More Related Content Similar to กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
Similar to กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (20) More from Krieangsak Pholwiboon
More from Krieangsak Pholwiboon (10) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ4. พ.ศ. 2550” ที่ใช้ในปัจจุบัน ในที่นี้จะขอนาเสนอเฉพาะพระราชบัญญัติว่าด้วย
การกระทาผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และกฎหมายลิขสิทธิ์ที่จะเป็น
ประโยชน์ในการใช้งานด้านสารสนเทศดังมีรายละเอียดดังนี้
1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ประกอบด้วยมาตราต่างๆ รวมทั้งสิ้น 30 มาตรา โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน
1.1 ส่วนทั่วไป บทบัญญัติในส่วนทั่วไปประกอบด้วย มาตรา 1 ชื่อ
กฎหมาย มาตรา 2 วันบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 3 คานิยาม และมาตรา 4 ผู้
รักษาการ
5. 1.2 หมวด 1 บทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีทั้งสิ้น 13
มาตรา ตั้งแต่มาตรา 5 ถึงมาตรา 17 สาระสาคัญของหมวดนี้ว่าด้วยฐาน
ความผิด อันเป็นผลจากการกระทาที่กระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัย ของระบบ
สารสนเทศโดยเป็นการกระทาความผิดที่กระทบต่อการรักษาความลับ
(Confidentiality) ความครบถ้วนและความถูกต้อง (Integrity) และความพร้อม
ใช้งาน (Availability) ของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอม
ความได้ ยกเว้นมาตรา 16 ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการตัดต่อหรือดัดแปลงภาพ
ซึ่งยังคงกาหนดให้เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ เพราะความเสียหายมัก
เกิดขึ้นเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท้านั้น คู่คดีสามารถหาข้อยุติและสรุปตกลง
ความเสียหายกันเองได้ ซึ่งต่างจากมาตราอื่นๆ ในหมวดนี้ที่ผลของการกระทา
ผิดอาจไม่ใช้เพียงแค้กระทบบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจกระทบต่อสังคม ก่อเกิด
ความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งสาระสาคัญมีดังต่อไปนี้
6. 2.1 การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ รายละเอียดอยู่ในมาตรา 5
ซึ่งการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้โปรแกรมสปายแวร์ (Spyware) ขโมย
ข้อมูลรหัสผ่านส่วนบุคคลของผู้อื่น เพื่อใช้บุกรุกเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้
นั้นผ่านช้องโหว่ของระบบดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต
2.2 การล่วงรู้มาตรการปูองกันการเข้าถึง และนาไปเปิดเผยโดยมิชอบ
จะเกี่ยวข้องกับมาตรา 6 โดยการล่วงรู้มาตรการความปลอดภัยการเข้าถึงระบบ
คอมพิวเตอร์ เช่น การแอบบันทึกการกดรหัสผ่านของผู้อื่น แล้วนาไปโพสต์ไว้ใน
เว็บบอร์ดต่างๆ เพื่อให้บุคคลที่สามใช้รหัสผ่านเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้
ที่เป็นเหยื่อ
7. 2.3 การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบมาตรา7 การเข้าถึง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ เช่น การกระทาใดๆ เพื่อเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล (File) ที่เป็น
ความลับโดยไม่ได้รับอนุญาต
2.4 การดักข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบรายละเอียดอยู่ในมาตรา 8 ซึ่ง
การดักข้อมูลคอมพิวเตอร์ คือ การดักข้อมูลของผู้อื่นในระหว่างการส่ง เช่น การ
ใช้สนิฟเฟอร์ (Sniffer) แอบดักแพ็กเก็ต (Packet) ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่เล็กที่สุดที่อยู่
ระหว่างการส่งไปให้ผู้รับ
8. 2.5 ในมาตรา 9 และมาตรา 10 เนื้อหาเกี่ยวกับการรบกวน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ซึ่งการรบกวน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้โปรแกรมไวรัสเพื่อส่งอีเมล
จานวนมากไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น เพื่อทาให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถ
ทางานได้ตามปกติ
2.6 การสแปมเมล จะเกี่ยวข้องกับมาตรา 11 มาตรานี้เป็นมาตราที่
เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อให้ครอบคลุมถึงการส่งสแปมซึ่งเป็นลักษณะการกระทา
ความผิดที่ใกล้เคียงกับมาตรา 10 และยังเป็นวิธีกระทาความผิดโดยการใช้
โปรแกรมหรือชุดคาสั่งไปให้เหยื่อจานวนมาก โดยปกปิดแหล่งที่มา
9. 2.7 มาตรา 12 การกระทาความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือส่งผล
กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ การรบกวนระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ และการบริการสาธารณะ
ซึ่งในปัจจุบันการกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่วิตกกังวลกัน คือ
การเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์และแอบเพิ่มเติม หรือทาลาย
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผล
กระทบต่อระบบสาธารณูปโภค หรือระบบการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของ
การทาสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare)
11. 2.10 การเผยแพร่ภาพจากการตัดต่อหรือดัดแปลงให้ผู้อื่นถูกดูหมิ่น
หรืออับอาย จะเกี่ยวข้องกับมาตรา 16 ซึ่งมาตรานี้เป็นการกาหนดฐานความผิด
ในเรื่องของการตัดต่อภาพของบุคคลอื่นที่อาจทาให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดู
หมิ่น เกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย โดยความผิดในมาตรานี้เป็นความผิดที่มี
ความใกล้เคียงกับความผิดฐานหมิ่นประมาท
2.11 มาตรา 17 กล่าวถึงการกระทาความผิดนอกราชอาณาจักรซึ่งต้อง
รับโทษในราชอาณาจักร โดยมาตรา 17 เป็นมาตราที่ว่าด้วยการนาตัวผู้กระทา
ความผิดมาลงโทษ
12. 3. หมวด 2 สาหรับในหมวดนี้ได้มีการกาหนดเกี่ยวกับอานาจของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ และยังมีการกาหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อานาจของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ไว้อีกด้วย รวมทั้งยังมีการกาหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการที่ต้องเก็บรักษา
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และต้องให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการส่งมอบ
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ บทบัญญัติในหมวดนี้มี
ทั้งหมด 13 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 18 ถึง มาตรา 30
14. 1 กฎหมายนี้รับรองการทาธุรกรรมด้วยเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เช่น
โทรสาร โทรเลข ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมาตรา 7 ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ปฏิเสธ
ความมีผลผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความใด เพียงเพราะเหตุที่
ข้อความนั้นอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
2 ศาลจะต้องยอมรับฟังเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าศาล
จะต้องเชื่อว่าข้อความอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นข้อความที่ถูกต้อง
15. 3 ปัจจุบันธุรกิจจาเป็นต้องเก็บเอกสารทางการค้าที่เป็นกระดาษจานวนมาก ทา
ให้เกิดค้าใช้จ่ายและความไม่ปลอดภัยขึ้น กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้ธุรกิจ
สามารถเก็บเอกสารเหล่านี้ในรูปไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ได้ตามมาตรา 10 ที่กล่าวว่า
ในกรณีที่กฎหมายกาหนดให้นาเสนอหรือเก็บรักษาข้อความใดในสภาพที่เป็นมา
แต่เดิมอย่างเอกสารต้นฉบับ ถ้าได้นาเสนอหรือเก็บรักษาในรูปข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ให้ถือว่าได้มีการนาเสนอหรือเก็บรักษา
เป็นเอกสารต้นฉบับตามกฎหมายแล้ว ซึ่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ใช้วิธีการที่
เชื่อถือได้ในการรักษาความถูกต้องของข้อความตั้งแต่การสร้างข้อความจนเสร็จ
สมบูรณ์ และสามารถแสดงข้อความนั้นในภายหลังได้ความถูกต้องของข้อความ
ตามมาตราที่ 7
17. 5 มาตรา 25 ระบุถึงบทบาทของภาครัฐในการให้บริการประชาชนด้วยระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ ให้อานาจหน่วยงานรัฐบาลสามารถสร้างระบบรัฐบาล
อิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในการให้บริการประชาชนได้ โดยต้องออก
ประกาศ หรือกฎกระทรวงเพิ่มเติม
6 ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์หรือลายมือชื่อดิจิทัลของผู้ประกอบถือเป็นสิ่งสาคัญ
และมีค้าเทียบเท้าการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ ดังนั้นผู้ประกอบการต้อง
เก็บรักษาใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์นี้ไว้เป็นความลับ และมาตรา 27
18. กฎหมายลิขสิทธิ์ และการใช้งานโดยธรรม (Fair Use)
กฎหมายลิขสิทธิ์ภายใต้พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2537 ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
สารสนเทศและการใช้งานโดยธรรม (Fair Use) ก็คือมาตรา 15 ที่มีสาระสาคัญ
ในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น สิทธิในการทาซ้าหรือดัดแปลง
งาน การเผยแพร่งานต่อสาธารณชน และให้เช่าต้นฉบับหรือสาเนางานบาง
ประเภท
เป็นต้น
21. คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานโดยธรรมในมาตรา 35 ได้บัญญัติให้การกระทาแก่
โปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หากไม่มี
วัตถุประสงค์เพื่อหากาไร ในกรณีดังต่อไปนี้
1) วิจัยหรือศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
2) ใช้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
3) ติชม วิจารณ์ หรือแนะนาผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ใน
โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
4) เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น