More Related Content
Similar to สื่อการเรียนรู้เรื่องศาสนาพุทธ
Similar to สื่อการเรียนรู้เรื่องศาสนาพุทธ (20)
More from Net'Net Zii (8)
สื่อการเรียนรู้เรื่องศาสนาพุทธ
- 3. ประวัติความเป็นมา
เริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของ
ศาสนาพุทธ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่่า
เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต่าบลอุรุเวลาเสนา
นิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบัน
สถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11
กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศ
ศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100
ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่ส่าคัญคือเถรวาทและมหายาน
- 4. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า
เป็นพระสมัญญานามที่ใช้เรียกพระบรมศาสดาของ
ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและ
มหายานต่างนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตน
เหมือนกันแต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน
ฝ่ายเถรวาทให้ความส่าคัญกับพระพุทธเจ้า
พระองค์ปัจจุบันคือ "พระโคตมพุทธเจ้า"
ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระองค์ที่ 4 ในภัททกัปนี้ และมีกล่าวถึงพระพุทธเจ้า
ในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความส่าคัญเท่า ฝ่ายมหายานนับถือ
พระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมดและเชื่อว่านอกจากพระพุทธเจ้า 28
พระองค์ ที่ระบุในพุทธวงศ์ของพระไตรปิฎกภาษาบาลีแล้ว ยังมี
พระพุทธเจ้าอีกมากมายเพิ่มเติมขึ้นมาจากต่านานของเถรวาท
- 5. เป้าหมายสูงสุด
เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ ความ
หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง ดับภพชาติ หยุด
การเวียนว่ายตายเกิดเพราะเมื่อไม่เกิดอีกเราก็ไม่ต้อง
แก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตายและไม่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจ
อีกต่อไป เปรียบเหมือนกับมนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่มีหาง
จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะหางเป็นเหตุอีกต่อไป
- 6. คัมภีร์ศาสนาพุทธ
พระไตรปิฎก
ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคมภีร์หรือต่าราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่ง
ั
สอนพระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกนั้น เป็นคัมภีร์
หรือต่าราทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับไตรเวท
ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัลกุรอาน
ของ ศาสนาอิสลาม พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่าง
กาลเวลา ต่างสถานที่กัน พระสงฆ์สาวกซึ่งท่องจ่าไว้ได้ ได้จัดระเบียบเป็น
หมวดหมู่เป็นปิฎกต่างๆ หลังจากพระศาสดานิพพานแล้วเพื่อเป็นหลัก
พระพุทธศาสนา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ธรรมและวินัยที่เรา
แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของ
ท่านทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป”
- 7. มีหลักฐานก่าหนดลงได้ว่าในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีค่าว่า “พระไตรปิฎก”
มีแต่ค่าว่า “ธรรมวินัย” ค่าว่า พระไตรปิฎก หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีนั้นเกิดขึ้น
มาภายหลังที่ทาสังคายนาแล้ว ค่าว่า พระไตรปิฎก กล่าวโดยรูปศัพท์
่
แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นค่าๆ ว่า พระ+ไตร+ ปิฎก ค่าว่า “พระ”
เป็นค่าแสดงความเคารพหรือยกย่อง ค่าว่า “ไตร” แปลว่า ๓ ค่าว่า “ปิฎก”
แปลได้ ๒ อย่างคือ แปลว่าคัมภีร์หรือต่านานอย่างหนึ่ง แปลว่ากระจาด
หรือตะกร้าอย่างหนึ่ง ที่ แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่าเป็นที่รวบรวม
ค่าสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวด หมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาด
หรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของ ฉะนั้น เมื่อทราบแล้วว่า ค่าว่าพระไตรปิฎก
แปลว่า ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า ๓ ปิฎกนั้นแบ่งออกดังนี้
(๑) วินัยปิฎก - ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
(๒) สุตตันตปิฎก - ว่าด้วยพระธรรม เทศนาทั่วๆ ไป
(๓) อภิธัมมปิฎก - ว่าด้วยธรรมะล้วนๆ หรือธรรมะที่ส่าคัญ.
- 8. ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
พระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่ง
พระไตรปิฎก คือ
๑. พระอานนท์ เป็นโอรสของเจ้าชายสุกโกทนศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาของ
พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา ท่านออกบวชแล้วได้เป็นผู้ที่สงฆ์เลือก
ให้ท่าหน้าที่เป็นพุทธอุปฐาก คือ ผู้รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระ
อานนท์ทรงจ่าพระพุทธวจนะได้มาก ท่านจึงมีส่วนส่าคัญในการ
รวบรวมค่าสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆ สืบมา
จนทุกวันนี้
- 9. ๒. พระอุบาลี เคยเป็นพนักงานรักษาภูษามาลาอยู่ในราช
ส่านักแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านออกบวช พร้อมกับพระอานนท์และราชกุมารอื่นๆ
โดยได้รับเลือกจากเจ้าชายเหล่านั้นให้อุบาลีบวชก่อน พวกตนจะได้กราบไหว้
อุบาลีตามพรรษาอายุเป็นการแก้ทิฐมานะตั้งแต่เริ่มแรกในการออกบวช
ิ
ท่านมีความสนใจก่าหนดจดจ่าทางพระวินัยเป็นพิเศษ จนแม้พระพุทธเจ้าก็ทรง
สรรเสริญท่านด้วย ท่านจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบค่าถามเกี่ยวกับวินัยปิฎก จึง
นับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยตรงในการช่วยรวบรวมข้อพระวินัยต่างๆ ให้เป็น
หมวดหมู่เป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้
- 10. ๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระไตรปิฎก แต่ประวัติ
ของท่านมีส่วนเป็น หลักฐานในการท่องจ่าพระไตรปิฎก เรืองของท่านมีปรากฏใน
่
พระสุตตันตปิฎกความว่า เดิมท่านเป็น อุบาสกคอยรับใช้พระมหากัจจานเถระ
แล้วบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ต่อมา ท่านได้เดินทาง
ไปเฝ้าพระผู้มพระภาค ณ เชตวนาราม พระพุทธเจ้าตรัสเชิญให้พระโสณะกล่าว
ี
ธรรม ซึ่งท่านได้กล่าวสูตรถึง ๑๖ สูตร อันปรากฏในอัฏฐกวัคค์จนจบ เมื่อจบแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาสรรเสริญความทรงจ่า และท่วงท่านองในการกล่าว
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกว่าได้มีการท่องจ่ากัน
ตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่
- 11. ๔. พระมหากัสสปะ เป็นผู้บวชเมื่ออายุสูง แม้ท่านไม่ใคร่สั่งสอนใคร แต่ก็
สั่งสอนคนในทางปฏิบัติ คือท่าตัวเป็นแบบอย่าง เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว
ท่านได้เป็นหัวหน้าชักชวนพระสงฆ์ให้ท่าสังคายนาคือ ร้อยกรอง หรือจัดระเบียบ
พระวินัย นับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนส่าคัญยิ่งในการท่าให้เกิดพระไตรปิฎก
- 13. สาระชีวิต : ฆราวาสธรรม ๔
คือ ธรรมส่าหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่
1. สัจจะ คือ พูดจริงท่าจริงและซื่อตรง
2. ทมะ คือ ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง
3. ขันติ คือ อดทนตั้งใจและขยัน
4. จาคะ คือ เสียสละ
สาระชีวิต : อิทธิบาท 4 หรือธรรมที่ช่วยให้สาเร็จในสิ่งที่ประสงค์
1. ฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่
2. วิริยะ คือ ความเพียร
3. จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ ไม่วางธุระ
4. วิมังสา คือ หมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผล
- 14. สาระชีวิต : ธรรมคุ้มครองโลก
1. หิริ คือ ความละอายใจในการท่าบาป
2. โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวผลของการท่าชั่ว
สาระชีวต : มรรคอันมีองค์ 8 นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง
ิ
(มัชฌิมาปฏิปทา)
1. สัมมาทิฐิ คือ มีปัญญาอันเห็นชอบได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
— กข์
- ทุ
— ที่ท่าให้เกิดทุกข์ (สมุทย)
- เหตุ ั
— บทุกข์ (นิโรธ)
- ความดั
—อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
- ข้
- 15. 2. สัมมาสังกัปปะ คือด่าริชอบ ได้แก่
- ด่
—าริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ)
- ด่
—าริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
- ด่
—าริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
สาระชีวิต : มรรคอันมีองค์ 8 นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
ได้แก่
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต 4 คือ
ไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่
- ไม่
— พูดเท็จ
- ไม่
— พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกร้าวกัน
- ไม่
— พูดค่าหยาบคาย
- ไม่
— พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ
- 16. 4. สัมมากัมมันตะ คือท่าการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี
ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิด ศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต 3 อย่าง ได้แก่
- การเบี
— ยดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- การลั
— กขโมย และการฉ้อฉลคดโกง แกล้งท่าลายผู้อื่น
- การประพฤติผิดในกาม
—
สาระชีวิต : มรรคอันมีองค์ 8 นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
ได้แก่
5. สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพ
ในทางที่ผิด การประกอบสัมมา
อาชีพคือ
- เว้
—นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์
- เว้
—นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส
- เว้
—นจากการค้าสัตว์ส่าหรับฆ่าเป็นอาหาร
- เว้
—นจากการค้าขายน้่าเมา
- เว้
—นจากการค้าขายยาพิษ
- 17. 6. สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ 4 ประการได้แก่
- เพี
— ยรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น
- เพี
— ยรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
- เพี
— ยรท่ากุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น
- เพี
— ยรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่
สาระชีวิต : มรรคอันมีองค์ 8 นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ได้แก่
7. สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่ การ ระลึกในกาย เวทนา
จิตและธรรม 4 ประการคือ
- พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก
- พิ
—จารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุขหรือทุกข์ หรือเฉย ๆ มีราคะ โทสะ โมหะ
หรือไม่
- พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตก่าลังเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด
- พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไร ก่าลังผ่านเข้ามาในใจ
- 18. พุทธศาสนสถาน แปลโดยตรงได้ความว่า สถานที่ หรือสิ่งก่อสร้าง ซึ่ง
สร้างขึ้นเพื่อใช้ในกิจการ หรือเกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนา ได้แก่
ส่านักสงฆ์ วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และสถูป เป็นต้น เป็นสถานที่ซึ่งใช้
ประกอบพิธีทางศาสนา เป็นที่พ่านักของพระภิกษุ เและเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึง
คุณพระรัตนตรัย ซึ่งพุทธศาสนิกชนนิยมไปกราบไหว้บูชา และร่วมกิจกรรมต่างๆ
วัดวิหารอุโบสถเจดีย์
- 19. ศาสนพิธี
หมายถึง ระเบียบแบบแผนหรือแบบอย่างที่ถือปฎิบัตในศาสนา
ิ
เมื่อน่ามาใช้ในพระพุทธศาสนา จึงหมายถึงระเบียบแบบแผนหรือแบบ
อย่างที่พึงปฎิบัตในพระพุทธศาสนา ศาสนพิธีต่างๆช่วยท่าให้ความศรัทธาต่อพระ
ิ
พุทธศาสนิกชนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเป็นสิ่งตอกย้่าใจให้ระลึกถึงคุณของพระ
รัตนตรัยได้อย่างดีเยี่ยม จึงเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามที่ควรรักษาไว้คู่กับ
พระพุทธศาสนาตลอดไป
- 20. ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งถือปฏิบัติเป็นแบบอย่าง เป็นธรรมเนียมสืบ
ต่อกันมา เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามเป็นแบบเดียวกัน
เหตุให้เกิดศาสนพิธีนี้คือความนิยมท่าบุญของพุทธศาสนิกชนซึ่งไม่ว่าจะ
ปรารภเหตุอะไรท่ากัน ก็มักจะให้ตรงและครบตามหลักวิธีท่าบุญในทาง
พระพุทธศาสนา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะแนวไว้ 3 หลัก คือ
1. ทาน การบริจาควัตถุสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
2. ศีล การรักษากายวาจาให้สงบเรียบร้อย
3. ภาวนา การยกระดับจิตให้สูงขึ้นด้วยการอบรมให้สงบนิ่งและ
ให้เกิดปัญญา