยนะครับ ( นักเรียนที่น่ารักของผม กรุณา
อย่าเพิ่งง่วงหาวนอนไปก่อนนะครับผมจะอธิบายไม่เยิ่นเย้อหรอกครับ.....รับรอง ^_^ ) ที่ผมเลือกเอาเรื่องมา
พูดก่อน ก็ผมเห็นว่า มีโอกาสจะได้ใช้เยอะครับประโยค If-Clause เนี่ย
แบบที่ 1 การใช้เงื่อนไขที่จะเป็นจริง ( Future Possible )
If + Present Simple Tense + Subj. + will + V1
แบบนี้นะครับ ใช้สาหรับเหตุการณ์ที่ผู้พูดแน่ใจว่า เงื่อนไขนั้นจะเป็นจริง ผลที่จะเกิดก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่าง
แน่นอน
If Alex studies hard, he will pass the exam.
ถ้าอเล็กซ์ขยันเรียน เขาก็จะสอบผ่านนะ
( ผู้พูดแน่ใจว่า เขาจะสอบผ่านอย่างแน่นอน ถ้าเขามีความตั้งใจจริง )
If she hurries, she will be in time.
ถ้าหล่อนรีบ หล่อนก็จะทันเวลาชัวร์
( ผู้พูดมั่นใจว่า ถ้าหล่อนรีบก็จะทันเวลาอย่างแน่นอน )
แบบที่ 2 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง ( Present Unreal )
If + Past Simple Tense + Subj. + would + V1
สาหรับแบบนี้นะครับ จะใช้ถึงเหตุการณ์สมมุติที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ก็เพ้อฝันจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยล่ะครับ
ฮ่าๆๆๆ
If I were a millionnaire, I would travel around the world.
ถ้าอั๊วะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน อั๊วะจะเที่ยวรอบโลก
( ความจริงแล้ว อั๊วะคงจะไม่มีบุญได้เป็นหรอกว่ะ แค่ฝันไปลมๆ แล้งๆ เท่านั้นแหละ )
If I were a bird, I would be very happy.
ถ้าฉันได้เป็นนก ฉันคงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว
( ความจริงแล้ว คนจะกลายเป็นนกได้ยังไงล่ะ ไม่จริงหรอก )
แบบที่ 3 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( Past Unreal )
If + Past Perfect Tense + Subj. + would have + V3
ส่วนแบบนี้นะครับก็เป็นการสมมุติเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแต่อดีตกาลนานนมแล้ว ผู้พูดก็ทราบดีนะครับว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ
เป็นยังไง แต่ก็นามาพูดสมมุติใหม่ ในทางตรงกันข้ามไงล่ะครับ
If you had stayed home, you would have seen him.
ถ้าเธออยู่บ้านตอนนั้น เธอคงจะเจอเขาแล้วแหละ
( ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ เธอออกไปข้างนอก ก็เลยไม่ได้เจอเขา )
4
If Pim had not gone out, she would not have got wet.
ถ้าพิมไม่ออกไปข้างนอก หล่อนก็คงจะไม่เปียกหรอกนะ
( ความจริงก็คือ เธอได้ออกข้างนอก แล้วเธอก็กลับมาอย่างลูกหมาตกน้า )
นอกจากนี้นะครับ จริงๆ แล้วบางที่ก็อาจจะเพิ่ม If-Clause แบบนี้ไปอีก นั่นก็คือ If-Clause ที่ใช้กับ
เหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ
( Real Condition ) รูปแบบก็จะแบบ If + Present Simple Tense + Present Simple Tense ยกตัวอย่าง
เช่น
If there is no water, we absolutely die.
ถ้าหากปราศจากน้าแล้ว พวกเราก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
( เป็นความจริงใช่ไหมล่ะครับ รึใครจะเถียง? อิอิอิ )
บทที่ ๒
Question Tag
Question Tag นะครับ ก็คือ " การตั้งคาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ " ประโยคคาถาม
แบบนี้นะครับ
ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสนทนามากกว่าที่จะใช้ในภาษาเขียนครับ ซึ่งก็จะมีหลักการตั้งประโยคคาถามแบบ
นี้ง่ายๆ ก็คือ
1. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่า Question Tag จะต้องเป็นปฏิเสธ
2. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคปฎิเสธ Question Tag จะต้องเป็นบอกเล่า
3. ต้องใส่เครื่องหมาย Comma คั่นระหว่างประโยคหลักกับ Question Tag เสมอ
4. ตัว Question Tag ต้องเป็นกริยาช่วยเสมอครับ
5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ให้ใช้ Verb to do มาช่วย
6. กริยาช่วยตรง Question Tag ต้องใช้รูปย่อเสมอ และไม่มีรูป amn't I ให้ใช้ aren't I แทน
7. กริยาช่วยเหล่านั้น จะต้องเปลี่ยนไปตาม Tense ที่ประโยคหลักนะครับ
จะยกตัวอย่างประโยคคาถาม Question Tag ให้ดูนะครับ
I am a student, aren't I?
ฉันเป็นนักเรียนใช่ไหมเนี่ย????
( ประโยคนี้ตั้งให้เห็นเฉยๆ ครับ ว่าอย่าใช้ amn't I ให้ใช้ aren't I แทน แต่ความหมายอย่าไปใส่ใจเลยครับ
เพราะคงจะไม่มีใครมาบ้าถามตัวเองแบบนี้ )
Cathy won't go shopping with us tomorrow, will she?
เคที่จะไม่ไปช้อปปิ้งกับพวกเราพรุ่งนี้ใช่ไหม? ( กริยาช่วย คือ will )
He need not study French, need he?
เขาไม่จาเป็นต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสใช่ไหม?
5
( ดูให้ดีๆ นะครับ กริยา need ในที่นี้ทาหน้าที่เป็นกริยาช่วย เพราะฉะนั้น อย่าใช้ Verb to do มาช่วย
เด็ดขาด อ้อ...คาว่า dare และก็ Verb to have ด้วยนะครับ ต้องดูซักหน่อยว่า ตอนไหนมันเป็นกริยาช่วย
ตอนไหนมันเป็นกริยาแท้ )
Peter ate my apple, didn't he?
ปีเตอร์กินแอปเปิ้ลของฉันใช่ไหม?
( ประโยคหลักเป็น Past Simple Tense และไม่มีกริยาช่วย เพราะฉะนั้น ต้องเอา Verb to do มาช่วยและ
ทาให้เป็นรูป Past ด้วยนะครับ )
Question Tag ในประโยคคำสั่ง
Question Tag ในประโยคคาสั่ง ขอร้อง เชื้อเชิญ เราสามารถทาตรง Question Tag ได้โดยเติม คาว่า will
you ไปเลยครับ
ประโยคข้างหน้าจะเป็นบอกเล่าปฏิเสธ หรือเป็น Tense ไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ต้องแน่ใจนา ว่ามันเป็น
ประโยคกลุ่มนี้จริงๆ
Stop speaking loudly, will you?
หยุดแหกปากซักทีได้ไหม?
Open those windows for me, will you?
ช่วยเปิดหน้าต่างให้ฉันหน่อยได้ไหม?
ข้อควรจำในกำรทำ Question Tag
1. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย That is, This is ส่วน Question Tag ให้ใช้ isn't it? หรือ is it
2. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย There is, There are, There was, There were ส่วน Question Tag ให้
ใช้ Verb to be
รูปนั้นๆ ตามประธานและ Tense + there เช่น
There is a computer at your house, isn't there?
บ้านของเธอมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช่ไหม?
3. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย These are, Those are ส่วน Question Tag ให้ใช้ aren't they หรือ are
they
แล้วแต่กรณี
4. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคความซ้อน ส่วน Question Tag ให้ถือเอากริยาในประโยค Main Clause
เป็นหลักนะจ๊ะ เช่น
Chirstina told us she could come, didn't she?
คริสตินาบอกพวกเราว่า หล่อนจะมาได้ใช่ไหม?
( สังเกตว่ามีคากริยาคือ told เพราะฉะนั้น ก็ต้องใช้ Verb to do ในรูปอดีตมาช่วยนะครับ )
5. ถ้าประโยคข้างหน้ามีคาที่ให้ความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น seldom, hardly, scarcely, rarely, never, few,
little, neither, none, nobody, nothing คาเหล่านี้นะครับ มีความหมายในทางปฏิเสธอยู่ในตัวของมันเองแล้ว
ดังนั้นในส่วนของ Question Tag นั้น จะต้องทาในรูปบอกเล่าครับ เช่น
6
Nothing is interesting, is it?
ไม่มีอะไรน่าสนใจใช่ไหม?
ท่านสามารถอ่านบทเรียนก่อนหน้านี้ได้ที่ ดรรชนี ( Index ) ได้นะคร้าบ
คำถำมอุ่นเครื่อง ( Warm-up Question )
ในครั้งต่อไป ผมจะเริ่มพูดเรื่องของ Tense แล้วนะครับ ก็เลยมีคาถามจะมาถามท่านผู้อ่านที่เคารพทั้งหลาย
ครับว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า Tense ในภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งหมดเท่าไรเอ่ย???? ไม่มีชิงโชคหรอกนะครับ (
ฮา ) เมล์มาบอกผมก็ได้ครับ ว่ามีอะไรบ้าง จะสอบถามก็ได้นะครับ เพราะผมว่าเรื่อง Tense นี่คงต้องคุยกัน
อีกนานครับ อ้อ.....หากจะเรียนเรื่อง Tense นี่นะครับ ท่านควรจะสามารถผันกริยาทั้ง 3 ช่องได้อย่าง
คล่องแคล่วแล้วนะครับ โดยเฉพาะกริยากลุ่มที่มีการผันแบบเฉพาะ ( Irregular Verbs ) ซึ่งมีเป็นจานวน
เยอะพอสมควรทีเดียวครับผมคงจะไม่สามารถเอามาลงได้ทั้งหมดหรอกนะ ( แต่ถ้าท่านผู้อ่านเรียกร้อง
มากๆ ก็ไม่แน่ครับ อิอิอิ ) ผมแนะว่า หากท่านยังผันกริยาไม่ค่อยคล่องนัก กรุณาลองซื้อหนังสือตารางผัน
กริยา 3 ช่องมาอ่านดูก็ได้ครับ เล่มละไม่กี่บาทเองครับ หรือจะลองไปเปิดภาคผนวกของพจนานุกรม
ภาษาอังกฤษบางเล่มก็จะมีครับ เน้นให้จาเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ก็เพียงพอแล้วครับ ส่วนที่เหลือก็คือ
เติมตัวลงท้าย ( Suffix ) -ed หมดเลยครับ
บทที่ ๓
TENSES (1) : Present Simple Tense
ทำควำมเข้ำใจก่อน
Tense ในภาษาอังกฤษนั้น มีทั้งหมด 12 Tenses ด้วยกันนะครับ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่มใหญ่ๆ คือ
_______ Simple Tense _______ ธรรมดา
_______ Continuous Tense _______ กาลังกระทา
_______ Perfect Tense _______ สมบูรณ์
_______ Perfect Continuous Tense _______ สมบูรณ์กาลังกระทา
ช่องว่างที่เว้นไว้นั้น ก็ให้ท่านเติม Present, Past, หรือ Future ลงไปครับ ( ปัจจุบัน, อดีต, หรืออนาคต )
4x3 ทั้งหมดก็เป็น 12 Tenses พอดีครับ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรื่องโครงสร้าง ผมจะทยอยพูดไปเรื่อยๆ นะ
ครับ
Present Simple Tense
Subject + Verb 1 + (Object)
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น
The sun rises in the east and sets in the west.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก
The cat has four legs.
แมวมีสี่ขา
7
2. ใช้แสดงถึงการกระทาที่เป็นปรกตินิสัย ( Habitual Fact ) หรือการกระทานั้นเกิดขึ้นเป็นประจา (
Repeated Action ) ซึ่งมักจะมี Adverb of Frequency แสดงอยู่ด้วย เช่น always, sometimes, often,
everyday, every week, usually, generally, frequently เป็นต้น
I have my breakfast at seven o'clock everyday.
ผมรับประทานอาหารเช้าเวลา 7 นาฬิกาทุกวัน
Everybody wears thick clothes in winter.
ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว
We go to temple every Sunday morning.
พวกเราไปวัดทุกๆ เช้าวันอาทิตย์
3. ใช้แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสภาพที่เป็นปัจจุบัน เช่น
She understands what you say.
เธอเข้าใจที่คุณพูด
I have four notebooks in the suitcase.
ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋า
4. ใช้แสดงถึงการกระทาในอนาคต ซึ่งตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ
The next semester begins in two weeks.
อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิดเทอมหน้า
He sets sail on Saturday for Samui.
เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์
หมายเหตุ
อย่าลืมนะครับว่าถ้าประธานเป็นเอกพจน์ บุรุษที่ 3 คือ He, She, It กริยาที่ใช้ต้องเติม s เสมอ
ห้ามลืมกฎข้อนี้เด็ดขาดนะครับ!!! พวกเรามักจะลืมบ่อยๆ เสมอ ก็อย่างว่านะครับ ภาษาไทยของเราไม่มี
การผันกริยาใดทั้งสิ้น เลยไม่ค่อยจะคุ้นเคย หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมบ่อยนะครับ ^o^
บทที่ ๔
TENSES (2) : Present Continuous Tense
Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )
1. ใช้เมื่อการกระทานั้นกาลังดาเนินอยู่ในปัจจุบัน ( ขณะที่พูด ) และยังทาต่อเนื่องมาจนถึงบัดนั้น
และจบลงในอนาคต เช่น
My uncle is listening to the radio.
ลุงของผมกาลังฟังวิทยุ
What is he doing?
เขากาลังทาอะไรเหรอ?
8
2. แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้น ซึ่งจาเป็นจะต้องเกิดขึ้นขณะที่กล่าวนั้นจริงๆ เช่น
More and more people are using Internet.
ผู้คนเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ ขึ้นทุกทีทุกที
Accidents are happening more and more frequently.
อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น
3. ใช้แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งแน่ใจว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เช่น
We are planning to go to the beach next week.
พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า
She is going abroad next Tuesday.
หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า
4. ถ้าประโยค Present Continuous Tense เชื่อมด้วย and ( กรณีเป็น 2 ประโยค ) ให้ตัดกริยา Verb to
be ที่อยู่ข้างหลัง and ออกเสีย เช่น
My father is smoking a cigarette and watching television.
คุณพ่อของฉันกาลังสูบบุหรี่และดูโทรทัศน์
กริยำที่นำมำแต่งเป็นContinuous Tense ( ทุกชนิด ) ไม่ได้!!!
กริยาจาพวกนี้นะครับ กรุณาเอามาแต่งเฉพาะใน Simple Tense เท่านั้นนะครับ
๑. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, smell, feel, hear, taste, etc. เช่น
I see the beautiful mountain.
ฉันดูภูเขาอันงดงาม
ไม่ใช้ : I am seeing the beautiful mountain. ( กรุณาอย่าคิดแบบภาษาไทยนะครับ ไม่เหมือนกันครับ )
๒. กริยาที่แสดงถึงภาวะของจิต ( State of Mind ), แสดงความรู้สึก ( Feeling ), ความผูกพัน (
Relationship )
ไม่นิยมนามาแต่งใน Continuous Tense เช่น
know, understand, love, hate, seem, like, disagree, notice, remember, dislike, prefer, distrust,
possess, own, differ, deserve, consist of, doubt, suppose, mean, contain, refuse, depend,
appear, wish, have, detest, trust, recall, forget, consider, agree, belong, believe, etc.
I know him very well
ผมรู้จักเขาดี
อย่ำใช้ : I am knowing him very well.
He believes that taxes are too high.
เขาเชื่อว่าภาษีแพงเกินไป
อย่ำใช้ : He is believing that taxes are too high.
หลักกำรเติม -ing
9
(1). กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น
write => writing, move => moving, live => living
tremble => trembling, argue => arguing, take => taking
(2). กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม -ing ได้เลย ไม่มีการตัดอะไรทั้งสิ้น เช่น
see => seeing, agree => agreeing, free => freeing
(3). กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยนเป็น y ก่อน แล้วถึงจะเติม -ing เช่น
die => dying, lie => lying, tie => tying
[ หมำยเหตุ : ski => skiing ]
(4). กริยาที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว และเป็นพยางค์เดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน
แล้วจึงเติม -ing เช่น stop => stopping, run => running, sit => sitting, get => getting, dig => digging
(5). กริยาที่มี 2 พยางค์ซึ่งออกเสียงหนัก ( Stress ) ที่พยางค์หลัง และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว
ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น
occur => occurring, begin => beginning, refer => referring, offer => offerring
(6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี้ จะเพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้
[ แบบอเมริกัน ] : travel => traveling, quarrel => quarreling
[ แบบอังกฤษ ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling
บทที่ ๕
TENSES (3) : Past Simple Tense
Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object )
1. ใช้แสดงเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว มักจะมี Adverb บอกเวลาในอดีตกากับด้วย
เช่น yesterday, once, ago, formerly, last night, last year, last month, etc. เช่น
She saw you yesterday.
หล่อนเห็นคุณเมื่อวานนี้
I went to Berline last year.
ผมไปเบอร์ลินเมื่อปีที่แล้ว
My mother went out four hours ago.
พ่อของฉันออกไปข้างนอก 4 ชั่วโมงแล้ว
2. ใช้เมื่อแสดงเหตุการณ์หนึ่งกระทาเป็นประจาในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เช่น
When he was young, he was very clever.
เมื่อตอนเขายังเด็ก เขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ
I used to get up early in the morning.
10
ฉันเคยตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ( ปัจจุบันไม่ได้ตื่นเช้าแล้ว )
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น
They lived there during last spring.
พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว
I heard the blacksmith working all day long.
ฉันได้ยินช่างตีเหล็กทางานตลอดทั้งวัน
4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปัจจุบันหรือในอนาคต ซึ่งจะตามหลังคาว่า If, Unless, Wish เช่น
If I were you I would love her.
ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรักเธอ
I wish you would love me one day.
ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหนึ่ง
บทที่ ๖
TENSES (4) : Present Perfect Tense
Subject + Verb to have + past participle
วิธีใช้
1. แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้นในอดีต และดาเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในขณะที่พูดอยู่ เช่น
Her family have lived in Chiang Mai since 1979.
ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเชียงใหม่ตั้งปี ค.ศ. 1979
I have studied English for ten years.
ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งสิ้นสุดลงใหม่ๆ มักจะมีคาว่า just, already, yet เช่น
I have already finished my homework.
ผมเพิ่งทาการบ้านของผมเสร็จ
He has not read that book yet.
เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเลย
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบันใน
ขณะที่พูด เช่น
I have read them before.
ฉันเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน
The servant has cooked her dinner.
11
คนรับใช้ทาอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
4. ใช้แสดงถึงการกระทาซึ่งเริ่มต้น และสิ้นสุดลงในอดีต แต่ยังอาจจะเกิดขึ้นได้อีก มักจะมี Adverb of
Frequency อยู่ด้วย
เช่น sometimes, once, twice, many times, several times, ever, never ตัวอย่างเช่น
I have visited Los Angeles twice.
ผมไปเที่ยวลอสแองเจลลิสมา 2 ครั้งแล้ว
This is all of the best books I have ever read.
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยอ่านมา
หลักกำรใช้ Since และ Forผิดพลำด! ชื่อแฟ้ มไม่ได้ระบุ
" Since " แปลว่า 'ตั้งแต่' ใช้กับเวลาอันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นั้นในอดีต จะเป็น Since + เวลำที่
เริ่มต้น
เช่น since yesterday, since 1979, since the Cold War, since Monday, since last week เป็นต้น
นอกจากนี้ Since อาจจะบวกกับประโยคที่เป็น Past Simple Tense ได้ด้วย รูปแบบจะเป็น
Present Perfect Tense + since + Past Simple Tense เช่น
since his father died, since I was born, since she quit her work เป็นต้น
" For " แปลว่า 'เป็นเวลำ' ใช้กับจานวนเวลานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงขณะที่พูด For ใช้บอกความ
ยาวของเวลา
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเวลานานเท่าไร เพราะฉะนั้น For + ระยะเวลำ ยกตัวอย่างเช่น
for two days, for six hours, for three years, for a long time, for a few minutes เป็นต้น
หลักกำรใช้ Yet, Just, และ Already
" Yet " แปลว่า 'ยัง' จะใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอครับผม และนิยมวางไว้ท้ายสุดของประโยค เช่น
I have not watched that movie yet.
" Just " แปลว่า 'เพิ่งจะ' ส่วน " Already " แปลว่า 'เรียบร้อยแล้ว' จะใช้ในประโยคบอกเล่าครับ และจะ
วางไว้หน้ากริยาหลัก ( Main Verb ) เสมอ เช่น
He has just gone to work.
I have already closed the window.
อย่ำลืมนะครับ!!! ท่ำนต้องแม่นในกำรผันกริยำช่องที่ 3 คือ Past Participle เมื่อต้องใช้ Perfect
Tense
ทั้งแบบ Regular Verbs หรือ Irregular Verbs ครับผม!!! (O'_'O)
12
บทที่ ๗
Tenses (5) : Future Simple Tense
วิธีใช้
1. ใช้เพื่อแสดงถึงการกระทาหรือสภาพในอนาคต เช่น
He will travel to Singapore next year.
เขาจะไปเที่ยวสิงคโปร์ปีหน้า
The plane will leave the airport in a few minutes.
เครื่องบินจะออกจากท่าอากาศยานในอีก 2-3 นาทีข้างหน้า
กำรใช้ (be) going to แทน will หรือ shall
1. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงความตั้งใจ ( Intention ) แทน will และ shall ได้ เช่น
She is going to buy a car next month.
หล่อน ( ตั้งใจ ) จะซื้อรถยนต์เดือนหน้า
We are going to visit our grandfather tomorrow.
พวกเรา ( ตั้งใจ) จะไปเยี่ยมคุณปู่ในวันพรุ่งนี้
2. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงการคาดคะเน ( Suggestion ) แทน will และ shall ได้ เช่น
I think it is going to rain.
ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก ( อย่างแน่นอน )
3. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงข้อความซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นโดยปราศจากข้อสงสัยแทน will
และ shall ได้ เช่น
His wife is going to have a baby.
ภรรยาของเขาจะมีลูกแล้ว
ห้ำมใช้ (be) going to + V1 ในกรณีต่อไปนี้
1. เหตุการณ์ที่เป็นอนาคตอันแท้จริง ( Exact Futurity ) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่น
I will be twenty-one next year.
ผมจะมีอายุ 21 ในปีหน้า
( ห้ำมใช้ : I am going to be twenty-one next year. )
Today is the 3rd; tomorrow will be the 4th.
วันนี้เป็นวันที่ 3 พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ 4
( ห้ำมใช้ : Today is the 3rd; tomorrow is going to be the 4th. )
13
2. ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในประโยคเงื่อนไขที่เชื่อมด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ shall เท่านั้น
John will be successful if he tries hard.
จอห์นจะประสบความสาเร็จถ้าเขาพยายามอย่างจริงจัง
( ห้ำมใช้ : John is going to be successful if he tries hard. )
They will be on time if they hurry.
พวกเขาจะทันเวลาถ้าพวกเขารีบหน่อย
( ห้ำมใช้ : They are going to be on time if they hurry. )
3. ห้ามใช้ (be) going to + V1 กับกริยาที่แสดงการรับรู้ เช่น understand, forget, like, remember, love,
know, etc.
I will remember this experience forever.
ผมจะจาประสบการณ์นี้ตลอดไป
( ห้ำมใช้ : I am going to remember this experience forever. )
He will like it if he sees.
เขาคงจะชอบถ้าเขาเห็น
( ห้ำมใช้ : He is going to like it if he sees. )
บทที่ ๘
Singular and Plural
หลักกำรเปลี่ยน
1. คานามโดยทั่วไปเมื่อเปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์มักจะเติม " s " ลงที่ท้ายคานั้น เช่น
cup -----> cups ( ถ้วย ) book -----> books ( หนังสือ ) elephant -----> elephants ( ช้าง )
lamp -----> lamps ( โคมไฟ ) house -----> houses ( บ้าน ) car -----> cars ( รถยนต์ )
2. คาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, x, z, ch หรือ sh เมื่อเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์จะต้องเติม es เช่น
kiss -----> kisses ( จูบ ) box -----> boxes ( กล่อง ) watch -----> watches ( นาฬิกา )
brush -----> brushes ( แปรง ) topaz -----> topazes ( บุษราคัม )
ยกเว้น : monarch -----> monarchs ( กษัตริย์ ) เพราะว่าพยัญชนะ ch ออกเสียงเป็น /ค/ ไม่ใช่ /ช/ ครับ
3. คาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ ให้เติม es เช่น
motto -----> mottoes ( คติพจน์ ) potato -----> potatoes ( มัน ) mango ----> mangoes ( มะม่วง )
ยกเว้น : คาเหล่านี้เติม s เมื่อทาเป็นพหูพจน์ bamboo -----> bamboos ( ไม้ไผ่ ) radio ----->radios (วิทยุ )
kilo -----> kilos ( กิโลชั่งขายของ ) piano -----> pianos ( เปียโน ) kangaroo -----> kangaroos ( จิงโจ้ )
dynamo -----> dynamos ( ไดนาโม ) photo -----> photos ( รูปถ่าย ) memo -----> memos ( บันทึก )
zero -----> zeros ( เลขศูนย์ ) zoo ------> zoos ( สวนสัตว์ ) banjo -----> banjos ( เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง )
embryo -----> embryos ( เด็กในท้อง ) casino ------> casinos ( บ่อนการพนัน ) solo ------> solos(โซโล )
14
Eskimo -----> Eskimos ( ชนเผ่าเอสกิโม ) studio -----> studio ( สตูดิโอ ) ฯลฯ
หมำยเหตุ : คาเหล่านี้จะเลือกเติม s หรือ es ก็ได้ เมื่อต้องการทาเป็นพหูพจน์ ได้แก่ buffalo ( ควาย ),
cargo ( สินค้า ), calico ( ผ้าเนื้อหยาบ ), domino ( โดมีโน ), grotto ( ถ้า ), halo ( แสงเป็นวงกลม ), lasso
( เชือกบ่วงบาศ ), mosquito ( ยุง ), portico ( หลังคาทางเดิน ), proviso ( ข้อแม้ ), volcano ( ภูเขาไฟ )
4. คานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
lady -----> ladies ( สุภาพสตรี ) country -----> contries ( ประเทศ ) city -----> cities ( เมือง )
5. คานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น
donkey ------> donkeys ( ลา ) boy -----> boys ( เด็กชาย ) day -----> days ( วัน )
monkey -----> monkeys ( ลิง ) key -----> keys ( ลูกกุญแจ ) ray -----> rays ( รังสี )
6. คานามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น
wife -----> wives ( ภรรยา ) life -----> lives ( ชีวิต ) knife ------> knives ( มีด )
wolf -----> wolves ( หมาป่า ) calf -----> calves ( ลูกวัว ) shelf -----> shelves ( หิ้ง )
หมำยเหตุุ ๑). คาต่อไปนี้สามารถเติม s หรือจะใช้ -ves ก็ได้ คือ scarf ( ผ้าพันคอ ), wharf ( ท่าเรือ )
๒). คาต่อไปนี้ให้เติมด้วย s ไปเลย ได้แก่ reef ( หินโสโครก ), grief ( ความเศร้าโศก ), gulf ( อ่าว ),
dwarf ( คนแคระ ), turf ( พื้นหญ้า ), chief ( หัวหน้า ), roof ( หลังคา ), hoof ( กีบเท้าสัตว์ ),
cliff ( หน้าผา ), proof ( หลักฐาน ), strife ( การวิวาท ), safe ( ตู้นิรภัย ), fife ( ขลุ่ย )
handkerchief ( ผ้าเช็ดหน้า )
7. นามบางคาจะเปลี่ยนรูปไปจากเดิมเมื่อเป็นพหูพจน์ ซึ่งจะต้องใช้การจดจา เช่น
man -----> men ( ผู้ชาย ) woman -----> women ( ผู้หญิง ) foot -----> feet ( ฟุต )
mouse ------> mice ( หนู ) louse -----> lice ( เหา ) child -----> children ( เด็ก )
goose -----> geese ( ห่าน ) tooth -----> teeth ( ฟัน ) ox -----> oxen ( วัวตัวผู้ )
8. คานามบางคามีรูปเอกพจน์เหมือนกับรูปพหูพจน์ เช่น
sheep ( แกะ ), deer ( กวาง ), salmon ( ปลาแซลมอน ), grouse ( ไก่ป่า ), cod ( ปลาค็อด ),
fish ( ปลา ), bison ( กระทิง ), swine ( หมูป่า ), reindeer ( กวางเรนเดียร์ ), herring ( ปลาเฮอร์ริง )
9. คาที่มาจากภาษากรีกหรือละติน เมื่อเป็นพหูพจน์จะเป็นไปตามกฎของภาษากรีกหรือละติน เช่น
agendum -----> agenda ( หัวข้อการประชุม ) erratum -----> errata ( ผิด ) datum -----> data ( ข้อมูล )
memorandum -----> memoranda ( บันทึก ) radius -----> radii ( รัศมี ) crisis -----> crises (วิกฤตการณ์ )
phenomenon -----> phenomena ( ปรากฏการณ์ ) oasis -----> oases ( โอเอซิส ) axis -----> axes(แกน )
thesis -----> theses ( วิทยานิพนธ์ ) appendix -----> appendices (ดรรชนี) basis -----> bases(พื้นฐาน )
10. คานามผสมที่มีบุพบทมาคั่น ให้เติม s ที่ท้ายคาแรก หากต้องการทาเป็นพหูพจน์ เช่น
sister-in-law -----> sisters-in-law ( พี่สะใภ้, น้องสะใภ้ ) passer-by ------> passers-by ( คนที่เดินผ่านไป
มา )
15
ผมขอสรุปคร่าวๆ แต่เพียงเท่านี้นะครับ เรื่องเอกพจน์พหูพจน์นี้ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนกันพอสมควร
ทีเดียวนะครับ คาบางคาอาจจะมีรูปเสมือนเป็นพหูพจน์ แต่จริงๆ แล้วเป็นเอกพจน์ก็มีนะครับ อย่างเช่น
news เป็นต้นครับ หรือคาบางคา ก็ต้องทาให้เป็นรูปพหูพจน์อยู่เสมอ อย่างเช่น pants, glasses,
scissors เป็นต้น คาบางคาแม้รูปเอกพจน์กับพหูพจน์ อาจจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไปเลยครับ ........
บทที่ ๙
Tenses (6) : Past Continuous Tense
Subject + was, were + V-ing + Object
วิธีใช้
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่แสดงอาการกาลังกระทาในอดีต เช่น
They were speaking in the bookstore.
พวกเขากาลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ
She was going to post office.
หล่อนกาลังจะไปที่ทาการไปรษณีย์
2. ใช้แสดงถึงการกระทาที่ต่อเนื่องกันในอดีต เช่น
What were you doing all last summer?
เธอทาอะไรตลอดฤดูร้อนที่แล้วเหรอ?
I was enjoying myself at the seaside.
ผมรื่นเริงกับการเที่ยวทะเล
3. ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ โดยขณะที่เหตุการณ์อันหนึ่งกาลังดาเนินไปอยู่ก่อน และยังมี
เหตุการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆ เกิดแทรกเข้ามา โดยมีหลักการแต่งประโยคดังนี้ คือ
เหตุการณ์ใดที่ดาเนินอยู่ใช้ Past Continuous Tense
เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น
While he was walking along the road, he saw an accident.
ขณะที่เขากาลังเดินไปตามถนนอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นอุบัติเหตุ
When I returned home, she was playing pingpong.
ตอนที่ฉันกลับบ้าน เธอกาลังเล่นปิงปองอยู่
4. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นหรือดาเนินอยู่หร้อมกันในเวลาเดียวกันในอดีต ซึ่งจาเป็นต้องใช้ Past
Continuous ทั้งคู่ ซึ่งมักจะมีคาว่า whileหรือ as มาเชื่อม เช่น
I was playing while you were studying.
ฉันกาลังเล่นในขณะที่เธอกาลังเรียน
16
He was listening to the radio as she was cooking.
เขากาลังฟังวิทยุในขณะที่หล่อนกาลังทาอาหาร
ผิดพลำด! ชื่อแฟ้ มไม่ได้ระบุ
5. ใช้กับเหตุการณ์ที่กาลังเกิดขึ้นหรือดาเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น
They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.
พวกเขากาลังทาความสะอาดห้องตอน 8 โมงเมื่อวานนี้
When I saw him, he was watering in the garden.
ขณะที่ผมเห็นเขา เขากาลังรดน้าตันไม้อยู่ในสวน
6. ใช้ในการสมมุติหรือเป็นข้อแม้ หรือการคาดคะเนเพื่อแสดงถึงการกระทาที่ต่อเนื่องกัน เช่น
What would you do if it was raining?
คุณจะทาอย่างไรถ้าฝนกาลังตก?
I wish I were going with you to England.
ฉันคิดว่าฉันกาลังจะไปอังกฤษกับเธอ
หมำยเหตุ : กรุณาลองกลับไปอ่านที่ บทที่ 4 Present Continuous Tense เรื่องกริยาที่นามาแต่งเป็น
Continuous ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ด้วยนะครับ เมื่อเป็นการทบทวนแล้วเสริมความเข้าใจอีกรอบคร้าบ
บทที่ ๑๐
Tenses (7) : Present Perfect Continuous Tense
Subject + have/has been + V-ing + Object
วิธีใช้
แสดงถึงการกระทา หรือสภาพซึ่งเริ่มขึ้นในอดีตและได้กระทาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ( ขณะที่พูด ) และจะ
คงดำเนินต่อไปอีกในอนำคต
( นี่คือจุดที่แตกต่างจาก Present Perfect Tense ครับ ) มักจะมีคาว่า since ( from that time ), ever,
until now, for......weeks,for a long time, since then, since ...... o'clock ยกตัวอย่างเช่น
I have been living here for ten years.
ผมได้อยู่อำศัยที่นี่มำเป็นเวลำ 10 ปีแล้ว
( ประโยคนี้หมายความว่า ผมได้อยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาถึงเวลาที่พูดประโยคนี้ก็
ได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี และปีที่ 11 หรือ 12 หรือต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีก แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า " I
have lived here for ten years. "
ก็หมายความว่าผมได้อยู่อาศัยมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี แต่ว่าปีที่ 11 หรือต่อๆ ไปจะอยู่ต่อหรือไม่นั้น ไม่อาจ
ทราบได้ครับ )
อย่างไรก็ตาม Tense นี้ไม่ค่อยใช้กันบ่อยนัก ส่วนมากนิยมใช้ Present Perfect Tense กันมากกว่าครับผม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กริยาที่มีความหมายเป็นการกระทาที่ไม่นาน ไม่ควรนามาแต่งด้วย Present Perfect
17
Continuous Tense
โดยเด็ดขาด กริยาที่สามารถนามาแต่งเป็น Present Perfect Continuous Tense นั้น จะต้องคานึงว่าเป็น
กริยาที่สามารถ
กระทานานๆ ได้นะคร้าบ เช่น play, teach, study, learn, live, work, stand, sit, sleep, read, wait,
rest เป็นต้น
บทที่ ๑๑
Tenses (8) : Past Perfect Tense
Subject + had + V3 ( Past Participle ) + Object
วิธีใช้ 1 ). ใช้แสดงถึงการกระทาที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นก่อนจะใช้
Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาภายหลังใช้ Past Simple Tense ดังตัวอย่าง
When I had done my work, I went home.
เมื่อฉันทางานเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้าน
( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ การทางานที่เสร็จแล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังคือ ฉันกลับบ้าน )
I had lost my pen so I was unable to do the exercise.
ฉันทาปากกาหาย ฉันจึงไม่สามารถทาแบบฝึกหัดได้
( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ ฉันทาปากกาหาย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังคือ ฉันไม่สามารถทา
แบบฝึกหัดได้ )
2 ). ใช้กับกริยาที่เป็น Past และ Present Perfect Tense เมื่อต้องการทา Direct Speech ให้เป็น
Indirect Speech
Direct Speech : " I have finished my work. " she said.
Indirect Speech : She said that she had finished her work
เธอพูดว่าเธอได้ทางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
Direct Speech : " What did you do with the money? ", she asked.
Indirect Speech : He asked me that what I had done with the money.
เขาได้ถามผมว่าได้นาเงินไปใช้อะไรบ้าง?
3 ). ใช้ตามหลัง if, unless, wish, etc. เพื่อแสดงการสมมุติที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( If-Clause แบบที่ 3 :
Past Unreal
ดูเพิ่มเติมได้ที่ Chapter 1 = If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) = ได้นะคร้าบ ) ตัวอย่างเช่น
If you had come in time, my brother could not have died.
ถ้าเธอมาทันเวลาพี่ชายของฉันคงไม่ตาย
18
I wish you had told me before I came.
ผมหวังว่าคุณจะบอกผมก่อนที่ผมจะมา
บทที่ ๑๒
Tenses (9) : Future Perfect Tense
Subject + will + have + V3 ( Past Participle ) + Object
วิธีใช้
1). แสดงถึงการกระทาซึ่งสาเร็จเรียบร้อยหรือใกล้ระยะเวลาที่กาหนดในอนาคต เช่น
He will have left the house in an hour.
เขาจะออกจากบ้านไปในเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้
I will have finished my dinner before half past eight.
ฉันจะรับประทานอาหาเย็นเสร็จก่อนเวลา 8.30 น.
2). แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน มักจะมีคาว่า by
tomorrow, by next month,
by the end of June, by dinner time, by next spring, etc. เช่น
I will have finished my homework by dinner time.
ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น ผมจะทาการบ้านเสร็จเรียบร้อย
( ขณะที่พูดยังทาการบ้านไม่เสร็จ แต่เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นจะเสร็จอย่างแน่นอน )
They will have moved in a new house by the end of next year.
เมื่อสิ้นปีหน้า พวกเขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้นหลังใหม่แล้ว
( ขณะที่พูดยังไม่ได้ย้าย ก่อนสิ้นปีจะย้ายอย่างแน่นอน )
บทที่ ๑๓
Errors in Tenses (1)
1). มักจะใช้ Tense ปะปนกันภายในหนึ่งประโยค เช่น
ไม่ใช้ : They asked him to be captain, but he refuses.
ใช้ : They asked him to be captain, but he refused.
พวกเขาขอร้องให้เขาเป็นกัปตัน แต่เขาปฏิเสธ
คำอธิบำย : ถ้าเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่เป็นอดีต ประโยคที่เชื่อมกันต่อไปจะต้องเป็น Past Tense ทั้งหมด
2). มักจะลืมเติม "s" กับประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3
19
ไม่ใช้ : He walk to school everyday.
ใช้ : He walks to schools everyday.
เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน
คำอธิบำย : ใน Present Simple Tense กริยาที่ใช้กับประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3 ( He, She, It ) จะต้อง
เติม "s" เสมอ
( ข้อนี้เป็นข้อที่คนไทยมักจะลืมมากที่สุดครับ!!! )
3). มักใช้ "as if" หรือ "as though" ในรูปของ Present Tense
ไม่ใช้ : John talks as if/as though he knows everything.
ใช้ : John talks as if/as though he knew everything.
จอห์นพูดประหนึ่งว่าเขารู้ไปเสียทุกอย่าง
คำอธิบำย : ถ้ามีวลี "as if" หรือ "as though" ( ประหนึ่งว่า ) ในประโยค จะต้องตามด้วย Past Tense
เสมอ
ถ้าในกรณีที่กริยาที่ตามหลังเป็น Verb to Be จะต้องใช้ "were" เสมอ
บทที่ ๑๔
Errors in Tenses (2)
11). มักใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคา " Does "
11.1 ประโยคคำถำม
ไม่ใช้ : Does the gardener waters the flowers?
ใช้ : Does the gardener water the flowers?
คนสวนรดน้าต้นไม้หรือเปล่า?
11.2 ประโยคปฏิเสธ
ไม่ใช้ : The gardener does not waters the flowers.
ใช้ : The gardener does not water the flowers.
คนสวนไม่ได้รดน้าต้นไม้
คำอธิบำย : หลังคา " Does " จะต้องเป็น Infinitive without to เท่านั้น และไม่ใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที่ 3
เด็ดขาด
และในการตอบคาถามประโยคที่ขึ้นต้นด้วย " Does " จะต้องเป็น Present Tense และใช้กริยาเอกพจน์
บุรุษที่ 3 เสมอ เช่น
ถามว่า : Does he like coffee?
ตอบว่า : Yes, he likes coffee.
หรือ : Yes, he does.
20
12). มักใช้กริยาที่ตามหลังคาว่า " Did " ในรูป " Past Tense "
12.1 ประโยคคำถำม
ไม่ใช้ : Did you went to school yesterday?
ใช้ : Did you go to school yesterday?
เมื่อวานนี้เธอไปโรงเรียนหรือเปล่า?
12.2 ประโยคปฏิเสธ
ไม่ใช้ : I did not went to school yesterday.
ใช้ : I did not go to school yesterday.
เมื่อวานนี้ฉันไม่ได้ไปโรงเรียน
คำอธิบำย : กริยาที่ตามหลังคากริยาช่วย Did นั้น จะต้องตามด้วย Infinitive without to เสมอ
บทที่ ๑๕
Indirect Speech : Introduction
ข้อแตกต่ำงระหว่ำง Direct กับ Indirect Speech
Direct Speech คือ การนาเอาคาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาโดยตรง เช่น
John said, " He has two sisters. "
จอห์นพูดว่า " เขามีพี่สาว 2 คน "
คาว่า He has two sisters เป็นคาที่หยิบมาพูดโดยตรงและไม่ได้มีการดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้นครับ
สาหรับ Indirect Speechคือ การนาเอาคาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟังโดยดัดแปลง
เป็น
คาพูดของผู้พูดอีกครั้งหนึ่ง จากประโยค Direct Speech ข้างต้น สามารถทาเป็น Indirect Speech ได้ดังนี้
John said that he had two sisters.
จอห์นพูดว่าเขามีพี่สาว 2 คน
รูปแบบของ Direct Speech โดยทั่วไป
ง่ายๆ เลยนะครับ หากเราจะสร้างประโยค Direct Speech ก็จะต้องบอกว่าใครเป็นคนพูด เช่น he said,
they said,
I said, my friend said, her brother said เป็นต้นครับ จะเอาวางไว้ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ครับ จากนั้น
ตรงประโยคคาพูดจะต้องมีเครื่องหมายอัญประกาศ " _____ " แบบนี้ด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น
They said, " Linda will go to Bangkok tomorrow. " หรืออาจจะ
" Linda will go to Bangkok tomorrow. ", they said.
โปรดสังเกตด้วยนะครับว่าระหว่างประโยคคาพูดนั้นกับผู้พูด จะต้องมีเครื่องหมาย Comma ( , ) คั่นด้วยนะ
ครับ
คราวหน้าผมจะมาเริ่มพูดถึงแต่ Indirect Speech แล้วนะครับ ติดตามอ่านได้นะคร้าบ (o'_'o)
21
บทที่ ๑๖
Indirect Speech : หลักกำรเปลี่ยน
การเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech นั้น หลักสาคัญคือคุณจะต้องเปลี่ยน
1. เปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun )
2. เปลี่ยน Tense
3. เปลี่ยนถ้อยคาที่แสดงความใกล้ให้เป็นไกล
กำรเปลี่ยนสรรพนำมบุคคล
D I R E C T I N D I R E C T
I he or she
me him or her
my his or her
mine his or hers
myself himself or herself
we they
us them
our their
ours theirs
ourselves themselves
you ( Subject ) I
you ( Object ) me
your my
yours mine
yourself ( -ves ) myself ( ourselves )
กำรเปลี่ยน Tense
D I R E C T I N D I R E C T
Present Simple Tense Past Simple Tense
Present Continuous Tense Past Continuous Tense
Present Perfect Tense Past Perfect Tense
22
Past Simple Past Perfect Tense
will would
shall should
can could
may might
must had to
กำรเปลี่ยนถ้อยคำที่แสดงควำมใกล้ให้เป็นถ้อยคำที่แสดงควำมไกล
D I R E C T I N D I R E C T
today, tonight that day, that night
yesterday the day before, the previous day
last night/week/month/year the night/week/month/year before
the day before yesterday two days before
the day after two days after, in two days' time
tomorrow the next, the following day
next week/month/year the week/month/year after
thus so
now then, at that time
ago before
come go
this, those that, those
here there
บทที่ ๑๗
Indirect Speech : ประโยคคำสั่งหรือประโยคขอร้อง
หลักการเปลี่ยน Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech ในกรณีที่ประโยค Direct Speech เป็นประโยค
คาสั่งหรือประโยคขอร้อง
1. เลือกใช้คากริยานา ( Reportig Verb ) ให้เหมาะสม ตามปรกติมักจะใช้คาเหล่านี้
23
ask ( asked ) ขอร้อง ( ให้ทากระทา ) โดยปรกติแล้วจะใช้คานี้เมื่อประโยคเดิมมีคาว่า "please"
tell ( told )
บอก ( ให้ทา...... ) เช่นบอกให้ทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คานี้นิยมใช้มากเพราะเป็นคากลางๆ ไม่
เฉียบขาดเกินไป และไม่อ่อนเกินไป ในกรณีที่หาคาเหมาะสมไม่ได้ ขอแนะนา ให้ใช้คานี้
นะครับ
warn ( warned ),
advise ( advised
)
เตือน, แนะนา ( ให้กระทา ) เช่น แนะนา ตักเตือนให้กระทาสิ่งในสิ่งหนึ่ง
order ( ordered ) สั่ง ( ธรรมดา ) เช่น อาจารย์สั่งนักศึกษา
command, (
commanded )
สั่ง ( เฉียบขาด ) เช่น ผู้บังคับบัญชาสั่งลูกน้อง
beg ( begged )
งขอร้อง ( ให้กระทา ) ใช้เช่นเดียวกับ ask แต่ความหมายของคาๆ นี้ จะดูอ่อนน้อม กว่า
นะครับ ควรใช้ในกรณีที่ประโยคเดิมมีคาสุภาพมากในการขอร้อง เช่น
Would you mind ( please ) ...............?
2. จะต้องระบุผู้สั่ง ( ขอร้อง ) และผู้ถูกสั่ง ( ขอร้อง ) เสมอ
3. สั่งให้ทาอะไร ขอร้องให้ทาอะไร ให้เติม to หน้ากริยาตัวนั้นเลยครับ แต่ถ้ากริยานั้นอยู่ในรูปปฏิเสธให้ใช้
not to แทนครับผม
ตัวอย่ำงประโยค
Direct : He said to me, " Please open that window. "
Indirect : He asked me to open that window.
Direct : She said to my brother, " Don't shut the door. "
Indirect : She told my brother not to shut the door.
Direct : He said to his friend, " Don't smoke too much. "
Indirect : He warned to his friend not to smoke too much.
Direct : The doctor to me, " Drink water as much as you can. "
Indirect : The doctor advised to me to drink water as much as I can.
Direct : The teacher said to the students, " Be quiet! "
Indirect : The teacher ordered the students to be quiet.
Direct : The General said to his soldiers, " Be patient! "
Indirect : The General commanded to his soldiers to be patient.
Direct : She said to her boss, " Please sign your name in this paper. "
Indirect : She begged to her boss to sign his name in this paper.
24
บทที่ ๑๘
Indirect Speech : ประโยคคำถำม
หลักกำรเปลี่ยน
1. เปลี่ยนคากริยานา ( Reporting Verb ) จาก said ให้เป็น asked, inquired, หรือ enquired
2. ถ้าประโยคคาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคาถามแบบต้องตอบด้วย " YES หรือ NO "
นั่นความหมายว่า ใช้กริยาช่วยขึ้นต้นประโยค ( Verb to be, Verb to do, Verb to have,
Will, Shall, Can, May, etc. ) เมื่อทาเป็น Indirect Speech ให้เปลี่ยนกริยาช่วยเหล่านั้น
เป็น if หรือ whether เป็นคาเชื่อมระหว่างประโยคนากับประโยคตาม
3. ถ้าประโยคคาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคาถามแบบขึ้นต้นด้วย Question Word นั่นคือ
What, Where, When, Why, Who, Which, How ไม่ต้องใส่ if หรือ whether
ให้ใช้ Question Word เหล่านั้นมาทาหน้าที่ได้เลย
4. ข้อความของ Indirect Question จะต้องทาให้เป็น ประโยคบอกเล่ำ เสมอ
5. หลักการเปลี่ยน Tense ยังคงใช้วิธีการเดิม
ตัวอย่ำงประโยค
ใช้กริยำช่วยขึ้นต้นประโยคใน Direct Speech
Direct : He said to me, " Are you going to Chiang Mai on Sunday? "
Indirect : He asked me if I was going to Chiang Mai on Sunday.
Direct : She said to me, " Have you ever studied French? "
Indirect : She inquired me whether I had ever studied French.
Direct : They said to us, " Do you speak Chinese? "
Indirect : They asked us if we spoke Chinese.
Direct : She said to him, " Can you swim? "
Indirect : She enquired him whether he could swim.
Direct : John said to her, " Will you go to the party tonight? "
Indirect : John asked her if she would go to the party that night.
Direct : We said to him, " Should we postpone the appointment to next Monday? "
Indirect : We inquired him whether we should postpone the appointment to Moday after.
ใช้ Question Word ขึ้นต้นประโยคใน Direct Speech
Direct : I said to Tony, " How long have you been here? "
Indirect : I enquired Tony how long he had been here.
25
Direct : She said to me, " What is your name? "
Indirect : She asked me what my name was.
Direct : They said to him, " Where did you go last night? "
Indirect : They inquired him where he had gone the night before.
Direct : My mother said to me, " Why don't you go to school yesterday? "
Indirect : My mother asked me why I did not go to school the day before.
บทที่ ๑๙
Indirect Speech : ประโยคที่ใช้ " Let's "
หลักกำรเปลี่ยน
เมื่อประโยค Direct Speech ปรากฏสานวน Let's นะครับ เวลาที่จะทาให้เป็น Indirect Speech
จะต้องใช้กริยานา ( Reporting Verb ) ว่า suggest, advise, urge, propose นะครับ
จากนั้นจึงตามด้วย them + infinitive with " to " นะครับ ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลยนะครับ
Direct : She said, " Let's go shopping. "
Indirect : She urged them to go shopping.
Direct : Eugene said, " Let's study English. "
Indirect : Eugene proposed them to study English.
Direct : The teacher said, " Let's play a game. "
Indirect : The teacher advised them to play a game.
Direct : The speaker said, " Let's eat vegetables. "
Indirect : The speaker suggested them to eat vegetables.
เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่อยากเลยใช่ไหมครับผม คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจวิธีการใช้แล้วใช่ไหมครับ?
บทที่ ๒๐
Indirect Speech : ประโยคอุทำน ( Exclamation )
หลักกำรเปลี่ยน
ประโยคอุทานนั้น เรามักจะอุทานของมาด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันใช่ไหมครับ? เช่น อุทานของมาด้วยความ
ดีใจ ,ตกใจ, เสียใจ, ยินดี, ตื่นเต้น ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อเราทาประโยคให้เป็น Indirect Speech กริยานา (
Reporting Verb ) ก็จะต้องบ่งบอกว่าการอุทานในตอนนั้น เป็นการอุทานแบบไหนด้วยนะครับ ยกตัวอย่าง
เช่น
exclaimed with delight อุทำนออกมำด้วยควำมดีใจ
exclaimed with sadness อุทำนออกมำด้วยควำมเสียใจ
exclaimed with surprise อุทำนออกมำด้วยควำมประหลำดใจ
26
exclaimed with anger อุทำนออกมำด้วยควำมโกรธ
exclaimed with excitement อุทำนออกมำด้วยควำมตื่นเต้น
exclaimed with admiration อุทำนออกมำด้วยควำมชื่นชมยินดี
เหล่านี้เป็นต้นครับ ง่ายสุดคือ คุณก็เขียนว่า exclaimed with + N ( ที่แสดงถึงอารมณ์ของประโยคนั้นๆ )
อย่าลืมนะครับ คาที่แสดงอารมณ์เหล่านั้นจะต้องทาให้เป็น คำนำม ด้วยนะคร้าบ ^o^
ตัวอย่ำงประโยค
Direct : He said, " Hurrah! I passed the Entrance Exam! "
Indirect : He exclaimed with delight the he passed the Entrance Exam.
Direct : She said, " Congratulation! What a success you have! "
Indirect : She exclaimed with admiration for my success.
Direct : They said, " Hey, why do you so late? "
Indirect : They exclaimed with surprise for my late arrival.
Direct : She said, " Help me! "
Indirect : She exclaimed with fright for help.
ประโยค Indirect Speech ที่ใช้กับประโยคอุทานนั้นอาจจะดูยุ่งยากสับสนเล็กน้อยนะครับ
เพราะเราอาจจะต้องรู้จักดัดแปลงประโยคเล็กน้อยเมื่อทาเป็น Indirect Speech q^_6 p
บทที่ ๒๑
Indirect Speech : รวมประโยคหลำยแบบเข้ำด้วยกัน
1. ประโยคคำถำม กับ ประโยคบอกเล่ำ
ใช้ and said that เป็นตัวเชื่อมนะครับ กรณีที่ประโยคข้างหลังเป็นประโยคบอกเล่า เช่น
Direct : He said to me, " When will they come? I will be ready at any time. "
Indirect : He asked me when they would come and said that he would be ready at any time.
ใช้ and asked กรณีที่ประโยคคาถามเป็นประโยคหลัง เช่น
Direct : Steve said to me, " I will be at home at 6 p.m. When will you call me? "
Indirect : Steve told me that he would be at home at 6 p.m. and asked when I would call him.
2. ประโยคคำสั่ง กับ ประโยคคำถำม
ใช้ and asked เป็นตัวเชื่อมทั้ง 2 ประโยคครับ เช่น
Direct : The librarian said to us, " Be quiet! Why are you so noisy? "
Indirect : The librarian told us to be quiet and asked why we were so noisy.
27
3. ประโยคบอกเล่ำ กับ ประโยคคำสั่ง
ใช้ and told + บุคคล + infinitive เป็นคาเชื่อมระหว่างประโยคทั้งสอง เช่น
Direct : She said to him, " I don't feel well. Leave me alone! "
Indirect : She said to him that she didn't feel well and told him to leave her alone.
4. ประโยคบอกเล่ำ กับ ประโยคปฏิเสธ
ใช้ and that มาเชื่อมครับ เช่น
Direct : Simon said to me, " My computer is broken. I can't use it. "
Indirect : Simon said to me that his computer was broken and that he couldn't use it.
5. ประโยคคำสั่งทั้งคู่
ใช้ and to เชื่อมครับผม เช่น
Direct : She said to us, " Stand up! Look overthere! "
Indirect : She told to us to stand up and to look overthere.
บทที่ ๒๒
Indirect Speech : ประโยค Direct ขึ้นต้นด้วย Yes หรือ No
วิธีทำ
1. เปลี่ยน said to เป็น told + บุคคล + that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Present Tense " เช่น
Direct : He said to me, " Yes, I often go to the library. "
Indirect : He told me that he often went to the library.
2. เปลี่ยน said to เป็น promised that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Future Tense " เช่น
Direct : Joe said, " Yes, I will think of you. "
Indirect : Joe promised that he would think of me.
3. เปลี่ยนจาก said เป็น refused to + Infinitive Verb
หากประโยคเดิมเป็น " No, + ประโยคซึ่งไม่กระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง " เช่น
Direct : She said, " No, I won't stay at home. "
Indirect : She refused to stay at home.
บทที่ ๒๓
Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ
1. ไม่ต้องเปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นเป็นบุรุษเดียวกัน
ทั้งนี้เพราะเป็นการเล่าถึงคาพูดของตนเอง เช่น
28
Direct : I said, " I will go shopping. "
Indirect : I said that I would go shopping.
แต่ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นต่างบุรุษกัน ต้องเปลี่ยนไปตามกฎนะครับ เช่น
Direct : He said, " I will go swimming. "
Indirect : He said that he would go swimming.
2. กริยาบางตัวซึ่งใช้ในความหมายของ Present Tense แต่มีรูปเป็น Past Tense อยู่แล้ว ไม่ต้อง
เปลี่ยนแปลง นั่นคือ could, should, would, might เช่น
Direct : She said, " I might study Chinese. "
Indirect : She said that she might study Chinese.
3. คาเชื่อม that ในประโยคบอกเล่าของ Indirect Speech สามารถละไว้ได้ ถือว่าไม่ผิดแต่อย่างใด เช่น
Direct : They said, " We are going to have a dinner. "
Indirect : They said they were going to have a dinner.
บทที่ ๒๔
Passive Voice : Introduction
Active Voice vs Passive Voice
Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นกระทาหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น
We are playing tennis.
พวกเรากาลังเล่นเทนนิส
I get up early everyday.
ฉันตื่นนอนแต่เช้าทุกวัน
ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ ว่าทั้ง " พวกเรา " และ " ฉัน " ต่างเป็นผู้กระทากริยานั้นๆ ทั้งสิ้น
Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทากริยานั้นโดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่น
A student was punished by his teacher.
นักเรียนถูกทาโทษโดยครูของเขา
The bank is closed at 3.30 p.m. everyday.
ธนาคารถูกปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน ( แปลตามตัว )
แต่ถ้าต้องการแปลให้สละสลวยแล้วก็ควรจะแปลว่า " ธนาคารปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน " ครับ
รูปแบบประโยค Passive Voice นี้เราจะเห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษมักจะใช้บ่อยมากเลยนะครับ โดยเฉพาะ
การเขียนที่ เป็นแบบทางการครับ แต่ภาษาไทยเรานั้นปรกติแล้วเราจะใช้ไม่บ่อยเท่าภาษาอังกฤษ อย่างไรก็
ตาม ปัจจุบันภาษาไทย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษมากทีเดียวครับ เพราะฉะนั้น เราจึงมักจะเห็น
ประโยคภาษาไทยที่ใช้ Passive Voice แบบภาษาอังกฤษเยอะมากขึ้นเลยครับ
29
บทที่ ๒๕
Passive Voice : หลักกำรเปลี่ยน
วิธีเปลี่ยน
1. ให้เอาคาที่เป็นกรรมของประโยค Active ไปเปลี่ยนเป็นประธานในประโยค Passive
2. ใช้ Verb to Be ให้ถูกต้องตามพจน์และ Tense
3. กริยาแท้ในประโยค Active จะต้องทาให้เป็น Verb ช่อง 3 เสมอ โดยวางไว้หลัง Verb to Be
4. เอาประธานของประโยค Active ไปวางเป็นกรรมของประโยค Passive และเติม by ไว้ข้างหน้า
หมำยเหตุ : คุณต้องผันกริยาช่องที่ 3 ให้ได้นะครับ โดยเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ( กริยาที่มีการผัน
โดยเฉพาะ )
หากยังไม่ทราบ เชิญเข้าไปดูได้ที่ตารางการผันกริยา Irregular Verbs ที่หน้าหลักได้ หรือ คลิกที่นี่ ครับ
รูปประโยค Passive Voice ทั้ง 12 Tenses ครับผม
Present Simple = Subject + is, am, are + Verb 3 + by ..........
Present Continuous = Subject + is, am, are + being + Verb 3 + by.........
Present Perfect = Subject + have, has + been + Verb 3 + by..........
Present Perfect Continuous = Subject + have, has + been + being + Verb 3 + by..........
Past Simple = Subject + was, were + Verb 3 + by.........
Past Continuous = Subject + was, were + being + Verb 3 + by..........
Past Perfect = Subject + had + been + Verb 3 + by..........
Past Perfect Continuous = Subject + had + been + being + Verb 3 + by..........
Future Simple = Subject + will + be + Verb 3 + by..........
Future Continuous = Subject + will + be + being + Verb 3 + by..........
Future Perfect = Subject + will + have + been + Verb 3 + by..........
Future Perfect Continuous = Subject + will + have + been + being + Verb 3 + by..........
หมำยเหตุ : Passive Voice ของ Present Perfect Continuous, Past Perfect Continuous, และ Future
Perfect Continuous Tense ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วนะครับ และหากใครที่ยังจาไม่ได้อย่างแม่นยาว่าแต่ละ
Tense ใช้อย่างไร ก็กรุณากลับ ไปอ่านบทเรียนเก่าๆ ของผมก็ได้นะครับ โดยคลิกที่ข้างล่างนี้เลยครับ ^_^
บทที่ ๒๖
Passive Voice : ตัวอย่ำงประโยค
ตัวอย่ำงกำรเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses
เมื่อบทที่แล้วผมได้แนะนาโครงสร้างประโยคของ Passive Voice ทั้ง 12 Tenses ไปแล้วนะครับ มาบทนี้ผม
ขอยกประโยคตัวอย่างประกอบ
เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพมากขึ้นครับ ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทที่แล้วเชิญ คลิกที่นี่ ครับผม
30
Present Simple Tense
Active : Somchai drives a bus.
Passive : A bus is driven by Somchai.
Present Continuous Tense
Active : Somchai is driving a bus.
Passive : A bus is being driven by Somchai.
Present Perfect Tense
Active : Somchai has driven a bus.
Passive : A bus has been driven by Somchai.
Present Perfect Continuous Tense
Active : Somchai has been driving a bus.
Passive : A bus has been being driven by Somchai.
Past Simple Tense
Active : Somchai drove a bus.
Passive : A bus was driven by Somchai.
Past Continuous Tense
Active : Somchai was driving a bus.
Passive : A bus was being driven by Somchai.
Past Perfect Tense
Active : Somchai had driven a bus.
Passive : A bus had been driven by Somchai.
Past Perfect Continuous Tense
Active : Somchai had been driving a bus.
Passive : A bus had been being driven by Somchai.
Future Simple Tense
Active : Somchai will drive a bus.
Passive : A bus will be driven by Somchai.
Future Continuous Tense
Active : Somchai will be driving a bus.
Passive : A bus will be being driven by Somchai.
Future Perfect Tense
Active : Somchai will have driven a bus.
31
Passive : A bus will have been driven by Somchai.
Future Perfect Continuous Tense
Active : Somchai will have been driving a bus.
Passive : A bus will have been being driven by Somchai.
บทที่ ๒๗
Passive Voice : คำกริยำที่ใช้ในประโยค Passive ไม่ได้
คากริยาทุกตัวไม่สามารถนามาแต่งเป็นประโยค Passive Voice ได้นะครับ ต่อไปนี้เป็นหลักทั่วไปครับผม
อย่างไรก็ตาม
ผมก็ขอแนะให้จาเป็นกลุ่มหรือเป็นคาไปด้วยนะครับ ว่ากริยาตัวไหนเอามาแต่งเป็น Passive Voice ไม่ได้
1. อกรรมกริยำ ( Intransitive Verb ) หมายถึง คากริยาที่ไม่จาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ สามารถอยู่โดด
ได้ ห้ามนามาแต่งเป็น
Passive Voice เด็ดขาดเลยนะครับ เช่น
A bird is flying in the air. ไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้นะครับ เพราะประโยคนี้ไม่มีกรรม
เพราะคาว่า fly แปลว่า บิน นั้น
ไม่จาเป็นต้องมีกรรมเลย เราก็ทราบอยู่แล้วว่านกกาลังบินอยู่ คาว่า in the air นั้นไม่ใช่เป็นกรรมนะครับ
เป็นเพียงวลีที่ขยาย
กริยา fly เท่านั้นน่ะครับ
ก็อย่างที่บอกนะครับว่า อกรรมกริยานี้ ก็ต้องหมั่นค่อยๆ จากันไปครับผม ผมไม่สามารถแนะหลักได้จริงๆ
ครับ ต้องจาเท่านั้นนะครับ
2. สกรรมกริยำ ( Transitive Verb ) บางคา ก็ไม่สามารถแต่งเป็นประโยคได้ สกรรมกริยาก็ตรงข้ามกับ
อกรรมกริยาครับ กล่าวคือ
เป็นคากริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับครับผม แบบนี้ต้องอาศัยจาไปเป็นคาๆ นะครับ ตัวอย่างกรณีนี้ก็
อย่างเช่น
He had his breakfast at home. เราไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้ว่า
His breakfast was had by him at home. ( ไม่มีใครใช้กันนะครับ )
หมำยเหตุ : อกรรมกริยำ สามารถเปลี่ยนเป็น Passive Voice ได้ กรณีที่คากริยาตัวนั้นมี preposition +
object
( ทั้งนี้เพราะ Intransitive Verb + Object = Transitive Verb ได้ทันทีครับผม ) ยกตัวอย่างเช่น
We will look after him well.
He will be well looked after.
32
Everybody doesn't like people looking down on him.
Everybody doesn't like being looked down.
บทที่ ๒๘
Passive Voice : ประโยคคำถำม
หลักกำรเปลี่ยนประโยค Active ที่เป็นคำถำมให้เป็น Passive
ประโยค Active Voice ที่เป็นประโยคคาถามที่ขึ้นด้วย Question Words เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive ให้ทา
ดังต่อไปนี้ :-
1. ให้เอา Question Words อันได้แก่ What, Where, When, Why, Whose, Whom, Which, How
ขึ้นไว้ต้นประโยคเหมือนเดิม ยกเว้นคาว่า Who ให้เปลี่ยนเป็น " By whom " แทน
2. คาอื่นๆ เช่น Verb to Be, must, may, can, could, should, would, might, etc. ให้เรียงแบบ
คาถามตามปรกติ โดยวางไว้หน้าประธาน แต่อยู่หลัง Question Words
3. ประธานใน Active Voice ต้องนาไปเป็นกรรมตามหลังบุพบท by
4. กริยาแท้ใน Active Voice เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive Voice ให้ทาเป็นกริยาช่อง 3
ตัวอย่ำงประโยค
Active : What does he want?
Passive : What is wanted by him?
Active : Who punished her?
Passive : By whom was she punished?
Active : Which dictionary do you buy?
Passive : Which dictionary is bought by you?
Active : How will they do it?
Passive : How will it be done by them?
Active : Whom does she love?
Passive : Who is loved by her?
Active : Where did you find it?
Passive : Where was it found by you?
Active : Whose computer will you buy?
Passive : Whose computer will be bought by you?
Active : When did he send her a present?
Passive : When was she sent a present by him?
Active : Why did you open it?
Passive : Why was it opened by you?
33
สาหรับบทนี้ผมว่าถ้าหากท่านไม่ค่อยเข้าใจก็อย่ากังวลมากเลยนะครับ เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วเรา
มักจะใช้ประโยคคาถามที่ขึ้นต้นด้วย
Question Words ในรูปแบบ Active Voice กันมากกว่าครับ แต่ที่นามาให้ดูก็เพื่อที่จะให้ท่านได้จดจา
รูปแบบประโยคลักษณะนี้เอาไว้ครับ
เผื่ออาจจะมีโอกาสได้พบเห็นต่อไปในอนาคตครับผม ^_^
บทที่ ๒๙
Passive Voice : ประโยคคำสั่ง
หลักกำรเปลี่ยน
ประโยคคาสั่งคือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคากริยา และไม่มีประธานเพราะละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้ว ดังนั้น
หลักการเปลี่ยน
ประโยค Active Voice ที่เป็นประโยคคาสั่งมาเป็น Passive Voice จะต้องทาดังนี้
Let + object + be + Verb ช่อง 3
ตัวอย่ำงประโยค
Active : Open the window.
Passive : Let the window be opened.
Active : Don't destroy the house.
Passive : Let the house not be destroyed.
Active : Do it.
Passive : Let it be done.
Active : Don't close the door.
Passive : Let the door not be closed.
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สั้นๆ เข้าใจง่ายไม่ยากใช่ไหมครับผม? ^_^
บทที่ ๓๐
Passive Voice : ประโยคที่ไม่ต้องกำร BY
การจะนาเอาประธานในประโยค Active Voice ไปไว้หลัง by ใน Passive Voice หรือไม่นั้น เราจะต้องดู
ใจความของประโยค คือ ถ้าเราไม่เน้นผู้กระทาหรือผู้กระทานั้นไม่สาคัญและไม่จาเป็นที่จะต้องกล่าวถึง เราก็
สามารถละบุพบท by ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น
His house was painted beautifully before he moved in.
บ้านของเขาได้ถูกทาสีไว้อย่างงดงาม ก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามาอยู่
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar
02 english grammar

More Related Content

Similar to 02 english grammar (11)

If
IfIf
If
 
7.question
7.question7.question
7.question
 
Past simple
Past simplePast simple
Past simple
 
9.tense
9.tense9.tense
9.tense
 
Tenses มีทั้งหมด-12-หลัก-แบ่งตามชนิดได้ดังนี้
Tenses มีทั้งหมด-12-หลัก-แบ่งตามชนิดได้ดังนี้Tenses มีทั้งหมด-12-หลัก-แบ่งตามชนิดได้ดังนี้
Tenses มีทั้งหมด-12-หลัก-แบ่งตามชนิดได้ดังนี้
 
Tense
TenseTense
Tense
 
Tense
TenseTense
Tense
 
Tense
TenseTense
Tense
 
Past simple tense
Past simple tensePast simple tense
Past simple tense
 
Past simple tense
Past simple tensePast simple tense
Past simple tense
 
Past simple tense
Past simple tensePast simple tense
Past simple tense
 

02 english grammar

  • 1. 1 INDEX Chapter 1 == If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) == Chapter 2 == Question Tag == Chapter 3 == Tenses (1) Present Simple Tense == Chapter 4 == Tenses (2) Present Continuous Tense == Chapter 5 == Tenses (3) Past Simple Tense == Chapter 6 == Tenses (4) Present Perfect Tense == Chapter 7 == Tenses (5) Future Simple Tense == Chapter 8 == Singular and Plural == Chapter 9 == Tenses (6) Past Continuous Tense == Chapter 10 == Tenses (7) Present Perfect Continuous Tense == Chapter 11 == Tenses (8) Past Perfect Tense == Chapter 12 == Tenses (9) Future Perfect Tense == Chapter 13 == Errors in Tenses (1) == Chapter 14 == Errors in Tenses (2) == Chapter 15 == Indirect Speech : Introduction == Chapter 16 == Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน == Chapter 17 == Indirect Speech : ประโยคคาสั่งหรือประโยคขอร้อง == Chapter 18 == Indirect Speech : ประโยคคาถาม == Chapter 19 == Indirect Speech : ประโยคที่ใช้ LET'S == Chapter 20 == Indirect Speech : ประโยคอุทาน ( Exclamation ) == Chapter 21 == Indirect Speech : รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน === Chapter 22 == Indirect Speech : ประโยค Direct ที่ขึ้นต้นด้วย Yes หรือ No == Chapter 23 == Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ == Chapter 24 == Passive Voice : Introduction == Chapter 25 == Passive Voice : หลักการเปลี่ยน == Chapter 26 == Passive Voice : ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses == Chapter 27 == Passive Voice : คากริยาที่ไม่สามารถทาเป็นประโยค Passive ได้ == Chapter 28 == Passive Voice : ประโยคคาถาม == Chapter 29 == Passive Voice : ประโยคคาสั่ง == Chapter 30 == Passive Voice : ประโยคที่ไม่ต้องการ by == Chapter 31 == Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว ===
  • 2. 2 Chapter 32 == Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) === Chapter 33 == Passive Voice : กรณีอื่นๆ === Chapter 34 == Verb : Introduction === Chapter 35 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Be === Chapter 36 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Do === Chapter 37 == Verb : หน้าที่ของ May, Might === Chapter 38 == Verb : หน้าที่ของ Verb to Have === Chapter 39 == Verb : หน้าที่ของ Will, Shall === Chapter 40 == Verb : หน้าที่ของ Would, Should === Chapter 41 == Verb : หน้าที่ของ Can, Could === Chapter 42 == Verb : หน้าที่ของ Have to, Have got to, Had better === Chapter 43 == Verb : หน้าที่ของ Must === Chapter 44 == Verb : หน้าที่ของ Ought to === Chapter 45 == Verb : หน้าที่ของ Dare === Chapter 46 == Verb : หน้าที่ของ Need === Chapter 47 == Verb : หน้าที่ของ Used to === Chapter 48 == Sentences : Simple Sentence === Chapter 49 == Sentences : Compound Sentence === Chapter 50 == Sentences : Complex Sentence === Chapter 51 == Sectences : Compound Complex Sentence === Chapter 52 == Word Building : Common Prefixes (1) === Chapter 53 == Word Building : Common Prefixes (2) === Chapter 54 == Word Building : Common Prefixes (3) === Chapter 55 == Word Building : Common Suffixes === Chapter 56 == Preposition : On === Chapter 57 == Preposition : In === Chapter 58 == Preposition : At === Chapter 59 == Preposition : By === Chapter 60 == Preposition : Out of === Chapter 61 == Preposition : With === Chapter 62 == Preposition : Before & After === Chapter 63 == Preposition : Of
  • 3. 3 บทที่ ๑ ( Chapter 1 ) ประโยคเงื่อนไข ( If-Clause ) If -Clause หรือที่เรารู้จักกันดีในภาษาไทยว่า " ประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) " นั้นนะครับ ถ้า หากจะแบ่งหลักๆ จริงๆ ละก็ ผมขอแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ เลยนะครับ ( นักเรียนที่น่ารักของผม กรุณา อย่าเพิ่งง่วงหาวนอนไปก่อนนะครับผมจะอธิบายไม่เยิ่นเย้อหรอกครับ.....รับรอง ^_^ ) ที่ผมเลือกเอาเรื่องมา พูดก่อน ก็ผมเห็นว่า มีโอกาสจะได้ใช้เยอะครับประโยค If-Clause เนี่ย แบบที่ 1 การใช้เงื่อนไขที่จะเป็นจริง ( Future Possible ) If + Present Simple Tense + Subj. + will + V1 แบบนี้นะครับ ใช้สาหรับเหตุการณ์ที่ผู้พูดแน่ใจว่า เงื่อนไขนั้นจะเป็นจริง ผลที่จะเกิดก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่าง แน่นอน If Alex studies hard, he will pass the exam. ถ้าอเล็กซ์ขยันเรียน เขาก็จะสอบผ่านนะ ( ผู้พูดแน่ใจว่า เขาจะสอบผ่านอย่างแน่นอน ถ้าเขามีความตั้งใจจริง ) If she hurries, she will be in time. ถ้าหล่อนรีบ หล่อนก็จะทันเวลาชัวร์ ( ผู้พูดมั่นใจว่า ถ้าหล่อนรีบก็จะทันเวลาอย่างแน่นอน ) แบบที่ 2 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง ( Present Unreal ) If + Past Simple Tense + Subj. + would + V1 สาหรับแบบนี้นะครับ จะใช้ถึงเหตุการณ์สมมุติที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ก็เพ้อฝันจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยล่ะครับ ฮ่าๆๆๆ If I were a millionnaire, I would travel around the world. ถ้าอั๊วะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน อั๊วะจะเที่ยวรอบโลก ( ความจริงแล้ว อั๊วะคงจะไม่มีบุญได้เป็นหรอกว่ะ แค่ฝันไปลมๆ แล้งๆ เท่านั้นแหละ ) If I were a bird, I would be very happy. ถ้าฉันได้เป็นนก ฉันคงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว ( ความจริงแล้ว คนจะกลายเป็นนกได้ยังไงล่ะ ไม่จริงหรอก ) แบบที่ 3 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( Past Unreal ) If + Past Perfect Tense + Subj. + would have + V3 ส่วนแบบนี้นะครับก็เป็นการสมมุติเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแต่อดีตกาลนานนมแล้ว ผู้พูดก็ทราบดีนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็นยังไง แต่ก็นามาพูดสมมุติใหม่ ในทางตรงกันข้ามไงล่ะครับ If you had stayed home, you would have seen him. ถ้าเธออยู่บ้านตอนนั้น เธอคงจะเจอเขาแล้วแหละ ( ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ เธอออกไปข้างนอก ก็เลยไม่ได้เจอเขา )
  • 4. 4 If Pim had not gone out, she would not have got wet. ถ้าพิมไม่ออกไปข้างนอก หล่อนก็คงจะไม่เปียกหรอกนะ ( ความจริงก็คือ เธอได้ออกข้างนอก แล้วเธอก็กลับมาอย่างลูกหมาตกน้า ) นอกจากนี้นะครับ จริงๆ แล้วบางที่ก็อาจจะเพิ่ม If-Clause แบบนี้ไปอีก นั่นก็คือ If-Clause ที่ใช้กับ เหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ ( Real Condition ) รูปแบบก็จะแบบ If + Present Simple Tense + Present Simple Tense ยกตัวอย่าง เช่น If there is no water, we absolutely die. ถ้าหากปราศจากน้าแล้ว พวกเราก็จะต้องตายอย่างแน่นอน ( เป็นความจริงใช่ไหมล่ะครับ รึใครจะเถียง? อิอิอิ ) บทที่ ๒ Question Tag Question Tag นะครับ ก็คือ " การตั้งคาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ " ประโยคคาถาม แบบนี้นะครับ ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสนทนามากกว่าที่จะใช้ในภาษาเขียนครับ ซึ่งก็จะมีหลักการตั้งประโยคคาถามแบบ นี้ง่ายๆ ก็คือ 1. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่า Question Tag จะต้องเป็นปฏิเสธ 2. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคปฎิเสธ Question Tag จะต้องเป็นบอกเล่า 3. ต้องใส่เครื่องหมาย Comma คั่นระหว่างประโยคหลักกับ Question Tag เสมอ 4. ตัว Question Tag ต้องเป็นกริยาช่วยเสมอครับ 5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ให้ใช้ Verb to do มาช่วย 6. กริยาช่วยตรง Question Tag ต้องใช้รูปย่อเสมอ และไม่มีรูป amn't I ให้ใช้ aren't I แทน 7. กริยาช่วยเหล่านั้น จะต้องเปลี่ยนไปตาม Tense ที่ประโยคหลักนะครับ จะยกตัวอย่างประโยคคาถาม Question Tag ให้ดูนะครับ I am a student, aren't I? ฉันเป็นนักเรียนใช่ไหมเนี่ย???? ( ประโยคนี้ตั้งให้เห็นเฉยๆ ครับ ว่าอย่าใช้ amn't I ให้ใช้ aren't I แทน แต่ความหมายอย่าไปใส่ใจเลยครับ เพราะคงจะไม่มีใครมาบ้าถามตัวเองแบบนี้ ) Cathy won't go shopping with us tomorrow, will she? เคที่จะไม่ไปช้อปปิ้งกับพวกเราพรุ่งนี้ใช่ไหม? ( กริยาช่วย คือ will ) He need not study French, need he? เขาไม่จาเป็นต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสใช่ไหม?
  • 5. 5 ( ดูให้ดีๆ นะครับ กริยา need ในที่นี้ทาหน้าที่เป็นกริยาช่วย เพราะฉะนั้น อย่าใช้ Verb to do มาช่วย เด็ดขาด อ้อ...คาว่า dare และก็ Verb to have ด้วยนะครับ ต้องดูซักหน่อยว่า ตอนไหนมันเป็นกริยาช่วย ตอนไหนมันเป็นกริยาแท้ ) Peter ate my apple, didn't he? ปีเตอร์กินแอปเปิ้ลของฉันใช่ไหม? ( ประโยคหลักเป็น Past Simple Tense และไม่มีกริยาช่วย เพราะฉะนั้น ต้องเอา Verb to do มาช่วยและ ทาให้เป็นรูป Past ด้วยนะครับ ) Question Tag ในประโยคคำสั่ง Question Tag ในประโยคคาสั่ง ขอร้อง เชื้อเชิญ เราสามารถทาตรง Question Tag ได้โดยเติม คาว่า will you ไปเลยครับ ประโยคข้างหน้าจะเป็นบอกเล่าปฏิเสธ หรือเป็น Tense ไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ต้องแน่ใจนา ว่ามันเป็น ประโยคกลุ่มนี้จริงๆ Stop speaking loudly, will you? หยุดแหกปากซักทีได้ไหม? Open those windows for me, will you? ช่วยเปิดหน้าต่างให้ฉันหน่อยได้ไหม? ข้อควรจำในกำรทำ Question Tag 1. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย That is, This is ส่วน Question Tag ให้ใช้ isn't it? หรือ is it 2. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย There is, There are, There was, There were ส่วน Question Tag ให้ ใช้ Verb to be รูปนั้นๆ ตามประธานและ Tense + there เช่น There is a computer at your house, isn't there? บ้านของเธอมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช่ไหม? 3. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย These are, Those are ส่วน Question Tag ให้ใช้ aren't they หรือ are they แล้วแต่กรณี 4. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคความซ้อน ส่วน Question Tag ให้ถือเอากริยาในประโยค Main Clause เป็นหลักนะจ๊ะ เช่น Chirstina told us she could come, didn't she? คริสตินาบอกพวกเราว่า หล่อนจะมาได้ใช่ไหม? ( สังเกตว่ามีคากริยาคือ told เพราะฉะนั้น ก็ต้องใช้ Verb to do ในรูปอดีตมาช่วยนะครับ ) 5. ถ้าประโยคข้างหน้ามีคาที่ให้ความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น seldom, hardly, scarcely, rarely, never, few, little, neither, none, nobody, nothing คาเหล่านี้นะครับ มีความหมายในทางปฏิเสธอยู่ในตัวของมันเองแล้ว ดังนั้นในส่วนของ Question Tag นั้น จะต้องทาในรูปบอกเล่าครับ เช่น
  • 6. 6 Nothing is interesting, is it? ไม่มีอะไรน่าสนใจใช่ไหม? ท่านสามารถอ่านบทเรียนก่อนหน้านี้ได้ที่ ดรรชนี ( Index ) ได้นะคร้าบ คำถำมอุ่นเครื่อง ( Warm-up Question ) ในครั้งต่อไป ผมจะเริ่มพูดเรื่องของ Tense แล้วนะครับ ก็เลยมีคาถามจะมาถามท่านผู้อ่านที่เคารพทั้งหลาย ครับว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า Tense ในภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งหมดเท่าไรเอ่ย???? ไม่มีชิงโชคหรอกนะครับ ( ฮา ) เมล์มาบอกผมก็ได้ครับ ว่ามีอะไรบ้าง จะสอบถามก็ได้นะครับ เพราะผมว่าเรื่อง Tense นี่คงต้องคุยกัน อีกนานครับ อ้อ.....หากจะเรียนเรื่อง Tense นี่นะครับ ท่านควรจะสามารถผันกริยาทั้ง 3 ช่องได้อย่าง คล่องแคล่วแล้วนะครับ โดยเฉพาะกริยากลุ่มที่มีการผันแบบเฉพาะ ( Irregular Verbs ) ซึ่งมีเป็นจานวน เยอะพอสมควรทีเดียวครับผมคงจะไม่สามารถเอามาลงได้ทั้งหมดหรอกนะ ( แต่ถ้าท่านผู้อ่านเรียกร้อง มากๆ ก็ไม่แน่ครับ อิอิอิ ) ผมแนะว่า หากท่านยังผันกริยาไม่ค่อยคล่องนัก กรุณาลองซื้อหนังสือตารางผัน กริยา 3 ช่องมาอ่านดูก็ได้ครับ เล่มละไม่กี่บาทเองครับ หรือจะลองไปเปิดภาคผนวกของพจนานุกรม ภาษาอังกฤษบางเล่มก็จะมีครับ เน้นให้จาเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ก็เพียงพอแล้วครับ ส่วนที่เหลือก็คือ เติมตัวลงท้าย ( Suffix ) -ed หมดเลยครับ บทที่ ๓ TENSES (1) : Present Simple Tense ทำควำมเข้ำใจก่อน Tense ในภาษาอังกฤษนั้น มีทั้งหมด 12 Tenses ด้วยกันนะครับ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่มใหญ่ๆ คือ _______ Simple Tense _______ ธรรมดา _______ Continuous Tense _______ กาลังกระทา _______ Perfect Tense _______ สมบูรณ์ _______ Perfect Continuous Tense _______ สมบูรณ์กาลังกระทา ช่องว่างที่เว้นไว้นั้น ก็ให้ท่านเติม Present, Past, หรือ Future ลงไปครับ ( ปัจจุบัน, อดีต, หรืออนาคต ) 4x3 ทั้งหมดก็เป็น 12 Tenses พอดีครับ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรื่องโครงสร้าง ผมจะทยอยพูดไปเรื่อยๆ นะ ครับ Present Simple Tense Subject + Verb 1 + (Object) 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น The sun rises in the east and sets in the west. พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก The cat has four legs. แมวมีสี่ขา
  • 7. 7 2. ใช้แสดงถึงการกระทาที่เป็นปรกตินิสัย ( Habitual Fact ) หรือการกระทานั้นเกิดขึ้นเป็นประจา ( Repeated Action ) ซึ่งมักจะมี Adverb of Frequency แสดงอยู่ด้วย เช่น always, sometimes, often, everyday, every week, usually, generally, frequently เป็นต้น I have my breakfast at seven o'clock everyday. ผมรับประทานอาหารเช้าเวลา 7 นาฬิกาทุกวัน Everybody wears thick clothes in winter. ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว We go to temple every Sunday morning. พวกเราไปวัดทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ 3. ใช้แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสภาพที่เป็นปัจจุบัน เช่น She understands what you say. เธอเข้าใจที่คุณพูด I have four notebooks in the suitcase. ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋า 4. ใช้แสดงถึงการกระทาในอนาคต ซึ่งตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ The next semester begins in two weeks. อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิดเทอมหน้า He sets sail on Saturday for Samui. เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์ หมายเหตุ อย่าลืมนะครับว่าถ้าประธานเป็นเอกพจน์ บุรุษที่ 3 คือ He, She, It กริยาที่ใช้ต้องเติม s เสมอ ห้ามลืมกฎข้อนี้เด็ดขาดนะครับ!!! พวกเรามักจะลืมบ่อยๆ เสมอ ก็อย่างว่านะครับ ภาษาไทยของเราไม่มี การผันกริยาใดทั้งสิ้น เลยไม่ค่อยจะคุ้นเคย หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมบ่อยนะครับ ^o^ บทที่ ๔ TENSES (2) : Present Continuous Tense Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object ) 1. ใช้เมื่อการกระทานั้นกาลังดาเนินอยู่ในปัจจุบัน ( ขณะที่พูด ) และยังทาต่อเนื่องมาจนถึงบัดนั้น และจบลงในอนาคต เช่น My uncle is listening to the radio. ลุงของผมกาลังฟังวิทยุ What is he doing? เขากาลังทาอะไรเหรอ?
  • 8. 8 2. แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้น ซึ่งจาเป็นจะต้องเกิดขึ้นขณะที่กล่าวนั้นจริงๆ เช่น More and more people are using Internet. ผู้คนเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ ขึ้นทุกทีทุกที Accidents are happening more and more frequently. อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น 3. ใช้แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งแน่ใจว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เช่น We are planning to go to the beach next week. พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า She is going abroad next Tuesday. หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า 4. ถ้าประโยค Present Continuous Tense เชื่อมด้วย and ( กรณีเป็น 2 ประโยค ) ให้ตัดกริยา Verb to be ที่อยู่ข้างหลัง and ออกเสีย เช่น My father is smoking a cigarette and watching television. คุณพ่อของฉันกาลังสูบบุหรี่และดูโทรทัศน์ กริยำที่นำมำแต่งเป็นContinuous Tense ( ทุกชนิด ) ไม่ได้!!! กริยาจาพวกนี้นะครับ กรุณาเอามาแต่งเฉพาะใน Simple Tense เท่านั้นนะครับ ๑. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, smell, feel, hear, taste, etc. เช่น I see the beautiful mountain. ฉันดูภูเขาอันงดงาม ไม่ใช้ : I am seeing the beautiful mountain. ( กรุณาอย่าคิดแบบภาษาไทยนะครับ ไม่เหมือนกันครับ ) ๒. กริยาที่แสดงถึงภาวะของจิต ( State of Mind ), แสดงความรู้สึก ( Feeling ), ความผูกพัน ( Relationship ) ไม่นิยมนามาแต่งใน Continuous Tense เช่น know, understand, love, hate, seem, like, disagree, notice, remember, dislike, prefer, distrust, possess, own, differ, deserve, consist of, doubt, suppose, mean, contain, refuse, depend, appear, wish, have, detest, trust, recall, forget, consider, agree, belong, believe, etc. I know him very well ผมรู้จักเขาดี อย่ำใช้ : I am knowing him very well. He believes that taxes are too high. เขาเชื่อว่าภาษีแพงเกินไป อย่ำใช้ : He is believing that taxes are too high. หลักกำรเติม -ing
  • 9. 9 (1). กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น write => writing, move => moving, live => living tremble => trembling, argue => arguing, take => taking (2). กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม -ing ได้เลย ไม่มีการตัดอะไรทั้งสิ้น เช่น see => seeing, agree => agreeing, free => freeing (3). กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยนเป็น y ก่อน แล้วถึงจะเติม -ing เช่น die => dying, lie => lying, tie => tying [ หมำยเหตุ : ski => skiing ] (4). กริยาที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว และเป็นพยางค์เดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น stop => stopping, run => running, sit => sitting, get => getting, dig => digging (5). กริยาที่มี 2 พยางค์ซึ่งออกเสียงหนัก ( Stress ) ที่พยางค์หลัง และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น occur => occurring, begin => beginning, refer => referring, offer => offerring (6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี้ จะเพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้ [ แบบอเมริกัน ] : travel => traveling, quarrel => quarreling [ แบบอังกฤษ ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling บทที่ ๕ TENSES (3) : Past Simple Tense Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object ) 1. ใช้แสดงเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว มักจะมี Adverb บอกเวลาในอดีตกากับด้วย เช่น yesterday, once, ago, formerly, last night, last year, last month, etc. เช่น She saw you yesterday. หล่อนเห็นคุณเมื่อวานนี้ I went to Berline last year. ผมไปเบอร์ลินเมื่อปีที่แล้ว My mother went out four hours ago. พ่อของฉันออกไปข้างนอก 4 ชั่วโมงแล้ว 2. ใช้เมื่อแสดงเหตุการณ์หนึ่งกระทาเป็นประจาในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เช่น When he was young, he was very clever. เมื่อตอนเขายังเด็ก เขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ I used to get up early in the morning.
  • 10. 10 ฉันเคยตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ( ปัจจุบันไม่ได้ตื่นเช้าแล้ว ) 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น They lived there during last spring. พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว I heard the blacksmith working all day long. ฉันได้ยินช่างตีเหล็กทางานตลอดทั้งวัน 4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปัจจุบันหรือในอนาคต ซึ่งจะตามหลังคาว่า If, Unless, Wish เช่น If I were you I would love her. ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรักเธอ I wish you would love me one day. ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหนึ่ง บทที่ ๖ TENSES (4) : Present Perfect Tense Subject + Verb to have + past participle วิธีใช้ 1. แสดงถึงการกระทาที่เกิดขึ้นในอดีต และดาเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในขณะที่พูดอยู่ เช่น Her family have lived in Chiang Mai since 1979. ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเชียงใหม่ตั้งปี ค.ศ. 1979 I have studied English for ten years. ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งสิ้นสุดลงใหม่ๆ มักจะมีคาว่า just, already, yet เช่น I have already finished my homework. ผมเพิ่งทาการบ้านของผมเสร็จ He has not read that book yet. เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเลย 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบันใน ขณะที่พูด เช่น I have read them before. ฉันเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน The servant has cooked her dinner.
  • 11. 11 คนรับใช้ทาอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว 4. ใช้แสดงถึงการกระทาซึ่งเริ่มต้น และสิ้นสุดลงในอดีต แต่ยังอาจจะเกิดขึ้นได้อีก มักจะมี Adverb of Frequency อยู่ด้วย เช่น sometimes, once, twice, many times, several times, ever, never ตัวอย่างเช่น I have visited Los Angeles twice. ผมไปเที่ยวลอสแองเจลลิสมา 2 ครั้งแล้ว This is all of the best books I have ever read. หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยอ่านมา หลักกำรใช้ Since และ Forผิดพลำด! ชื่อแฟ้ มไม่ได้ระบุ " Since " แปลว่า 'ตั้งแต่' ใช้กับเวลาอันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นั้นในอดีต จะเป็น Since + เวลำที่ เริ่มต้น เช่น since yesterday, since 1979, since the Cold War, since Monday, since last week เป็นต้น นอกจากนี้ Since อาจจะบวกกับประโยคที่เป็น Past Simple Tense ได้ด้วย รูปแบบจะเป็น Present Perfect Tense + since + Past Simple Tense เช่น since his father died, since I was born, since she quit her work เป็นต้น " For " แปลว่า 'เป็นเวลำ' ใช้กับจานวนเวลานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงขณะที่พูด For ใช้บอกความ ยาวของเวลา ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเวลานานเท่าไร เพราะฉะนั้น For + ระยะเวลำ ยกตัวอย่างเช่น for two days, for six hours, for three years, for a long time, for a few minutes เป็นต้น หลักกำรใช้ Yet, Just, และ Already " Yet " แปลว่า 'ยัง' จะใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอครับผม และนิยมวางไว้ท้ายสุดของประโยค เช่น I have not watched that movie yet. " Just " แปลว่า 'เพิ่งจะ' ส่วน " Already " แปลว่า 'เรียบร้อยแล้ว' จะใช้ในประโยคบอกเล่าครับ และจะ วางไว้หน้ากริยาหลัก ( Main Verb ) เสมอ เช่น He has just gone to work. I have already closed the window. อย่ำลืมนะครับ!!! ท่ำนต้องแม่นในกำรผันกริยำช่องที่ 3 คือ Past Participle เมื่อต้องใช้ Perfect Tense ทั้งแบบ Regular Verbs หรือ Irregular Verbs ครับผม!!! (O'_'O)
  • 12. 12 บทที่ ๗ Tenses (5) : Future Simple Tense วิธีใช้ 1. ใช้เพื่อแสดงถึงการกระทาหรือสภาพในอนาคต เช่น He will travel to Singapore next year. เขาจะไปเที่ยวสิงคโปร์ปีหน้า The plane will leave the airport in a few minutes. เครื่องบินจะออกจากท่าอากาศยานในอีก 2-3 นาทีข้างหน้า กำรใช้ (be) going to แทน will หรือ shall 1. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงความตั้งใจ ( Intention ) แทน will และ shall ได้ เช่น She is going to buy a car next month. หล่อน ( ตั้งใจ ) จะซื้อรถยนต์เดือนหน้า We are going to visit our grandfather tomorrow. พวกเรา ( ตั้งใจ) จะไปเยี่ยมคุณปู่ในวันพรุ่งนี้ 2. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงการคาดคะเน ( Suggestion ) แทน will และ shall ได้ เช่น I think it is going to rain. ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก ( อย่างแน่นอน ) 3. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงข้อความซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นโดยปราศจากข้อสงสัยแทน will และ shall ได้ เช่น His wife is going to have a baby. ภรรยาของเขาจะมีลูกแล้ว ห้ำมใช้ (be) going to + V1 ในกรณีต่อไปนี้ 1. เหตุการณ์ที่เป็นอนาคตอันแท้จริง ( Exact Futurity ) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น I will be twenty-one next year. ผมจะมีอายุ 21 ในปีหน้า ( ห้ำมใช้ : I am going to be twenty-one next year. ) Today is the 3rd; tomorrow will be the 4th. วันนี้เป็นวันที่ 3 พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ 4 ( ห้ำมใช้ : Today is the 3rd; tomorrow is going to be the 4th. )
  • 13. 13 2. ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในประโยคเงื่อนไขที่เชื่อมด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ shall เท่านั้น John will be successful if he tries hard. จอห์นจะประสบความสาเร็จถ้าเขาพยายามอย่างจริงจัง ( ห้ำมใช้ : John is going to be successful if he tries hard. ) They will be on time if they hurry. พวกเขาจะทันเวลาถ้าพวกเขารีบหน่อย ( ห้ำมใช้ : They are going to be on time if they hurry. ) 3. ห้ามใช้ (be) going to + V1 กับกริยาที่แสดงการรับรู้ เช่น understand, forget, like, remember, love, know, etc. I will remember this experience forever. ผมจะจาประสบการณ์นี้ตลอดไป ( ห้ำมใช้ : I am going to remember this experience forever. ) He will like it if he sees. เขาคงจะชอบถ้าเขาเห็น ( ห้ำมใช้ : He is going to like it if he sees. ) บทที่ ๘ Singular and Plural หลักกำรเปลี่ยน 1. คานามโดยทั่วไปเมื่อเปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์มักจะเติม " s " ลงที่ท้ายคานั้น เช่น cup -----> cups ( ถ้วย ) book -----> books ( หนังสือ ) elephant -----> elephants ( ช้าง ) lamp -----> lamps ( โคมไฟ ) house -----> houses ( บ้าน ) car -----> cars ( รถยนต์ ) 2. คาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, x, z, ch หรือ sh เมื่อเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์จะต้องเติม es เช่น kiss -----> kisses ( จูบ ) box -----> boxes ( กล่อง ) watch -----> watches ( นาฬิกา ) brush -----> brushes ( แปรง ) topaz -----> topazes ( บุษราคัม ) ยกเว้น : monarch -----> monarchs ( กษัตริย์ ) เพราะว่าพยัญชนะ ch ออกเสียงเป็น /ค/ ไม่ใช่ /ช/ ครับ 3. คาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ ให้เติม es เช่น motto -----> mottoes ( คติพจน์ ) potato -----> potatoes ( มัน ) mango ----> mangoes ( มะม่วง ) ยกเว้น : คาเหล่านี้เติม s เมื่อทาเป็นพหูพจน์ bamboo -----> bamboos ( ไม้ไผ่ ) radio ----->radios (วิทยุ ) kilo -----> kilos ( กิโลชั่งขายของ ) piano -----> pianos ( เปียโน ) kangaroo -----> kangaroos ( จิงโจ้ ) dynamo -----> dynamos ( ไดนาโม ) photo -----> photos ( รูปถ่าย ) memo -----> memos ( บันทึก ) zero -----> zeros ( เลขศูนย์ ) zoo ------> zoos ( สวนสัตว์ ) banjo -----> banjos ( เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ) embryo -----> embryos ( เด็กในท้อง ) casino ------> casinos ( บ่อนการพนัน ) solo ------> solos(โซโล )
  • 14. 14 Eskimo -----> Eskimos ( ชนเผ่าเอสกิโม ) studio -----> studio ( สตูดิโอ ) ฯลฯ หมำยเหตุ : คาเหล่านี้จะเลือกเติม s หรือ es ก็ได้ เมื่อต้องการทาเป็นพหูพจน์ ได้แก่ buffalo ( ควาย ), cargo ( สินค้า ), calico ( ผ้าเนื้อหยาบ ), domino ( โดมีโน ), grotto ( ถ้า ), halo ( แสงเป็นวงกลม ), lasso ( เชือกบ่วงบาศ ), mosquito ( ยุง ), portico ( หลังคาทางเดิน ), proviso ( ข้อแม้ ), volcano ( ภูเขาไฟ ) 4. คานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น lady -----> ladies ( สุภาพสตรี ) country -----> contries ( ประเทศ ) city -----> cities ( เมือง ) 5. คานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น donkey ------> donkeys ( ลา ) boy -----> boys ( เด็กชาย ) day -----> days ( วัน ) monkey -----> monkeys ( ลิง ) key -----> keys ( ลูกกุญแจ ) ray -----> rays ( รังสี ) 6. คานามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น wife -----> wives ( ภรรยา ) life -----> lives ( ชีวิต ) knife ------> knives ( มีด ) wolf -----> wolves ( หมาป่า ) calf -----> calves ( ลูกวัว ) shelf -----> shelves ( หิ้ง ) หมำยเหตุุ ๑). คาต่อไปนี้สามารถเติม s หรือจะใช้ -ves ก็ได้ คือ scarf ( ผ้าพันคอ ), wharf ( ท่าเรือ ) ๒). คาต่อไปนี้ให้เติมด้วย s ไปเลย ได้แก่ reef ( หินโสโครก ), grief ( ความเศร้าโศก ), gulf ( อ่าว ), dwarf ( คนแคระ ), turf ( พื้นหญ้า ), chief ( หัวหน้า ), roof ( หลังคา ), hoof ( กีบเท้าสัตว์ ), cliff ( หน้าผา ), proof ( หลักฐาน ), strife ( การวิวาท ), safe ( ตู้นิรภัย ), fife ( ขลุ่ย ) handkerchief ( ผ้าเช็ดหน้า ) 7. นามบางคาจะเปลี่ยนรูปไปจากเดิมเมื่อเป็นพหูพจน์ ซึ่งจะต้องใช้การจดจา เช่น man -----> men ( ผู้ชาย ) woman -----> women ( ผู้หญิง ) foot -----> feet ( ฟุต ) mouse ------> mice ( หนู ) louse -----> lice ( เหา ) child -----> children ( เด็ก ) goose -----> geese ( ห่าน ) tooth -----> teeth ( ฟัน ) ox -----> oxen ( วัวตัวผู้ ) 8. คานามบางคามีรูปเอกพจน์เหมือนกับรูปพหูพจน์ เช่น sheep ( แกะ ), deer ( กวาง ), salmon ( ปลาแซลมอน ), grouse ( ไก่ป่า ), cod ( ปลาค็อด ), fish ( ปลา ), bison ( กระทิง ), swine ( หมูป่า ), reindeer ( กวางเรนเดียร์ ), herring ( ปลาเฮอร์ริง ) 9. คาที่มาจากภาษากรีกหรือละติน เมื่อเป็นพหูพจน์จะเป็นไปตามกฎของภาษากรีกหรือละติน เช่น agendum -----> agenda ( หัวข้อการประชุม ) erratum -----> errata ( ผิด ) datum -----> data ( ข้อมูล ) memorandum -----> memoranda ( บันทึก ) radius -----> radii ( รัศมี ) crisis -----> crises (วิกฤตการณ์ ) phenomenon -----> phenomena ( ปรากฏการณ์ ) oasis -----> oases ( โอเอซิส ) axis -----> axes(แกน ) thesis -----> theses ( วิทยานิพนธ์ ) appendix -----> appendices (ดรรชนี) basis -----> bases(พื้นฐาน ) 10. คานามผสมที่มีบุพบทมาคั่น ให้เติม s ที่ท้ายคาแรก หากต้องการทาเป็นพหูพจน์ เช่น sister-in-law -----> sisters-in-law ( พี่สะใภ้, น้องสะใภ้ ) passer-by ------> passers-by ( คนที่เดินผ่านไป มา )
  • 15. 15 ผมขอสรุปคร่าวๆ แต่เพียงเท่านี้นะครับ เรื่องเอกพจน์พหูพจน์นี้ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนกันพอสมควร ทีเดียวนะครับ คาบางคาอาจจะมีรูปเสมือนเป็นพหูพจน์ แต่จริงๆ แล้วเป็นเอกพจน์ก็มีนะครับ อย่างเช่น news เป็นต้นครับ หรือคาบางคา ก็ต้องทาให้เป็นรูปพหูพจน์อยู่เสมอ อย่างเช่น pants, glasses, scissors เป็นต้น คาบางคาแม้รูปเอกพจน์กับพหูพจน์ อาจจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไปเลยครับ ........ บทที่ ๙ Tenses (6) : Past Continuous Tense Subject + was, were + V-ing + Object วิธีใช้ 1. ใช้ในเหตุการณ์ที่แสดงอาการกาลังกระทาในอดีต เช่น They were speaking in the bookstore. พวกเขากาลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ She was going to post office. หล่อนกาลังจะไปที่ทาการไปรษณีย์ 2. ใช้แสดงถึงการกระทาที่ต่อเนื่องกันในอดีต เช่น What were you doing all last summer? เธอทาอะไรตลอดฤดูร้อนที่แล้วเหรอ? I was enjoying myself at the seaside. ผมรื่นเริงกับการเที่ยวทะเล 3. ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ โดยขณะที่เหตุการณ์อันหนึ่งกาลังดาเนินไปอยู่ก่อน และยังมี เหตุการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆ เกิดแทรกเข้ามา โดยมีหลักการแต่งประโยคดังนี้ คือ เหตุการณ์ใดที่ดาเนินอยู่ใช้ Past Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น While he was walking along the road, he saw an accident. ขณะที่เขากาลังเดินไปตามถนนอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นอุบัติเหตุ When I returned home, she was playing pingpong. ตอนที่ฉันกลับบ้าน เธอกาลังเล่นปิงปองอยู่ 4. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นหรือดาเนินอยู่หร้อมกันในเวลาเดียวกันในอดีต ซึ่งจาเป็นต้องใช้ Past Continuous ทั้งคู่ ซึ่งมักจะมีคาว่า whileหรือ as มาเชื่อม เช่น I was playing while you were studying. ฉันกาลังเล่นในขณะที่เธอกาลังเรียน
  • 16. 16 He was listening to the radio as she was cooking. เขากาลังฟังวิทยุในขณะที่หล่อนกาลังทาอาหาร ผิดพลำด! ชื่อแฟ้ มไม่ได้ระบุ 5. ใช้กับเหตุการณ์ที่กาลังเกิดขึ้นหรือดาเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น They were cleaning the room at eight o'clock yesterday. พวกเขากาลังทาความสะอาดห้องตอน 8 โมงเมื่อวานนี้ When I saw him, he was watering in the garden. ขณะที่ผมเห็นเขา เขากาลังรดน้าตันไม้อยู่ในสวน 6. ใช้ในการสมมุติหรือเป็นข้อแม้ หรือการคาดคะเนเพื่อแสดงถึงการกระทาที่ต่อเนื่องกัน เช่น What would you do if it was raining? คุณจะทาอย่างไรถ้าฝนกาลังตก? I wish I were going with you to England. ฉันคิดว่าฉันกาลังจะไปอังกฤษกับเธอ หมำยเหตุ : กรุณาลองกลับไปอ่านที่ บทที่ 4 Present Continuous Tense เรื่องกริยาที่นามาแต่งเป็น Continuous ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ด้วยนะครับ เมื่อเป็นการทบทวนแล้วเสริมความเข้าใจอีกรอบคร้าบ บทที่ ๑๐ Tenses (7) : Present Perfect Continuous Tense Subject + have/has been + V-ing + Object วิธีใช้ แสดงถึงการกระทา หรือสภาพซึ่งเริ่มขึ้นในอดีตและได้กระทาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ( ขณะที่พูด ) และจะ คงดำเนินต่อไปอีกในอนำคต ( นี่คือจุดที่แตกต่างจาก Present Perfect Tense ครับ ) มักจะมีคาว่า since ( from that time ), ever, until now, for......weeks,for a long time, since then, since ...... o'clock ยกตัวอย่างเช่น I have been living here for ten years. ผมได้อยู่อำศัยที่นี่มำเป็นเวลำ 10 ปีแล้ว ( ประโยคนี้หมายความว่า ผมได้อยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาถึงเวลาที่พูดประโยคนี้ก็ ได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี และปีที่ 11 หรือ 12 หรือต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีก แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า " I have lived here for ten years. " ก็หมายความว่าผมได้อยู่อาศัยมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี แต่ว่าปีที่ 11 หรือต่อๆ ไปจะอยู่ต่อหรือไม่นั้น ไม่อาจ ทราบได้ครับ ) อย่างไรก็ตาม Tense นี้ไม่ค่อยใช้กันบ่อยนัก ส่วนมากนิยมใช้ Present Perfect Tense กันมากกว่าครับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กริยาที่มีความหมายเป็นการกระทาที่ไม่นาน ไม่ควรนามาแต่งด้วย Present Perfect
  • 17. 17 Continuous Tense โดยเด็ดขาด กริยาที่สามารถนามาแต่งเป็น Present Perfect Continuous Tense นั้น จะต้องคานึงว่าเป็น กริยาที่สามารถ กระทานานๆ ได้นะคร้าบ เช่น play, teach, study, learn, live, work, stand, sit, sleep, read, wait, rest เป็นต้น บทที่ ๑๑ Tenses (8) : Past Perfect Tense Subject + had + V3 ( Past Participle ) + Object วิธีใช้ 1 ). ใช้แสดงถึงการกระทาที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นก่อนจะใช้ Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาภายหลังใช้ Past Simple Tense ดังตัวอย่าง When I had done my work, I went home. เมื่อฉันทางานเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้าน ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ การทางานที่เสร็จแล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังคือ ฉันกลับบ้าน ) I had lost my pen so I was unable to do the exercise. ฉันทาปากกาหาย ฉันจึงไม่สามารถทาแบบฝึกหัดได้ ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ ฉันทาปากกาหาย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังคือ ฉันไม่สามารถทา แบบฝึกหัดได้ ) 2 ). ใช้กับกริยาที่เป็น Past และ Present Perfect Tense เมื่อต้องการทา Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech Direct Speech : " I have finished my work. " she said. Indirect Speech : She said that she had finished her work เธอพูดว่าเธอได้ทางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว Direct Speech : " What did you do with the money? ", she asked. Indirect Speech : He asked me that what I had done with the money. เขาได้ถามผมว่าได้นาเงินไปใช้อะไรบ้าง? 3 ). ใช้ตามหลัง if, unless, wish, etc. เพื่อแสดงการสมมุติที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( If-Clause แบบที่ 3 : Past Unreal ดูเพิ่มเติมได้ที่ Chapter 1 = If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) = ได้นะคร้าบ ) ตัวอย่างเช่น If you had come in time, my brother could not have died. ถ้าเธอมาทันเวลาพี่ชายของฉันคงไม่ตาย
  • 18. 18 I wish you had told me before I came. ผมหวังว่าคุณจะบอกผมก่อนที่ผมจะมา บทที่ ๑๒ Tenses (9) : Future Perfect Tense Subject + will + have + V3 ( Past Participle ) + Object วิธีใช้ 1). แสดงถึงการกระทาซึ่งสาเร็จเรียบร้อยหรือใกล้ระยะเวลาที่กาหนดในอนาคต เช่น He will have left the house in an hour. เขาจะออกจากบ้านไปในเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้ I will have finished my dinner before half past eight. ฉันจะรับประทานอาหาเย็นเสร็จก่อนเวลา 8.30 น. 2). แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน มักจะมีคาว่า by tomorrow, by next month, by the end of June, by dinner time, by next spring, etc. เช่น I will have finished my homework by dinner time. ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น ผมจะทาการบ้านเสร็จเรียบร้อย ( ขณะที่พูดยังทาการบ้านไม่เสร็จ แต่เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นจะเสร็จอย่างแน่นอน ) They will have moved in a new house by the end of next year. เมื่อสิ้นปีหน้า พวกเขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้นหลังใหม่แล้ว ( ขณะที่พูดยังไม่ได้ย้าย ก่อนสิ้นปีจะย้ายอย่างแน่นอน ) บทที่ ๑๓ Errors in Tenses (1) 1). มักจะใช้ Tense ปะปนกันภายในหนึ่งประโยค เช่น ไม่ใช้ : They asked him to be captain, but he refuses. ใช้ : They asked him to be captain, but he refused. พวกเขาขอร้องให้เขาเป็นกัปตัน แต่เขาปฏิเสธ คำอธิบำย : ถ้าเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่เป็นอดีต ประโยคที่เชื่อมกันต่อไปจะต้องเป็น Past Tense ทั้งหมด 2). มักจะลืมเติม "s" กับประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3
  • 19. 19 ไม่ใช้ : He walk to school everyday. ใช้ : He walks to schools everyday. เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน คำอธิบำย : ใน Present Simple Tense กริยาที่ใช้กับประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3 ( He, She, It ) จะต้อง เติม "s" เสมอ ( ข้อนี้เป็นข้อที่คนไทยมักจะลืมมากที่สุดครับ!!! ) 3). มักใช้ "as if" หรือ "as though" ในรูปของ Present Tense ไม่ใช้ : John talks as if/as though he knows everything. ใช้ : John talks as if/as though he knew everything. จอห์นพูดประหนึ่งว่าเขารู้ไปเสียทุกอย่าง คำอธิบำย : ถ้ามีวลี "as if" หรือ "as though" ( ประหนึ่งว่า ) ในประโยค จะต้องตามด้วย Past Tense เสมอ ถ้าในกรณีที่กริยาที่ตามหลังเป็น Verb to Be จะต้องใช้ "were" เสมอ บทที่ ๑๔ Errors in Tenses (2) 11). มักใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคา " Does " 11.1 ประโยคคำถำม ไม่ใช้ : Does the gardener waters the flowers? ใช้ : Does the gardener water the flowers? คนสวนรดน้าต้นไม้หรือเปล่า? 11.2 ประโยคปฏิเสธ ไม่ใช้ : The gardener does not waters the flowers. ใช้ : The gardener does not water the flowers. คนสวนไม่ได้รดน้าต้นไม้ คำอธิบำย : หลังคา " Does " จะต้องเป็น Infinitive without to เท่านั้น และไม่ใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที่ 3 เด็ดขาด และในการตอบคาถามประโยคที่ขึ้นต้นด้วย " Does " จะต้องเป็น Present Tense และใช้กริยาเอกพจน์ บุรุษที่ 3 เสมอ เช่น ถามว่า : Does he like coffee? ตอบว่า : Yes, he likes coffee. หรือ : Yes, he does.
  • 20. 20 12). มักใช้กริยาที่ตามหลังคาว่า " Did " ในรูป " Past Tense " 12.1 ประโยคคำถำม ไม่ใช้ : Did you went to school yesterday? ใช้ : Did you go to school yesterday? เมื่อวานนี้เธอไปโรงเรียนหรือเปล่า? 12.2 ประโยคปฏิเสธ ไม่ใช้ : I did not went to school yesterday. ใช้ : I did not go to school yesterday. เมื่อวานนี้ฉันไม่ได้ไปโรงเรียน คำอธิบำย : กริยาที่ตามหลังคากริยาช่วย Did นั้น จะต้องตามด้วย Infinitive without to เสมอ บทที่ ๑๕ Indirect Speech : Introduction ข้อแตกต่ำงระหว่ำง Direct กับ Indirect Speech Direct Speech คือ การนาเอาคาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาโดยตรง เช่น John said, " He has two sisters. " จอห์นพูดว่า " เขามีพี่สาว 2 คน " คาว่า He has two sisters เป็นคาที่หยิบมาพูดโดยตรงและไม่ได้มีการดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้นครับ สาหรับ Indirect Speechคือ การนาเอาคาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟังโดยดัดแปลง เป็น คาพูดของผู้พูดอีกครั้งหนึ่ง จากประโยค Direct Speech ข้างต้น สามารถทาเป็น Indirect Speech ได้ดังนี้ John said that he had two sisters. จอห์นพูดว่าเขามีพี่สาว 2 คน รูปแบบของ Direct Speech โดยทั่วไป ง่ายๆ เลยนะครับ หากเราจะสร้างประโยค Direct Speech ก็จะต้องบอกว่าใครเป็นคนพูด เช่น he said, they said, I said, my friend said, her brother said เป็นต้นครับ จะเอาวางไว้ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ครับ จากนั้น ตรงประโยคคาพูดจะต้องมีเครื่องหมายอัญประกาศ " _____ " แบบนี้ด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น They said, " Linda will go to Bangkok tomorrow. " หรืออาจจะ " Linda will go to Bangkok tomorrow. ", they said. โปรดสังเกตด้วยนะครับว่าระหว่างประโยคคาพูดนั้นกับผู้พูด จะต้องมีเครื่องหมาย Comma ( , ) คั่นด้วยนะ ครับ คราวหน้าผมจะมาเริ่มพูดถึงแต่ Indirect Speech แล้วนะครับ ติดตามอ่านได้นะคร้าบ (o'_'o)
  • 21. 21 บทที่ ๑๖ Indirect Speech : หลักกำรเปลี่ยน การเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech นั้น หลักสาคัญคือคุณจะต้องเปลี่ยน 1. เปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) 2. เปลี่ยน Tense 3. เปลี่ยนถ้อยคาที่แสดงความใกล้ให้เป็นไกล กำรเปลี่ยนสรรพนำมบุคคล D I R E C T I N D I R E C T I he or she me him or her my his or her mine his or hers myself himself or herself we they us them our their ours theirs ourselves themselves you ( Subject ) I you ( Object ) me your my yours mine yourself ( -ves ) myself ( ourselves ) กำรเปลี่ยน Tense D I R E C T I N D I R E C T Present Simple Tense Past Simple Tense Present Continuous Tense Past Continuous Tense Present Perfect Tense Past Perfect Tense
  • 22. 22 Past Simple Past Perfect Tense will would shall should can could may might must had to กำรเปลี่ยนถ้อยคำที่แสดงควำมใกล้ให้เป็นถ้อยคำที่แสดงควำมไกล D I R E C T I N D I R E C T today, tonight that day, that night yesterday the day before, the previous day last night/week/month/year the night/week/month/year before the day before yesterday two days before the day after two days after, in two days' time tomorrow the next, the following day next week/month/year the week/month/year after thus so now then, at that time ago before come go this, those that, those here there บทที่ ๑๗ Indirect Speech : ประโยคคำสั่งหรือประโยคขอร้อง หลักการเปลี่ยน Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech ในกรณีที่ประโยค Direct Speech เป็นประโยค คาสั่งหรือประโยคขอร้อง 1. เลือกใช้คากริยานา ( Reportig Verb ) ให้เหมาะสม ตามปรกติมักจะใช้คาเหล่านี้
  • 23. 23 ask ( asked ) ขอร้อง ( ให้ทากระทา ) โดยปรกติแล้วจะใช้คานี้เมื่อประโยคเดิมมีคาว่า "please" tell ( told ) บอก ( ให้ทา...... ) เช่นบอกให้ทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คานี้นิยมใช้มากเพราะเป็นคากลางๆ ไม่ เฉียบขาดเกินไป และไม่อ่อนเกินไป ในกรณีที่หาคาเหมาะสมไม่ได้ ขอแนะนา ให้ใช้คานี้ นะครับ warn ( warned ), advise ( advised ) เตือน, แนะนา ( ให้กระทา ) เช่น แนะนา ตักเตือนให้กระทาสิ่งในสิ่งหนึ่ง order ( ordered ) สั่ง ( ธรรมดา ) เช่น อาจารย์สั่งนักศึกษา command, ( commanded ) สั่ง ( เฉียบขาด ) เช่น ผู้บังคับบัญชาสั่งลูกน้อง beg ( begged ) งขอร้อง ( ให้กระทา ) ใช้เช่นเดียวกับ ask แต่ความหมายของคาๆ นี้ จะดูอ่อนน้อม กว่า นะครับ ควรใช้ในกรณีที่ประโยคเดิมมีคาสุภาพมากในการขอร้อง เช่น Would you mind ( please ) ...............? 2. จะต้องระบุผู้สั่ง ( ขอร้อง ) และผู้ถูกสั่ง ( ขอร้อง ) เสมอ 3. สั่งให้ทาอะไร ขอร้องให้ทาอะไร ให้เติม to หน้ากริยาตัวนั้นเลยครับ แต่ถ้ากริยานั้นอยู่ในรูปปฏิเสธให้ใช้ not to แทนครับผม ตัวอย่ำงประโยค Direct : He said to me, " Please open that window. " Indirect : He asked me to open that window. Direct : She said to my brother, " Don't shut the door. " Indirect : She told my brother not to shut the door. Direct : He said to his friend, " Don't smoke too much. " Indirect : He warned to his friend not to smoke too much. Direct : The doctor to me, " Drink water as much as you can. " Indirect : The doctor advised to me to drink water as much as I can. Direct : The teacher said to the students, " Be quiet! " Indirect : The teacher ordered the students to be quiet. Direct : The General said to his soldiers, " Be patient! " Indirect : The General commanded to his soldiers to be patient. Direct : She said to her boss, " Please sign your name in this paper. " Indirect : She begged to her boss to sign his name in this paper.
  • 24. 24 บทที่ ๑๘ Indirect Speech : ประโยคคำถำม หลักกำรเปลี่ยน 1. เปลี่ยนคากริยานา ( Reporting Verb ) จาก said ให้เป็น asked, inquired, หรือ enquired 2. ถ้าประโยคคาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคาถามแบบต้องตอบด้วย " YES หรือ NO " นั่นความหมายว่า ใช้กริยาช่วยขึ้นต้นประโยค ( Verb to be, Verb to do, Verb to have, Will, Shall, Can, May, etc. ) เมื่อทาเป็น Indirect Speech ให้เปลี่ยนกริยาช่วยเหล่านั้น เป็น if หรือ whether เป็นคาเชื่อมระหว่างประโยคนากับประโยคตาม 3. ถ้าประโยคคาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคาถามแบบขึ้นต้นด้วย Question Word นั่นคือ What, Where, When, Why, Who, Which, How ไม่ต้องใส่ if หรือ whether ให้ใช้ Question Word เหล่านั้นมาทาหน้าที่ได้เลย 4. ข้อความของ Indirect Question จะต้องทาให้เป็น ประโยคบอกเล่ำ เสมอ 5. หลักการเปลี่ยน Tense ยังคงใช้วิธีการเดิม ตัวอย่ำงประโยค ใช้กริยำช่วยขึ้นต้นประโยคใน Direct Speech Direct : He said to me, " Are you going to Chiang Mai on Sunday? " Indirect : He asked me if I was going to Chiang Mai on Sunday. Direct : She said to me, " Have you ever studied French? " Indirect : She inquired me whether I had ever studied French. Direct : They said to us, " Do you speak Chinese? " Indirect : They asked us if we spoke Chinese. Direct : She said to him, " Can you swim? " Indirect : She enquired him whether he could swim. Direct : John said to her, " Will you go to the party tonight? " Indirect : John asked her if she would go to the party that night. Direct : We said to him, " Should we postpone the appointment to next Monday? " Indirect : We inquired him whether we should postpone the appointment to Moday after. ใช้ Question Word ขึ้นต้นประโยคใน Direct Speech Direct : I said to Tony, " How long have you been here? " Indirect : I enquired Tony how long he had been here.
  • 25. 25 Direct : She said to me, " What is your name? " Indirect : She asked me what my name was. Direct : They said to him, " Where did you go last night? " Indirect : They inquired him where he had gone the night before. Direct : My mother said to me, " Why don't you go to school yesterday? " Indirect : My mother asked me why I did not go to school the day before. บทที่ ๑๙ Indirect Speech : ประโยคที่ใช้ " Let's " หลักกำรเปลี่ยน เมื่อประโยค Direct Speech ปรากฏสานวน Let's นะครับ เวลาที่จะทาให้เป็น Indirect Speech จะต้องใช้กริยานา ( Reporting Verb ) ว่า suggest, advise, urge, propose นะครับ จากนั้นจึงตามด้วย them + infinitive with " to " นะครับ ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลยนะครับ Direct : She said, " Let's go shopping. " Indirect : She urged them to go shopping. Direct : Eugene said, " Let's study English. " Indirect : Eugene proposed them to study English. Direct : The teacher said, " Let's play a game. " Indirect : The teacher advised them to play a game. Direct : The speaker said, " Let's eat vegetables. " Indirect : The speaker suggested them to eat vegetables. เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่อยากเลยใช่ไหมครับผม คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจวิธีการใช้แล้วใช่ไหมครับ? บทที่ ๒๐ Indirect Speech : ประโยคอุทำน ( Exclamation ) หลักกำรเปลี่ยน ประโยคอุทานนั้น เรามักจะอุทานของมาด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันใช่ไหมครับ? เช่น อุทานของมาด้วยความ ดีใจ ,ตกใจ, เสียใจ, ยินดี, ตื่นเต้น ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อเราทาประโยคให้เป็น Indirect Speech กริยานา ( Reporting Verb ) ก็จะต้องบ่งบอกว่าการอุทานในตอนนั้น เป็นการอุทานแบบไหนด้วยนะครับ ยกตัวอย่าง เช่น exclaimed with delight อุทำนออกมำด้วยควำมดีใจ exclaimed with sadness อุทำนออกมำด้วยควำมเสียใจ exclaimed with surprise อุทำนออกมำด้วยควำมประหลำดใจ
  • 26. 26 exclaimed with anger อุทำนออกมำด้วยควำมโกรธ exclaimed with excitement อุทำนออกมำด้วยควำมตื่นเต้น exclaimed with admiration อุทำนออกมำด้วยควำมชื่นชมยินดี เหล่านี้เป็นต้นครับ ง่ายสุดคือ คุณก็เขียนว่า exclaimed with + N ( ที่แสดงถึงอารมณ์ของประโยคนั้นๆ ) อย่าลืมนะครับ คาที่แสดงอารมณ์เหล่านั้นจะต้องทาให้เป็น คำนำม ด้วยนะคร้าบ ^o^ ตัวอย่ำงประโยค Direct : He said, " Hurrah! I passed the Entrance Exam! " Indirect : He exclaimed with delight the he passed the Entrance Exam. Direct : She said, " Congratulation! What a success you have! " Indirect : She exclaimed with admiration for my success. Direct : They said, " Hey, why do you so late? " Indirect : They exclaimed with surprise for my late arrival. Direct : She said, " Help me! " Indirect : She exclaimed with fright for help. ประโยค Indirect Speech ที่ใช้กับประโยคอุทานนั้นอาจจะดูยุ่งยากสับสนเล็กน้อยนะครับ เพราะเราอาจจะต้องรู้จักดัดแปลงประโยคเล็กน้อยเมื่อทาเป็น Indirect Speech q^_6 p บทที่ ๒๑ Indirect Speech : รวมประโยคหลำยแบบเข้ำด้วยกัน 1. ประโยคคำถำม กับ ประโยคบอกเล่ำ ใช้ and said that เป็นตัวเชื่อมนะครับ กรณีที่ประโยคข้างหลังเป็นประโยคบอกเล่า เช่น Direct : He said to me, " When will they come? I will be ready at any time. " Indirect : He asked me when they would come and said that he would be ready at any time. ใช้ and asked กรณีที่ประโยคคาถามเป็นประโยคหลัง เช่น Direct : Steve said to me, " I will be at home at 6 p.m. When will you call me? " Indirect : Steve told me that he would be at home at 6 p.m. and asked when I would call him. 2. ประโยคคำสั่ง กับ ประโยคคำถำม ใช้ and asked เป็นตัวเชื่อมทั้ง 2 ประโยคครับ เช่น Direct : The librarian said to us, " Be quiet! Why are you so noisy? " Indirect : The librarian told us to be quiet and asked why we were so noisy.
  • 27. 27 3. ประโยคบอกเล่ำ กับ ประโยคคำสั่ง ใช้ and told + บุคคล + infinitive เป็นคาเชื่อมระหว่างประโยคทั้งสอง เช่น Direct : She said to him, " I don't feel well. Leave me alone! " Indirect : She said to him that she didn't feel well and told him to leave her alone. 4. ประโยคบอกเล่ำ กับ ประโยคปฏิเสธ ใช้ and that มาเชื่อมครับ เช่น Direct : Simon said to me, " My computer is broken. I can't use it. " Indirect : Simon said to me that his computer was broken and that he couldn't use it. 5. ประโยคคำสั่งทั้งคู่ ใช้ and to เชื่อมครับผม เช่น Direct : She said to us, " Stand up! Look overthere! " Indirect : She told to us to stand up and to look overthere. บทที่ ๒๒ Indirect Speech : ประโยค Direct ขึ้นต้นด้วย Yes หรือ No วิธีทำ 1. เปลี่ยน said to เป็น told + บุคคล + that หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Present Tense " เช่น Direct : He said to me, " Yes, I often go to the library. " Indirect : He told me that he often went to the library. 2. เปลี่ยน said to เป็น promised that หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Future Tense " เช่น Direct : Joe said, " Yes, I will think of you. " Indirect : Joe promised that he would think of me. 3. เปลี่ยนจาก said เป็น refused to + Infinitive Verb หากประโยคเดิมเป็น " No, + ประโยคซึ่งไม่กระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง " เช่น Direct : She said, " No, I won't stay at home. " Indirect : She refused to stay at home. บทที่ ๒๓ Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ 1. ไม่ต้องเปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นเป็นบุรุษเดียวกัน ทั้งนี้เพราะเป็นการเล่าถึงคาพูดของตนเอง เช่น
  • 28. 28 Direct : I said, " I will go shopping. " Indirect : I said that I would go shopping. แต่ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นต่างบุรุษกัน ต้องเปลี่ยนไปตามกฎนะครับ เช่น Direct : He said, " I will go swimming. " Indirect : He said that he would go swimming. 2. กริยาบางตัวซึ่งใช้ในความหมายของ Present Tense แต่มีรูปเป็น Past Tense อยู่แล้ว ไม่ต้อง เปลี่ยนแปลง นั่นคือ could, should, would, might เช่น Direct : She said, " I might study Chinese. " Indirect : She said that she might study Chinese. 3. คาเชื่อม that ในประโยคบอกเล่าของ Indirect Speech สามารถละไว้ได้ ถือว่าไม่ผิดแต่อย่างใด เช่น Direct : They said, " We are going to have a dinner. " Indirect : They said they were going to have a dinner. บทที่ ๒๔ Passive Voice : Introduction Active Voice vs Passive Voice Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นกระทาหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น We are playing tennis. พวกเรากาลังเล่นเทนนิส I get up early everyday. ฉันตื่นนอนแต่เช้าทุกวัน ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ ว่าทั้ง " พวกเรา " และ " ฉัน " ต่างเป็นผู้กระทากริยานั้นๆ ทั้งสิ้น Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทากริยานั้นโดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่น A student was punished by his teacher. นักเรียนถูกทาโทษโดยครูของเขา The bank is closed at 3.30 p.m. everyday. ธนาคารถูกปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน ( แปลตามตัว ) แต่ถ้าต้องการแปลให้สละสลวยแล้วก็ควรจะแปลว่า " ธนาคารปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน " ครับ รูปแบบประโยค Passive Voice นี้เราจะเห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษมักจะใช้บ่อยมากเลยนะครับ โดยเฉพาะ การเขียนที่ เป็นแบบทางการครับ แต่ภาษาไทยเรานั้นปรกติแล้วเราจะใช้ไม่บ่อยเท่าภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ ตาม ปัจจุบันภาษาไทย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษมากทีเดียวครับ เพราะฉะนั้น เราจึงมักจะเห็น ประโยคภาษาไทยที่ใช้ Passive Voice แบบภาษาอังกฤษเยอะมากขึ้นเลยครับ
  • 29. 29 บทที่ ๒๕ Passive Voice : หลักกำรเปลี่ยน วิธีเปลี่ยน 1. ให้เอาคาที่เป็นกรรมของประโยค Active ไปเปลี่ยนเป็นประธานในประโยค Passive 2. ใช้ Verb to Be ให้ถูกต้องตามพจน์และ Tense 3. กริยาแท้ในประโยค Active จะต้องทาให้เป็น Verb ช่อง 3 เสมอ โดยวางไว้หลัง Verb to Be 4. เอาประธานของประโยค Active ไปวางเป็นกรรมของประโยค Passive และเติม by ไว้ข้างหน้า หมำยเหตุ : คุณต้องผันกริยาช่องที่ 3 ให้ได้นะครับ โดยเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ( กริยาที่มีการผัน โดยเฉพาะ ) หากยังไม่ทราบ เชิญเข้าไปดูได้ที่ตารางการผันกริยา Irregular Verbs ที่หน้าหลักได้ หรือ คลิกที่นี่ ครับ รูปประโยค Passive Voice ทั้ง 12 Tenses ครับผม Present Simple = Subject + is, am, are + Verb 3 + by .......... Present Continuous = Subject + is, am, are + being + Verb 3 + by......... Present Perfect = Subject + have, has + been + Verb 3 + by.......... Present Perfect Continuous = Subject + have, has + been + being + Verb 3 + by.......... Past Simple = Subject + was, were + Verb 3 + by......... Past Continuous = Subject + was, were + being + Verb 3 + by.......... Past Perfect = Subject + had + been + Verb 3 + by.......... Past Perfect Continuous = Subject + had + been + being + Verb 3 + by.......... Future Simple = Subject + will + be + Verb 3 + by.......... Future Continuous = Subject + will + be + being + Verb 3 + by.......... Future Perfect = Subject + will + have + been + Verb 3 + by.......... Future Perfect Continuous = Subject + will + have + been + being + Verb 3 + by.......... หมำยเหตุ : Passive Voice ของ Present Perfect Continuous, Past Perfect Continuous, และ Future Perfect Continuous Tense ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วนะครับ และหากใครที่ยังจาไม่ได้อย่างแม่นยาว่าแต่ละ Tense ใช้อย่างไร ก็กรุณากลับ ไปอ่านบทเรียนเก่าๆ ของผมก็ได้นะครับ โดยคลิกที่ข้างล่างนี้เลยครับ ^_^ บทที่ ๒๖ Passive Voice : ตัวอย่ำงประโยค ตัวอย่ำงกำรเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses เมื่อบทที่แล้วผมได้แนะนาโครงสร้างประโยคของ Passive Voice ทั้ง 12 Tenses ไปแล้วนะครับ มาบทนี้ผม ขอยกประโยคตัวอย่างประกอบ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพมากขึ้นครับ ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทที่แล้วเชิญ คลิกที่นี่ ครับผม
  • 30. 30 Present Simple Tense Active : Somchai drives a bus. Passive : A bus is driven by Somchai. Present Continuous Tense Active : Somchai is driving a bus. Passive : A bus is being driven by Somchai. Present Perfect Tense Active : Somchai has driven a bus. Passive : A bus has been driven by Somchai. Present Perfect Continuous Tense Active : Somchai has been driving a bus. Passive : A bus has been being driven by Somchai. Past Simple Tense Active : Somchai drove a bus. Passive : A bus was driven by Somchai. Past Continuous Tense Active : Somchai was driving a bus. Passive : A bus was being driven by Somchai. Past Perfect Tense Active : Somchai had driven a bus. Passive : A bus had been driven by Somchai. Past Perfect Continuous Tense Active : Somchai had been driving a bus. Passive : A bus had been being driven by Somchai. Future Simple Tense Active : Somchai will drive a bus. Passive : A bus will be driven by Somchai. Future Continuous Tense Active : Somchai will be driving a bus. Passive : A bus will be being driven by Somchai. Future Perfect Tense Active : Somchai will have driven a bus.
  • 31. 31 Passive : A bus will have been driven by Somchai. Future Perfect Continuous Tense Active : Somchai will have been driving a bus. Passive : A bus will have been being driven by Somchai. บทที่ ๒๗ Passive Voice : คำกริยำที่ใช้ในประโยค Passive ไม่ได้ คากริยาทุกตัวไม่สามารถนามาแต่งเป็นประโยค Passive Voice ได้นะครับ ต่อไปนี้เป็นหลักทั่วไปครับผม อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอแนะให้จาเป็นกลุ่มหรือเป็นคาไปด้วยนะครับ ว่ากริยาตัวไหนเอามาแต่งเป็น Passive Voice ไม่ได้ 1. อกรรมกริยำ ( Intransitive Verb ) หมายถึง คากริยาที่ไม่จาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ สามารถอยู่โดด ได้ ห้ามนามาแต่งเป็น Passive Voice เด็ดขาดเลยนะครับ เช่น A bird is flying in the air. ไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้นะครับ เพราะประโยคนี้ไม่มีกรรม เพราะคาว่า fly แปลว่า บิน นั้น ไม่จาเป็นต้องมีกรรมเลย เราก็ทราบอยู่แล้วว่านกกาลังบินอยู่ คาว่า in the air นั้นไม่ใช่เป็นกรรมนะครับ เป็นเพียงวลีที่ขยาย กริยา fly เท่านั้นน่ะครับ ก็อย่างที่บอกนะครับว่า อกรรมกริยานี้ ก็ต้องหมั่นค่อยๆ จากันไปครับผม ผมไม่สามารถแนะหลักได้จริงๆ ครับ ต้องจาเท่านั้นนะครับ 2. สกรรมกริยำ ( Transitive Verb ) บางคา ก็ไม่สามารถแต่งเป็นประโยคได้ สกรรมกริยาก็ตรงข้ามกับ อกรรมกริยาครับ กล่าวคือ เป็นคากริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับครับผม แบบนี้ต้องอาศัยจาไปเป็นคาๆ นะครับ ตัวอย่างกรณีนี้ก็ อย่างเช่น He had his breakfast at home. เราไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้ว่า His breakfast was had by him at home. ( ไม่มีใครใช้กันนะครับ ) หมำยเหตุ : อกรรมกริยำ สามารถเปลี่ยนเป็น Passive Voice ได้ กรณีที่คากริยาตัวนั้นมี preposition + object ( ทั้งนี้เพราะ Intransitive Verb + Object = Transitive Verb ได้ทันทีครับผม ) ยกตัวอย่างเช่น We will look after him well. He will be well looked after.
  • 32. 32 Everybody doesn't like people looking down on him. Everybody doesn't like being looked down. บทที่ ๒๘ Passive Voice : ประโยคคำถำม หลักกำรเปลี่ยนประโยค Active ที่เป็นคำถำมให้เป็น Passive ประโยค Active Voice ที่เป็นประโยคคาถามที่ขึ้นด้วย Question Words เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive ให้ทา ดังต่อไปนี้ :- 1. ให้เอา Question Words อันได้แก่ What, Where, When, Why, Whose, Whom, Which, How ขึ้นไว้ต้นประโยคเหมือนเดิม ยกเว้นคาว่า Who ให้เปลี่ยนเป็น " By whom " แทน 2. คาอื่นๆ เช่น Verb to Be, must, may, can, could, should, would, might, etc. ให้เรียงแบบ คาถามตามปรกติ โดยวางไว้หน้าประธาน แต่อยู่หลัง Question Words 3. ประธานใน Active Voice ต้องนาไปเป็นกรรมตามหลังบุพบท by 4. กริยาแท้ใน Active Voice เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive Voice ให้ทาเป็นกริยาช่อง 3 ตัวอย่ำงประโยค Active : What does he want? Passive : What is wanted by him? Active : Who punished her? Passive : By whom was she punished? Active : Which dictionary do you buy? Passive : Which dictionary is bought by you? Active : How will they do it? Passive : How will it be done by them? Active : Whom does she love? Passive : Who is loved by her? Active : Where did you find it? Passive : Where was it found by you? Active : Whose computer will you buy? Passive : Whose computer will be bought by you? Active : When did he send her a present? Passive : When was she sent a present by him? Active : Why did you open it? Passive : Why was it opened by you?
  • 33. 33 สาหรับบทนี้ผมว่าถ้าหากท่านไม่ค่อยเข้าใจก็อย่ากังวลมากเลยนะครับ เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วเรา มักจะใช้ประโยคคาถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Words ในรูปแบบ Active Voice กันมากกว่าครับ แต่ที่นามาให้ดูก็เพื่อที่จะให้ท่านได้จดจา รูปแบบประโยคลักษณะนี้เอาไว้ครับ เผื่ออาจจะมีโอกาสได้พบเห็นต่อไปในอนาคตครับผม ^_^ บทที่ ๒๙ Passive Voice : ประโยคคำสั่ง หลักกำรเปลี่ยน ประโยคคาสั่งคือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคากริยา และไม่มีประธานเพราะละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้ว ดังนั้น หลักการเปลี่ยน ประโยค Active Voice ที่เป็นประโยคคาสั่งมาเป็น Passive Voice จะต้องทาดังนี้ Let + object + be + Verb ช่อง 3 ตัวอย่ำงประโยค Active : Open the window. Passive : Let the window be opened. Active : Don't destroy the house. Passive : Let the house not be destroyed. Active : Do it. Passive : Let it be done. Active : Don't close the door. Passive : Let the door not be closed. เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สั้นๆ เข้าใจง่ายไม่ยากใช่ไหมครับผม? ^_^ บทที่ ๓๐ Passive Voice : ประโยคที่ไม่ต้องกำร BY การจะนาเอาประธานในประโยค Active Voice ไปไว้หลัง by ใน Passive Voice หรือไม่นั้น เราจะต้องดู ใจความของประโยค คือ ถ้าเราไม่เน้นผู้กระทาหรือผู้กระทานั้นไม่สาคัญและไม่จาเป็นที่จะต้องกล่าวถึง เราก็ สามารถละบุพบท by ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น His house was painted beautifully before he moved in. บ้านของเขาได้ถูกทาสีไว้อย่างงดงาม ก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามาอยู่