SlideShare a Scribd company logo
1 of 13
Download to read offline
อาชญากรทางคอมพิวเตอร์
และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
จัดทาโดย
นางสาวสุทธิดา โพธิ์งาม
เลขที่ 6 ม.6/1
เสนอ
อาจารย์ ณัฐพล บัวพันธ์
โรงเรียนส้มป่อยพิทยาคม
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต28
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หมายถึง การกระทาผิดทางอาญาในระบบคอมพิวเตอร์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อ
กระทาผิดทางอาญา เช่น ทาลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ระบบคอมพิวเตอร์ในที่นี้หมายรวมถึง
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมกับระบบดังกล่าวด้วย
สาหรับอาชญากรรมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เช่น อินเทอร์เน็ต) อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่ง คือ
อาชญากรรมไซเบอร์ (อังกฤษ: Cybercrime) อาชญากรที่ก่ออาชญากรรมประเภทนี้มักถูกเรียกว่า แครกเกอร์
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ
1.การกระทาการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทาให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทาได้รับผลประโยชน์ตอบ
แทน
2.การกระทาผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือและในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่เพื่อ
นาผู้กระทาผิดมาดาเนินคดีต้องใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน
การประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อเศรษฐกิจของประเทศจานวนมหาศาล
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ จึงจัดเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ อาชญากรรมทางธุรกิจรูปแบบ หนึ่งที่มี
ความสาคัญ
อาชญากรทางคอมพิวเตอร์
1. พวกเด็กหัดใหม่ (Novice)
2. พวกวิกลจริต (Deranged persons)
3. อาชญากรที่รวมกลุ่มกระทาผิด (Organized crime)
4. อาชญากรอาชีพ (Career)
5. พวกหัวพัฒนา มีความก้าวหน้า(Con artists)
6. พวกคลั่งลัทธิ(Dremer) / พวกช่างคิดช่างฝัน(Ideologues)
7. ผู้ที่มีความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์อย่างดี (Hacker/Cracker )
Hacker หมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นอัจฉริยะ มีความรู้ในระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี สามารถเข้าไปถึงข้อมูลใน
คอมพิวเตอร์โดยเจาะผ่านระบบ รักษาความปลอดภัยของ คอมพิวเตอร์ได้ แต่อาจไม่แสวงหาผลประโยชน์
Cracker หมายถึง ผู้ที่มีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี จนสามารถเข้าสู่ระบบได้ เพื่อเข้าไปทาลาย
หรือลบแฟ้ มข้อมูล หรือทาให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เสียหายรวมทั้งการทาลายระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทาที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตี
ระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น “อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์”
หมายถึงการกระทาที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม
อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยตรง
ในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้ องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิด (The Tenth
United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุง
เวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543 ได้มีการจาแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น 5
ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต, การสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์, การก่อกวนการ
ทางานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย, การยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับ
อนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์
โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and Intellectual
Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 6
ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทาหน้าที่เผยแพร่ความรู้
เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบันและความพยายามในการปัญหานี้
อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่
1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทาธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ(หรือพาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์)
2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็น
สื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมายรวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่
เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจาหน่ายหรือเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์
3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และใน
บางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การเจาะระบบยังอาจรองรับ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การก่อการร้าย ฯลฯ)
4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว
เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทาที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะ
เกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมาย
เพื่อสร้างความหวาดกลัว
5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกาหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252A การประมวลผลหรือการ
เผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทาที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกาหนด 47 USC 223 การเผยแพร่ภาพ
ลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทาที่ขัดต่อกฎหมาย อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่
สาหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่
ครอบคลุมทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง
6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสาหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่เยาวชน
จาเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดย
เป้ าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกาหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง
และวิธีที่เหมาะสมในการป้ องกันการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด
กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เป็นกฎหมายตัว หนึ่งที่มีความล่าช้ามากในบรรดา
กฎหมายสารสนเทศทั้ง 6 ฉบับ ความล่าช้านั้นก็มาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูตัวอย่างกฎหมายจาก
หลายๆประเทศที่บังคับใช้ไปก่อนแล้ว เพื่อจะมาปรับเข้ากับบริบทของประเทศไทย แน่นอนครับว่าการคัดลอกมาทั้งหมด
โดยไม่คานึงถึงความแตกต่าง สภาพวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าที่ไม่เท่ากันแล้ว ย่อมจะเกิดปัญหาเมื่อนามาใช้อย่าง
แน่นอนอีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเราด้วย กฎหมายบางเรื่องต้องใช้
เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะออกมาใช้บังคับได้ บางเรื่องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียวครับ
ปัญหาความล่าช้าเป็นอุปสรรคที่สาคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศของเรา ทั้งนี้เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
ระบบงานราชการที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ต้องผ่านหลายหน่วยงาน หลายขั้นตอน หรือแม้แต่ระบบการพิจารณาในสภา ที่มีการ
เปลี่ยนรัฐบาลกันบ่อยๆจึงทาให้ขาดความต่อเนื่อง และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่ทาให้กฎหมายแต่ละฉบับนั้นออกมาใช้
บังคับช้า ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้าไปมีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร
อย่างในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่ามีพัฒนาการเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้วย แต่ถึงแม้ว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะถูกนามาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดประโยชน์มากมายก็ตาม
หากนาไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบแล้วก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมได้
ดังนั้นจึงเกิดรูปแบบใหม่ของอาชญากรรมที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทาผิดขึ้น จึงจาเป็นต้อง
มีการพัฒนา กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) ขึ้น
ในบางประเทศอาจเรียกว่า กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ (Computer Misuse Law) หรือในบาง
ประเทศอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้รองรับกับความผิดในรูปแบบใหม่ๆได้ ด้วยการกาหนด
ฐานความผิดและบทลงโทษสาหรับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สามารถเอา
ผิดกับผู้กระทาความผิดได้ ในต่างประเทศนั้น มีลักษณะการบัญญัติกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 2 รูปแบบ คือ
การบัญญัติในลักษณะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประเทศเยอรมนี แคนาดา อิตาลี และสวิสเซอร์แลนด์
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ เช่น ประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา
สาหรับประเทศไทยนั้น เลือกใช้ในแบบที่สองคือบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ โดยมีชื่อว่า พระราชบัญญัติอาชญากรรม
ทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ….(ประกาศใช้ปีไหน ก็ใส่ พ.ศ. เข้าไปแทนจุดครับ-ผู้เขียน)
จะเห็นได้ว่าแม้รูปแบบกฎหมายของแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน แต่การกาหนดฐานความผิดที่เป็นหลักใหญ่นั้น
มักจะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้โดยมากแล้วต่างก็คานึงถึงลักษณะของการใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทาความผิดเป็นสาคัญ
กฎหมายที่ออกมาจึงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน
สภาพปัญหาในปัจจุบัน
ปัญหาข้อกฎหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์คือ หลักของกฎหมายอาญาที่ระบุว่า ไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย
(Nulla poena sinelege) และมุ่งคุ้มครองวัตถุที่มีรูปร่างเท่านั้น แต่ในยุคไอทีนั้น ข้อมูลข่าวสารเป็นวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง
เอกสารไม่ได้อยู่ในแผ่นกระดาษอีกต่อไป ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจขยายการคุ้มครองไปถึงได้
ตัวอย่างของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ การโจรกรรมเงินในบัญชีลูกค้าของธนาคาร การโจรกรรม
ความลับของบริษัทต่างๆที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ การปล่อยไวรัสเข้าไปในคอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในการปลอม
แปลงเอกสารต่างๆ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการก่อวินาศกรรมด้วย
รูปแบบการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทาให้เจ้าหน้าที่
ตารวจผู้ทาหน้าที่สืบสวนทางานได้อย่างยากลาบาก ทั้งยังต้องอ้างอิงอยู่กับกฎหมายอาญาแบบเดิมซึ่งยากที่จะเอาตัว
ผู้กระทา ความผิดมาลงโทษ
นักกฎหมายจึงต้องเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ซึ่งเป็นทรัพย์สิน
อย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น การขโมยโดเมนเนม (Domain Name) ซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่
สามารถจับต้องและถือเอาได้ แต่ก็ถือเป็นทรัพย์และยอมรับกันว่ามีมูลค่ามหาศาล
ปัญหาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์คือเรื่อง พยานหลักฐาน เพราะพยานหลักฐานที่
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและกระทาได้ง่าย แต่ยากต่อการสืบหา รวมทั้งยังสูญหายได้
ง่ายอีกด้วย เช่น ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่อง (Hard Disk) นั้น หากระหว่างการเคลื่อนย้าย
ได้รับความกระทบกระเทือนหรือเกิดการกระแทก หรือเคลื่อนย้ายผ่านจุดที่เป็นสนามแม่เหล็ก ข้อมูลที่บันทึกใน Hard
Disk ดังกล่าวก็อาจสูญหายได้
นอกจากนี้เรื่องอานาจในการออกหมายค้นก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน เพราะการค้นหาพยานหลักฐานใน Hard
Disk นั้นต้องกาหนดให้ศาลมีอานาจบังคับให้ผู้ต้องสงสัยบอกรหัสผ่านแก่เจ้าหน้าที่ที่ทาการสืบสวนเพื่อให้ทาการค้นหา
หลักฐานใน Hard Disk ได้ด้วย
นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องขอบเขตพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่มีความสาคัญ เพราะผู้กระทาความผิดอาจกระทาจากที่อื่นๆที่ไม่ใช่
ประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเขตอานาจของศาลไทย ดังนั้นกฎหมายควรบัญญัติให้ชัดเจนด้วยว่าศาลมีเขตอานาจที่จะลงโทษ
ผู้กระทาผิดได้ถึงไหนเพียงไร และถ้ากระทาความผิดในต่างประเทศจะถือเป็นความผิดในประเทศไทยด้วยหรือไม
ส่วนประเด็นที่สาคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก็คือประเด็นเรื่องอายุของผู้กระทาความผิด
เพราะผู้กระทาความผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ส่วนมาก โดยเฉพาะ Hacker และ Cracker นั้น มักจะเป็นเด็กและ
เยาวชน และอาจกระทาความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความคึกคะนองหรือความซุกซนก็เป็นได้
————————————————–
ตอน 2 : ลักษณะของการกระทาความผิด
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 (ฉบับรวมหลักการของกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทาง
อิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน) ซึ่งมีผลใช้บังคับไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3
เมษายน 2545 ที่ผ่านมาพูดถึงบ้านเมืองเรานี่ก็แปลกนะครับ กฎหมายบังคับใช้ก็ไม่ไปประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่าน
เยอะๆ แต่ไปประกาศในราชกิจานุเบกษา เชื่อไหมครับว่าเรื่องอะไรสาคัญๆ กฎหมายเอย กฎกระทรวงเอย กฎอะไรต่างๆ
นาๆที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ใครสร้างถนน สร้างสะพาน ย้ายใคร แต่งตั้งผู้ใครและเรื่องอื่นๆอีกมากมายก่ายกองก็จะต้อง
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และอะไรก็ตามเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว ก็จะถือว่าทุกคนได้ทราบแล้วโดย
ปริยายครับ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เคยอ่านไม่ได้ ก็เหมือนเวลาเราโดนตารวจจับนั่นแหละครับ เราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นี่
แหละครับความสาคัญของหนังสือที่ว่านี้ลองหามาอ่านกันดูนะครับ
ลักษณะของการกระทาผิดหรือการก่อให้เกิดภยันตรายหรือความเสียหายอันเนื่องมา จากการก่ออาชญากรรมทาง
คอมพิวเตอร์นั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ จาแนกตามวัตถุหรือระบบที่ถูกกระทา คือ
1. การกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)
2. การกระทาต่อระบบข้อมูล (Information System)
3. การกระทาต่อระบบเครือข่ายซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสาร (Computer Network)
“ระบบคอมพิวเตอร์”
“ระบบคอมพิวเตอร์” หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรออิกส์หรือชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ
ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมให้ทาหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น “ระบบคอมพิวเตอร์” จึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์
(Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมูลผลข้อมูลดิจิทัล (Digital Data) อันประกอบด้วยเครื่อง
คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ต่างๆ ในการเข้ารับหรือป้ อนข้อมูล (Input) นาออกหรือแสดงผลข้อมูล
(Output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (Store and Record)
ดังนั้น ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว หรือหลายเครื่องอันอาจมีลักษณะเป็นชุดเชื่อมต่อกัน ทั้งนี้
โดยอาจเชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการทางานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่กาหนดไว้และไม่มีการ
แทรกแทรงโดยตรงจากมนุษย์ ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะหมายถึง ชุดคาสั่งที่ทาหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทางาน
“ระบบข้อมูล”
“ระบบข้อมูล” หมายถึง กระบวนการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ สาหรับสร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา
หรือประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
การให้ความหมายของคาว่า ระบบข้อมูล ตามความหมายข้างต้น เป็นการให้ความหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วย
ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหากเราพิจารณาความหมายตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งตราขึ้นเพื่อรองรับผลทางกฎหมาย
ของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการรับรองข้อความที่อยู่บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษ
จึงหมายความรวมถึง ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการ
แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหาย คงจะไม่ใช่เพียงแต่กับ
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในความหมายดังกล่าวเท่านั้น เพราะการกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจเป็นการกระทาต่อ
ข้อมูล ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ทานองเดียวกับข้อความแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เป็นรหัสผ่าน หรือ
ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม แม้ข้อมูลจะมีลักษณะหลากหลาย แล้วแต่การสร้างและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แต่ข้อมูลที่กล่าวถึง
ทั้งหมดนี้ต้องมีลักษณะที่สาคัญร่วมกันประการหนึ่งคือ ต้องเป็น “ข้อมูลดิจิทัล (Digital Data)” เท่านั้น
ข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสาคญอย่างมากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอันสาคัญยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวนใน
คดีอาญา คือ ข้อมูลจราจร (Traffic Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่บันทึกวงจรการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทาให้
ทราบถึงจานวนปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา สาหรับข้อมูลต้นทางนั้น ได้แก่ หมายเลข
โทรศัพท์ เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol Address) หรือ IP Address นั่นเอง
ส่วนข้อมูลปลายทางนั้น ได้แก่ เลขที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Email Address) หรือที่อยู่เวบไซต์ (URL) ที่ผู้ใช้
อินเทอร์เน็ตแวะเข้าไปดูข้อมูล นอกจากข้อมูลต้นทางและปลายทางแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเวลาที่มีการ
ติดต่อสื่อสารหรือการใช้บริการ เช่น การติดต่อในรูปของไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ หรือการโอนแฟ้ มข้อมูล เป็นต้น
“ระบบเครือข่าย”
ระบบเครือข่าย หมายความถึง การเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็น
ทอดๆ ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่ายแบบปิด คือ ให้บริการเชื่อมต่อเฉพาะสมาชิกเท่านั้น หรือระบบเครือข่ายแบบเปิด อัน
หมายถึง การเปิดกว้างให้ผู้ใดก็ได้ใช้บริการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือการติดต่อสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
คงพอจะทราบกันแล้ว ว่าลักษณะของการกระทาความผิดของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไรบ้าง และอาจกระทาต่อ
อะไรได้บ้าง รวมทั้งความหมายของคาต่างๆที่ใช้ในกฎหมายดังกล่าว อาจจะดูวิชาการไปบ้าง แต่ก็เพื่อจะปูพื้นฐานให้มี
ความเข้าใจเมื่อกล่าวถึงในบทต่อๆไป
————————————————–
ตอน 3 : การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
การกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้นโดยมากแล้วมักจะเป็นการคุกคามหรือลักลอบเข้าไปในระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
หรือโดยไม่มีอานาจให้กระทาการดังกล่าวการกระทาดังกล่าวนั้นเป็นการกระทาอันเทียบเคียงได้กับการบุกรุกในทาง
กายภาพ หรือเปรียบเทียบได้กับการบุกรุกกันจริงๆนั่นเอง และในปัจจุบันมักมีพัฒนาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใน
รูปแบบต่างๆ โดยกาหนดคาสั่งให้กระทาการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ด้วย เช่น
- Virus Computer ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทาลายระบบและมักมีการแพร่กระจายตัวได้ง่ายและรวด เร็ว ชาวไอทีทุกท่านคงจะ
ทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะ Virus Computer นั้นติดเชื้อและแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก และทวีความ
รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจทาให้เครื่อง Computer ใช้งานไม่ได้ หรืออาจทาให้ข้อมูลใน Hard Disk เสียหายไปเลย
- Trojan Horse เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานโดยแฝงอยู่กับโปรแกรมทางานทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อจุดประสงค์ใด
จุดประสงค์หนึ่ง เช่น การลักลอบขโมยข้อมูล เป็นต้น โดยมากจะเข้าใจกันว่าเป็น Virus Computer ชนิดหนึ่ง Trojan
Horse เป็นอีกเครื่องมือยอดนิยมชนิดหนึ่งที่บรรดา Hacker ใช้กันมาก
- Bomb เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดขึ้นเหมือนกับการระเบิด ของระเบิดเวลา เช่น Time
Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีการตั้งเวลาให้ทางานตามที่กาหนดเวลาไว้ หรือ Logic Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กาหนด
เงื่อนไขให้ทางานเมื่อมีเหตุการณ์หรือเงื่อนไขใดๆเกิดขึ้น เป็นต้น กล่าวโดยรวมแล้ว Bomb ก็คือ รูปแบบการก่อให้เกิด
ความเสียหายเมื่อครบเงื่อนไขที่ผู้เขียนตั้งไว้นั่นเอง
- Rabbit เป็นโปรแกรมที่กาหนดขึ้นเพื่อให้สร้างตัวมันเองซ้าๆ เพื่อให้ระบบไม่สามารถ ทางานได้ เช่น ทาให้พื้นที่ใน
หน่วยความจาเต็มเพื่อให้ Computer ไม่สามารถทางานต่อไปเป็นต้น เป็นวิธีการที่ผู้ใช้มักจะใช้เพื่อทาให้ระบบของ
เป้ าหมายล่ม หรือไม่สามารถทางานหรือให้บริการได้
- Sniffer เป็นโปรแกรมเล็กๆที่สร้างขึ้นเพื่อลักลอบดักข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งถูก สั่งให้บันทึกการ Log On ซึ่ง
จะทาให้ทราบรหัสผ่าน (Passward) ของบุคคลซึ่งส่งหรือโอนข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย โดยจะนาไปเก็บไว้ในแฟ้ มลับที่
สร้างขึ้น กรณีน่าจะเทียบได้กับการดักฟัง ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัด
แจ้ง
- Spoofing เป็นเทคนิคการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระยะทางไกล โดยการปลอม แปลงที่อยู่อินเทอร์เนต (Internet
Address) ของเครื่องที่เข้าได้ง่ายหรือเครื่องที่เป็นพันธมิตร เพื่อค้นหาจุดที่ใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยภายใน และ
ลักลอบเข้าไปในคอมพิวเตอร์
- The Hole in the Web เป็นข้อบกพร่องใน world wide web เนื่องจากโปรแกรมที่ใช้ ในการปฏิบัติการของ
Website จะมีหลุมหรือช่องว่างที่ผู้บุกรุกสามารถทาทุกอย่างที่เจ้าของ Websit สามารถทาได้ นอกจากนี้อาจแบ่ง
ประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตามกระบวนการได้ดังนี้ การก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในขั้นของกระบวนการ
นาเข้า (Input Process) นั้น อาจทาได้โดยการ
- การสับเปลี่ยน Disk ในที่นี้หมายความรวม Disk ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Hard Disk,Floppy Disk รวมทั้ง Disk ชนิด
อื่นๆด้วย ในที่นี้น่าจะหมายถึงการกระทาในทางกายภาพ โดยการ Removable นั่นเอง ซึ่งเป็นความผิดชัดเจนในตัวของ
มันเองอยู่แล้ว
- การทาลายข้อมูล ไม่ว่าจะใน Hard Disk หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นที่ใช้ร่วมกับ คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ กรณีการ
ทาลายข้อมูลนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น
- การป้ อนข้อมูลเท็จ ในกรณีที่เป็นผู้มีอานาจหน้าที่อันอาจเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นๆได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีอานาจ
เข้าถึงก็ตาม แต่ได้กระทาการอันมิชอบในขณะที่ตนเองอาจเข้าถึงได้
- การลักข้อมูลข่าวสาร (Data) : (Computer Espionage) ไม่ว่าโดยการกระทาด้วยวิธี การอย่างใดๆให้ได้ไปซึ่งข้อมูล
อันตนเองไม่มีอานาจหรือเข้าถึงโดยไม่ชอบ กรณีการลักข้อมูลข่าวสารนั้นจะพบได้มากในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารถือเป็น
ทรัพย์อันมีค่ายิ่ง
- การลักใช้บริการหรือเข้าไปใช้โดยไม่มีอานาจ (Unauthorized Access) อาจกระทา โดยการเจาะระบบเข้าไป หรือใช้
วิธีการอย่างใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสผ่าน (Password) เพื่อให้ตนเองเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเสียค่าใช้จ่าย
ปัจจุบันพบได้มากตามเวบบอร์ดทั่วไป ซึ่งมักจะมี Hacker ซึ่งได้ Hack เข้าไปใน Server ของ ISP แล้วเอา Account มา
แจกฟรี ตรงนี้ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ผู้ที่รับเอา Account นั้นไปใช้น่าจะมีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานรับของ
โจรด้วย
ส่วนกระบวนการ Data Processing นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย
- การทาลายข้อมูลและระบบโดยใช้ไวรัส (Computer Subotage) ซึ่งได้อธิบายการ ทางานของ Virus ดังกล่าวไว้แล้ว
ข้างต้น
- การทาลายข้อมูลและโปรแกรม (Damage to Data and Program) อันนี้ก็ตรงตัวนะ ครับ การทาลายข้อมูลโดยไม่
ชอบย่อมจะต้องเป็นความผิดอยู่แล้ว
- การเปลี่ยนแปลงข้อมูลและโปรแกรม (Alteration of Data and Program) เช่นกัน ครับ การกระทาใดๆที่ก่อให้เกิด
ความเสียหายโดยไม่มีอานาจก็จะถือเป็นความผิด
ส่วนกระบวนการนาออก (Output Process) นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย
- การขโมยขยะ (Sewaging) อันนี้หมายถึงขยะจริงๆเลยครับ คือ ข้อมูลที่เราไม่ใช้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทาลายนั่นเอง การ
ขโมยขยะถือเป็นความผิดครับ ถ้าขยะที่ถูกขโมยไปนั้นอาจทาให้เจ้าของต้องเสียหายอย่างใดๆ อีกทั้งเจ้าของอาจจะยังมิได้
มีเจตนาสละการครอบครองก็ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ
- การขโมย Printout ก็คือ การขโมยงานหรือข้อมูลที่ Print ออกมาแล้วนั่นเอง กรณีนี้ อาจผิดฐานลักทรัพย์ด้วย เพราะ
เป็นการขโมยเอกสารอันมีค่า ผิดเหมือนกันครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนวโน้มการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ทั้งนี้หน่วยงาน National Computer Security Center ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานเมื่อปี คศ. 2000 ว่า
หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนถูกรุกรานจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 64 และมี สัดส่วนการ
เพิ่มขึ้นในแต่ละปีถึงร้อยละ 16 ซึ่งหมายความว่า มูลค่าความเสียหายจากการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็จะต้องเพิ่ม
สูงขึ้นทุกปีเช่นกัน
————————————————–
ตอน 4 : การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ
การพัฒนากฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในเบื้องต้นนั้น พัฒนาขึ้นโดยคานึงถึงลักษณะการกระทาความผิดต่อระบบ
คอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ซึ่งอาจสรุปความผิดสาคัญได้ 3 ฐานความผิด คือ
- การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ (Unauthorised Access)
- การใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ (Computer Misuse) - ความผิดเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ (Computer Related
Crime)
ทั้งนี้ความผิดแต่ละฐานที่กาหนดขึ้นดังที่สรุปไว้ข้างต้น มีวัตถุประสงค์ในการให้ความ
ที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ความผิดฐานเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ การกระทาความผิด
ด้วยการเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ ถือเป็นการกระทาที่คุกคาม
หรือเป็นภัยต่อความปลอดภัย (Security) ของระบบคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูล เมื่อระบบไม่มีความปลอดภัยก็จะส่งผล
กระทบต่อความครบถ้วน (Integrity) การรักษาความลับ (Confidential) และเสถียรภาพในการใช้งาน (Availability)
ของระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์
(1) การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ
การฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้อาจเกิดได้หลายวิธี เช่น การเจาะระบบ (Hacking or Cracking) หรือการบุกรุก
ทางคอมพิวเตอร์ (Computer Trespass) เพื่อทาลายระบบคอมพิวเตอร์หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูล หรือเพื่อเข้าถึง
ข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับ เช่น รหัสลับ (Passwords) หรือความลับทางการค้า (Secret Trade) เป็นต้น
ทั้งนี้ยังอาจเป็นที่มาของการกระทาผิดฐานอื่นๆต่อไป เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อฉ้อโกงหรือปลอมแปลงเอกสาร ซึ่ง
อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเป็นมูลค่ามหาศาลได้
คาว่า “การเข้าถึง (Access)” ในที่นี้หมายความถึง การเข้าถึงทั้งในระดับกายภาพ เช่น ผู้กระทาความผิดกระทาโดยวิธีใด
วิธีหนึ่งโดยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นเอง และหมายความรวมถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งแม้บุคคลที่เข้าถึงจะอยู่
ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเจาะเข้าไปในระบบที่ตนต้องการได้
“การเข้าถึง” ในที่นี้จะหมายถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้น จึงอาจหมายถึง การ
เข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในระบบเพื่อใช้ในการส่งหรือโอนถึง
อีกบุคคลหนึ่ง เช่น ข้อมูลจราจร เป็นต้น
นอกจากนี้“การเข้าถึง” ยังหมายถึงการเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เนต อันเป็นการเชื่อมโยง
ระหว่างเครือข่ายหลายๆเครือข่ายเข้าด้วยกัน และยังหมายถึง การเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่ายเดียวกันด้วยก็ได้ เช่น
ระบบ LAN (Local Area Network) อันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกันเข้าด้วยกัน
สาหรับมาตราดังกล่าวนี้กาหนดให้การเข้าถึงโดยมิชอบเป็นความผิด แม้ว่าผู้กระทาจะมิได้มีมูลเหตุจูงใจเพื่อก่อให้เกิด
ความเสียหายก็ตาม ทั้งนี้เพราะเห็นว่าการกระทาดังกล่าวนั้นสามารถก่อให้เกิดการกระทาผิดฐานอื่นหรือฐานที่ใกล้เคียง
ค่อนข้างง่ายและอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง อีกทั้งการพิสูจน์มูลเหตุจูงใจกระทาได้ค่อนข้างยาก
(2) การลักลอบดักข้อมูล
มาตรานี้บัญญัติฐานความผิดเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลโดยฝ่าฝืนกฎหมาย (Illegal Interception) เนื่องจากมี
วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร (The Right of Privacy of Data
Communication) ในทานองเดียวกับการติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมที่ห้ามดักฟังโทรศัพท์หรือแอบบันทึกเทปลับ เป็นต้น
“การลักลอบดักข้อมูล” หมายถึง การลักลอบดักข้อมูลโดยวิธีการทางเทคนิค (Technical Means) เพื่อลักลอบดักฟัง
ตรวจสอบหรือติดตามเนื้อหาสาระของข่าวสารที่สื่อสารถึงกันระหว่างบุคคล หรือกรณีเป็นการกระทาอันเป็นการล่อลวง
หรือจัดหาข้อมูลดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น รวมทั้งการแอบบันทึกข้อมูลที่สื่อสารถึงกันด้วย
ทั้งนี้วิธีการทางเทคนิคยังหมายถึง อุปกรณ์ที่มีสายเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย และหมายรวมถึงอุปกรณ์ประเภทไร้สาย
เช่น การติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การกระทาที่เป็นความผิดฐานลักลอบดักข้อมูลนั้น ข้อมูลที่ส่ง
ต้องมิใช่ข้อมูลที่ส่งและเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้ (Non-Public Transmissions) การกระทาความผิดฐานนี้จึงจากัด
เฉพาะแต่เพียงวิธีการส่งที่ผู้ส่งข้อมูลประสงค์จะส่งข้อมูลนั้นให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ดังนั้น
มาตรานี้จึงมิได้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของข้อมูลที่ส่งด้วยแต่อย่างใด
(3) ความผิดฐานรบกวนระบบ
ความผิดดังกล่าวนี้คือ การรบกวนทั้งระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (Data and System Interference) โดยมุ่ง
ลงโทษผู้กระทาความผิดที่จงใจก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งคุ้มครอง ความครบถ้วน
ของข้อมูล และเสถียรภาพในการใช้งานหรือการใช้ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บันทึกไว้บนสื่อคอมพิวเตอร์ได้เป็น
ปกติ ต้องของการกระทาความผิดฐานดังกล่าวนี้ได้แก่ การป้ อนข้อมูลที่มีไวรัสทาลายข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
หรือการป้ อนโปรแกรม Trojan Horse เข้าไปในระบบเพื่อขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ สาหรับเพื่อใช้ลบ
เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลหรือกระทาการใดๆอันเป็นการรบกวนข้อมูลและระบบ หรือการป้ อนโปรแกรมที่ทาให้ระบบ
ปฏิเสธการทางาน (Daniel of Service) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หรือการทาให้ระบบทางานช้าลง เป็นต้น
(4) การใช้อุปกรณืในทางมิชอบ
มาตรานี้จะแตกต่างจากมาตราก่อนๆ เนื่องจากเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการผลิต แจก จ่าย จาหน่าย หรือครอบครอง
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการกระทาความผิด เช่น อุปกรณ์สาหรับเจาะระบบ (Hacker Tools) รวมถึงรหัสผ่าน
คอมพิวเตอร์ รหัสการเข้าถึง หรือข้อมูลอื่นในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้ อง
ระบบหรือทดสอบระบบ แต่การจะนาอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ได้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องมีอานาจหรือได้รับอนุญาตให้
กระทาได้เท่านั้น สาหรับการแจกจ่ายนั้น ให้รวมถึงการส่งข้อมูลที่ได้รับเพื่อให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง (Forward) หรือการ
เชื่อมโยงฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน (Hyperlinks) ด้วย
สาหรับเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย เราก็คงจะว่ากันอย่างคร่าวๆเพียงเท่านี้เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสาหรับ
เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจด้วย เพราะว่ากฎหมายไอทีนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ต้องแบ่งๆกันไปครับ

More Related Content

What's hot (14)

แนน คอม Pdf
แนน คอม Pdfแนน คอม Pdf
แนน คอม Pdf
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
รายงานคอม12
รายงานคอม12รายงานคอม12
รายงานคอม12
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋
 
ธิดารัตน์Pdf
ธิดารัตน์Pdfธิดารัตน์Pdf
ธิดารัตน์Pdf
 
รายงานเจียบ
รายงานเจียบรายงานเจียบ
รายงานเจียบ
 
ณรงค์ชัย
ณรงค์ชัยณรงค์ชัย
ณรงค์ชัย
 
รายงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รายงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องรายงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รายงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
 
ธนาวัตร
ธนาวัตรธนาวัตร
ธนาวัตร
 
อาชญากรรม
อาชญากรรมอาชญากรรม
อาชญากรรม
 
รายงานอาชญากรรม เชี่ยว
รายงานอาชญากรรม เชี่ยวรายงานอาชญากรรม เชี่ยว
รายงานอาชญากรรม เชี่ยว
 
คอม
คอมคอม
คอม
 

Similar to อาชญากรทางคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตาล

อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋
AY'z Felon
 
งานคอมฯ
งานคอมฯงานคอมฯ
งานคอมฯ
Kannaree Jar
 
งานคอมฯ
งานคอมฯงานคอมฯ
งานคอมฯ
Kannaree Jar
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
dowsudarat
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
paotogether
 
รายงานเมย์
รายงานเมย์รายงานเมย์
รายงานเมย์
Kanjana ZuZie NuNa
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
dowsudarat
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
Nongniiz
 
รายงาน จ๊ะ
รายงาน จ๊ะรายงาน จ๊ะ
รายงาน จ๊ะ
Jiraprapa Noinoo
 
รายงาน อาย
รายงาน อายรายงาน อาย
รายงาน อาย
Jiraprapa Noinoo
 
รายงาน พืด
รายงาน พืดรายงาน พืด
รายงาน พืด
Jiraprapa Noinoo
 
รายงาน พืด
รายงาน พืดรายงาน พืด
รายงาน พืด
Jiraprapa Noinoo
 
นาย ศิริศักดิ์ พรหมทิพย์
นาย ศิริศักดิ์  พรหมทิพย์นาย ศิริศักดิ์  พรหมทิพย์
นาย ศิริศักดิ์ พรหมทิพย์
Sirisak Promtip
 

Similar to อาชญากรทางคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตาล (20)

รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
อาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯอาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯ
 
ตุก Pdf
ตุก Pdfตุก Pdf
ตุก Pdf
 
อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
งานคอมฯ
งานคอมฯงานคอมฯ
งานคอมฯ
 
งานคอมฯ
งานคอมฯงานคอมฯ
งานคอมฯ
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
รายงานเมย์
รายงานเมย์รายงานเมย์
รายงานเมย์
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
 
รายงาน จ๊ะ
รายงาน จ๊ะรายงาน จ๊ะ
รายงาน จ๊ะ
 
รายงาน อาย
รายงาน อายรายงาน อาย
รายงาน อาย
 
รายงาน พืด
รายงาน พืดรายงาน พืด
รายงาน พืด
 
รายงาน พืด
รายงาน พืดรายงาน พืด
รายงาน พืด
 
นาย ศิริศักดิ์ พรหมทิพย์
นาย ศิริศักดิ์  พรหมทิพย์นาย ศิริศักดิ์  พรหมทิพย์
นาย ศิริศักดิ์ พรหมทิพย์
 
รายงานโจ
รายงานโจรายงานโจ
รายงานโจ
 

อาชญากรทางคอมพิวเตอร์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตาล

  • 1. อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จัดทาโดย นางสาวสุทธิดา โพธิ์งาม เลขที่ 6 ม.6/1 เสนอ อาจารย์ ณัฐพล บัวพันธ์ โรงเรียนส้มป่อยพิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต28
  • 2. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime) อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หมายถึง การกระทาผิดทางอาญาในระบบคอมพิวเตอร์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อ กระทาผิดทางอาญา เช่น ทาลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ระบบคอมพิวเตอร์ในที่นี้หมายรวมถึง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมกับระบบดังกล่าวด้วย สาหรับอาชญากรรมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เช่น อินเทอร์เน็ต) อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่ง คือ อาชญากรรมไซเบอร์ (อังกฤษ: Cybercrime) อาชญากรที่ก่ออาชญากรรมประเภทนี้มักถูกเรียกว่า แครกเกอร์ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ 1.การกระทาการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทาให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทาได้รับผลประโยชน์ตอบ แทน 2.การกระทาผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือและในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่เพื่อ นาผู้กระทาผิดมาดาเนินคดีต้องใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน การประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อเศรษฐกิจของประเทศจานวนมหาศาล อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ จึงจัดเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ อาชญากรรมทางธุรกิจรูปแบบ หนึ่งที่มี ความสาคัญ อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ 1. พวกเด็กหัดใหม่ (Novice) 2. พวกวิกลจริต (Deranged persons) 3. อาชญากรที่รวมกลุ่มกระทาผิด (Organized crime) 4. อาชญากรอาชีพ (Career) 5. พวกหัวพัฒนา มีความก้าวหน้า(Con artists) 6. พวกคลั่งลัทธิ(Dremer) / พวกช่างคิดช่างฝัน(Ideologues) 7. ผู้ที่มีความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์อย่างดี (Hacker/Cracker )
  • 3. Hacker หมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นอัจฉริยะ มีความรู้ในระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี สามารถเข้าไปถึงข้อมูลใน คอมพิวเตอร์โดยเจาะผ่านระบบ รักษาความปลอดภัยของ คอมพิวเตอร์ได้ แต่อาจไม่แสวงหาผลประโยชน์ Cracker หมายถึง ผู้ที่มีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี จนสามารถเข้าสู่ระบบได้ เพื่อเข้าไปทาลาย หรือลบแฟ้ มข้อมูล หรือทาให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เสียหายรวมทั้งการทาลายระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทาที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตี ระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น “อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์” หมายถึงการกระทาที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยตรง ในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้ องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิด (The Tenth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุง เวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543 ได้มีการจาแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต, การสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์, การก่อกวนการ ทางานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย, การยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับ อนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and Intellectual Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทาหน้าที่เผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบันและความพยายามในการปัญหานี้ อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่ 1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทาธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ(หรือพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์) 2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็น สื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมายรวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจาหน่ายหรือเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์
  • 4. 3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และใน บางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การเจาะระบบยังอาจรองรับ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การก่อการร้าย ฯลฯ) 4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทาที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะ เกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสร้างความหวาดกลัว 5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกาหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252A การประมวลผลหรือการ เผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทาที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกาหนด 47 USC 223 การเผยแพร่ภาพ ลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทาที่ขัดต่อกฎหมาย อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่ สาหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่ ครอบคลุมทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง 6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสาหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่เยาวชน จาเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดย เป้ าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกาหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง และวิธีที่เหมาะสมในการป้ องกันการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เป็นกฎหมายตัว หนึ่งที่มีความล่าช้ามากในบรรดา กฎหมายสารสนเทศทั้ง 6 ฉบับ ความล่าช้านั้นก็มาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูตัวอย่างกฎหมายจาก หลายๆประเทศที่บังคับใช้ไปก่อนแล้ว เพื่อจะมาปรับเข้ากับบริบทของประเทศไทย แน่นอนครับว่าการคัดลอกมาทั้งหมด โดยไม่คานึงถึงความแตกต่าง สภาพวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าที่ไม่เท่ากันแล้ว ย่อมจะเกิดปัญหาเมื่อนามาใช้อย่าง แน่นอนอีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเราด้วย กฎหมายบางเรื่องต้องใช้ เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะออกมาใช้บังคับได้ บางเรื่องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียวครับ ปัญหาความล่าช้าเป็นอุปสรรคที่สาคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศของเรา ทั้งนี้เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ระบบงานราชการที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ต้องผ่านหลายหน่วยงาน หลายขั้นตอน หรือแม้แต่ระบบการพิจารณาในสภา ที่มีการ เปลี่ยนรัฐบาลกันบ่อยๆจึงทาให้ขาดความต่อเนื่อง และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่ทาให้กฎหมายแต่ละฉบับนั้นออกมาใช้ บังคับช้า ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
  • 5. ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้าไปมีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร อย่างในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่ามีพัฒนาการเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วย แต่ถึงแม้ว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะถูกนามาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดประโยชน์มากมายก็ตาม หากนาไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบแล้วก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ดังนั้นจึงเกิดรูปแบบใหม่ของอาชญากรรมที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทาผิดขึ้น จึงจาเป็นต้อง มีการพัฒนา กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) ขึ้น ในบางประเทศอาจเรียกว่า กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ (Computer Misuse Law) หรือในบาง ประเทศอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้รองรับกับความผิดในรูปแบบใหม่ๆได้ ด้วยการกาหนด ฐานความผิดและบทลงโทษสาหรับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สามารถเอา ผิดกับผู้กระทาความผิดได้ ในต่างประเทศนั้น มีลักษณะการบัญญัติกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 2 รูปแบบ คือ การบัญญัติในลักษณะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประเทศเยอรมนี แคนาดา อิตาลี และสวิสเซอร์แลนด์ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ เช่น ประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา สาหรับประเทศไทยนั้น เลือกใช้ในแบบที่สองคือบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ โดยมีชื่อว่า พระราชบัญญัติอาชญากรรม ทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ….(ประกาศใช้ปีไหน ก็ใส่ พ.ศ. เข้าไปแทนจุดครับ-ผู้เขียน) จะเห็นได้ว่าแม้รูปแบบกฎหมายของแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน แต่การกาหนดฐานความผิดที่เป็นหลักใหญ่นั้น มักจะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้โดยมากแล้วต่างก็คานึงถึงลักษณะของการใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทาความผิดเป็นสาคัญ กฎหมายที่ออกมาจึงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน สภาพปัญหาในปัจจุบัน ปัญหาข้อกฎหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์คือ หลักของกฎหมายอาญาที่ระบุว่า ไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย (Nulla poena sinelege) และมุ่งคุ้มครองวัตถุที่มีรูปร่างเท่านั้น แต่ในยุคไอทีนั้น ข้อมูลข่าวสารเป็นวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง เอกสารไม่ได้อยู่ในแผ่นกระดาษอีกต่อไป ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจขยายการคุ้มครองไปถึงได้ ตัวอย่างของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ การโจรกรรมเงินในบัญชีลูกค้าของธนาคาร การโจรกรรม ความลับของบริษัทต่างๆที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ การปล่อยไวรัสเข้าไปในคอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในการปลอม แปลงเอกสารต่างๆ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการก่อวินาศกรรมด้วย
  • 6. รูปแบบการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทาให้เจ้าหน้าที่ ตารวจผู้ทาหน้าที่สืบสวนทางานได้อย่างยากลาบาก ทั้งยังต้องอ้างอิงอยู่กับกฎหมายอาญาแบบเดิมซึ่งยากที่จะเอาตัว ผู้กระทา ความผิดมาลงโทษ นักกฎหมายจึงต้องเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ซึ่งเป็นทรัพย์สิน อย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น การขโมยโดเมนเนม (Domain Name) ซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่ สามารถจับต้องและถือเอาได้ แต่ก็ถือเป็นทรัพย์และยอมรับกันว่ามีมูลค่ามหาศาล ปัญหาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์คือเรื่อง พยานหลักฐาน เพราะพยานหลักฐานที่ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและกระทาได้ง่าย แต่ยากต่อการสืบหา รวมทั้งยังสูญหายได้ ง่ายอีกด้วย เช่น ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่อง (Hard Disk) นั้น หากระหว่างการเคลื่อนย้าย ได้รับความกระทบกระเทือนหรือเกิดการกระแทก หรือเคลื่อนย้ายผ่านจุดที่เป็นสนามแม่เหล็ก ข้อมูลที่บันทึกใน Hard Disk ดังกล่าวก็อาจสูญหายได้ นอกจากนี้เรื่องอานาจในการออกหมายค้นก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน เพราะการค้นหาพยานหลักฐานใน Hard Disk นั้นต้องกาหนดให้ศาลมีอานาจบังคับให้ผู้ต้องสงสัยบอกรหัสผ่านแก่เจ้าหน้าที่ที่ทาการสืบสวนเพื่อให้ทาการค้นหา หลักฐานใน Hard Disk ได้ด้วย นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องขอบเขตพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่มีความสาคัญ เพราะผู้กระทาความผิดอาจกระทาจากที่อื่นๆที่ไม่ใช่ ประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเขตอานาจของศาลไทย ดังนั้นกฎหมายควรบัญญัติให้ชัดเจนด้วยว่าศาลมีเขตอานาจที่จะลงโทษ ผู้กระทาผิดได้ถึงไหนเพียงไร และถ้ากระทาความผิดในต่างประเทศจะถือเป็นความผิดในประเทศไทยด้วยหรือไม ส่วนประเด็นที่สาคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก็คือประเด็นเรื่องอายุของผู้กระทาความผิด เพราะผู้กระทาความผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ส่วนมาก โดยเฉพาะ Hacker และ Cracker นั้น มักจะเป็นเด็กและ เยาวชน และอาจกระทาความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความคึกคะนองหรือความซุกซนก็เป็นได้ ————————————————– ตอน 2 : ลักษณะของการกระทาความผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 (ฉบับรวมหลักการของกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน) ซึ่งมีผลใช้บังคับไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 ที่ผ่านมาพูดถึงบ้านเมืองเรานี่ก็แปลกนะครับ กฎหมายบังคับใช้ก็ไม่ไปประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่าน เยอะๆ แต่ไปประกาศในราชกิจานุเบกษา เชื่อไหมครับว่าเรื่องอะไรสาคัญๆ กฎหมายเอย กฎกระทรวงเอย กฎอะไรต่างๆ นาๆที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ใครสร้างถนน สร้างสะพาน ย้ายใคร แต่งตั้งผู้ใครและเรื่องอื่นๆอีกมากมายก่ายกองก็จะต้อง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และอะไรก็ตามเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว ก็จะถือว่าทุกคนได้ทราบแล้วโดย
  • 7. ปริยายครับ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เคยอ่านไม่ได้ ก็เหมือนเวลาเราโดนตารวจจับนั่นแหละครับ เราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นี่ แหละครับความสาคัญของหนังสือที่ว่านี้ลองหามาอ่านกันดูนะครับ ลักษณะของการกระทาผิดหรือการก่อให้เกิดภยันตรายหรือความเสียหายอันเนื่องมา จากการก่ออาชญากรรมทาง คอมพิวเตอร์นั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ จาแนกตามวัตถุหรือระบบที่ถูกกระทา คือ 1. การกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) 2. การกระทาต่อระบบข้อมูล (Information System) 3. การกระทาต่อระบบเครือข่ายซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสาร (Computer Network) “ระบบคอมพิวเตอร์” “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรออิกส์หรือชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมให้ทาหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น “ระบบคอมพิวเตอร์” จึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมูลผลข้อมูลดิจิทัล (Digital Data) อันประกอบด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ต่างๆ ในการเข้ารับหรือป้ อนข้อมูล (Input) นาออกหรือแสดงผลข้อมูล (Output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (Store and Record) ดังนั้น ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว หรือหลายเครื่องอันอาจมีลักษณะเป็นชุดเชื่อมต่อกัน ทั้งนี้ โดยอาจเชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการทางานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่กาหนดไว้และไม่มีการ แทรกแทรงโดยตรงจากมนุษย์ ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะหมายถึง ชุดคาสั่งที่ทาหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทางาน “ระบบข้อมูล” “ระบบข้อมูล” หมายถึง กระบวนการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ สาหรับสร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การให้ความหมายของคาว่า ระบบข้อมูล ตามความหมายข้างต้น เป็นการให้ความหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหากเราพิจารณาความหมายตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งตราขึ้นเพื่อรองรับผลทางกฎหมาย ของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการรับรองข้อความที่อยู่บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษ จึงหมายความรวมถึง ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร เป็นต้น
  • 8. จะเห็นได้ว่าการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหาย คงจะไม่ใช่เพียงแต่กับ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในความหมายดังกล่าวเท่านั้น เพราะการกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจเป็นการกระทาต่อ ข้อมูล ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ทานองเดียวกับข้อความแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เป็นรหัสผ่าน หรือ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น กระนั้นก็ตาม แม้ข้อมูลจะมีลักษณะหลากหลาย แล้วแต่การสร้างและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แต่ข้อมูลที่กล่าวถึง ทั้งหมดนี้ต้องมีลักษณะที่สาคัญร่วมกันประการหนึ่งคือ ต้องเป็น “ข้อมูลดิจิทัล (Digital Data)” เท่านั้น ข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสาคญอย่างมากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอันสาคัญยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวนใน คดีอาญา คือ ข้อมูลจราจร (Traffic Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่บันทึกวงจรการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทาให้ ทราบถึงจานวนปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา สาหรับข้อมูลต้นทางนั้น ได้แก่ หมายเลข โทรศัพท์ เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol Address) หรือ IP Address นั่นเอง ส่วนข้อมูลปลายทางนั้น ได้แก่ เลขที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Email Address) หรือที่อยู่เวบไซต์ (URL) ที่ผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตแวะเข้าไปดูข้อมูล นอกจากข้อมูลต้นทางและปลายทางแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเวลาที่มีการ ติดต่อสื่อสารหรือการใช้บริการ เช่น การติดต่อในรูปของไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ หรือการโอนแฟ้ มข้อมูล เป็นต้น “ระบบเครือข่าย” ระบบเครือข่าย หมายความถึง การเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็น ทอดๆ ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่ายแบบปิด คือ ให้บริการเชื่อมต่อเฉพาะสมาชิกเท่านั้น หรือระบบเครือข่ายแบบเปิด อัน หมายถึง การเปิดกว้างให้ผู้ใดก็ได้ใช้บริการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือการติดต่อสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น คงพอจะทราบกันแล้ว ว่าลักษณะของการกระทาความผิดของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไรบ้าง และอาจกระทาต่อ อะไรได้บ้าง รวมทั้งความหมายของคาต่างๆที่ใช้ในกฎหมายดังกล่าว อาจจะดูวิชาการไปบ้าง แต่ก็เพื่อจะปูพื้นฐานให้มี ความเข้าใจเมื่อกล่าวถึงในบทต่อๆไป ————————————————– ตอน 3 : การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้นโดยมากแล้วมักจะเป็นการคุกคามหรือลักลอบเข้าไปในระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยไม่มีอานาจให้กระทาการดังกล่าวการกระทาดังกล่าวนั้นเป็นการกระทาอันเทียบเคียงได้กับการบุกรุกในทาง กายภาพ หรือเปรียบเทียบได้กับการบุกรุกกันจริงๆนั่นเอง และในปัจจุบันมักมีพัฒนาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใน รูปแบบต่างๆ โดยกาหนดคาสั่งให้กระทาการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ด้วย เช่น
  • 9. - Virus Computer ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทาลายระบบและมักมีการแพร่กระจายตัวได้ง่ายและรวด เร็ว ชาวไอทีทุกท่านคงจะ ทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะ Virus Computer นั้นติดเชื้อและแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก และทวีความ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจทาให้เครื่อง Computer ใช้งานไม่ได้ หรืออาจทาให้ข้อมูลใน Hard Disk เสียหายไปเลย - Trojan Horse เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานโดยแฝงอยู่กับโปรแกรมทางานทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อจุดประสงค์ใด จุดประสงค์หนึ่ง เช่น การลักลอบขโมยข้อมูล เป็นต้น โดยมากจะเข้าใจกันว่าเป็น Virus Computer ชนิดหนึ่ง Trojan Horse เป็นอีกเครื่องมือยอดนิยมชนิดหนึ่งที่บรรดา Hacker ใช้กันมาก - Bomb เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดขึ้นเหมือนกับการระเบิด ของระเบิดเวลา เช่น Time Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีการตั้งเวลาให้ทางานตามที่กาหนดเวลาไว้ หรือ Logic Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กาหนด เงื่อนไขให้ทางานเมื่อมีเหตุการณ์หรือเงื่อนไขใดๆเกิดขึ้น เป็นต้น กล่าวโดยรวมแล้ว Bomb ก็คือ รูปแบบการก่อให้เกิด ความเสียหายเมื่อครบเงื่อนไขที่ผู้เขียนตั้งไว้นั่นเอง - Rabbit เป็นโปรแกรมที่กาหนดขึ้นเพื่อให้สร้างตัวมันเองซ้าๆ เพื่อให้ระบบไม่สามารถ ทางานได้ เช่น ทาให้พื้นที่ใน หน่วยความจาเต็มเพื่อให้ Computer ไม่สามารถทางานต่อไปเป็นต้น เป็นวิธีการที่ผู้ใช้มักจะใช้เพื่อทาให้ระบบของ เป้ าหมายล่ม หรือไม่สามารถทางานหรือให้บริการได้ - Sniffer เป็นโปรแกรมเล็กๆที่สร้างขึ้นเพื่อลักลอบดักข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งถูก สั่งให้บันทึกการ Log On ซึ่ง จะทาให้ทราบรหัสผ่าน (Passward) ของบุคคลซึ่งส่งหรือโอนข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย โดยจะนาไปเก็บไว้ในแฟ้ มลับที่ สร้างขึ้น กรณีน่าจะเทียบได้กับการดักฟัง ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัด แจ้ง - Spoofing เป็นเทคนิคการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระยะทางไกล โดยการปลอม แปลงที่อยู่อินเทอร์เนต (Internet Address) ของเครื่องที่เข้าได้ง่ายหรือเครื่องที่เป็นพันธมิตร เพื่อค้นหาจุดที่ใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยภายใน และ ลักลอบเข้าไปในคอมพิวเตอร์ - The Hole in the Web เป็นข้อบกพร่องใน world wide web เนื่องจากโปรแกรมที่ใช้ ในการปฏิบัติการของ Website จะมีหลุมหรือช่องว่างที่ผู้บุกรุกสามารถทาทุกอย่างที่เจ้าของ Websit สามารถทาได้ นอกจากนี้อาจแบ่ง ประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตามกระบวนการได้ดังนี้ การก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในขั้นของกระบวนการ นาเข้า (Input Process) นั้น อาจทาได้โดยการ - การสับเปลี่ยน Disk ในที่นี้หมายความรวม Disk ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Hard Disk,Floppy Disk รวมทั้ง Disk ชนิด อื่นๆด้วย ในที่นี้น่าจะหมายถึงการกระทาในทางกายภาพ โดยการ Removable นั่นเอง ซึ่งเป็นความผิดชัดเจนในตัวของ มันเองอยู่แล้ว
  • 10. - การทาลายข้อมูล ไม่ว่าจะใน Hard Disk หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นที่ใช้ร่วมกับ คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ กรณีการ ทาลายข้อมูลนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น - การป้ อนข้อมูลเท็จ ในกรณีที่เป็นผู้มีอานาจหน้าที่อันอาจเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นๆได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีอานาจ เข้าถึงก็ตาม แต่ได้กระทาการอันมิชอบในขณะที่ตนเองอาจเข้าถึงได้ - การลักข้อมูลข่าวสาร (Data) : (Computer Espionage) ไม่ว่าโดยการกระทาด้วยวิธี การอย่างใดๆให้ได้ไปซึ่งข้อมูล อันตนเองไม่มีอานาจหรือเข้าถึงโดยไม่ชอบ กรณีการลักข้อมูลข่าวสารนั้นจะพบได้มากในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารถือเป็น ทรัพย์อันมีค่ายิ่ง - การลักใช้บริการหรือเข้าไปใช้โดยไม่มีอานาจ (Unauthorized Access) อาจกระทา โดยการเจาะระบบเข้าไป หรือใช้ วิธีการอย่างใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสผ่าน (Password) เพื่อให้ตนเองเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบันพบได้มากตามเวบบอร์ดทั่วไป ซึ่งมักจะมี Hacker ซึ่งได้ Hack เข้าไปใน Server ของ ISP แล้วเอา Account มา แจกฟรี ตรงนี้ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ผู้ที่รับเอา Account นั้นไปใช้น่าจะมีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานรับของ โจรด้วย ส่วนกระบวนการ Data Processing นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย - การทาลายข้อมูลและระบบโดยใช้ไวรัส (Computer Subotage) ซึ่งได้อธิบายการ ทางานของ Virus ดังกล่าวไว้แล้ว ข้างต้น - การทาลายข้อมูลและโปรแกรม (Damage to Data and Program) อันนี้ก็ตรงตัวนะ ครับ การทาลายข้อมูลโดยไม่ ชอบย่อมจะต้องเป็นความผิดอยู่แล้ว - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลและโปรแกรม (Alteration of Data and Program) เช่นกัน ครับ การกระทาใดๆที่ก่อให้เกิด ความเสียหายโดยไม่มีอานาจก็จะถือเป็นความผิด ส่วนกระบวนการนาออก (Output Process) นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย - การขโมยขยะ (Sewaging) อันนี้หมายถึงขยะจริงๆเลยครับ คือ ข้อมูลที่เราไม่ใช้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทาลายนั่นเอง การ ขโมยขยะถือเป็นความผิดครับ ถ้าขยะที่ถูกขโมยไปนั้นอาจทาให้เจ้าของต้องเสียหายอย่างใดๆ อีกทั้งเจ้าของอาจจะยังมิได้ มีเจตนาสละการครอบครองก็ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ - การขโมย Printout ก็คือ การขโมยงานหรือข้อมูลที่ Print ออกมาแล้วนั่นเอง กรณีนี้ อาจผิดฐานลักทรัพย์ด้วย เพราะ เป็นการขโมยเอกสารอันมีค่า ผิดเหมือนกันครับ
  • 11. แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนวโน้มการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทั้งนี้หน่วยงาน National Computer Security Center ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานเมื่อปี คศ. 2000 ว่า หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนถูกรุกรานจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 64 และมี สัดส่วนการ เพิ่มขึ้นในแต่ละปีถึงร้อยละ 16 ซึ่งหมายความว่า มูลค่าความเสียหายจากการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็จะต้องเพิ่ม สูงขึ้นทุกปีเช่นกัน ————————————————– ตอน 4 : การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ การพัฒนากฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในเบื้องต้นนั้น พัฒนาขึ้นโดยคานึงถึงลักษณะการกระทาความผิดต่อระบบ คอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ซึ่งอาจสรุปความผิดสาคัญได้ 3 ฐานความผิด คือ - การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ (Unauthorised Access) - การใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ (Computer Misuse) - ความผิดเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ (Computer Related Crime) ทั้งนี้ความผิดแต่ละฐานที่กาหนดขึ้นดังที่สรุปไว้ข้างต้น มีวัตถุประสงค์ในการให้ความ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ความผิดฐานเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ การกระทาความผิด ด้วยการเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ ถือเป็นการกระทาที่คุกคาม หรือเป็นภัยต่อความปลอดภัย (Security) ของระบบคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูล เมื่อระบบไม่มีความปลอดภัยก็จะส่งผล กระทบต่อความครบถ้วน (Integrity) การรักษาความลับ (Confidential) และเสถียรภาพในการใช้งาน (Availability) ของระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (1) การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ การฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้อาจเกิดได้หลายวิธี เช่น การเจาะระบบ (Hacking or Cracking) หรือการบุกรุก ทางคอมพิวเตอร์ (Computer Trespass) เพื่อทาลายระบบคอมพิวเตอร์หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูล หรือเพื่อเข้าถึง ข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับ เช่น รหัสลับ (Passwords) หรือความลับทางการค้า (Secret Trade) เป็นต้น ทั้งนี้ยังอาจเป็นที่มาของการกระทาผิดฐานอื่นๆต่อไป เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อฉ้อโกงหรือปลอมแปลงเอกสาร ซึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเป็นมูลค่ามหาศาลได้
  • 12. คาว่า “การเข้าถึง (Access)” ในที่นี้หมายความถึง การเข้าถึงทั้งในระดับกายภาพ เช่น ผู้กระทาความผิดกระทาโดยวิธีใด วิธีหนึ่งโดยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นเอง และหมายความรวมถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งแม้บุคคลที่เข้าถึงจะอยู่ ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเจาะเข้าไปในระบบที่ตนต้องการได้ “การเข้าถึง” ในที่นี้จะหมายถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้น จึงอาจหมายถึง การ เข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในระบบเพื่อใช้ในการส่งหรือโอนถึง อีกบุคคลหนึ่ง เช่น ข้อมูลจราจร เป็นต้น นอกจากนี้“การเข้าถึง” ยังหมายถึงการเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เนต อันเป็นการเชื่อมโยง ระหว่างเครือข่ายหลายๆเครือข่ายเข้าด้วยกัน และยังหมายถึง การเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่ายเดียวกันด้วยก็ได้ เช่น ระบบ LAN (Local Area Network) อันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกันเข้าด้วยกัน สาหรับมาตราดังกล่าวนี้กาหนดให้การเข้าถึงโดยมิชอบเป็นความผิด แม้ว่าผู้กระทาจะมิได้มีมูลเหตุจูงใจเพื่อก่อให้เกิด ความเสียหายก็ตาม ทั้งนี้เพราะเห็นว่าการกระทาดังกล่าวนั้นสามารถก่อให้เกิดการกระทาผิดฐานอื่นหรือฐานที่ใกล้เคียง ค่อนข้างง่ายและอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง อีกทั้งการพิสูจน์มูลเหตุจูงใจกระทาได้ค่อนข้างยาก (2) การลักลอบดักข้อมูล มาตรานี้บัญญัติฐานความผิดเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลโดยฝ่าฝืนกฎหมาย (Illegal Interception) เนื่องจากมี วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร (The Right of Privacy of Data Communication) ในทานองเดียวกับการติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมที่ห้ามดักฟังโทรศัพท์หรือแอบบันทึกเทปลับ เป็นต้น “การลักลอบดักข้อมูล” หมายถึง การลักลอบดักข้อมูลโดยวิธีการทางเทคนิค (Technical Means) เพื่อลักลอบดักฟัง ตรวจสอบหรือติดตามเนื้อหาสาระของข่าวสารที่สื่อสารถึงกันระหว่างบุคคล หรือกรณีเป็นการกระทาอันเป็นการล่อลวง หรือจัดหาข้อมูลดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น รวมทั้งการแอบบันทึกข้อมูลที่สื่อสารถึงกันด้วย ทั้งนี้วิธีการทางเทคนิคยังหมายถึง อุปกรณ์ที่มีสายเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย และหมายรวมถึงอุปกรณ์ประเภทไร้สาย เช่น การติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การกระทาที่เป็นความผิดฐานลักลอบดักข้อมูลนั้น ข้อมูลที่ส่ง ต้องมิใช่ข้อมูลที่ส่งและเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้ (Non-Public Transmissions) การกระทาความผิดฐานนี้จึงจากัด เฉพาะแต่เพียงวิธีการส่งที่ผู้ส่งข้อมูลประสงค์จะส่งข้อมูลนั้นให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ดังนั้น มาตรานี้จึงมิได้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของข้อมูลที่ส่งด้วยแต่อย่างใด
  • 13. (3) ความผิดฐานรบกวนระบบ ความผิดดังกล่าวนี้คือ การรบกวนทั้งระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (Data and System Interference) โดยมุ่ง ลงโทษผู้กระทาความผิดที่จงใจก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งคุ้มครอง ความครบถ้วน ของข้อมูล และเสถียรภาพในการใช้งานหรือการใช้ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บันทึกไว้บนสื่อคอมพิวเตอร์ได้เป็น ปกติ ต้องของการกระทาความผิดฐานดังกล่าวนี้ได้แก่ การป้ อนข้อมูลที่มีไวรัสทาลายข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือการป้ อนโปรแกรม Trojan Horse เข้าไปในระบบเพื่อขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ สาหรับเพื่อใช้ลบ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลหรือกระทาการใดๆอันเป็นการรบกวนข้อมูลและระบบ หรือการป้ อนโปรแกรมที่ทาให้ระบบ ปฏิเสธการทางาน (Daniel of Service) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หรือการทาให้ระบบทางานช้าลง เป็นต้น (4) การใช้อุปกรณืในทางมิชอบ มาตรานี้จะแตกต่างจากมาตราก่อนๆ เนื่องจากเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการผลิต แจก จ่าย จาหน่าย หรือครอบครอง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการกระทาความผิด เช่น อุปกรณ์สาหรับเจาะระบบ (Hacker Tools) รวมถึงรหัสผ่าน คอมพิวเตอร์ รหัสการเข้าถึง หรือข้อมูลอื่นในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้ อง ระบบหรือทดสอบระบบ แต่การจะนาอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ได้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องมีอานาจหรือได้รับอนุญาตให้ กระทาได้เท่านั้น สาหรับการแจกจ่ายนั้น ให้รวมถึงการส่งข้อมูลที่ได้รับเพื่อให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง (Forward) หรือการ เชื่อมโยงฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน (Hyperlinks) ด้วย สาหรับเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย เราก็คงจะว่ากันอย่างคร่าวๆเพียงเท่านี้เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสาหรับ เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจด้วย เพราะว่ากฎหมายไอทีนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ต้องแบ่งๆกันไปครับ