บทที่ 13
- 1. รายชื่อสมาชิก
1. ธนพร การดี ม.6/6 เลขที่ 2
2. ชมณัชดา เอี่ยมลาน้า ม.6/6 เลขที่26
3. อภิษฎา ทวีปวรเดช ม.6/6 เลขที่39
บทที่13
เทคโนโลยีสารสนเทศ
- 2. คาว่า “จริยธรรม” แยกออกเป็น จริย+ธรรม ซึ่งคาว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ
ส่วนคาว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี หลักคาสอนของศาสนา หลักปฏิบัติ เมื่อนาคาทั้งสองมา
รวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า “หลักแห่งความประพฤติ” หรือ “แนวทางของการประพฤติ”
นักวิชาการส่วนใหญ่เหล่านี้ลงความเห็นว่า จริยธรรม คือหลักการที่มนุษย์ในสังคมยึดถือปฏิบัติ เพ่อการอยู่
ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคมนั่นเอง และเมื่อนาไปใช้กับการประกอบวิชาชีพ หรือเรียกง่ายๆว่า การทางาน ซึ่งเป็น
กิจกรรมที่มีความสาคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็ย่อมหมายความว่า มนุษย์ย่อมจะต้องมีจริยธรรมในการทางาน
หรือการประกอบวิชาชีพ เพราะในการทางาน มนุษย์ย่อมต้องมีสังคมซึ่งประกอบด้วยคนหลายคน เนื่องจากในวงการ
ของการทางานนั้น การทางานคนเดียว ย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงสมควรมีการวางกรอบให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติ
เพื่อการทางานร่วมกันอย่างสงบสุข
ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไปหมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลาพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของ
สามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล
และองค์การต่างๆ
ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อหน้าสังเกตดังนี้
1.การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในกเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-
แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการ
ตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นการติดตามการทางานเพื่อการพัฒนา
คุณภาพการใช้บริการ แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งการ
กระทาเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม
3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนาไปสร้างฐานข้อมูล
ประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่ แล้วนาไปขายให้กับบริษัทอื่น
- 3. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกาหนดสิทธิตามระดับของ
ผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าไปดาเนินการต่างๆ กับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็น
การรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการ
ลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการ
เข้าถึงของผู้ใช้และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรม
เช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว
ความถูกต้องแม่นยา
ความหมาย : การให้ความสาคัญกับรายละเอียดของงานในทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
และตรวจสอบความถูกต้องแม่นยาของงานที่ปฏิบัติก่อนส่งมอบให้เป็นไปตามมาตรฐาน ที่กาหนด
ระดับที่ 1 - มองข้ามรายละเอียดของงานบางอย่าง- งานที่ปฏิบัติมีข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง - ส่งมอบ
งานช้ากว่าระยะเวลาที่กาหนดบ่อยครั้ง
ระดับที่ 2 - รู้และเข้าใจหลักการและมาตรฐานของงาน แต่ปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน- ตรวจสอบงานที่
นาส่งแต่มีข้อผิดพลาดในบางครั้ง- ขอคาปรึกษาแนะนาจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า
งาน
- ส่งมอบงานช้ากว่าระยะเวลาที่กาหนดเป็นบางครั้ง
ระดับที่ 3 - รู้และเข้าใจหลักการและมาตรฐานของงาน- สามารถปฏิบัติงานได้อย่างละเอียด
รอบคอบและถูกต้องแม่นยาด้วยตนเอง- ส่งมอบงานเป็นไปตามระยะเวลาที่กาหนดทุก
ครั้ง
ระดับที่ 4 - ประยุกต์ใช้หลักหรือวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการตรวจสอบได้- ให้คาปรึกษา
แนะนา และเป็นแบบอย่างแก่เพื่อนร่วมงานได้- ส่งมอบงานเร็วกว่าระยะเวลาที่กาหนด
ระดับที่ 5 - วางแผนและกาหนดมาตรฐาน ตลอดจนประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า
- สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่เพื่อนร่วมงานและหน่วยงานภายนอก
- 4. ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกันให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบ
และข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้นก็คง
จะไม่เกิดขึ้น
จริยธรรมกับสังคมยุคสารสนเทศ
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
หมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลาพังและเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถจะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผย
ให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งส่วนบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่าง
2. ความถูกต้องแม่นยา (Information Accuracy)
หมายถึง สารสนเทศที่นาเสนอ ควรเป็นข้อมูลที่มีการกลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องและสามารถ
เอาไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ส่งผลกระทบกับผู้ใช้งาน
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
หมายถึง สังคมยุคสารสนเทศมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างง่ายดาย มีเครื่องมือและอุปกรณ์สนับสนุนมากขึ้น
ก่อให้เกิดการลอกเลียนแบบทาซ้าหรือละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเจ้าของผลงานได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและ
โดยอ้อม
4. การเข้าถึงข้อมูล (Information Accessibility)
ผู้ที่ทาหน้าที่ดูแลระบบ จะเป็นผู้ที่กาหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน
ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
-สังคมยุคสารสนเทศมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างง่ายดาย มีเครื่องมือและอุปกรณ์สนับสนุนมากขึ้น
-ก่อให้เกิดการลอกเลียนแบบ ทาซ้าหรือละเมิดลิขสิทธิ์ (copyright) โดยเจ้าของผลงานได้รับผลกระทบทั้ง
โดยตรงและโดยอ้อม
-ตัวอย่าง เช่น การทาซ้าหรือผลิตซีดีเพลง หรือโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์
- 5. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือภัยคุกคามทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่สร้างความเสียหายทั้งต่อผู้ใช้งาน
ส่วนบุคคลและเครือข่ายในวงกว้าง ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่จุดประสงค์ของการโจมตี เช่น ฟิชชิ่ง
เป็นการหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวโดยการสร้างหน้าเว็บปลอมให้ผู้ใช้งานลงชื่อเข้าใช้ระบบ มัลแวร์ คือโค้ด
อันตรายที่มุ่งทาลายข้อมูลหรือสร้างความเสียหายแก่เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งรู้จักกันทั่วไป ได้แก่ ไวรัส เวิร์ม
ม้าโทรจัน และยังมีองค์ความรู้เกี่ยวกับภัยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชน
ผู้ใช้งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ จีงควรจะต้องระวัง
การให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตที่มีการใช้โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้
บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่อีเมล
การลักลอบเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
การลักลอบนาเอาข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการสร้างความเสียหายต่อบุคคลและ
สังคมสารสนเทศโดย “ผู้ไม่ประสงค์ดี” ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกนี้ ทาให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า อาชญากรรม
คอมพิวเตอร์ (Computer Crime) ขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
จากการขาด “จริยธรรมที่ดี” ซึ่งนอกจากเป็นการกระทาที่ขาดจริยธรรมที่ดีแล้ว ยังถือว่าเป็นการกระทาที่ผิด
กฎหมายอีกด้วย หลายประเทศมีการออกกฎหมายรองรับเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นแล้ว
แต่อาจแตกต่างกันไปในประเด็นของเนื้อหาที่กระทาผิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและระดับ
ความร้ายแรงของการก่ออาชญากรรมที่กระทาขึ้นด้วย สาหรับประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสาคัญเกี่ยวกับ
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับนานาประเทศ และได้ออกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรรมทาง
คอมพิวเตอร์ ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2546 ใช้เป็นกฎหมายที่กาหนดฐานความผิด
เกี่ยวกับการกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูล คอมพิวเตอร์
- 6. การขโมยและทาลายอุปกรณ์
- เกิดจากการไม่รอบคอบและวางอุปกรณ์ไว้ในบริเวณเสี่ยงต่อการโจรกรรมได้ง่าย อาจเกิดจาก
บุคคลภายนอกหรือภายในองค์กร ควรมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันและรักษาความปลอดภัย และตรวจการเข้า
ออกของบุคคลที่มราติดต่ออย่างเป็นระบบ รวมถึงวางมาตรการในการใชอุปกรณือย่างเข้มงวด
การขโมยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
- อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการขโมยเอาข้อมูลโปรแกมรวมถึงการคัดลอกโปรแกมโดยผิดกฎหมาย
สามารถทาซ้าได้ง่าย ก่อให้เกิดความเสียหายกับบริษัทผู้ผลิต มีการลักลอบทาซาข้อมูลโปรแกรมและนา
ออกวางจาหน่ายแทนที่โปรแกมต้นฉบับจริง กลุ่มผู้ผลิตมีการออกกฎควบคุมการใช้และรวมกลุ่มกันเรียกว่า
BSA (Business Software Alliance)
กลุ่ม BSA (Business Software Alliance)
- หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์
- เครือข่ายครอบคุมอยู่มากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก
- จัดตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและดูแลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์
- รวมถึงการทาความเข้าใจกับผู้บริโภคให้ตระหนักถึงการใข้งานโปรแกรมที่ถูกต้อง
การก่อกวนระบบด้วยโปรแกรมประสงค์ร้าย
- เป็นการใช้โปรแกรมที่มุ่งเน้นเพื่อการก่อกวนและทาลายระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ พบมากใจ
ปัจจุบันและสร้างความเสียหายต่อข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก
กลุ่มโปรแกรมประสงร้ายต่าง ๆ มีดังนี้
- ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)
เขียนโดยนักพัฒนาโปรแกรมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การทางานจะอาศัยคาสั่งเขียนขึ้นภายในตัว
โปรแกรมเพื่อกระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมาย แพร่กระจายโดยอาศัยคนกระทาการอย่างใดอย่าง
หนึ่งกับพาหะที่โปรแกรมไวรัสนั้นแฝงตัวอยู่ เช่น รันโปรแกรม อ่านอีเมล์ เปิดดูเว็บเพจ หรือเปิดไฟล์ที่แนบ
มา
- 7. -เวิร์มหรือหนอนอินเทอร์เน็ต (Worm)
เป็นโปรแกรมที่มีความรุนแรงกว่าไวรัสคอมพิวเตอร์แบบเดิมมาก จะทาลายระบบทรัพยากรคอมพิวเตอร์มห้
มีประสิทธิภาพลดลงและไม่อาจทางานต่อไปได้การทางานจะมีการตรวจสอบเพื่อโจมตีหาเครื่องเป้าหมาย
ก่อนจากนั้นจะวิ่งเจาะเข้าไปเอง ลักษณะที่เด่นของเวิร์มคือ สามารถสาเนาซ้าตัวมันเองได้อย่างมหาศาล
ภายในเพียงไม่กี่นาที
- ม้าโทรจัน (Trojan horses)
ทางานโดยอาศัยการฝังตัวอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นและจะไม่มีการเผยแพร่กระจายตัวแต่อย่างใด
โปรแกรมจะถูกตั้งเวลาการทางานหรือควบคุมการทางานระยะไกลจากผู้ไม่ประสงค์ดี เพื่อให้เข้ามาทางาน
ยังเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมายได้เช่น แสร้งทาเป็นโปรมแกรมยูทิลิตี้ให้ใช้งานแต่แท้จริงคือโปรแกรม
อันตรายเมื่อถึงเวลาก็จะทางานบางอย่างทันที
การก่อกวนระบบด้วยสปายแวร์ (Spyware)
- สปายแวร์เป็นโปรแกรมประเภทสะกดรอยข้อมมูล ไม่ได้มีความร้ายแรงต่อคอมพิวเตอร์ เพียงแต่อาจทาให้
เกิดความน่าราคาญ โดยปกติมักแฝงตัวอยู่กับเว็บไซต์บางประเภทรวมถึงโปรแกรมที่แจกให้ใช้งานฟรี
ทั้งหลาย บางโปรแกรมสามารถควบคุมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทรกโฆษณาหรือเปลี่ยนหน้าแรกของ
บราวเซอร์ได้
การก่อกวนระบบด้วยสแปมเมล์ (spam mail)
สแปมเมล์ คือ รูปแบบของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้รับไม่ต้องการอ่าน วิธีการก่อกวนจะ
อาศัยการส่งอีเมล์แบบหว่านแห และส่งต่อให้กับผู้รับจานวนมาก อาจถูกก่อกวนโดยแฮกเกอร์หรือเกิดจาก
การถูกสะกดรอยด้วยโปรแกรมประเภทสปายแวร์ โดยมากมักดป็นเมล์ประเภทเชิญชวนให้ซื้อสินค้าหรือ
เลือกใช้บริการของเว็บไซต์นั้นๆ
การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security)
- 8. 1. การรักษาความปลอดภัยของขยะข้อมูล (Secured Waste)
2. การควบคุมในระบบคอมพิวเตอร์ (Internal Controls)
3. การตรวจสอบ (Auditor Checks)
4. การตรวจสอบประวัติผู้สมัครงาน (Applicant Screening)
5. การใช้รหัสผ่าน (Passwords)
6. ตัวป้องกันในซอฟต์แวร์ (Built-in Software Protection)
การหลอกลวงเหยื่อเพื่อล้วงเอาข้อมูลส่วนตัว (Phishing)
คือการขโมยข้อมูลสาคัญส่วนบุคคลทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงิน เพื่อแสวงหา
ผลประโยชน์ด้านการเงิน ซึ่งอาจส่งมาในรูปแบบของการปลอมแปลงอีเมล์ ซึ่ง Phisher จะส่งอีเมล์หรือ
ข้อความอ้างว่าส่งมาจากสถาบัน
การเงิน หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่ท่านติดต่อด้วย หรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ โดยอีเมล์ดังกล่าวมักจะระบุ
การแจ้งเหตุขัดข้องต่างๆ ของระบบงานภายในองค์กร
การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
เปรียบเสมือนยามรักษาความปลอดภัยที่มาเฝ้าดูแลบ้าน ทาหน้าที่คอยตรวจสอบและติดตามการบุกรุก
ของโปรแกรมประสงค์ร้ายเมื่อพบจะสามารถกาจัดและแจ้งให้ผู้ใช้ทราบได้ทันที จาเป็นต้องทาให้ตัว
โปรแกรมอัพเดทตัวข้อมูลใหม่อยู่เสมอเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้น
การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) หมายถึง วิธีการที่ทาเปลี่ยนแปลงข้อมูลเพื่อไม่ให้สามารถแปลความได้จาก
บุคคลที่เราไม่ต้องการให้เขาเข้าใจข้อมูล ส่วนการถอดรหัสข้อมูล นั้นจะมีวิธีการที่ตรงกันข้ามกับการ
เข้ารหัสข้อมูล กล่าวคือการถอดรหัส (Decryption) หมายถึง วิธีการที่ทาการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ได้จากการ
เข้ารหัสข้อมูล เป็นข้อมูลก่อนที่จะถูกทาการเข้ารหัส การที่จะทาให้ข้อมูลเป็นความลับ จุดหลักคือ ต้อง
ไม่ให้ข้อมูลความลับนี้ถูกอ่านโดยบุคคลอื่น แต่ให้ถูกอ่านได้โดยบุคคลที่เราต้องการให้อ่านได้เท่านั้น โดย
การนาเอาข้อความเดิมที่สามารถอ่านได้ (Plain text,Clear Text) มาทาการเข้ารหัสก่อน เพื่อเปลี่ยนแปลง
- 9. ข้อความเดิมให้ไปเป็นข้อความที่เราเข้ารหัส (Ciphertext) ก่อนที่จะส่งต่อไปให้บุคคลที่เราต้องการที่จะ
ติดต่อด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นสามารถที่จะแอบอ่านข้อความที่ส่งมาโดยที่ข้อความที่เราเข้ารหัสแล้ว
การใช้ระบบไฟร์วอลล์
หลักการทางานของไฟร์วอลล์
ไฟร์วอลล์ จะคอยตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ระหว่างเครือข่าย หรือ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งคอย
ป้องกันการโจมตี สแปม และผู้บุกรุก ต่างๆ ที่ไม่หวังดีต่อระบบ
ไฟร์วอลล์ จะเปรียบเสมือนยามเฝ้าประตู ที่คอยตรวจสอบผู้เข้าออกต่างๆ ในสถานที่นั้นๆ
ความต้องการของเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล
การระบุตัวบุคคลได้(Authenticity)
คือการที่เราสามารถที่จะระบุตัวตนของผู้ที่การเข้าถึงข้อมูลภายในระบบได้
การรักษาความลับ (Confidentiality)
คือความสามารถในการที่จะรักษาความลับที่ไม่ให้ผู้อื่นที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภายในระบบได้
การรักษาความลับ (Integrity)
คือความสามารถในการรักษาความถูกต้องและสมบูรณ์ของข้อมูล
การป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบ (Non-repudiation)
คือความสามารถในการป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบของการเข้าถึงข้อมูลภายในระบบ
- 10. การสารองข้อมูล (Backup)
การสารองข้อมูล (backup) คือ กระบวนการการเก็บสารองข้อมูลไว้เพื่อให้พร้อมใช้ในกรณีที่จาเป็นต้องมี
การกู้ข้อมูลกลับมาจากเหตุการณ์ข้อมูลสูญหาย ดังนั้นการสารองข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่จาเป็นอย่างยิ่งในองค์กร
รูปแบบของการสารองข้อมูล
การสารองข้อมูลในปัจจุบันนั้นสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้
1. Full Backup คือกระบวนการในการสารองข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเคยมีการทาการสารองมาก่อน
หรือไม่
2. Incremental Backup คือการสารองข้อมูลเฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน โดยการทา
การสารองข้อมูลแบบนี้จะต้องทาการสารองข้อมูลแบบ Full Backup ก่อน
3.
4. Differential Backup คือการสารองข้อมูลเฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังการการทา Full
Backup เพื่อเป็นการอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจน ขอยกตัวอย่างเป็นภาพประกอบ ดังรูปที่ 1 ดังนี้
ณ วันที่ 1 เครื่องคอมพิวเตอร์มีข้อมูลคือ Data1 , Data2 , Data3 , Data4
ณ วันที่ 2 เครื่องคอมพิวเตอร์มีข้อมูลคือ Data1 , Data2 , Data3 , Data4 และมีข้อมูลเพิ่มคือ Data5
ณ วันที่ 3 เครื่องคอมพิวเตอร์มีข้อมูลคือ Data1 , Data2 , Data3 , Data4 , Data5 และมีข้อมูลเพิ่มคือ
Data6
ณ วันที่ 4 เครื่องคอมพิวเตอร์มีข้อมูลคือ Data1 , Data2 , Data3 , Data4 , Data5 , Data6 และมีข้อมูล
เพิ่มคือ Data7
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.
๒๕๕๐”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกาหนดสามสิบวันนับแต่ วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
- 11. “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมการทางานเข้าด้วยกัน
โดยได้มีการกาหนดคาสั่ง ชุดคาสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทา
หน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คาสั่ง ชุดคาสั่ง หรือสิ่งอื่นใด บรรดาที่อยู่ในระบบ
คอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้และให้หมายความรวมถึงข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่ง
แสดงถึงแหล่งกาเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่นๆ ที่
เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่าน
ทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์
ของบุคคลอื่น
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอานาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
- 12. มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน การเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการ
นั้นมิได้มีไว้สาหรับตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้ง
ปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทาขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านา
มาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจาคุกไม่
เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการ
นั้นมิได้มีไว้สาหรับตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน สี่หมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทาด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวาง
โทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทาให้เสียหาย ทาลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่ง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ
ทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทาด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทางานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ
ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทางานตามปกติได้ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่
เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลง
แหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
(๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลังและไม่ว่า
จะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
- 13. (๒) เป็นการกระทาโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่
เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ
ของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทาต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มี
ไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสาม
แสนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๑๓ ผู้ใดจาหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคาสั่งที่จัดทาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนาไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทา
ความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษ
จาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทาความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง
แสนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
(๑) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อ
ความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่ง
ราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น
ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ
(๔)
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทาความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบ
คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทาความผิดตามมาตรา ๑๔
- 14. มาตรา ๑๖ ผู้ใดนาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏ
เป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทาง
อิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทาให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
ถ้าการกระทาตามวรรคหนึ่ง เป็นการนาเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทาไม่มีความผิด
ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้อง
ทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ
(๑) ผู้กระทาความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้
ลงโทษ หรือ
(๒) ผู้กระทาความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้อง
ขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร