Ad410 internet services1. สมาชิค 1. อัญชลี จิตรอักษร ID 1510300997 (1) 2. ปิยะมาศ สหพรอุดมการณ์ ID 1510313743 (10) 3. รฏยา ชูสวัสดิชัย ID 1510320755 (19) AD 410 Section 3911 3. การสืบค้นก่อนหน้า Google สำหรับเสิร์ชเอ็นจิ้นตัวแรกบนอินเทอร์เน็ตคือ “อาร์คี่” (Archie) แอพพลิเคชั่นยุคก่อนหน้าเวิลด์ไวด์เว็บที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1990 โดยนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม็กกิลล์ ชื่อ อลัน เอ็มเทจ อาร์คี่อาศัยมาตรฐานการรับส่งไฟล์บนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่าไฟล์ทรานสเฟอร์ โปรโตคอล เป็นพื้นฐาน อาร์คี่ไม่มีขีดความสามารถในการจำแนกคำ นั่นคือมันไม่ได้ทำดัชนีของคำทั้งหมดในเอกสาร แต่เป็นเพียงแค่นำเอาชื่อของเอกสารมาทำดัชนี นั่นหมายถึงว่าผู้ที่สืบค้นจำเป็นต้องรู้ชื่อหรือสามารถอนุมารได้ว่าชื่อของเอกสารที่ต้องการค้นหานั้นชื่ออะไร แต่จากปี 1993 -1996 เว็บเติบโตจาก 130 เว็ปไซต์ ไปมากกว่า 600,000 เว็ปไซต์ โดย แมทธิว เกรย์ นักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเสตต์ จับตามองการเติบโตที่ว่านี้ และกลายเป็นผู้บุกเบิกเสิร์ชเอ็นจิ้นบนเว็บรายแรกสุด โดยใช้ชื่อว่า WWW Wanderer สำหรับแวนเดอเรอร์ มันไม่ใช่เสิร์ชเอ็นจิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มันเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นทิ่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นตัวแรก แต่ไม่นานแวนเดอเรอร์ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเอ็นจิ้นที่ทรงพลังมากกว่าหนึ่งในจำนวนเอ็น จิ้นทรงพลังตัวแรกๆ ก็คือ “เว็บครอว์เลอร์” ที่พัฒนาขึ้นมาโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เว็บครอว์เลอร์มีความสำคัญในวิวัฒนาการของการสืบค้น เพราะมันเป็นเอ็นจิ้นตัวแรกที่ทำดัชนีของเนื้อหาเอกสารบนเว็บที่มันหาพบได้ครบถ้วน 4. กำเนิด Google ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1996 Google Project เริ่มต้นมาจากงานวิทยานิพนธ์ของ Larry Page และ Sergey Brinสองนักศึกษาปริญญาเอก แห่งมหาวิทยาลัย Standfordโดยทั้งสองตั้งสมมติฐานว่า การค้นหาข้อมูลใน Search Engine ที่มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวพันหรือใกล้เคียงกันจะมีประสิทธิผลมากกว่าการค้นหาข้อมูลแบบพื้นๆ ทั่วไปที่แสดงผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นประโยชน์เลย ในวันที่ 15 กันยายน ปี ค.ศ. 1997 โดเมนเนมชื่อ www.google.com ได้ขึ้นจดทะเบียนบนโลกไเบอร์เป็นครั้งแรก Larry Page 5. กำเนิด Google ในปีถัดมาพวกเขาได้ขึ้นทะเบียนเว็บไซต์ Google เป็นบริษัทจำกัดอย่างเป็นทางการ โดยมีออฟฟิศอยู่ในโรงจอดรถของเพื่อน จากวิทยานิพนธ์ เริ่มเป็นวิทยาพาณิชย์ ธุรกิจเริ่มไปได้ดี มีคนเข้ามาใช้เว็บไซต์มากขึ้น อีกปีถัดมาทีม Google ก็ย้ายบ้านเข้าสู่สนามไซเบอร์อย่างเต็มตัว โดยมีออฟฟิศอยู่ใน Palo Alto อันเป็นสถานที่เริ่มต้นของดอทคอมรายอื่นที่อยู่ในโลกของ Silicon Valley แห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย "Google" เป็นคำที่จงใจเพี้ยนมาจากคำว่า "Googol" ที่บัญญัติขึ้นโดย Milton Sirottaในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งหมายถึง จำนวนเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว และ สองหนุ่มผู้ก่อตั้ง Search Engine นี้ได้ยืมและแผลงคำนี้มาใช้เพื่อเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของบริการที่รวบรวมจัดระเบียบข้อมูลจำนวนมหาศาลขนาด Googol ไว้ที่ Google นี่เอง 8. ในช่วงสองสามวันแรกหลังเหตุการณ์ 9/11 กูเกิ้ล ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นศูนย์บริการข่าวสารของทั้งโลกไป เพราะกูเกิ้ลมีบริการเสิร์ชเป็นอาวุธสำคัญ ทั้งยังมีความสามารถที่จะทำสำเนาและเก็บบันทึกข้อมูลข่าวสารใดๆ ไว้ในทุกเวลา และแสดงมันออกมาให้ใครก็ตามที่ต้องการได้ทุกเมื่อ 11. กำเนิด Google พอปลายปี 1998 กูเกิลก็ให้บริการคำค้นมากกว่า 10,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งบริการนี้อาจขยายตัวเกินกำลังที่จะขอบริจาคคอมพิวเตอร์เพื่อมาเกื้อหนุนได้อีกไม่นาน จึงออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง จากนั้น Google ก็พุ่งทะยานชนิดที่ฉุดไม่อยู่ ทำเอา Search Engine รุ่นเก๋าอย่าง Altavistaยังต้องแผ่วไป ในปี ค.ศ. 2000 เริ่มขายโฆษณาบนเว็บ โดยใช้ keyword เป็นตัวเชื่อมไปสู่โฆษณานั้นๆ ในยุคต้นๆ นั้น โฆษณาบน Google จะเป็นเพียงแค่ Text เรียบง่าย เพื่อคงประสิทธิภาพในการโหลดข้อมูลที่รวดเร็วทันใจ และค่าโฆษณาก็ไม่สูงมาก ทำให้ Google ได้กำไรจากส่วนนี้มากขึ้น ในปี ค.ศ. 2003 Google ได้สร้าง Googleplexซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์สำนักงานใหญ่ใน Amphitheater Parkway ใน Silicon Valley และในปีเดียวกัน Google ก็เข้าซื้อกิจการของ Pyra Labs ซึ่งเป็นผู้ให้บริการwebblogรายใหญ่รายหนึ่ง ทำให้ Google สามารถเข้าไปดึงข้อมูลได้จากข้อความที่โพสในบล็อก ช่วยให้บริการ Google News มีประสิทธิภาพมากขึ้น 29. Google Map - ให้บริการแผนที่และทิศทางของที่อยู่ที่มีการระบุ การให้บริการส่วนอื่นจะถูกนำมารวมไว้ในบริการแผนที่ด้วย 33. Google Talk – เป็นอีกทางลัดหนึ่งแทนการใช้โทรศัพท์ สามารถคุยกับใครก็ได้ผ่านคอมพิวเตอร์ 36. วิเคราะห์ Google จากการศึกษาข้อมูลจะพบว่า googleถือกำเนิดมาจาก ผู้ก่อตั้งชื่อว่า บริจ และเพจ โดยมีการใช้กลยุทธ์การตลาดในต่างประเทศในรูปแบบ Glocalization ซึ่งจะเป็นการใช้ทั้งนโยบายมาตราฐานทั่วโลกและการตลาดแต่ละท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นการคิดจาก Think Global ,ActLocal โดย google จะยังคงใช้นโยบายที่มีพันธกิจเดียวกันทั่วโลก คือ การจัดระเบียบข้อมูลของโลกให้สามารถเข้าถึงได้และมีประโยชน์ต่อทุกคน อีกทั้งไม่ว่าจะเป็น Identity , Image ขององค์กรที่เน้นไปทางความสนุกสนานหรือการจะมาทำโฆษณากับgoogleก็จะใช้มาตราการเดียวกันทั่วโลกโดยหน้าแรกจะเคลียร์และไม่มีข้อความโฆษณาใดๆ รูปแบบการโฆษณาก็จะมีการใช้ระบบเดียวกันทั่วโลก 38. วิเคราะห์ Google และสำหรับ Product Strategy ก็เป็นแบบ ProductStandardization กล่าวคือ ไม่ต้องมีการรับแต่อย่างใด เนื่องจากว่า Google เป็นสินค้าที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มของสินค้า Hi-tech ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ง่ายและตรงกันทั่วโลก จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องปรับเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรม หรือท้องถิ่นในแต่ละประเทศ โดย pricingStrategy จะเป็นแบบ Standardized มีความเป็นมาตราฐานเดียวกันทั่วโลก เนื่องจากวัดจากการคลิกของผู้เข้าดูเว็ป ส่วนในเรื่องของ Distribution Strategy จะเน้นไปใช้ในด้านของ Direc Involvement กล่าวคือผู้ที่จะทำการติดต่อซื้อพื้นที่เพื่อโฆษณากับ google นั้นสามารถติดต่อผ่านทาง googleประจำประเทศไทย กูเกิลซึ่งแต่เดิมยังไม่ได้เริ่มทำการตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ได้แต่งตั้งนางสาวพรทิพย์ กองชุน เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย มีผลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กูเกิลได้เริ่มทำการตลาดในไทย โดยใช้สำนักงานที่สิงคโปร์เป็นผู้ดำเนินการ 41. ประวัติยาฮู! คือบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสัญชาติอเมริกันซึ่งประกอบไปด้วยเว็บท่า, เสิร์ชเอนจิง,Yahoo! Directory, Yahoo! Mail, Yahoo! News, Yahoo! Photosก่อตั้งขึ้นโดยนักศึกษาปริญญาเอกสองคนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้แก่เจอร์รี่ หยาง (Jerry Yang)และ เดวิด ฟิโล (David Filo) ในเดือนมกราคมปี 1994 เริ่มดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทครั้งแรกในวันที่ 2 มีนาคม ปี 1995 ปัจจุบัน ยาฮู! มีบริษัทมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซันนีเวล รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ยาฮู! ยังคงเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยจำนวนผู้ใช้ 412 ล้านคน เครือข่ายของยาฮู! ทั่วโลกมีเพจวิวโดยเฉลี่ยกว่า 3.4 พันล้านหน้าต่อวัน ปัจจุบันยาฮู! เปิดให้บริการในประเทศไทยด้วย เจอร์รี่ หยาง และ เดวิด ฟิโล 42. ประวัติช่วงเริ่มต้น (1994-1996) เดือนมกราคมปี 1994 คู่หูนักศึกษาสแตนฟอร์ดเจอร์รี่ หยางและเดวิด ไฟโล ได้สร้างเว็บไซต์ที่ชื่อว่า "Jerry's Guide to the World Wide Web"(ไกด์แนะนำท่องเวิร์ลไวด์เว็บของเจอร์รี่) เป็นเว็บไซต์ประเภทเว็บไดเร็คทอรี่ที่รวบรวมเว็บลิงก์ที่น่าสนใจ เรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนสำหรับการค้นหา เดือนเมษายน ปี 1994 "Jerry's Guide to the World Wide Web"ก็เปลี่ยนชื่อเป็น "Yahoo!" โดยไฟโลและหยางกล่าวว่า พวกเขาตั้งชื่อเว็บไซต์ว่า ยาฮู! เพราะพวกเขาชอบความหมายที่ระบุไว้ในพจนานุกรม Gulliver's Travels โดย JonathanSwift: ว่า “หยาบคาย , ตรงไปตรงมา, แปลก” และ Yahoo! ยังมีชื่อเต็มว่า "Yet AnotherHierarchical Officious Oracle" ซึ่งในขณะนั้นใช้ URL ว่า akebono.stanford.edu/yahoo ปลายปี 1994 ยาฮู! ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นด้วยยอดการใช้งาน 1 ล้านฮิต จนทั้งสองคนเริ่มคิดว่าเว็บไซต์ที่พวกเขาทำกันสนุกๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะทำธุรกิจได้ และในวันที่ 1 มีนาคม ปี 1995 ยาฮู! ก็จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท และเมื่อวันที่ 12 เมษายน ปี 1996 ยาฮู! ก็ปล่อย IPO (initial public offering)หรือเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่า$33.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยขายหุ้นจำนวน 2.6 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 13 เหรียญสหรัฐฯ ในครั้งนั้น "ยาฮู" ได้เคยเป็นชื่อตราสินค้าของซอสบาร์บีคิว โดยบริษัท EBSCO อินดัสตรี้ และเรือแคนนูของบริษัท Old Town Canoe Co. ดังนั้นในการที่จะได้ชื่อตราสินค้านี้มา หยางกับไฟโลจึงต้องเติมเครื่อง- หมายอัศเจรีย์ไว้ท้ายชื่อว่า “ยาฮู!” อย่างไรก็ตามเครื่องหมายอัศเจรีย์นี้ มักจะถูกละเลยไปเมื่อมีการพูดถึงยาฮู 43. ประวัติช่วงเติบโต (1997-1999) ยาฮู! ได้ขยายคอนเซ็ปต์ตัวเองเป็นเว็บท่า ในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 ยาฮู! (Yahoo!) ,เอ็มเอสเอ็น (MSN) , ไลคอส (Lycos) , เอ็กไซต์ (Excite) และเว็บท่าอื่นๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว เว็บท่าเหล่านี้ได้ควบซื้อกิจการของบริษัทอินเทอร์เน็ตต่างๆ หลายต่อหลายบริษัทเพื่อขยายขอบข่ายการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้นักท่องอินเทอร์เน็ตใช้เวลาอยู่กับเว็บไซต์ของตนมากขึ้น ในวันที่ 8 มีนาคม ปี 1997 ยาฮู! ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท โฟร์ อีเลฟเว่น (Four11) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเว็บเมลที่ชื่อว่า ร็อกเก็ตเมล (Rocketmail)และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Yahoo! Mail นอกจากนี้ยังได้ซื้อกิจการของClassicGames.comและเปลี่ยนชื่อเป็น Yahoo! Games จากนั้นก็เข้าซื้อกิจการของบริษัทการตลาดแบบตรง (Yoyodyne Entertainment) Inc. ในวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1998 และจากนั้นไม่นานเมื่อ 28 มกราคม 1999 ยาฮู! ก็เข้าซื้อกิจการของผู้ให้บริการโฮสติ้งชื่อดัง จีโอซิตี้ (GeoCities ) และยังซื้อบริษัท อีกรุ๊ปส์ (eGroups) ซึ่งยาฮู! ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อบริการว่า Yahoo! Groups หลังจากวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2000 นอกจากนี้ ยาฮู! ยังได้เปิดตัวบริการ Yahoo! Messenger ในวันที่ 21 กรกฎาคม ปี 1999. 44. ประวัติช่วงยุคฟองสบู่ (2000-2001) 3 มกราคม ปี 2000 ท่ามกลางกระแสดอตคอมบูมสูงสุด ราคาหุ้นของยาฮู! ขึ้นไปสูงสุดที่ 475 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น และ 16 วันหลังจากนั้นราคาหุ้นในยาฮู! ญี่ปุ่นสูงเกิน 101.4 ล้านเยน (962,140 เหรียญสหรัฐฯ ณ เวลานั้น) ในช่วงนั้นยังมีกระแสข่าวจากสำนักข่าว CNBC รายงานเพิ่มเติมอีกว่ายาฮู! กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมกิจการกับอีเบย์แบบ 50/50 ถึงแม้ว่าดีลนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่ทั้งสองบริษัทก็ได้ผสานความร่วมมือทางธุรกิจโดยเฉพาะในด้านการตลาดและโฆษณาใน 6 ปีต่อมาในปี 2006 46. จุดแข็งของYahoo! จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของ Yahoo! คือฐานข้อมูล ที่มาจากหลักในการทำงานภายในบริษัท ที่มีความแตกต่างจาก Internet Service อื่นๆ การที่ Yahoo! ใช้บุคลากรจำนวนมาก ในการรวบรวม เว็บไซต์ต่าง ๆ และบันทึกไว้บนฐานข้อมูล แทนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แยกข้อมูล ซึ่งการใช้บุคลากรจะมีความละเอียดของขอบข่ายข้อมูลมากกว่าเพื่อให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ได้รับประโยชน์สูงสุดเมื่อเข้ามาใช้บริการ 47. วิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาดของYahoo! Yahoo!มีการใช้กลยุทธ์แบบGlobalization หรือเป็นกลยุทธ์มาตรฐานเดียวกัน กล่าวคือ มีการนำเสนอสินค้า และส่วนประสมการตลาดที่มีมาตรฐานเดียวกัน(หรือมีการ ปรับปรุงน้อยมาก) เพื่อใช้ในทุกส่วนตลาดต่างประเทศ การมองตลาดไม่ใช่เป็นเพียงเรื่อง ภายในประเทศเท่านั้น แต่เกี่ยวโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยYahoo! เปิดให้คนทั่วไป สามารถเข้าใช้ได้ฟรี แต่อาจมีการปรับภาษาที่ใช้ให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นในแต่ละประเทศ เช่น การที่ประเทศไทย มีเว็บYahoo!ของไทย มีภาษาไทยรองรับ แต่การใช้งานในส่วนต่างๆ ของเว็บยังคงมีระบบการบริการที่เหมือนกันทุกประเทศ 50. ผู้ก่อตั้ง ชื่อ:เจฟฟรี่ เพรสตัน เบโซส์ (Jeffrey PrestonBezos)เกิด : วันที่ 12 มกราคม ค.ศ.1964 เมือง :ฮุสตัน รัฐเท็กซัส การศึกษา: มหาวิทยาลัยPrinceton สาขาวิศวะไฟฟ้า และcomputer science 51. ประวัติ Amazon เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกรกฎาคมปี 1995 โดยนายเจฟฟ์เบโซส (Jeff Bezos) เริ่มจากการขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทันทีที่เปิดร้าน Amazon ประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนังสือให้เลือกซื้อได้ถึงกว่าล้านเล่ม ทั้งที่เป็นหนังสือใหม่และหนังสือมือสอง ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี การขายหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ตทำให้ Amazon ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเรื่องพนักงานขายและร้านค้า และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนในเดือนเมษายนปี 2000 Amazon มีลูกค้ารวม 20 ล้านคนจากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก ต่อมา Amazon ได้เริ่มขยายตัวไปยังธุรกิจประเภทอื่น ๆ อาทิ CD VDO และสินค้าสำหรับสุภาพสตรี เป็นต้น Amazon ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อไป โดยเปิดการประมูลสินค้าระหว่างบุคคล และให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยสามารถมาตั้งร้านภายใน Amazon ได้โดยใช้ชื่อว่า zShopsพร้อมกับเพิ่มสินค้าชนิดต่าง ๆ เข้าไปมากมาย 53. สินค้าอุปโภคและบริโภค สินค้าใน Amazon จะแบ่งสินค้าตามประเภทสินค้า และแบ่งตามสภาพการใช้งาน ซึ่งจะเป็นสินค้าใหม่ (New) กับสินค้าใช้แล้ว (Used) หรือสินค้ามือสอง (Second hand) โดยสินค้าที่แบ่งตามประเภทสินค้านั้น สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ 1. หมวดหนังสือ เพลง และหนัง2. หมวดเสื้อผ้า เครื่องประดับ3. หมวดคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน4. หมวดสินค้า electronics5. หมวดสินค้าอาหาร ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน6. หมวดสุขภาพ ความสวยความงาม7. หมวดบ้านและสวน8. หมวดเด็ก และของเล่น9. หมวดกีฬาและการออกกำลังกาย10. หมวดเครื่องมือและเครื่องยนต์11. หมวดสินค้าลดราคา 55. การประมูล online ในปี 1999 Amazon ได้ขยายฐานธุรกิจของตน โดยการเปิดบริการใหม่ขึ้นมา คือ การประมูล ซึ่งบริการแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยม Amazon ให้บริการประมูลด้วยบริการ MazonAuction และzShopผ่านเว็บไซต์ ให้บริการกับบุคคลทั่วไป และธุรกิจขนาดย่อม โดยมีรูปแบบการประมูลที่แตกต่างจากEbay's รวมทั้งส่วนของ zShop ก็ให้บริการเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน เริ่มตั้งแต่ส่วนหน้าร้าน (storefornt) ไปจนถึงระบบหลังร้าน (Back-end) ซึ่งสามารถสร้างความแตกต่างจากเว็บค้าปลีกอื่นๆ และเน้นให้ลูกค้าเห็นความสำคัญของค้าปลีก Amazon เสนอ การรับประกันคืนเงินแก่สินค้าราคาไม่เกิน 350 เหรียญ 56. การประมูล online โดย Amazon ทำเงินจากผู้ขายในการประมูล online โดยการเก็บค่าลงชื่อขาย 0.10 เหรียญต่อชื่อ ผู้ขายที่เข้ามาบ่อยจะ กลายเป็นประเภท “Pro” จ่ายเป็นแบบรายเดือนแทนราคา 39.99 เหรียญ ในการเสนอขายจำนวน 40,000 รายการ ถ้าจำนวนเกิน จ่ายเพิ่ม 0.10 เหรียญต่อรายการ และถ้าต้องการให้รายการเสนอขายน่าสนใจก็จะมีค่าค้าขาย บวกเพิ่มอีกประมาณ 0.05 เหรียญต่อรายการต่อวัน ถึง 2 เหรียญ เพื่อสามารถโปรโมทสินค้าหรือทำให้ดูเด่นขึ้นกว่าอันอื่น ๆ เมื่อมีคนเข้ามา search หา และเหมือนกับใน Z shop เมื่อขายได้ ก็จะมี ค่าปิดการขาย ขึ้นกับราคาขาย ระหว่าง 0.01- 25 เหรียญ จะเก็บ 5% ถ้าขาย 25.01- 1,000 เหรียญจะเก็บ 1.25 + 2.5% com ทุกๆ จำนวนที่เกิน 25 เหรียญ ถ้าขายเกิน 1,000.01ขึ้นไป จะเก็บ 25.63+ 1.25% com ทุกจำนวนที่เกิน 1,000 เหรียญ 57. พันธมิตร ปี 1999Amazon อยากขยายสินค้าให้มากขึ้น จึงเริ่มทำ 2 อย่าง 1.คือ ลงทุนในบริษัท online อื่น ที่ได้ประโยชน์จากการที่มีคนมาใช้บริการ Amazon มาก ๆ โดยใช้เงินจากราคาหุ้นของบริษัทตัวเองที่มีราคาสูง มาซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าว เช่น Pets.com, Homegrocer.com, Drugstore.com ซึ่งต่อมาหุ้นตก ทำให้ Pets.com และ Homegrocer.com ล้มละลายและต้องออกจากธุรกิจไป ทำให้ Amazon เสียหายเกือบ 135 ล้านเหรียญ ในปี 2000 จากนั้น Amazon เริ่มหาพันธมิตรใหม่ จากการที่มีลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่แข่งแกร่ง เป็นศูนย์กลางจัดจำหน่ายที่สำคัญ จึงมองหาพันธมิตรค้าปลีกแบบไม่มี e-commerce ที่มีร้านเป็นสถานที่จริง ๆ ในปี 2001 ได้ทำสัญญากับ Target, Circuit City, และ Borders ซึ่งเป็นสัญญาที่ให้ Amazon ทำ e-commerce ให้กับบริษัทเหล่านี้ ในการขายสินค้าของพวกเขาใน web Amazon 58. Z shops เป็นบริการคล้าย Yahoo! และ MSM เป็นบริการที่ให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเข้ามาขายสินค้า และเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ใช้บริการ Amazon เสนอการรับประกันที่เรียกว่า A ถึง Z Guarantee ที่ประกันในกรณีได้รับสินค้าหรือของเสียหาย ทั้ง Amazon และคู่ค้าก็ได้ประโยชน์จากบริการนี้ ร้านคู่ค้าก็ได้ขายของโดยค่าใช้จ่ายต่ำ ที่มีลูกค้ารองรับอยู่แล้ว Amazon ก็ได้ขายของที่ตัวเองไม่มี เป็นการตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ว่า อยากขายทุกอย่างในโลกนี้ให้ได้ Amazon ทำเงินจากร้านคู่ค้าใน Z shops ได้หลายทาง เช่นร้านคู่ค้าทุกร้านจะต้องจ่ายค่ารายเดือน 39.99 เหรียญ เพื่อรับสิทธิ์ในการเข้ามาขายสินค้าได้ถึง 40,000 ชิ้น ถ้าเกินนั้นจะถูกคิดเงินเพิ่ม 0.10 เหรียญต่อชิ้น นอกจากนั้นจะต้องจ่ายค่าการค้า ที่จะสามารถเสนอขายสินค้าดังกล่าวควบคู่ไปกับข้อเสนอขายสินค้าของ Amazon ได้ สุดท้าย เมื่อขายสินค้าได้ จะมีค่าปิดการขาย ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าถ้าราคาอยู่ระหว่าง 0.01 ถึง 25 เหรียญ จะเก็บ 5% ถ้าขาย 25.01 – 1,000 เหรียญจะเก็บ 1.25 เหรียญ บวก 25% Commission ในทุก ๆ จำนวนที่เกิน 25 เหรียญ ถ้าของราคาเกิน 1,000.01 เหรียญ จะเก็บ 25.63 เหรียญบวก ค่า com 1.25 % จากเงินที่เกิน 1,000 เหรียญ 59. Z shops ในการช่วยให้การชำระเงินค่าสินค้าง่ายขึ้นใน Z shops รวมถึงการประมูล Amazon มีโปรแกรม เรียกว่า Amazon Payment ซึ่งจะอธิบายในส่วนบริการลูกค้าต่อไป เป็นบริการที่ได้เปรียบมาก เพราะทำให้มีจำนวนสินค้าเพิ่มใน web ได้มากโดยไม่มีต้นทุนสินค้าคงคลัง และการคิดค่ารายเดือน และค่า com จากการปิดการขาย Amazon ก็มีรายรับที่คงที่โดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำ และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า Amazon ก็รับประกันคุณภาพเพื่อปกป้องลูกค้าที่ดี แม้ว่าจะมีประโยชน์มากจากบริการนี้ แต่ในอนาคตอาจมีข้อเสียเกิดขึ้นได้ เช่น ร้านคู่ค้าใน Z shops อาจขายสินค้าคุณภาพต่ำลง เสียภาพพจน์ Amazon และเป็นการแข่งขันกับสินค้าของ Amazon เอง และแม้จะมีการรับประกัน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็อาจสร้างข่าวเสียชื่อเสียงได้ สุดท้ายการให้บริการแบบนี้อาจทำให้ Amazon เสียความสามารถหลัก คือการขายของตนเองไปได้ 60. การบริการทาง web ของ Amazon เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ระบบใน Z shop Amazon ยอมให้ร้านคู่ค้าใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์แล้วยังเป็นการช่วยให้ Amazon ทราบถึงจำนวนสินค้าคงเหลือ และรายการสินค้าที่มีอยู่ จากร้านค้าได้อีกด้วย Amazon ได้พัฒนาระบบขายปลีก online ที่ทำให้โลกค้าปลีกอิจฉา ระบบนี้ทำให้ลูกค้าและร้านค้าส่งผ่านข้อมูล และรายละเอียดการขนส่ง ทำให้ทุกครั้งที่ลูกค้าซื้อของ จะเป็นเพียงกระบวนการเพียงคลิกเดียว “1-Click process” ใช้ระบบนี้เป็นรายแรกในธุรกิจขายหนังสือ online จากนั้นก็ เพลง online และหนัง online แต่เมื่อ Amazon พยายามขายของเองเช่น เสื้อผ้า ของเล่นมักไม่ค่อยได้ผล พบว่าการพยายามขายทุกอย่างเพื่อทุกคนโดยใช้ความพยายามของตัวเองและการเป็นศูนย์ส่งสินค้าด้วย ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะเป็นผู้ชนะได้ 61. การบริการทาง web ของ Amazon Amazon จึงตัดสินใจให้ลิขสิทธิ์แก่ธุรกิจค้าปลีก เช่น เพื่อสร้างพันธมิตร ทั่วประเทศครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ ให้สมกับที่อยากเป็น แหล่งรวมของโลก บริษัทอย่าง Target Toy’R’Us, Office Depot และ Circuit City ตัดสินใจเข้าร่วมด้วย โดยบริษัทเหล่านี้ ใช้ Technology ของ Amazon ใน web ของตัวเอง พร้อมกับขายของตัวเองผ่าน web ของ Amazon คู่ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ถึงจะเห็นได้จากการที่ Amazon จะประกาศร่วมมือเช่นนี้กับ NBA และ WNBA ด้วย 62. หลักการทำงาน หลักการทำงานของ Amazon มีการแบ่งการทำงานเป็นส่วนๆ ทั้งที่ใช้เป็นเว็บขายสินค้าออนไลน์โดยลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการโดยใส่ Key Word ชื่อสินค้าที่ต้องการแล้วทำการค้นหาซึ่งAmazonจะทำการค้นหาสินค้าและรายละเอียดของสินค้านั่นให้หรือส่วนที่ให้บริการในด้านของ search engine แต่สิ่งที่ทำให้Amazonได้รับความนิยมในหลายๆประเทศอยู่ที่Amazonมีการจัดวางโครงสร้างของข้อมูลเป็นอย่างดีจึงทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และใน Amazon เน้นค้นหาเป็นรูปภาพมากกว่า websearch engine อื่นๆรวมทั้งมีการกล่าวว่าAmazon อาจจะทำหน้าที่ในส่วนของ search engine แทนที่ Google ด้วย ดังข้อความข้างล่างนี้ “Amazon.com แทนที่หน้าค้นหาของ Google ด้วย MSN Live” MSN Live ได้แทนที่ search engine ที่ใช้สำหรับค้นหาของเว็บไซต์ Amazon ซึ่งเดิม Google ได้เป็นฐานข้อมูลเสิร์ซข้อมูลในเว็บของ Amazon โดยฐานข้อมูลของเว็บไซต์ Amazon มีชื่อว่า Alexaในอดีตได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากทาง Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลในเว็บของ Amazon ผลจะปรากฏเป็นหน้าค้นจาก Google นั่นเอง 63. หลักการทำงาน การเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลของ Amazon ครั้งนี้เป็นที่กล่าวถึงในแวดวงอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง ในเรื่องการเปลี่ยนฐานข้อมูลที่อาจกระทบถึงฐานข้อมูลของเว็บไซต์ eBay.com ที่ปัจจุบันยังคงร่วมกับทาง Google อยู่ โดยมีผู้ให้ความเห็นว่าการที่ Google เปิดฐานข้อมูลของตัวเองให้รองรับเว็บไซต์ต่างๆ เปิดโอกาสให้เกิดคู่แข่งในการเป็นฐานข้อมูลให้บริการการค้นหามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้คาดการณ์ว่าโลกอินเตอร์เน็ตปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูงขึ้น เมื่อพันธมิตรสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคู่แข่งได้ การเปิดตัวฐานข้อมูลsearch A9 หรือ Alexaของ Amazon ก็เหมือนเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลของตัวเองให้เหนือกว่า Google อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าทาง Amazon ได้ใช้ Google เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาฐานข้อมูลของตนเองให้ก้าวหน้า สิ่งนี้คล้ายกับการที่ Google ได้ทำกับ Yahoo และ Yahoo ได้ทำกับ Netscape ในอดีตนั่นเอง 64. เทคโนโลยีที่ใช้ Amazon ใช้เทคโนโลยีของ Oracle ทั้งโปรแกรมประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์ (Web Application) ฐานข้อมูล (Database) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) และโปรแกรมบริหารระบบการเงิน (Finance) โดยมีขนาดของ database ใหญ่เป็นอันดับที่ หก ของโลก 65. การขนส่งสินค้า โดยปกติแล้วสินค้าที่มีการสั่งซื้อในแต่ละวันทาง Amazon จะทำการจัดส่งให้ผู้ซื้อภายในวันนั้น ๆ แต่ก็มีสินค้าชนิดหลาย ๆ ชนิดและ หลายยี่ห้อ ที่ไม่ได้เป็นสินค้าของ Amazon ไม่มีสินค้านั้นอยู่ในสต็อก จึงทำให้การขนส่งนั้นล่าช้า เลื่อนออกไปหลายวัน ดังนั้น รายการสินค้าที่มีการสั่งซื้อเกิดขึ้น ผู้ร่วมขายจะยังไม่ได้รับค่า คอมมิสชั่นชั้นๆ จนกว่าจะมีการส่งสินค้าชนิดนั้น ๆ ออกไปทาง Amazon จึงจะตอบแทนค่า คอมมิสชั่น นั้นๆ ให้ 66. ประเภทของการขนส่งสินค้าใน Amazon การขนส่งสินค้าใน Amazon มีหลายประเภทตามความต้องการของผู้ซื้อ โดยเราสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 1. ส่งแบบธรรมดา การส่งของประเภทนี้ ผู้ซื้อจะเป็นผู้จ่ายค่าขนส่งเอง โดยจะจ่ายเพิ่มตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ 67. ประเภทของการขนส่งสินค้าใน Amazon 2. Free Super Saver Shipping คือการส่งสินค้าถึงมือผู้รับโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ กรณีนี้ผู้ซื้อจะได้รับสิทธิก็ต่อเมื่อ มีการซื้อสินค้าราคา 25$ ขึ้นไปหรือเป็นไปตามข้อกำหนดอื่น ๆ ตามเงื่อนไขที่ทาง Amazon หรือ Third Party ได้ระบุไว้ แต่โดยทั่วไปจะมีข้อกำหนดเพียงสองข้อคือ จะต้องมีการซื้อสินค้าราคา 25$ ขึ้นไป และที่อยู่ในการจัดส่งเป็นประเทศอเมริกาเท่านั้น จึงจะจัดส่งให้ฟรี ง นอกจากนี้แล้วหากผู้ซื้อได้ทำการซื้อขายหลาย ๆ รายการบางรายการจะจัดส่งในขณะที่บางรายการไม่ตรงตามเงื่อนไข และไม่สามารถใช้บริการฟรีค่าจัดส่งได้ ในกรณีที่ส่งถึงผู้รับคนเดียวกันและสถานที่ที่ระบุไว้จัดส่งเป็นที่เดียวกัน เราสามารถกำหนดให้มีการจัดหีบห่อให้น้อยกล่องมากที่สุดเพื่อประหยัดค่าขนส่งให้มากที่สุด โดยสามารถระบุความต้องการนี้ได้ในขั้นตอนของการชำระเงิน แต่การจัดส่งวิธีนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ จะต้องส่งไปยังที่อยู่ใดที่อยู่หนึ่งในประเทศอเมริกาเท่านั้น กล่าวคือ ผู้ซื้อไม่สามารถขอให้ส่งไปยังที่อยู่อื่น ๆ ใน ประเทศอเมริกาเกินกว่าหนึ่งแห่งได้ และสินค้าที่ซื้อไม่สามารถเอาราคาของสินค้ารวมกันเพื่อให้มีมูลค่าเกิน 25 $ ได้ 68. มูลค่าการตลาด (Market Value) จากข้อมูลในการจัดอันดับธุรกิจประเภทค้าปลีกในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า Amazon เป็นร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจประเภทเดียวกัน ด้วยยอดขายรวมการจำหน่ายสินค้าในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) เท่ากับ 10.710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 69. ปัจจัยที่ทำให้ประสบผลสำเร็จ การท่องเว็บ และการค้นหาที่ง่าย มีข้อมูลสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ มีข้อความแสดงความคิดเห็นของลูกค้า แสดงคำแนะนำ และสามารถสร้างข้อมูลส่วนบุคคล มีสินค้าให้เลือกมากมาย และราคาสินค้าต่ำ ใช้เทคโนโลยี 1 คลิก (E-wallet)ในการสั่งซื้อสินค้า มีระบบความปลอดภัยในการชำระเงิน มีระบบรับคำสั่งซื้อที่สมบูรณ์ เว็บได้เตรียมบริการอื่น ๆ ให้ลูกค้าใช้งานสนุกมากขึ้น ด้วยบริการ Gift Ideas เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายชุมชนของกลุ่มลูกค้าด้วยการให้เสนอความคิดเห็นร่วมกับลูกค้าท่านอื่น ตลอดจนการให้บริการฟรีการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ ไปให้ลูกค้าสามารถส่งให้เพื่อนหรือครอบครัวเพื่อความประทับใจมากยิ่งขึ้น 70. การจัดการในส่วนภูมิภาค จากรูปแบบการขายสินค้า online Amazon สามารถขยายได้ทั้ง US ผ่าน web นอก US แล้ว Amazon ยังมีweb ระหว่างประเทศ ในอีก 5 ตลาด คือ แคนาดา, ผรั่งเศส, เยอรมันนี, ญี่ปุ่น และ สหราชอาณาจักร ดังแสดงต่อไปนี้ Amazon U.S.A แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมันนี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร -อังกฤษ -ไอร์แลนด์ -สกอตแลนด์ 71. การจัดการในส่วนภูมิภาค(ในประเทศอเมริกา) สำนักงานใหญ่ของ Amazon อยู่ที่ Seattle การที่ขายทุกอย่าง online จึงไม่จำเป็นต้องมีร้านสถานที่ค้าปลีก ทุกคำสั่งซื้อจะดำเนินการผ่าน “ศูนย์กลาง”ที่มีการขายอยู่ที่ US เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายไปยัง Amazon และ ไปยังลูกค้าของ Amazon อย่างตรงเวลา ซึ่งศูนย์เหล่านี้จะตั้งอยู่ในรัฐที่ภาษีการขายต่ำหรือไม่มีเลย เพื่อลดค่าใช้จ่ายภาษีแก่ลูกค้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ต่างๆ เช่น New Castle, Coffeyville, Lexingtonและ Campbellsville โดยจะมีการประเมินอยู่เรื่อยๆ ว่า พื้นที่ๆ ถือครองอยู่นั้น มีเครือข่ายครอบคลุมในภูมิภาคอยู่เสมอหรือไม่ ในการสร้างการบริการลูกค้าในระดับสูง Amazon บริหารศูนย์บริการลูกค้า 4 แห่ง เป็นอิสระต่อกัน ตั้งอยู่ที่ Tacoma, Grand Forks, North Dakota และ Huntington นอกจากนั้นแล้ว ศูนย์เหล่านี้ ยังมีการจ้างแรงงานภายนอกที่ให้บริการด้านการบริการลูกค้า เช่น บริษัท outsource ใน อินเดีย ไอร์แลนด์เหนือ และ US. 72. การจัดการในส่วนภูมิภาค(ต่างประเทศ) เนื่องจากความยุ่งยากซับซ้อนในการดำเนินงานต่างประเทศ เช่น กฎหมายท้องถิ่น ศุลกากร Amazon จึงทำ web แยกกันในแต่ละประเทศ ซึ่ง web เหล่านี้จะคล้ายกับ web Amazon ต้นกำเนิด แต่ปรับให้มีความเป็นท้องถิ่นเข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละที่ เช่น ภาษา สินค้า บริการลูกค้า เพราะเป็นร้าน online ไม่มีหน้าร้าน ทุกๆ คำสั่งซื้อจะดำเนินการผ่าน internet แล้วส่งต่อไปยัง “ศูนย์กลาง” ซึ่งมีการกระจายตัวในแต่ละประเทศที่ไปตั้งตลาดอยู่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสั่งสินค้าไปยัง Amazon และจากผู้จัดจำหน่ายไปยังลูกค้า เพื่อให้ตรงต่อเวลามากที่สุด ในญี่ปุ่น Amazon จ้าง outsource (แรงงานภายนอก) เป็นศูนย์กลาง คือบริษัท Nippon Express และ ในแคนนาดา มีoutsource โดยบริษัท Assured Logistics ในตลาดต่างประเทศ อื่นๆ Amazon ก็ดำเนินการศูนย์จัดจำหน่ายท้องถิ่นเอง อย่างตลาดในอังกฤษ Amazon รับจ้าง + เช่าสถานที่ใน Mars ton Gate ในฝรั่งเศส ที่เมือง Orleans และ เมือง Bad Hersfeldเยอรมันนี 74. การโฆษณา เพื่อเพิ่มความรับรู้ในตราสินค้า Amazon เหมือนกับร้าน online อื่นๆ ในปี 1999 และ 2000 ใช้เงินมหาศาลในการโฆษณา เพื่อที่จะได้ส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น จึงยอมสละเงินจากกำไรระยะสั้น ทุ่มงบโฆษณา เพราะเป็นทางเลือกใหม่ของธุรกิจ Amazon เชื่อว่าทางที่ดีที่สุดในการสร้างความต่างจากคู่แข่ง คือต้องโฆษณาอย่างหนัก ในสินค้าและบริการ ตามสื่อต่าง ๆ ด้วยเงินมหาศาล แต่อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดัน ที่เพิ่มขึ้นของ กำไรจากการผลิตและการดำเนินงาน ที่ถูกใช้ไปมาก ขณะที่จังต้องจ่ายค่าขนส่งให้ลูกค้า และขายสินค้าในราคาต่ำ Amazon จึงพิจารณาตัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลง โดยเฉพาะค่าโฆษณา โดย หันมาลงทุนโฆษณาในสื่อ online จัดกิจกรรมต่างๆ เช่นให้คำแนะนำสินค้าใหม่ๆ และการโฆษณาใน Search engine ซึ่ง Amazon ตัดงบได้สำเร็จ ในงบการตลาด 2 ปี ที่ผ่านมา ดังแสดง 75. ทีวีและวิทยุ ช่วงเทศกาลปี 2002 Amazon ใช้จ่าย ประมาณ 5 ล้านเหรียญทางโฆษณาทีวีหลังจากมีการประเมินผล ประสิทธิภาพโฆษณา จึงตัดสินใจยกเลิกการโฆษณาทุกรูปแบบทาง TV.และวิทยุ เพราะ Diego Piacentini แห่ง Amazon กล่าวว่า “ค้นพบแล้วว่าการใช้เงินไปในการลดราคาให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงกว่า การใช้เงินเท่ากันในการโฆษณาทางTV.จริง ๆ 77. อินเตอร์เน็ต Amazon ประสบความสำเร็จในการใช้ internet โฆษณาตัวเอง กับลูกค้าเก่าและใหม่โดยการใช้การรวบรวมข้อมูลทางการตลาด (data mining) และ (จดหมาย) e-mail โฆษณาซึ่ง Amazon สามารถบอกโฆษณาสินค้าแก่ลูกค้าที่มักตรงใจและอาจเกิดการซื้อได้ดีโดยบริษัทพัฒนาคำแนะนำสินค้าเหล่านี้ โดยมีพื้นฐานจากการซื้อครั้งก่อน ๆ แล้วนำมาเทียบกับลูกค้าที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันชอบซื้อของเหมือน ๆ กัน ด้วยโปรแกรม “Amazon.comAlerts” ลูกค้าสามารถสมัครใช้บริการเมื่อได้รับการเตือน เมื่อมีการออกหนังสือใหม่ของผู้แต่งหรือศิลปินที่ตนชื่นชอบมีมาวางขายใน web แล้ว 78. อินเตอร์เน็ต การทำสัญญาร่างผู้ให้บริการ (ISP) internet เช่น AOL และ Search engine อย่าง Google Amazon สามารถเสนอสินค้า+บริการได้โดยตรงสู่โลกอินเตอร์เน็ตและด้วยการสมัครใช้บริการ website กว่า 9 แสน website เข้ามาร่วมกันอยู่ในโปรแกรมที่เกี่ยวเนื่องกับ Amazon (Amazon.com Associates program) Amazon จึงสามารถโฆษณาใน web ต่าง ๆ ได้อย่างมหาศาลด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด เพราะว่าต้นทุนการโฆษณาทาง TV.และวิทยุที่สูง และคำนึงถึงประสิทธิภาพที่จะได้จากการโฆษณาประเภทนี้ Amazon มุ่งสนใจ ในการโฆษณาทาง internet ว่าได้ผลดีกว่าในการใช้โปรแกรม software รวบรวมข้อมูลทางการตลาด ของลูกค้า และพฤติกรรมก่อนการซื้อ Amazon ได้พัฒนาการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างกว้างขวาง ไปใช้ในการพัฒนาการใช้ e-mail โฆษณาโดยตรงให้มีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมการตลาด กระตุ้นลูกค้าด้วยสินค้าที่อยู่ในความสนใจ นอกจากนั้นการทำงานร่วมกับ search engine อย่าง Google ยังมั่นใจได้อีกว่า โฆษณาของ Amazon จะปรากฏบ�