More Related Content
Similar to การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
Similar to การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน (20)
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
- 1. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 31
การวิจยเพือพัฒนาการเรียนการสอน
ั ่
ดร. วิชต สุรตน์เรืองชัย*
ิ ั
บทนำ มีหนังสือเกียวกับการวิจยในชันเรียนพิมพ์จำหน่าย
่ ั ้
จากการทีพระราชบัญญัตการศึกษาแห่ง
่ ิ ทั ่ ว ไปมี ป ริ ม าณเพิ ่ ม ขึ ้ น เท่ า ที ่ ไ ด้ ศ ึ ก ษาจาก
ชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 30 ได้กำหนดให้ เอกสารต่างๆเหล่านั้น พบว่ามีสาระสำคัญและ
สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนทีมี ่ กระบวนการวิจยทีแตกต่างกันไป แล้วแต่จดเน้น
ั ่ ุ
ประสิทธิภาพ รวมทังส่งเสริมให้ผสอนสามารถ
้ ู้ และมุมมองของนักวิชาการแต่ละท่าน ผู้เขียน
วิจยเพือพัฒนากระบวนการเรียนรูทเ่ี หมาะสมกับ
ั ่ ้ คิดว่าการวิจัยในชั้นเรียน หรืออาจเรียกชื่ออื่นๆ
ผูเ้ รียนในแต่ละระดับการศึกษา (กระทรวงศึกษา เช่น การวิจยของครู การวิจยเพือพัฒนาการเรียนรู้
ั ั ่
ธิการ, 2542 หน้า 23) การวิจยในชันเรียนจึงได้
ั ้ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ มีความหมายไปในทำนอง
รับความสนใจและให้ความสำคัญอย่างจริงจังอีก เดียวกัน คือการวิจัยที่ครูผู้สอนเป็นผู้ทำวิจัย
ครั้งหนึ่ง มีการจัดอบรมเกี่ยวกับการวิจัย และนำมาใช้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียน
ในชันเรียนจากบุคคล กลุมบุคคล และองค์กรต่างๆ
้ ่ การสอนในชันเรียนของตนเอง ส่วนวิธการและ
้ ี
* รองศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- 2. หน้า 32 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
ขันตอนอาจแตกต่างกันได้ ผูเ้ ขียนจึงขอเสนอ
้ ไปใช้ได้ผลเป็นทีนาพอใจในเรืองของการพัฒนา
่ ่ ่
รูปแบบการวิจยประเภทหนึง ทีเ่ รียกว่า การวิจย
ั ่ ั หลักสูตรท้องถิน การพัฒนาวิชาชีพครู การพัฒนา
่
เชิงปฏิบติ (action research) ซึงมีความเหมาะสม
ั ่ และเสริมสร้างคุณลักษณะทีพงประสงค์ของนักเรียน
่ ึ
กับการนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอน ใน และครู
ระดับชันเรียน มีขนตอนและวิธดำเนินการวิจย
้ ้ั ี ั ลักษณะสำคัญของการวิจยเชิงปฏิบติ ั ั
ไม่ยงยากสลับซับซ้อนมากนัก ครูผสอนสามารถ
ุ่ ู้ การวิ จ ั ย เชิ ง ปฏิ บ ั ต ิ ม ี ล ั ก ษณะเฉพาะ
ดำเนินการวิจัยได้ด้วยตนเอง โดยใช้เวลาการ ที่ควรทราบตามที่ เคมมิสและแมคแทกการ์ท
ปฏิบัติงานตามปกติไม่ต้องเดินทางไปศึกษา (Kemmis and McTagart, 1990) ได้สรุปไว้
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่อื่น ไม่ต้อง ดังต่อไปนี้
เดินทางไปทดลองหรือเก็บรวบรวมข้อมูลทีใด ่ 1.เป็นวิธีสำหรับปรับปรุงการปฏิบัติ
ความหมายและความเป็นมาของการวิจยเชิงปฏิบติ ั ั งาน
การวิจยเชิงปฏิบติ หมายถึง กระบวนการ
ั ั โดยทำให้ เ กิ ด การเปลี ่ ย นแปลงและเรี ย นรู ้
ศึกษาค้นคว้าเพือแก้ปญหาทีเ่ กิดขึนจากการปฏิบติ
่ ั ้ ั จากการเปลียนแปลงนัน
่ ้
งานหรือเพือปรับปรุงและพัฒนาการปฏิบตงาน
่ ั ิ 2.เป็นการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติงาน
ให้บรรลุผลตามที่ต้องการ โดยผู้ปฏิบัติงาน เอง เพื่อพัฒนางานของตนเองและกลุ่มอาชีพ
เป็นผูดำเนินการวิจยในสถานทีทตนเองปฏิบตอยู่
้ ั ่ ่ี ัิ ของตนเอง
ภายใต้สภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่แท้จริง 3.เป็นกระบวนการอย่างเป็นระบบและ
เมือนำการวิจยเชิงปฏิบตมาใช้กบการเรียนการสอน
่ ั ัิ ั ต่อเนืองเป็นวงจร โดยเริมจากการวางแผนการ
่ ่
จึงเรียกการวิจยเชิงปฏิบตวา การวิจยเพือพัฒนา
ั ัิ่ ั ่ ปฏิบตตามแผน การสังเกตและการสะท้อนผล
ัิ
การเรียนการสอน หรือการวิจยในชันเรียน ซึง ั ้ ่ เป็นวงจรเช่นนีไปเรือย ๆ จนกว่างานนัน จะได้รบ
้ ่ ้ ั
เป็นการศึกษาค้นคว้าเพือแก้ปญหาทีเ่ กิดขึนจาก ่ ั ้ การปรับปรุงตามทีตองการ ่้
การปฏิบตการสอนของครูหรือเพือปรับปรุงและ
ัิ ่ 4. ต้องอาศัยความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ
พัฒนาการปฏิบตการสอนให้บรรลุผลตามทีตอง
ัิ ่้ ทีเ่ กียวข้อง เน้นกระบวนการกลุม
่ ่
การ โดยครูผู้สอนเป็นผู้ดำเนินการวิจัยในชั้น 5. เกิดจากความเต็มใจและเห็นความ
เรียนทีตนเองปฏิบตการสอนอยู่
่ ัิ สำคัญของการปรับปรุงและพัฒนางานของตนเอง
การวิจยเชิงปฏิบตเิ กิดขึนตามแนวคิด
ั ั ้ 6.การอธิบายปรากฏการณ์ตาง ๆ ทีเ่ กิด ่
ของ Kurt Lewin นักจิตวิทยาสังคม ชาวอเมริกน ั ขึน ใช้ความรูและประสบการณ์ของผูปฏิบตงาน
้ ้ ้ ัิ
เมือประมาณปี ค.ศ. 1946 ได้รบการยอมรับและ
่ ั หรือกลุ่มวิชาชีพของผู้ปฏิบัติงานเอง ภายใต้
นำไปใช้อย่างกว้างขวางในการพัฒนาและปรับปรุง เงือนไขและสภาพแวดล้อมทีเ่ ป็นอยูจริงมากกว่า
่ ่
การปฏิบัติงานในองค์กรและชุมชนต่าง ๆ โดย ทีจะเชือตามหรืออ้างอิงทฤษฎีจากภายนอกเพียง
่ ่
เฉพาะในวงการศึกษาได้มการนำการวิจยเชิงปฏิบติ ี ั ั อย่างเดียว
- 3. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 33
7. เป็นกระบวนการทีมความยืดหยุนสูง
่ ี ่ ไปใช้ปรับ ปรุงการปฏิบตงานในวงจรต่อไป
ัิ
มีการปรับปรุงเปลียนแปลงการปฏิบตได้ตลอดเวลา
่ ัิ 15. การวิจยเชิงปฏิบตไม่ใช่กระบวนการ
ั ัิ
ขึนอยูกบข้อมูลและสถานการณ์ในขณะนัน
้ ่ั ้ แก้ปัญหาง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน แต่เป็น
8.เน้นการสังเกตและบันทึกข้อมูลทีเ่ กิด กระบวนการเรียนรู้ทำความเข้าใจปัญหาและแก้
ขึนจริงในแต่ละช่วงเวลาเพือวิเคราะห์และสรุปผล
้ ่ ปัญหาเพือปรับปรุงเปลียนแปลงการปฏิบตให้ดขน
่ ่ ั ิ ี ้ึ
ทีถกต้อง
ู่ 16. การวิจัยเชิงปฏิบัติไม่ใช่การวิจัยที่
9.เน้นทั้งผลที่เกิดขึ้นและกระบวนการ นักวิชาการหรือนักวิจัยภายนอกที่อ้างตนว่าเป็น
ปฏิบตงานัิ ผูเ้ ชียวชาญเข้ามาศึกษาวิจยในชันเรียน แล้วสรุป
่ ั ้
10. เน้นวิธีการเชิงคุณภาพมากกว่าเชิง เป็นองค์ความรูเ้ พือให้ครูนำไปปฏิบติ
่ ั
ปริมาณ 17. การวิจัยเชิงปฏิบัติไม่ใช่วิธีการทาง
11. บริบท (context) เป็นสิ่งสำคัญที่ วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การทดสอบสมมุตฐานด้วยวิธี ิ
นักวิจยในชันเรียนต้องคำนึงถึงทุกขันตอน โดย
ั ้ ้ การทางสถิตจากการเก็บรวบรวมข้อมูลเพือหาข้อสรุป
ิ ่
เฉพาะในการสรุ ป ผลการวิ จ ั ย ต้ อ งคำนึ ง ถึ ง ไม่อางผลจากกลุมตัวอย่างไปสูประชากรเหมือนการ
้ ่ ่
บริบทเสมอ วิจัยอื่น ๆ แต่การวิจัยเชิงปฏิบัติเน้นวิธีการทาง
12. เริมวิจยจากจุดเล็ก ๆ โดยการเปลียน
่ ั ่ สังคมศาสตร์หลาย ๆ วิธรวมกันเพือก่อให้เกิดการ
ี่ ่
แปลงตนเองก่อน จากนันจึงเปลียนแปลงชันเรียน
้ ่ ้ ปรับปรุงเปลียนแปลงของสถานการณ์มากกว่าการ
่
และโรงเรียนได้ อธิบายหรือตีความสถานการณ์
13. เป็นการปฏิบตของตนเองหรือกลุม
ั ิ ่ ขันตอนทัวไปของการวิจยเชิงปฏิบติ
้ ่ ั ั
เล็ก ๆ แต่เปิดโอกาสให้กลุมใหญ่ชวยเหลือ
่ ่ การวิจัยเชิงปฏิบัติมีขั้นตอนสำคัญ 4
14. เป็นวงจรเดียวกับการปฏิบัติงาน ขันตอน ได้แก่ ขันวางแผน (plan) ขันปฏิบตตาม
้ ้ ้ ัิ
ตามปกติ เพียงแต่เพิ่มการสังเกตการปฏิบัติงาน แผน (act) ขั้นสังเกตผล (observe) และขั้น
และสะท้อนผลทีเ่ กิดขึนทุกขันตอนและนำผลนัน
้ ้ ้ สะท้อนผล (reflect) (Zuber-Skerrit, 1992 : 11)
วางแผน วางแผน
สะทอนผล ปฏิบัติตามแผน สะทอนผล ปฏิบัติตามแผน
สังเกตผล สังเกตผล
แผนภาพที่ 1 ขันตอนทัวไปของการวิจยเชิงปฏิบติ
้ ่ ั ั
- 4. หน้า 34 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
ขันตอนเฉพาะของการวิจยเพือพัฒนาการเรียนการสอน (ขันปฏิบติ จริงทีปรับจากขันตอนทัวไป)
้ ั ่ ้ ั ่ ้ ่
เพื่อให้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติมี ความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะการปฏิบัติ
การสอนของครูไทย และง่ายต่อการทำความ เข้าใจ ผูเ้ ขียนจึงปรับขันตอนการวิจย เป็น 7 ขัน ดังนี้
้ ั ้
กำหนดปัญหา -ประเด็นปัญหา
-สิงทีตองการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา
่ ่ ้
ศึกษาข้อมูลเบืองต้น
้ -บรรยายข้อเท็จจริงเกียวกับปัญหา
่
-อธิบายสาเหตุของปัญหา
วางแผนปฏิบติ
ั -กำหนดทางเลือกหลากหลาย
-ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
-กำหนดรายละเอียดการปฏิบตตามวิธนนๆ
ั ิ ี ้ั
ปฏิบตตามแผน
ั ิ
สังเกตผล
สรุปผล
สะท้อนผล
แผนภาพที่ 2 แผนภูมขนตอนการทำวิจยเชิงปฏิบตหรือการวิจยเพือพัฒนาการเรียนการสอน
ิ ้ั ั ัิ ั ่
- 5. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 35
1. กำหนดปัญหา จากตัวอย่าง จะเห็นได้วา เป็นปัญหา ่
จุ ด เริ ่ ม ของการวิ จ ั ย เชิ ง ปฏิ บ ั ต ิ คื อ ในเชิงแก้ไขทั้งสิ้น กล่าวคือมีปัญหาและข้อ
กำหนดแนวคิดให้ได้ว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องการ ขั ด ข้ อ งเกิ ด ขึ ้ น แล้ ว และส่ ง ผลต่ อ คุ ณ ภาพ
แก้ไข หรือประเด็นใดทีตองการพัฒนา โดยเริม
่้ ่ ของการจัดการเรียนการสอนแล้ว ต้องรีบแก้ไข
จากการสำรวจสภาพทั่วไปของการเรียนการ แต่ในบางกรณีปัญหายังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่มี
สอนทีเ่ กิดขึนในชันเรียนว่ามีปญหาเกิดขึนหรือไม่
้ ้ ั ้ แนวโน้มว่ากำลังจะเกิดขึ้น ผู้วิจัยก็สามารถ
กำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขกว้าง ๆ กำหนดปัญหานั้นเป็นประเด็นปัญหาเช่นกัน
จากนันพิจารณาให้ชดเจนว่าปัญหาทีแท้จริงคืออะไร
้ ั ่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น เรียกว่าปัญหา
เป็นปัญหาสำคัญหรือไม่ แก้ไขได้หรือไม่ ปัญหา เชิงป้องกัน หรือในบางกรณี ไม่มแนวโน้มว่าจะมี ี
ที่กำหนดนั้นอาจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง ปัญหาเกิดขึ้น ผู้วิจัยหรือครูผู้สอนก็สามารถ
เพียงคนเดียว หรือเป็นปัญหาร่วมของกลุ่มก็ได้ กำหนดประเด็นหรือจุดที่ต้องการพัฒนาให้มี
เทคนิคในการกำหนดปัญหาทีชดเจนคือ พยายาม
่ั คุณภาพยิ่งๆขึ้นไปได้ เพื่อหางทางพัฒนาให้
กำหนดแยกเป็น 2 ประเด็น สิ่งนั้นเกิดขึ้น เรียกว่า ปัญหาเชิงพัฒนา ดังนั้น
1.1 ประเด็นปัญหา ได้แก่ ประเด็น จะเห็นได้วาประเด็นปัญหาทีกำหนด ในขันตอน
่ ่ ้
ปัญหาทีเ่ กิดขึนจริงในชันเรียน ตัวอย่างเช่น
้ ้ แรกของการวิจัยนั้น อาจเป็นไปได้ทั้งปัญหา
- ปัญหานักเรียนขาดเรียนบ่อย เชิงป้องกัน ปัญหาเชิงแก้ไข และปัญหาเชิง
- ปัญหานักเรียนไม่สงการบ้าน ่ พัฒนา ที่สำคัญคือต้องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
- ปัญหานักเรียนคิดไตร่ตรองไม่เป็น หรื อ คาดว่ า จะเกิ ด ขึ ้ น หรื อ เป็ น ปั ญ หาที ่ จ ะ
- ปัญหานักเรียนไม่สนใจการเรียน ก่ อ ให้ เ กิ ด การพั ฒ นาขึ ้ น ได้ ใ นชั ้ น เรี ย นจริ ง
-ปัญหานักเรียนมีพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นปัญหาสำคัญ ไม่ใช่ปญหา ทีกำหนดขึนมาเอง
ั ่ ้
-ปัญหานักเรียนซึมเศร้าโดดเดียว ่ เพือเป็นหัวข้อทำวิจย ปัญหานันอาจเป็นปัญหา
่ ั ้
ตนเอง ใหญ่ ปัญหาเล็ก ปัญหารายบุคคล หรือปัญหา
-ปัญหานักเรียนไม่ชอบวิชาคณิต- ของกลุมก็ได้
่
ศาสตร์ 1.2 ประเด็นทีตองการแก้ไข ปรับปรุง
่ ้
- ปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การ พัฒนา ได้แก่ สิ่งที่ต้องการแก้ไขปรับปรุงหรือ
เรียนวิชาภาษาไทยต่ำ พัฒนาให้เกิดขึน โดยคาดว่าเมือสิงนันเกิดขึนแล้ว
้ ่ ่ ้ ้
- ปัญหานักเรียนใช้เวลาว่างไม่เป็น จะแก้ปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น ประเด็นปัญหา
ประโยชน์ ทังหมดตาม ข้อ 1.1 สามารถกำหนดเป็นประเด็น
้
- ฯลฯ ทีตองแก้ไข / ปรับปรุงได้ดงนี้
่้ ั
- 6. หน้า 36 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
- ปัญหานักเรียนขาดเรียนบ่อย ทำ ทุกแง่ทุกมุม โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อบรรยาย
อย่างไรนักเรียนจึงจะขาดเรียนน้อยลง ข้อเท็จจริงของปัญหาให้ได้มากที่สุด และเพื่อ
- ปัญหานักเรียนไม่สงการบ้าน ทำ
่ อธิบายว่าปัญหานั้นเกิดจากสาเหตุใด ในขั้นนี้
อย่างไรนักเรียนจึงจะส่งการบ้านตรงเวลา ต้องมีการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
- ปัญหานักเรียนคิดไตร่ตรองไม่เป็น โดยมีการคาดเดาสาเหตุของปัญหาอย่างมีเหตุผล
ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะคิดเป็น และมีการตรวจสอบสาเหตุที่คาดเดาด้วยวิธีการ
- ปัญหานักเรียนไม่สนใจการเรียน หลากหลาย โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ใน
ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะสนใจการเรียน การสอนของตนเองและเพื่อนครูที่สั่งสมมาเป็น
- ปัญหานักเรียนมีพฤติกรรมก้าวร้าว เวลานานรวมทั ้ ง ขอคำแนะนำจากผู ้ ร ู ้ ผู ้ ม ี
ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะมีพฤติกรรมไม่กาวร้าว ้ ประสบการณ์ และศึกษาข้อมูลอืน ๆ ประกอบ ่
- ปัญหานักเรียนซึมเศร้าโดดเดี่ยว รายละเอียดของขันตอนที่ 2 มี ดังนี้
้
ตนเอง ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะร่าเริง เข้าสังคม 2.1 บรรยายข้อเท็จจริง โดยครูผสอน
ู้
ปกติ เป็นผูเ้ ก็บรวบรวมข้อมูลทีเ่ กียวข้องกับปัญหา
่
- ปัญหานักเรียนไม่ชอบวิชาคณิต ทังหมดอย่างละเอียด โดยใช้วธสงเกต สอบถาม
้ ิี ั
ศาสตร์ ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะชอบเรียนวิชา สั ม ภาษณ์ ศึ ก ษาเอกสาร อั ต ชี ว ประวั ต ิ
คณิตศาสตร์ ทะเบียนประวัติ ฯลฯ จากนั้นจดบันทึกข้อมูล
- ปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การ ทั้งหมด เช่น ตัวอย่างปัญหานักเรียนไม่สนใจ
เรียนวิชาภาษาไทยต่ำ ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะมี การเรี ย น ครู ต ้ อ งศึ ก ษาและบรรยายข้ อ เท็ จ
ผลสัมฤทธิการเรียนวิชาภาษาไทยสูงขึน
์ ้ จริงให้ได้วา ่
- ปัญหานักเรียนใช้เวลาว่างไม่เป็น -มีผไม่สนใจการเรียนกีคนใครบ้าง
ู้ ่
ประโยชน์ ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะใช้เวลาว่าง
ให้เป็นประโยชน์ -ไม่สนใจการเรียนวันใดบ้าง ช่วง
จะเห็นได้ว่าการกำหนดประเด็นที่ เวลาใด
ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนานี้ จะช่วยให้ครู มอง -ไม่สนใจการเรียนวิชาอะไร ใคร
เห็นเป้าหมายที่ชัดเจนว่าการวิจัยในชั้นเรียน เป็นผูสอนในวิชานัน
้ ้
ครั ้ ง นี ้ ท ำเพื ่ อ อะไร ผลที ่ จ ะเกิ ด ขึ ้ น คื อ อะไร -นักเรียนแต่ละคนที่ไม่สนใจการ
แนวทางดำเนินการเป็นอย่างไร เรียนมีประวัตและข้อมูลส่วนตัวอย่างไร มีปญหา
ิ ั
2. ศึกษาข้อมูลเบืองต้นเกียวกับประเด็น
้ ่ ส่วนตัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาอืน ๆ หรือไม่
่
ปั ญ หา เป็ น การคิ ด พิ จ ารณาทบทวนค้ น หา ฯลฯ
ข้อเท็จจริงเพือทำความเข้าใจปัญหานันอย่างชัดเจน
่ ้
- 7. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 37
2.2 อธิบายสาเหตุของปัญหา เมือครู ่ หลังจากพิสจน์สมมุตฐานแล้วสรุปได้วา สาเหตุ
ู ิ ่
เก็บข้อมูลข้อเท็จจริงได้มากพอสมควรแล้วต้อง สำคัญที่ทำให้นักเรียนไม่สนใจการเรียน คือ
พยายามหาสาเหตุให้ได้ว่าปัญหานั้นๆ เกิดจาก พฤติกรรมการสอนของครูไม่นาสนใจ บรรยากาศ
่
สาเหตุใด ทั้งนี้ครูต้องใช้ความรู้ความ สามารถ การเรียนเฉือยชา ซึงเป็นไปตามสมมุตฐานทีตง
่ ่ ิ ่ ้ั
และความช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนครู ศึกษา ไว้
นิเทศก์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยกันวิเคราะห์ 3. วางแผนปฏิบติ ั
สาเหตุทแท้จริงของปัญหา มีขนตอนย่อย ๆ ดังนี้
่ี ้ั เป็นการกำหนดวิธีการหรือกิจกรรม
2.2.1 พิจารณาข้อเท็จจริงทุกแง่มม ุ การปฏิบตทจะนำไปใช้แก้ปญหาตามสาเหตุของ
ั ิ ่ี ั
ได้แก่ ข้อมูลของนักเรียนรายบุคคลทีเ่ ก็บรวบรวม ปัญหาที่พบในขั้นตอนก่อน วิธีการในขั้นนี้
มาได้ในขันตอนก่อน
้ ส่ ว นมากจะเริ ่ ม จาก การคิ ด พิ จ ารณาหาทาง
2.2.2 ตังสมมุตฐาน (คาดเดาสาเหตุ
้ ิ เลือกในการแก้ปญหาทีนาจะเป็นไปได้ให้มากทีสด
ั ่ ่ ุ่
ของปัญหาอย่างมีเหตุผล) วิธีพิจารณาอาจต้อง จากนั้นพิจารณาเปรียบเทียบแต่วิธี จนในที่สุด
ใช้กลุ่มเพื่อนครูหรือผู้มีความรู้ช่วยกันพิจารณา ตัดสินใจเลือกวิธใดวิธหนึงหรือหลายวิธผสมกัน
ี ี ่ ี
และคาดเดาถึงสาเหตุ จากตัวอย่างอาจคาดเดาว่า จากนั้นจึงกำหนดรายละเอียดของวิธีนั้นให้เป็น
สาเหตุสำคัญของการไม่สนใจการเรียน เนืองมา ่ กิจกรรมทีชดเจนเป็นลำดับสามารถนำไปปฏิบติ
่ั ั
จากพฤติ ก รรมการสอนของครู ไ ม่ น ่ า สนใจ จริงได้ ควรกำหนดระยะเวลาไว้ดวย จัดทำหรือ ้
บรรยากาศการเรียนเฉื่อยชา ทำให้นักเรียน เขียนเป็นแผนปฏิบัติการ รายละเอียดของการ
เบือหน่าย ไม่มแรงจูงใจในการเรียน เป็นต้น
่ ี วางแผนปฏิบตมดงนี้ ัิ ีั
2.2.3 พิสจน์สมมุตฐานนัน โดยใช้
ู ิ ้ 3.1 กำหนดทางเลือกในการแก้ปญหา ั
วิธการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้การสังเกต สอบถาม
ี หลายวิธี
สัมภาษณ์ในชั้นเรียนจริง จากตัวอย่างปัญหา 3.2 พิจารณาเลือกวิธทเ่ี หมาะสมทีสด
ี ่ ุ
นักเรียนไม่สนใจการเรียน ครูผสอนต้องคอยู้ เพียง 1 วิธี หรือหลายวิธผสมกัน ี
สั ง เกตพฤติ ก รรมนั ก เรี ย นในระหว่ า งเรี ย น 3.3 จัดทำแผนปฏิบตการประกอบด้วย
ัิ
มอบหมายงานให้นกเรียนเขียนเรียงความเกียวกับ
ั ่ 3.3.1 หลักการและแนวคิด
ตนเอง สนทนากับนักเรียนในเวลาว่าง สอบถาม 3.3.2 วัตถุประสงค์ (สิงทีตองปรับ
่ ่้
จาก เพือน เยียมเยียนและสนทนากับผูปกครอง
่ ่ ้ ปรุงหรือพัฒนา)
2.2.4 สรุปสาเหตุของปัญหา เมือถึง ่ 3.3.3 เป้าหมาย (เชิงปริมาณและ
ขั้นตอนนี้แล้วครูน่าจะรู้สาเหตุที่แท้จริงของ คุณภาพ)
ปัญหาว่าคืออะไร ซึ่งสาเหตุของปัญหาของ 3.3.4 กิจกรรมการปฏิบติ ั
นักเรียนแต่ละรายอาจไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันก็ได้ 3.3.5 ระยะเวลาทีดำเนินการ
่
ตัวอย่าง ปัญหานักเรียนไม่สนใจการเรียนนี้
- 8. หน้า 38 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
3.3.6 บุคลากรทีตองการ
่้ 4 เปลียนวิธสอนเป็นแบบเพือนสอน
่ ี ่
3.3.7 สือ วัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณ
่ เพื่อน
ทีตองใช้
่้ 5 ใช้สอการสอนทีทนสมัย น่าสนใจ
่ื ่ ั
3.3.8 แนวทางการวัดและประเมิน เช่น คอมพิวเตอร์
ผล 6 ใช้การเสริมแรงในห้องเรียนด้วย
จากตัวอย่างปัญหานักเรียนไม่สนใจ การให้เบียอัตถกร (token)
้
การเรี ย นเนื ่ อ งจากพฤติ ก รรมการสอนของ 7 กำหนดบทลงโทษผูทชอบขาดเรียน
้ ่ี
ครูไม่นาสนใจ บรรยากาศการเรียนเฉือยชา อาจ
่ ่ เกินกำหนดอย่างเด็ดขาด
สามารถกำหนดวิธีการแก้ปัญหาไว้หลากหลาย
ดังนี้ จากนันตัดสินใจเลือกวิธทเ่ี ห็นว่าเหมาะ สมทีสด
้ ี ่ ุ
1 ปรับกิจกรรมการเรียนการสอนโดย จากตั ว อย่ า งเลื อ กสมมุ ต ิ ว ่ า เลื อ กใช้ ก าร
ยึดผูเ้ รียนเป็นสำคัญมากขึน ้ เสริมแรงในห้องเรียนด้วยวการให้เบี้ยอัตถกร
2 จัดทำบทเรียนสำเร็จรูปให้นกเรียน
ั เพื่อจูงใจให้นักเรียนสนใจและเรียนรู้อย่างมี
นำไปเรียนด้วยตนเอง ความสุข โดยใช้วธนกบนักเรียนทังชัน แต่สงเกต
ิ ี ้ี ั ้ ้ ั
3 จั ด กิ จ กรรมเสริ ม หลั ก สู ต รให้ ผลที ่ เ กิ ด ขึ ้ น กั บ นั ก เรี ย นที ่ ม ี ป ั ญ หาเท่ า นั ้ น
นักเรียนเข้าร่วม จากนันจัดทำแผนปฏิบตการเพือแก้ไขปัญหาตาม
้ ัิ ่
สาเหตุ ตัวอย่างรายละเอียดของแผน มีดงนี้ ั
แผนการวิจยเชิงปฏิบตเิ พือแก้ปญหานักเรียนไม่สนใจการเรียน
ั ั ่ ั
หลักการและแนวคิด
การเสริมแรงด้วยการใช้เบี้ยอัตถกร (token ) เป็นวิธีการทางจิตวิทยาที่ช่วยโน้มน้าว
ความสนใจและปรับพฤติกรรม ของนักเรียนอย่างได้ผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว…
วัตถุประสงค์
เพือแก้ปญหานักเรียนไม่สนใจการเรียนในชันเรียน
่ ั ้
เป้าหมาย
นักเรียนทีไม่สนใจการเรียน มีความสนใจการเรียนเพิมขึนทุกคน
่ ่ ้
- 9. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 39
กิจกรรมการปฏิบติ และ ระยะเวลา
ั
สัปดาหที่ กิจกรรมการปฏิบัติ ระยะเวลา
1 - ทําความตกลงกับนักเรียนทั้งชันวาจะมีโครงการเสริมแรง
้
ดวย เบี้ยอัตถกร โดยมีหลักการวา ใครมาเรียนสม่ําเสมอ ตั้ง
ใจเรียน ทํางานที่ไดรับมอบหมายจนสําเร็จ ฯลฯ จะไดรบ ั
เบี้ยอัตถกร เพื่อสะสมไวแลกของรางวัลได
- ใหนักเรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็นและรวมกันกําหนด
หลักเกณฑการไดรบเบี้ยอัตรถกร
ั
1-4 - แจกเบี้ยอัตถกร ใหกับผูท่ทําตามหลักเกณฑ
ี
- ประกาศราชื่อผูไดรบเบี้ยอัตรถกร และจะนวนที่ไดรบใหนัก
ั ั
เรียนทราบโดยทั่วกันทุกวัน
5-6 - ปรับลดการเสริมแรงดวยเบี้ยอัตถกร ลงทีละนอย ๆ ใชการ
เสริมแรงดวยวาจาแทน
7 - หยุดการใหเบี้ยอัตรถกร
- -สรุปผลที่เกิดขึ้น
บุคลากรทีตองการ
่ ้
ไม่ตองการบุคลากรเพิม
้ ่
สือ วัสดุ อุปกรณ์ ทีตองใช้
่ ่ ้
เหรียญพลาสติกกลมคล้ายเหรียญบาท
แนวทางการวัดและประเมินผล
1. สังเกตพฤติกรรมการเรียน
2. สนทนากับนักเรียนอย่างไม่เป็นทางการ
- 10. หน้า 40 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
4. ปฏิบตตามแผน
ั ิ เรียน การสนทนาอย่างไม่เป็นทางการถึงความ
เป็นการปฏิบตตามแผนทีกำหนดไว้ใน
ัิ ่ รูสกความสนใจของนักเรียน เป็นต้น
้ ึ
ชั้นเรียนจริง นักเรียนจริง สภาพแวดล้อมจริง
ทำได้โดยครูผสอนยังคงดำเนินการจัดกิจกรรมการ
ู้ 6. สรุปผล
เรียนการสอนตามปกติ เพียงแต่ว่าปรับเปลี่ยน เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต
พฤติกรรมการสอนของตนเองจากเดิมที่ไม่ค่อย ผลมาพิจารณาเปรียบเทียบกับประเด็นปัญหาทีกำหนด
่
สนใจนักเรียนเท่าใดนัก มาเป็นการให้ความ เพือตัดสินใจว่าปัญหาได้รบการแก้ไขแล้วหรือไม่
่ ั
สนใจเอาใจใส่ดูแล และเสริมแรงตามแผนที่ สมบูณณ์เพียงใด ยังมีปัญหาอะไรบ้างที่ต้อง
กำหนดไว้ จากตัวอย่างแผนจะเห็นได้วา วิธการ
่ ี แก้ไขต่อไป จากตัวอย่าง หากเวลาผ่านไป 1 เดือน
หลักที่จะนำไปใช้คือ เทคนิคการเสริมแรง ความสนใจในการเรียนมากขึน แสดงว่าปัญหา
้
ด้วยการใช้เบียอัตถกร โดยคาดว่าเทคนิคดังกล่าว
้ ได้รบการแก้ไขแล้ว แต่หากผลทีเ่ กิดขึนยังไม่
ั ้
ร่วมกับการสอนตามปกติอยู่แล้วนั้น จะส่งผล ชัดเจน อาจต้องเพิ่มเวลาการปฏิบัติในแผน
ให้นกเรียนมีความสนใจในการเรียน ขจัดความ
ั ให้มากขึน ทังนีขนอยูกบผลการสังเกตทีทำเป็น
้ ้ ้ ้ึ ่ ั ่
เบือหน่ายการเรียนของนักเรียน
่ ระยะ ว่าสรุปผลได้หรือไม่
5. สังเกตผล 7. สะท้อนผล
เป็ น การสั ง เกตผลที ่ เ กิ ด ขึ ้ น จากการ เป็นการนำข้อสรุปและข้อสังเกตต่าง ๆ
ปฏิบตตามแผน (การประเมินผล) โดยครูผปฏิบติ
ัิ ู้ ั ไปใช้สำหรับปรับปรุงแก้ไขแผนต่อไป กรณี
เป็นผู้สังเกตเอง ขั้นตอนนี้ดำเนินการช่วงเดียว ทีสรุปว่าปัญหายังไม่ได้รบการแก้ไข หรือประเด็น
่ ั
กับการปฏิบตตามแผน คือ ปฏิบตไปสังเกตผลไป
ัิ ัิ ที ่ ต ้ อ งการพั ฒ นายั ง ไม่ เ กิ ด ขึ ้ น ให้ ป รั บ ปรุ ง
ใช้วธการต่าง ๆ ทีเ่ หมาะสม เช่น สังเกต สอบถาม
ิี แผนใหม่โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับ จากนั้นนำแผน
สัมภาษณ์ ตรวจผลงาน (วิธการเชิงคุณภาพมักใช้
ี ไปปฏิบติ สังเกตผล และสะท้อนผล ทำเช่นนีไป
ั ้
ได้ผลดี) เน้นการสังเกตผลทีเ่ กิดขึนตามสภาพจริง
้ เรือย ๆ จนกว่าจะสำเร็จผล จึงเริมกระบวนใหม่
่ ่
ครอบคลุ ม ทุ ก ประเด็ น ทั ้ ง ผลที ่ เ กิ ด ขึ ้ น และ แก้ปญหาใหม่ พัฒนาประเด็นใหม่ จากตัวอย่าง
ั
กระบวนการปฏิบัติของตนเอง พยายามบันทึก เรืองปัญหานักเรียนไม่สนใจการเรียน หลังจาก
่
เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม บรรยากาศ ผลทีเ่ กิดขึน ้ สรุปผลแล้ว หากแก้ปญหาได้กคงมีประเด็นที่
ั ็
และข้อสังเกตต่าง ๆ ให้มากทีสด จากนันสรุปผล
่ ุ ้ น่าสนใจอื่น ๆ เกิดขึ้นมากมายที่จะต้องนำมา
ที่เกิดขึ้นว่าแก้ปัญหาได้หรือไม่ จากตัวอย่างที่ อภิปรายกัน เช่น แก้ปัญหาได้ถาวรหรือไม่
กล่าวมานั้น จะห็นได้ว่าวิธีการสังเกตที่น่าจะ วิธการนีกอให้เกิดปัญอืนๆ ตามหรือไม่ หรือถ้า
ี ้่ ่
ใช้ได้ผล คือ การสังเกตพฤติกรรมในระหว่าง แก้ไขไม่ได้ อาจต้องมีการทบทวนและปรับการ
- 11. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546 หน้า 41
วิจยทังหมดถ้าพบว่าการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาผิด
ั ้ - ผลการศึกษาข้อเท็จจริง
ต้องวิเคราะห์ใหม่และวางแผนใหม่ ปฏิบตใหม่ ัิ บทที่ 3 การวางแผนแก้ปญหา ั
หรืออาจปรับเพียงเล็กน้อย - วิธการกำหนดแผน
ี
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า การวิจัยในชั้น - รายละเอียดของแผนทีกำหนด
่
เรียนก็คอ การแก้ปญหาและปรับปรุงพัฒนาการ
ื ั บทที่ 4 การปฏิบัติตามแผนและการ
เรียนการสอนในชั้นเรียนนั่นเอง และมีความ สังเกตผล
ยืดหยุนสูงมาก
่ - วิธปฏิบตตามแผนและการสังเกต
ี ัิ
ผล
การเขียนรายงานการวิจย
ั - ตารางการปฏิบัติงานและสังเกต
ตามปกติไม่มการกำหนดหัวข้อไว้อย่าง
ี ผล
ชัดเจนว่าต้องเขียนอย่างไร แต่ควรเขียนให้ - ผลการสังเกต
เข้าใจง่าย สั้น กะทัดรัด ข้อพึงเข้าใจไว้ก็คือ บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอ
เขียนเพื่อบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวของการแก้ แนะ
ปัญหาทีเ่ กิดขึนในชันเรียน เพือเป็นหลักฐานไว้
้ ้ ่ - สรุปผลการแก้ปญหาั
ศึกษา ไม่ใช่เขียนเพื่อส่งไปเผยแพร่หรือให้ใคร - ข้อสังเกตต่าง ๆ ทีพบ
่
อ้างอิงผลไปใช้เพราะการวิจยในลักษณะนีไม่ยนยันว่า
ั ้ ื - ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแผน
จะเอาไปใช้กับกลุ่มอื่นได้ผลหรือไม่อย่างไร ต่อไป
มีลักษณะเช่นเดียวกับกรณีศึกษา(case study) บทที่ 6 ภาคผนวก
อย่างไรก็ตามขอเสนอแนะว่าควรเขียนรายงาน - ผลงานของครู
เรียงตามขันตอนการทำวิจย ดังนี้
้ ั - ผลงานนักเรียน
บทที่ 1 ปัญหาทีเ่ กิดขึน ้ - หลักฐานอืน ๆ
่
- สภาพปัจจุบันของโรงเรียน ชั้น
เรียน นักเรียน การจัดการเรียนการสอน ฯลฯ
สรุป
- ปัญหาทีเ่ กิดขึน (ปัญหา)
้
การวิ จ ั ย เชิ ง ปฏิ บ ั ต ิ เ ป็ น การวิ จ ั ย ที ่
- สิ่งที่ต้องแก้ไข ปรับปรุงหรือ
เหมาะสมกับการพัฒนาการเรียนการสอนของครู
พัฒนา (วัตถุประสงค์)
ในทุกระดับ ครูผสอนสามารถดำเนินการวิจยได้
ู้ ั
บทที่ 2 การศึกษาข้อมูลเบืองต้น ้
พร้อมๆ กับการปฏิบตหน้าทีในชันเรียน ไม่ตอง
ัิ ่ ้ ้
- ข้อเท็จจริงเกียวกับปัญหาทีตองการ
่ ่้
ใช้เงินงบประมาณมากมาย ไม่ตองเสียเวลามาก ้
ทราบ
นัก แต่ประโยชน์ทได้คมค่า เป็นการพัฒนาครูไป
่ี ุ้
- วิธศกษาเพือให้ได้ขอเท็จจริงเกียว
ีึ ่ ้ ่
สูครูวชาชีพชันสูงอย่างแท้จริง
่ ิ ้
กับปัญหา
- 12. หน้า 42 วารสารศึกษาศาสตร์ ปีท่ี 14 ฉบับที่ 2 เดือน พฤศจิกายน 2545-มีนาคม 2546
เอกสารอ้างอิง
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2542). พระราชบัญญัตการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ :
ิ
คุรสภาลาดพร้าว.
ุ
Kemmis, S and , McTagart. (1990). The Action Research Planner. Geelong : Deakin University
Press.
Elliot, John. (1997). Action Research for Education Change. Philladelphia : Prentice Hall .
Zuber-Skerrit, O. (1992). Action Research in Higher Education. London : Kogan Page,