SlideShare a Scribd company logo
1 of 21
Download to read offline
เล่ม   1   สวเจียงใหม...่   กันยายน   2553
                                       สาวเชียงใหม่ 1
สาวเชียงใหม่ 2                                                                                            สาวเชียงใหม่ 3




            อ่านสารบัญ...เจ้า เดียวก่อน!!! มีแฮมหน้า
         นพบุรีศรีนครพิงค์ หน้า 4                                        เครื่องดื่มสุขภาพ หน้า 29
                                                                            พันช์ดอกอัญชัน หน้า 29
         เสื้อผ้าแม่ญิงป่อจาย หน้า 9                                         น้ามะเขือเทศ หน้า 30

          ซิ่น หน้า 11                                                    น้าลูกเดือยทรงเครื่อง หนา้ 31
                                                                       ดื่มน้าตามกรุ๊ปเลือด หน้า 32
                          ความงามที่หายไป หน้า 13      “4สูตรหน้าใสง่ายๆ ทาได้ด้วยตัวเอง”หน้า 33
                           จ่างฟ้อนบ้านเฮา หน้า 18     ว๊าว!!!อยู่บ้านก็สวยได้ หน้า 34
                                  ฟ้อนเล็บ หน้า 19     งามแต้ หน้า 36
                               ฟ้อนสาวไหม หน้า 21
                          อาหารเมืองเหนือ หน้า 25      “ดูดี มีสไตล์” หน้า 37
                               น้าพริกอ่อง หน้า 26     อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หน้า 38
                             ขนมจีนน้าเงี้ยว หน้า 27
                                ข้าวแต๋น หน้า 28         วัดพระธาตุดอยสุเทพ หน้า 39
สาวเชียงใหม่ 4                                                                                                                                                                                                                                                               สาวเชียงใหม่ 5




             นพบุรีศรีนครพิงค์


                                                                                                                                        ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปก                          ดอกไม้ประจำาจังหวัด : ดอก
         “ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า                                                                                               เกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน
                                                                                                                                                 สัญลักษณ์ประจำาจังหวัด คือ
                                                                                                                                                                                     ทองกวาว
                                                                                                                                                                                             ต้นไม้ประจำาจังหวัด : ทอง

      บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำาค่านครพิงค์”
                                                                                                                                        รูปช้างเผือกในเรือนแก้วหมายถึง               กวาว
                                                                                                                                        ความสำาคัญ 2 ประการของจังหวัด                       จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นท่ีทั้งหมด
                                                                                                                                        ซึ่งช้างเผือก คือ ช้างที่เจ้าผู้ครอง         20,107.057 ตารางกิโลเมตร หรือ
                                                                                                      คำ�ขวัญจังหวัดเชียงใหม่
                                                                                                                                        นครเชียงใหม่นำามาทูลเกล้าถวาย                ประมาณ 12,566,911ไรมพนทกวาง           ี ื้ ี่ ้
             เมืองเชียงใหม่มีชื่อปรากฏใน      พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ า โ ล ก       พระเจ้ า บรมราชาธิ บ ดี ก าวิ ล ะ              แด่ ส มเด็ จ พระพุ ท ธเลิ ศ หล้ า นภา        ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ                       สภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
      ตำานานว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียง       มหาราชไดมการทาสงคราม เพอขบ
                                                            ้ ี ำ                 ื่ ั   ก็ ไ ด้ ป ก ค ร อ ง เ มื อ ง เ ชี ย ง ใ ห ม่   ลั ย (รั ช กาลที่ 2 แห่ ง กรุ ง รั ต นโก     และเป็นอันดับ 2 ของประเทศรอง                          คือ
      ใหม” ซงเปนราชธานของอาณาจกร
           ่ ึ่ ็           ี          ั      ไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ และ            และหั ว เมื อ งต่ า งๆสื บ ต่ อ มาและ          สิ น ทร์ ) และได้ ขึ้ น ระวางเป็ น ช้ า ง    จากจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะ                                1. พื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่อยู่ทางทิศ
      ล้านนาสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1839 โดย        เชียงแสนได้สำาเร็จโดยการนำาของ             เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “รัตนติงสาอภิ-            เผือกเอกในรัชกาลส่วนเรือนแก้ว                ภู มิ ป ระเทศโดยทั่ ว ไปมี ส ภาพ                      เหนือและทิศตะวันตกของจังหวัด
      พญามังราย อดีตเชียงใหม่มีฐานะ           เจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้าน                  นวบุรีเชียงใหม่”                               คื อ ดิ น แ ด น ที่ พุ ท ธ ศ า ส น า รุ่ ง   พื้ น ที่ เ ป็ น ภู เ ขาและป่ า ละเมาะมี              คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 80% ของพื้น
      เป็นราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ซึ่ง                   จากนั้นพระบาทสมเด็จพระ                 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ                 เรืองสูงสุด                                  ที่ ร าบอยู่ ต อนกลางตามสองฟาก                        ที่จังหวัด เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำาลำาธาร
      ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย          พุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลกมหาราช              พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ได้ มี                                                    ฝั่ ง แม่ น้ำ า ปิ ง มี ภู เ ขาที่ สู ง ที่ สุ ด ใน   ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
      ประมาณ 261ปี (ระหว่าง พ.ศ.1839 -        ท ร ง พ ร ะ ก รุ ณ า โ ป ร เ ก ล้ า ฯ      การปฏิ รู ป การปกครองหั ว เมื อ ง                                                           ประเทศไทย คือดอยอินทนนท์สูง                               2.พืนทีราบลุมน้ำาและทีราบเชิงเขา
                                                                                                                                                                                                                                                   ้ ่ ่                    ่
      พ.ศ.2101) แต่ต่อมาในปี พ.ศ.2101         สถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระเจ้า            ประเทศราชโดยมี ก ารจั ด ตั้ ง การ                                                           ประมาณ 2,565.3355 เมตร อยู่ใน                         กระจายอยู่ ทั่ ว ไประหว่ า งหุ บ เขา
      เชียงใหม่ได้เสียเมืองให้แก่พระเจ้า      บรมราชาธิ บ ดี ก าวิ ล ะโดยให้ ป ก         ปกครองแบบมณฑลเทศาภิ บ าล                                                                    เขตอำาเภอจอมทอง นอกจากนี้ยังมี                        ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ได้แก่ ที่-
      บุเรงนอง กษัตริย์ของพม่า และถูก         ครองหั ว เมื อ งฝ่ า ยเหนื อ ในฐานะ        เรียกว่า“มณฑลพายัพ”หรือมณฑล                                                                 ดอยอื่ น ที่ มี ค วามสู ง รองลงมาอี ก                 ราบลุ่มน้ำาปิง ลุ่มน้ำาฝาง ลุ่มน้ำาแม่งัด
      พม่ า ปกครองนานกว่ า สองร้ อ ยปี        ประเทศราชของสยาม และราชวงศ์                ลาวเฉียง ต่อมาเชียงใหม่ได้มีการ                                                             หลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก สูง                         เป็ น พื้ น ที่ ที่ มี ค วามอุ ด มสมบู ร ณ์
      จนถึ ง สมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น   ทิ พ ย์ จั ก ราธิ ว งศ์ ห รื อ ราชวงศ์     ปรับปรุงการ ปกครองและยกฐานะ                                                                 2,285 เมตร ดอยหลวงเชียงดาวสูง                         เหมาะสมต่อการเกษตร
      มหาราชและพระบาทสมเด็ จ                  เจ้ า เจ็ ด ตนซึ่ ง เป็ น เชื้ อ สายของ    ขึ้นเป็น “จังหวัด” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476                                                      2,170 เมตร ดอยสเุ ทพสง 1,601 เมตร ู
สาวเชียงใหม่ 6                                                                                                                                                                                                                                                               สาวเชียงใหม่ 7



      ภูมิอ�ก�ศ                                                                                                                                                                               ประเพณีและวัฒนธรรม
            เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีสภาพ                                                                                                                                                             เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์
      อากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี                                                                                                                                                        ท่ี่ ย าวนานคนเชี ย งใหม่ ไ ด้ สั่ ง สม
      มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 25.4 องศาเซล                                                                                                                                                     วัฒนธรรมประเพณีสืบทอดมาจาก
      เซียส โดยมีค่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย                                                                                                                                                      บรรพบุรุษอย่างต่อเนื่อง โดยส่วน
      31.8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำาสุด                                                                                                                                                       ใหญ่มีความผูกพันกับพุทธศาสนา
      เฉลี่ย 20.1 องศาเซลเซียส มีปริมาณ                                                                                                                                                       และความเชื่ อ ดั้ ง เดิ ม ประเพณี ที่
                                                                                                                                            คำาเมือง” ซึ่งแต่ละท้องถิ่นของทาง
      น้ำาฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร                                                                                                                                                      สำาคัญ ได้แก่
                                                                                                                                            ภาคเหนือ มีคุณลักษณะของภาษาที่
      สภาพภู มิ อ ากาศจั ง หวั ด เชี ย งใหม่                                                                                                                                                  • ปีใหม่เมือง(สงกรานต์)จัดขึ้น
                                                                                                                                            คล้ายๆกัน จะแตกต่างกันเฉพาะสำา
      อยู่ภายใต้อิทธิพลมรสุม 2 ชนิด คือ                                                                                                                                                       ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน
                                                                                                                                            เนียงและศัพท์บางคำา แต่ละท้องถิ่น
      ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลม              แมงดสมบรณชล อาเภอแมแตงและ
                                                    ่ั          ู ์ ำ             ่            แม่น้ำาปิง แม่แตง แม่กวง แม่งัด แม่                                                            ของทุ ก ปี เ ป็ น ประเพณี ที่ สำ า
                                                                                                                                            ก็จะมีความไพเราะต่างกันไป นัก
      มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งภูมิ         ยังแบ่งตามพื้นที่ลุ่มน้ำาดังนี้                 แจ่ม แม่ขาน และแม่ตื่น                                                                         คัญและยิ่งใหญ่ของชาวเชียง
                                                                                                                                            ท่ อ งเที่ ย วที่ ม าจากถิ่ น อื่ น ล้ ว นชื่ น
      อากาศออกได้เป็น 3 ฤดู ได้แก่                     • ลุ่มน้ำาปิงตอนบนเป็นลุ่มน้ำาที่              •ลุ่มน้ำากกมีแม่น้ำากกเป็นแม่น้ำา                                                       ใหม่ แบ่งเป็นวันที่ 13 เป็นวันมหา             มิ ถุ น า ย น
                                                                                                                                            ชมว่า “ภาษาคำาเมืองนั้นมีความไพ
             •ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือน      สำ า คั ญ ที่ สุ ด ในภาคเหนื อ ตอนบน            สายหลัก มีต้นกำาเนิดจากภูเขาใน                                                                 สงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิ                   ที่ วั ด เจดี ย์ ห ลวงเป็ น การ บู ช าเสา
                                                                                                                                            เราะนุ่มนวลยิ่งนักแล”
      พฤษภาคมจนถึ ง เดื อ นตุ ล าคม            เป็นต้นกำาเนิดของแม่น้ำาปิงมีพื้นที่            ประเทศพม่า ไหลผ่านเมืองกก เมือง                                                                หิงค์และพิธีสรงน้ำาพระ วันที่ 14 เข้า         หลั ก เมื อ งโดยการนำ า ดอกไม้ ธู ป
                                                                                                                                            ศ�สน�
            •ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศ-      25,355.9 ตร.กม. สภาพภูมิประเทศ                  สาดประเทศพม่ า เข้ า เขตประเทศ                                                                 วัดก่อเจดีย์ทราย และวันที่ 15 เมษา            เทียนมาใส่ขันดอก
                                                                                                                                                   ประชากรจังหวัดเชียงใหม่นับ
      จิกายนไปจนถึงกลางเดือนกุมภา-             เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมีความ                   ไทยที่ ช่ อ งน้ำ า กกอำ า เภอแม่ อ าย                                                          ยน ประเพณีรดน้ำาดำาหัวผู้ใหญ่ และ             • เทศก�ลรมบอสร�งจดขนในเดอน
                                                                                                                                                                                                                                                             ่ ่ ้ ั ึ้            ื
                                                                                                                                            ถอศาสนาพทธรอยละ 91.80 ศาสนา
                                                                                                                                              ื            ุ ้
      พันธ์                                    ลาดชั น สู ง วางตั ว แนวเหนื อ -ใต้             จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ แ ล้ ว ไหลเข้ า สู่                                                     มีการเล่นสาดน้ำาตลอดช่วงเทศกาล                มกราคมของทุกปี ที่ศูนย์หัตถกรรม
                                                                                                                                            คริสต์ร้อยละ 5.60 ศาสนาอิสลาม
            •ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภา-   พื้ น ที่ ส่ ว นใหญ่ เ สี่ ย งต่ อ แผ่ น ดิ น   จั ง หวั ด เชี ย งรายก่ อ นจะไหลลงสู่                                                          •ประเพณี ยี่ เ ป็ ง จั ด ขึ้ น ในช่ ว งวั น   ทำาร่มบ่อสร้าง อำาเภอสันกำาแพง มี
                                                                                                                                            ร้อยละ 1.17 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
      พั น ธ์ ถึ ง กลางเดื อ นพฤษภาคม          ถล่ ม และการชะล้ า งพั ง ทลายของ                แ ม่ น้ำ า โ ข ง ค ร อ บ ค ลุ ม พื้ น ที่                                                      ลอยกระทงของทุ ก ปี ร าวเดื อ น                การแสดงและจำ า หน่ า ยผลิ ต ภั ณ ฑ์
                                                                                                                                            และสิกข์ร้อยละ 0.02 และอื่นๆ ร้อย
            จังหวัดเชียงใหม่มีแม่น้ำาสำาคัญ    ดินสูง ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบ                   2,773ตร.กม.                                                                                    พฤศจิกายนมีการตกแต่งบ้านเรือน                 พื้นบ้าน มีการแสดงทางวัฒนธรรม
                                                                                                                                            ละ 1.14 โดยมีสำานักสงฆ์ 471 แห่ง
      คือ แม่นาปิงและยังมีแหล่งน้าขนาด
                  ้ำ                  ำ        สะวันนา คือ มีฤดูฝนสลับกับฤดู                           • ลุ่มน้ำาฝาง มีแม่น้ำาฝางเป็น                                                         และสถานที่ ต่ า งๆด้ ว ยโคมชนิ ด              ประเพณีพื้นบ้าน
                                                                                                                                            โบสถ์คริสต์ 356 แห่ง มัสยิด 13 แห่ง
      ใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนแม่กวงอุดม         แล้งอย่างชัดเจน และยังมีลุ่มน้ำาย่อย            แม่น้ำาสายหลัก ซึ่งมีต้นกำาเนิดจาก                                                             ต่างๆ มีการปล่อยโคมลอย ลอยกระ                 • ประเพณีแห่ไม้ค้ำ�โพธิ์ จัดขึ้นใน
                                                                                                                                            และโบสถ์พราหมณ์ 3 แห่ง
      ธารา อำาเภอดอยสะเก็ด และเขื่อน           อีก 14 ลุ่มน้ำาย่อย แม่น้ำาสำาคัญ ได้แก่        ดอยขุนห้วยฝาง และดอยหัวโททาง                                                                   ทง ประกวดกระทงและนางนพมาศ                     เดือนเมษายน ในวันที่ 15 เป็นต้นไป
                                                                                               ตอนใต้ของอำาเภอไชยปราการไหล                                                                     • ประเพณีเข้าอินทขิลจัดขึ้นในช่วง            ของทุกปี ที่บริเวณตัวเมืองจอมทอง
                                                                                               ลงสู่ แ ม่ น้ำ า กกมี ค วามยาวลำ า น้ำ า                                                                    เ ดื อ น พ ฤ ษ ภ า ค ม ถึ ง      มีขบวนรถจากชุมชนห้างร้าน กลุ่ม
                                                                                               ประมาณ 70 กิโลเมตร ครอบคลุม                                                                                                                  ต่างๆกว่า 40 ขบวน แห่ไปตามเมือง
                                                                                               พนทลมนา 1,948.5ตร.กม. ในอาเภอ
                                                                                                  ื้ ี่ ุ่ ้ำ                      ำ                                                                                                        จอมทองจนถึ ง วั ด พระบรมธาตุ
                                                                                               ไชยปราการ ฝาง และแม่อาย                                                                                                                      ศรีจอมทองวรวิหาร เป็นประเพณีที่
                                                                                               ภ�ษ�                                                                                                                                         สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี ตาม
                                                                                                    ภาษาราชการที่ใช้ในจังหวัดเชียง                                                                                                          ตำานานเกิดขึ้นที่อำาเภอเภอจอมทอง
                                                                                               ใหม่ ใ ช้ ภ าษาไทยเป็ น หลั ก และมี                                                                                                          ถื อ เป็ น แห่ ง แรกของประเทศไทย
                                                                                               ภาษาท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง เรี ย กว่ า “ภาษา                                                                                                      และแห่งเดียวในโลกประเพณีแห่
                                                                                                                                                                                                                                            ไม้ ค้ำ า โพธิ์ ก ลายเป็ น ต้ น แบบของ
สาวเชียงใหม่ 8                                                                                                                                                                                                                 สาวเชียงใหม่ 9



      การแห่ไม้ค้ำาสะหลีของชาวล้านนา
      จนได้รับความนิยมไปทั่วภาคเหนือ
      และเป็ น ประเพณี ที่ เ ริ่ ม มี ชื่ อ เสี ย ง
                                                                                                                                 เสื้อผ้าแม่ญิงป่อจาย
      โด่ ง ดั ง และได้ รั บ ความนิ ย มอย่ า ง
      มาก                                                                                                                                                         ก�รแต่งก�ยช�ย
                                                                                                                                                                        เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ชายชาวล้านนานิยมการสักขาลาย ซึ่งสักขา
                                                                                                                                                                  ยาว จะเป็นการสักตั้งแต่เอวลงมาเสมอเข่าหรือต่ำากว่าเข่าเล็กน้อย
                                                                                                                                                                  ส่วนสักขาก้อม จะเป็นการสักในช่วงเอวถึงกลางขา การสักหมึก
                                                                                                                                                                  คือ การสักยันต์ด้วยหมึกดำา กล่าวกันว่าหญิงสาวจะเมินชายหนุ่ม
                                                                                                                                                                  ที่ปล่อยสะโพกขาว เพราะถือว่าเป็นคนขี้ขลาด ผ้านุ่งของชายเป็น
                                                                                                                                                                  ผ้าพื้นซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอมือเรียกว่าผ้าตาโก้ง คือ ผ้าลายดำาสลับขาว
                                                                                                                                                                  ซึ่งมีวิธีนุ่งสามแบบ คือ การนุ่งแบบปกติจะจับรวบตรงเอวแล้ว
                                                                                                                                                                  เหน็บตรงกึ่งกลาง มีบางส่วนเหลือปล่อยห้อยลงมาจากเอว อีกวิธี
                                                                                                                                                                  หนึ่ ง จั บ รวบเหน็ บ ตรงเอวส่ ว นชายอี ก ด้ า นหนึ่ ง ดึ ง ไปเหน็ บ
                                                                                                                                                                  ไว้ด้านหลังคล้ายกับนุ่งโจงกระเบน เรียกว่ นุ่งผ้าต้อย ส่วนแบบ
                                                                                                                                                                  ที่สามเป็นการนุ่งผ้าที่มุ่งความกระชับรัดกุมจนมองเห็นสะโพก
                                                                                                                                                                  ทั้งสองข้างเผยให้เห็นรอยสักได้ชัดเจน เรียกว่า เฅว็ดม่าม หรือ
                                                                                                                                                                  เฅ็ดม่ามในเมื่อต้องการความกระฉับกระเฉง สะดวกในการต่อสู้
          • งานไม้แกะสลักบ้านถวาย จัดขึ้นในเดือนมกราคม ที่หมู่บ้านถวาย อำาเภอหางดง มีการจำาหน่ายและสาธิต                                                          ทำางานขุดดิน ทำาไร่ ทำานา ขี่ควาย ในการนุ่งผ้าทั้ง ๓ แบบนี้ส่วน
      การแกะสลักไม้และหัตถกรรมพื้นบ้าน                                                                                                                            บนจะเปลือยอก ส่วนเตี่ยวหรือกางเกงที่ใช้นุ่งนั้นมีรูปแบบคล้าย
                                                                                                                                                                  กับกางเกงจีน คือ ตัวโตเป้าหลวม เมื่อตัดเย็บจะเห็นว่ามีแนว
                                                                                                                  ตะเข็บถึงห้าแนวจึงเรียกว่า “เตี่ยวห้าดูก” เตี่ยวนี้จะมีทั้งขาสั้น (ครึ่งหน้าแข้ง) ที่
                                                                                                                  เรียกว่า “เตี่ยวสะดอ” และชนิดขายาวถึงข้อเท้าเรียกว่า “เตี่ยวยาว” (มักเข้าใจกัน
                                                                                                                  ว่าเรียก “เตี่ยวสะดอ” ทั้งขาสั้นและขายาว) เตี่ยวนี้ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือ แต่
                                                                                                                  เจ้านายและผู้มีอันจะกินนั้นแม้เสื้อผ้าจะมีรูปแบบเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป
                                                                                                                  และมักจะเลือกสรรวัสดุที่ประณีต มีค่า ทั้งยังมีโอกาสใช้เส้นใยที่ทอจากต่าง
                                                                                                                  ประเทศอีกด้วยส่วนกางเกงแบบสมัยใหม่เรียว่า “เตี่ยวหลัง” ผู้ชายจะไม่สวม
                                                                                 • มหกรรมไม้ดอกไม้
                                                                                                                  เสื้อ แม้ในยามหนาวก็จะใช้ผ้าทุ้ (อ่าน ผ้าตุ๊ม)ปกคลุมร่างกาย ผ้าทุ้มนี้เป็น
                                                                              ประดั บ จั ด ขึ้ น ในอาทิ ต ย์
                                                                                                                  ที่นิยมใช้ทั้งชายและหญิง สีของผ้าย้อมมักทำาด้วยสีจากพืช เช่น คราม
                                                                                 แรกของเดือนกุมภาพันธ์
                                                                                                                  มะเกลือ หรือแก่นขนุน เป็นต้น
                                                                                  ของทุกปี บริเวณสวน
                                                                                                                           สำาหรับการสวมเสื้อนั้นมานิยมกันในตอนหลัง ซึ่งพบหลักฐาน
                                                                                 ส า ธ า ร ณ ะ บ ว ก ห า ด มี
                                                                                                                  ชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีลักษณะเป็นเสื้อคอกลมซึ่งมีอยู่ ๒ แบบ
                                                                  ข บ ว น ร ถ บุ ป ผ า ช า ติ แ ล ะ น า ง ง า ม
                                                                                                                  แบบแรกเป็ น เสื้ อ คอกลมแขนสั้ น หรื อ แขนยาวผ่ า หน้ า ตลอด
                                                                  บุปผาชาติ
สาวเชียงใหม่ 10                                                                                                                                                                                                                                             สาวเชียงใหม่ 11



      ผูกเชือกมีกระเป๋าปะทั้งสองข้าง สีของเสื้อเป็นสีขาวตุ่นขอใยฝ้าย
      มีบ้างที่ย้อมครามที่เรียกว่า “หม้อห้อม” แบบที่สอง เป็นเสื้อคอ
      กลมผ่าครึ่งอกติดกระดุมหอยสองเม็ดมีกระเป๋าหรือไม่มีก็ได้
                                                                                                                                           ค่านิยมของคนไทยพวนหาดเสี้ยว
                                                                                                                                      ในอดีต ยกย่องสตรีที่สามารถทอผ้า
                                                                                                                                      ได้ดีว่า มีคุณสมบัติของแม่บ้านแม่
                                                                                                                                                                                               ซิ่น
      ประมาณรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ชายเริ่มนิยมนุ่ง                                                                      เรือน เพราะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็น            ในเรื่องของการแต่งกายด้วยผ้าซิ่น
      กางเกงแพรจีนสีต่างๆ หรือแพรปังลิ้น และนิยมสวมเสื้อมิสสะ                                                                         หนึ่ ง ปั จ จั ย สี ที่ มี ค วามสำ า คั ญ ต่ อ   ตีนจก จึงถูกสืบสานส่งต่อไปยังรุ่น
      กีที่เป็นเสื้อตัดเย็บจากผ้ามัสลินหรือผ้าป่าน ซึ่งมีลักษณะเป็น                                                                   การดำาเนินชีวิต สังคมในสมัยก่อน                  ลูกหลาน โดยคุณสาธร โสรัจประ
      เสื้อคอกลมผ่าครึ่งอก ติดบ่าต่อมหอย คือ กระดุมหอยสอง                                                                             การผลิตปัจจัยสี่ในการดำารงชีพจะ                  สพสันติ ผู้ที่มีความชำานาญการ
      เม็ด ผ่าเฉลียงระหว่างตัวเสื้อกับแขนเพื่ิอ เพื่อให้ใส่ได้สบาย                                                                    กระทำาเองในครัวเรือนผู้หญิงจึงมัก                เรื่ อ งผ้ า และการทอผ้ า และเป็ น
      มีกระเป๋าติดตรงกลางด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีเสื้อคอกลม                                                                            หัดทอผ้าตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่สังคม                เลื อ ดเนื้ อ เชื้ อ ไขชาวไทยพวน
      หรือคอแหลมผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมหอย ใช้วิธีการตัด                                                                                ปั จ จุ บั น การทอผ้ า ใช้ เ องไม่ เ ป็ น        โดยแท้จริง
      เย็บเช่นเดียวกับเสื้อมิสสะกี แต่ที่พิเศษออกไป ก็คือ จะมี                                                                        เรื่องที่สำาคัญอีกแล้ว สาเหตุหนึ่ง
      กระเป๋าทั้งสองข้างที่เห็นแปลกออกไปบ้าง คือ เจ้านาย                                                                              มาจากการเปลี่ยนแปลงของค่า                                                              ที่ทันสมัยและอุปสงค์หรือความ
      บางท่านอาจนุ่งเตี่ยว(กางเกงเป้า                                                                                                 นิ ย มเรื่ อ งการแต่ ง กายที่ ข้ า สู่ ยุ ค                                            ต้ อ งการของผู้ ซื้ อ สิ น ค้ า ประเภท
      ยาน                                                        มิ ส สะกี ห รื อ                                                     ของสากลนิยม                                                                            ผ้าซิ่นตีนจกนั่นเอง
                                                                  เสื้อผ้าไหมสีดำาตัดคล้ายเสื้อกุย                                     มรดกทางด้านวัฒนธรรมที่ค่อยๆ                                                           คว�มเป็นม�ของผ้�ซิ่นตีนจกห�ด
                                                                   เฮงในบรรดาเจ้ า นายแล้ ว เสื้ อ ผ้ า ที่ ใ ช้ ใ นโอกาส             เลือนหายไปจากความทรงจำาของ                                                             เสี้ยว
                                                                    พิเศษหรือเป็นพิธีการจะนุ่งผ้าไหมโจงกระเบน                         คนไทยสมั ย ปั จ จุ บั น และอนาคต                                                               ผ้าซิ่นตีนจกของชาวพวนหาด
                                                                      เสื้อแขนยาวคล้าย “เสื้อพระราชทาน” มีผ้าไหม                      ข้างหน้านี้ คือ ผ้าซิ่นตีนจกของพวก                                                      เสี้ ย วนานนั บ ศตวรรษลั ก ษณะ
                                                                       คาดเอว ต่อมาได้มีการนิยมนุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อ                   พวนหาดเสยว ซงตามกฏเกณฑของ
                                                                                                                                                       ี้ ึ่                    ์                                              พิ เ ศษที่ แ ตกต่ า งจากผ้ า ซิ่ น ของ
                                                                        ราชปะแตน สวมถุงเท้ายาวสีขาว พร้อมด้วยรอง                      สิ่งที่ถูกเรียกว่า “วัฒนธรรม” ย่อมมี                                                      ชาวไทยอื่นๆ คือ รายละเอียดใน
                                                                          เท้าคัทชูสีดำา เช่นเดียวกับทางกรุงเทพฯ                      การวิ วั ฒ นาการในตั ว ของมั น เอง                                                         การออกแบบโครงสร้ า งและ
                                                                         ก�รแต่งก�ยหญิง                                               พัฒนาจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง
                                                                                ผู้หญิงนิยมเกล้ามวยสูงกลางศีรษะแล้ว                   ให้ เ หมาะสมกั บ สภาพแวดล้ อ ม
                                                                                                                                      และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป หากว่า                          ใน เข ต ตำ า บลห าดเสี้ ย ว
                                                                          ปักปิ่นหรือเสียบดอกไม้ประดับ การเปลือย
                                                                                                                                      การเปลี่ยนแปลงนั้น ตั้งมั่นอยู่บน                อำาเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
                                                                           อกของหญิงเป็นเรื่องธรรมดา ในอดีตอาจ
                                                                                                                                      รากฐานของความเชื่ อ มั่ น ศรั ท ธา               มีวัฒนธรรมการทอผ้าซิ่นตีนจกที่
                                                                            จะมี เ พี ย งผ้ า สี อ่ อ นซึ่ งมี วิธี ใ ช้ ห ลายอย่าง
                                                                                                                                      และผสมผสานไว้ซึ่งความต้องการ                     มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นมาก
                                                                             เช่น การพันผ้าไว้ใต้ทรวงอกหรือปิดอก
                                                                                                                                      ของสังคมที่อนุรักษ์วัฒนธรรมนั้น                  การผสมกลมกลื น สี ส รรของการ
                                                                              ใช้คล้องคอปล่อยชายผ้าไว้ด้าหน้าหรือ
                                                                                                                                      ไว้ลักษณะที่เป็นสิ่งเฉพาะตัวของ                  ทอผ้าซิ่นตีนจก แต่เดิมเริ่มแรกจะ
                                                                               คล้ อ งทิ้ ง ชายไปด้ า นหลั ง ใช้ ห่ ม เฉี ย ง
                                                                                                                                      สิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” จะยังคง               เปนสโทนรอน และยคสมยตอมาจง
                                                                                                                                                                                           ็ ี      ้        ุ ั ่ ึ
                                                                                แบบสไบเรียกว่า “สะหว้ายแหล้ง” หรือ
                                                                                                                                      โดดเด่ น อยู่ ใ นความรู้ สึ ก ของคน              เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงในเรื่ อ งของ
                                                                                 เบี่ยงบ้ายนุ่งผ้าซิ่นลายขวางยาวกรอม
                                                                                                                                      ทัวไป แม้วากาลเวลาจะล่วงเลยผ่าน
                                                                                                                                         ่           ่                                 ลวดลายและสีสรร
                                                                                  เท้าเรียกว่าซิ่นต่อตีนต่อแอว
                                                                                                                                      ไปก็ตามฉะนั้นการสืบทอดเจตนา                              ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการ
                                                                                                                                      รมย์ ข องบรรพบุ รุ ษ ชาวไทยพวน                   เปลยนแปลงดงกลาว คอ เทคโนโลยี
                                                                                                                                                                                            ี่          ั ่ ื
สาวเชียงใหม่ 12                                                                                                                                                                                                                                             สาวเชียงใหม่ 13




                                                                      คือ                       จก ตามภาษาพื้นบ้าน แปลว่า
                                                                     1. หัวซิ่น คือ ส่วน     “ควัก” หรือล้วงด้วยมือ เป็นเทคนิค
                                                                   บนของผ้าซิ่น              การทำาลวดลายบนผืนผ้าเป็นช่วงๆ
                                                                 2. ตัวซิ่น คือ ส่วน         ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า
                                                                กลางของผ้าซิ่น               ทำาให้สามารถสลับสีสรรลวดลาย
                                                             3. ตีนซิ่น คือ ส่วนล่าง         ได้หลากหลายสี ซึ่งอาจใช้ขนเม่น
                                                            ของผ้าซิ่น                       หรือไม่ช่วยก็ได้ เมื่อนำาความหมาย
                                                             ซึ่งวิธีการเย็บเป็นถุงข้าง      มารวมกัน ซิ่นตีนจกจึงหมายความ
                                                       เ ดี ย ว เ ส้ น ยื น ข อ ง ผ้ า จ ะ   ถึงการทำาลวดลายที่มีสีสรรงดงาม
                                                     ปรากฏเป็ น ลายขวางตรง                   บนผืนผ้า อาจจะใช้ฝ้ายหรือไหม
                                                   กลางตัวซิ่น ความยาวของผ้า                 แล้ ว นำ า มาประกอบหรื อ ต่ อ ตรง                                                                                             ท่องเที่ยวธรรมชาติ (ดอยอินทนนท์,
                                                 ซิ่นตีนจกนี้ขึ้นอยู่กับความกว้าง            ส่วนกลางของผ้าซิ่น เมื่อรวมกัน                                                                                                น้ำาพุร้อนสันกำาแพง,น้ำาตกแม่สา),
      ลวดลายบนผืนผ้า                            ของฟึม (อุปกรณ์การทอผ้า) ใน                  เป็นผืนจึงเรียกว่า “ซิ่นตีจก” ได้แก่                                                                                           สินค้าพื้นเมือง (ร่มบ่อสร้าง , เครื่อง
      ซิ่น แม้แต่ในพื้นที่ตำาบลหาด            สมั ย ก่ อ นฟึ ม ทอผ้ า มั ก หน้ า แคบ         ลายเครือน้อย, ลายเครืิอกลาง, ลาย                                                                                              เงิน, ไม้แกะสลัก, ผ้าซิ่นหรือผ้าพ้น
      เสี้ ย วเดี ย วกั น ความแตกต่ า งของ   จึงต้องใช้วิธีต่อส่วนเอวและส่วน                 เครือใหญ,่ ลายมน16, ลาย12,                                                                                                    เมือง),วัดวาอารามต่างๆ(วัดเชียงมั่น


                                                                                                                                    ความงามที่ ห ายไป
      โครงสร้ า งและลวดลายที่ ป รากฏ         ตีน เพื่อให้มีความยาวเหมาะกับการ                หน่วยตัด, ลายน้ำาอ่าง, ลายสอง                                                                                                 วัดพระสิงห์, วัดเจดีย์หลวง), อาหาร
      บนผืนผ้าจะไม่เหมือนกัน คำากล่าว        ส่วมใส่ การทอซิ่นตีนจกนี้นิยมทอ                 ท้อง, ลาย 8 ขอ, ลาย 4 ขอ                                                                                                      (น้ำาพริกอ่อง, น้ำาเงี้ยว, แกงอ่อม, แคบ
      ของผูเ้ ฒ่าผูแก่ทบอกว่า ผ้าซินตีนจก
                     ้ ี่          ่         ลวดลายโดยเฉพาะตรงส่วนกลาง                                                                                                                                                     หมู ) นอกจากนี้ ยั ง มี ภ าษาล้ า นนา
      สามารถบอกแหล่งกำาเนิดกลุ่มชน           และส่วนล่างของผ้าซิ่น ส่วนที่เป็น                                                                                                                                             หรือเรียกว่า                            “คำา
      ชาติพันธุ์ว่ามาจากกลุ่มใดหมู่บ้าน      หัวซิ่นนั้นจะเป็นผ้าพื้นธรรมดา ซึ่ง                                                         ประเทศไทยของเราเป็นประเทศ                  เชียงใหม่เป็นจังหวัดจังหวัดหนึ่ง       เมือง”                         และศิลปวัฒน
      ใดได้เป็นอย่างดี                       ให้ ป ระโยชน์ ใ นแง่ ข อง                                                              ที่ มี สิ่ ง ดี ง ามมากมายจนหลายๆ           ที่มีประวัติศาสตร์และอายุยาวนาน            ธรรมต่างๆ อีกมากมายที่ได้สืบทอด
        ในสมัยก่อนผ้าซิ่นตีนจกเป็นซิ่นที่    ความคงทนถาวร ส่วนที่                                                                   ประเทศอิจฉาคนไทย ที่คนไทยนั้น               กว่า 700 ปี นับตั้งแต่พระยามังราย          กันอย่างต่อเนื่องจากบรรพบุรุษ
      ทอขึ้ น มาไว้ ใ ช้ ใ นโอกาสพิ เ ศษ     เป็นหัวสามารถเปลี่ยนได้                                                                โชคดี เ กิ ด มาบนผื น แผ่ น ดี ที่ อุ ด ม   มหาราช ย้ายเมืองหลวง(ล้านนา)                  การแต่งกายและสิ่งที่นำามาประดับ
      เกี่ยวกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียม        ถ้าหากมีการฉีกขาด เพื่อ                                                                สมบรูณ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำาตก ภูเขา            มาอยู่ที่เชียงใหม่ เดิมนั้นเชียงใหม่       ตามร่างกายของหญิงสาวชาวเชียง
      ประเพณี ข องชาวพวนหาดเสี้ ย ว          การง่ายต่อความเข้าใจ ผ้าซิ่น                                                           ทะเล และธรรมชาติต่างๆอีกมาก                 “นพบุ รี ศ รี น ครพิ ง ค์ เ ชี ย งใหม่ ”   ใหม่ ในอดีตนั้นนับได้ว่าเป็นแฟชั่น
      เช่น งานทำาบุญ งานนักขัตฤกษ์           ตีนจกสามารถแยกแปลความ                                                                         นอกจากนี้ยังงดงามไปด้วยมิตร          จังหวัดเชียงใหม่อยู่ทางภาคเหนือ            อี ก อย่ า งหนึ่ ง ที่ ไ ด้ รั บ ความสนใจ
      งานเทศกาลและพิธีการสำาคัญ ใน           หมายได้ดังนี้ คือ                                                                      ไมตรี การแต่งกาย ศิลปวัฒนธรรม               ของประเทศไทย ปัจจุบันเชียงใหม่             จากผู้คนทั่วไปเป็นอย่างมาก เรามา
      กระบวนการทอผ้ า ทั้ ง หมดทุ ก              ซิ่น หมายถึง ผ้าที่ทอเป็นถุง                                                       ททรงคณคามาชานาน ในแตละภาค
                                                                                                                                       ี่ ุ ่ ้                    ่            จัดเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 2 รอง           ย้อนอดีตกันว่าการแต่งกายของสาว
      ประเภท ผ้าซินตีนจกเป็นสิงทีดแล้ว
                        ่         ่ ู่           ตีน หมายถึง โครงสร้างส่วน                                                          ของประเทศไทยมี วั ฒ นธรรม                   จากกรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่         เชี ย งใหม่ ห รื อ สาวล้ า นนาในอดี ต
      ประณีตงดงามที่สุด และยังแฝงไว้         ล่างที่ประกอบเป็นผ้าถุงซึ่งโดย                                                         ประเพณี ภาษา และการแต่งกายที่               มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศ           กันว่าจะเป็นอย่างไร
      ด้ ว ยความเชื่ อ ขนบธรรมเนี ย ม        ทั่วไปผ้าซิ่นตีนจกจะประกอบไป                                                           เป็ น เอกลั ก ษณ์ เ ฉพาะของแต่ ล ะ          ที่ ส ามารถดึ ง ดู ด นั ก ท่ อ งเที่ ย ว       ในอดีตสาวเชียงใหม่จะนิยมเกล้า
      ประเพณีอันดีงามของชาวพวนหาด            ด้วย 3 ส่วน คือ หัวซิ่น, ตัวซิ่น,                                                      ภาคที่ แ ตกต่ า งกั น ตามวิ ถี ชี วิ ต      จำานวนมาก และสร้างความประทับ               มวยผมและประดับด้วยดอกไม้หรือ
      เสี้ยวไว้อีกด้วย                       ตีนซิ่น                                                                                ภูมิอากาศภูมิประเทศ เป็นต้น                 ใจให้แก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน เช่น แหล่ง     ปิ่นปักผมซึ่งเดิมนั้นสาวเชียงใหม่
                                                                                                                                                                                                                           และหญิงสาวที่อาศัยอยู่ตามชนบท
สาวเชียงใหม่ 14                                                                                                                                                                                                                                         สาวเชียงใหม่ 15

                                                                                                                                                                                                                              เช่น งานปีใหม่ งานปอย เป็นต้น
      ต่างๆจะไม่สวมเสื้อ การเปลือยอก
                                                                                                                                                                                                                              ทรงผม
      ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
                                                                                                                                                                                                                                  สาวเชียงใหม่จะรวบผมเกล้ามวย
      หรืออาจมีการใช้ผ้าสีอ่อน มีวิธีการ
                                                                                                                                                                                                                              ไว้เหนือท้ายทอย หรือบริเวณท้าย
      ใช้หลายวิธี เช่น การพันผ้าไว้ใต้
                                                                                                                                                                                                                              ทอยพอดี โดยดึงผมด้านหน้าให้ตึง
      ทรวงอกหรือบริเวณปิดอก คล้อง
                                                                                                                                                                                                                              เรียบ สำาหรับมวยผมจะเสียบหย่อง
      ตรงคอ ปล่อยชายไว้ด้านหน้าหรือ
                                                                                                                                                                                                                              โลหะ(เข็มเสียบผม) ทำาด้วยโลหะ
      คล้องทิ้งชายไปด้านหลัง ห่มเฉียง
                                                                                                                                                                                                                              บิดเป็นเกลียวเล็กๆ ตัดโค้งคล้ายตัว
      แบบสไบ เรียกว่า “สะหว้ายแหล่ง
                                                                                                                                                                                                                              ยู หย่องนี้อาจทำาด้วยเงิน ทอง นาก
      หรือ เบี่ยงบ่าย” หากอากาศหนาวก็
                                                                                                                                                                                                                              หรือโลหะอื่นๆ
      จะให้ผ้าทุ้ม(ผ้าคลุมไหล่)ห่ม มีการ
                                                                                                                                    พระสงฆ์จะใส่วอม (หมวกผ้าทีไม่มี
                                                                                                                                                       ่                ่      ต่างหู เรียกว่า “ลานหู หรือ ท่อท้าง                นอกจากนี้ หญิงสาวบางคนยัง
      นุ่งผ้าซิ่งลายขวางกรอมเท้าเรียกว่า
                                                                                                                                    ปีก) ส่วนผ้าโพกศีรษะที่เรียกกันว่า         ลานหู (อ่านว่า ต้อต๊างลานหู)” ซึ่ง             เกล้าแบบชักหงีบ คือ ดึงด้านหน้า
      “ซิ่นต่อตีนต่อเอว”
                                                                                                                                    “ผ้าพอกหัว” พบว่าหญิงสาวมักจะ              หญิงสาวชาวบ้านโดยทั่วไป จะใช้                  ตรงกลางตึงเรียบ แล้วใช้นิ้วสอด
      ผ้�ซิ่น
                                                                                                                                    ใช้เพื่อการกันแดดกันลม แต่บาง              ใบลาน ม้วนกลมสอดในรูหูที่เจาะ                  สองข้าง ดึงตรงขมับให้ผมโป่งออก
           ผ้าซิ่น มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ
                                                                                                                                    เผ่ามีการตกแต่งผ้าโพกศีรษะให้มี            ไว้ นอกจากนี้ก็อาจใช้แผ่นโลหะ                  เล็กน้อยทั้งสองข้าง
      หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่นผ้าซิ่นที่
                                                                                                                                    ลวดลายที่สวยงาม บางคนอาจมี                 เช่น เงิน, ทอง, นาก, ทองเหลือง                     ช่วงต่อมามีทรงผมแบบใหม่ คือ
      ใช้ในงานปกติตัวซิ่นจะมีลายขวาง
                                                                                                                                    การแซมดอกไม้ไหวบนผ้าโพกหัว                 มาทำ า เป็ น แผ่ น โลหะคล้ า ยการทำ า          “แบบอี่ปุ่น (แบบญี่ปุ่น)” หรือแบบ
      เย็บตะเข็บเดียว ใช้สีย้อมจากมาพืช
                                                                                                                                    อีกด้วย                                    หัวแหวน แล้วปิดครอบม้วนโลหะ                    พระราชชายาฯก็ ไ ด้ รั บ ความนิ ย ม
      จากธรรมชาติ
                                                                                                                                    เข็มขัด                                    ก้านโลหะ ที่ปลายก้านมีเกียวเอาไว้              กันแพร่หลาย โดยเฉพาะเมื่อมีการ
            ตีนซิ่น (เชิงผ้าซิ่น) มักนิยมใช้   ทอมื อ มี สี ข าวตุ่ น (สี ข องฝ้ า ยพั น ธุ์       สำ�หรับเด็กหญิงส�ว จะเป็นเสื้อ
                                                                                                                                         คำาว่า “สายอิ้ง หรือ สายเอ้ง” ที่     สำ า หรั บ หมุ ด ยึ ด เครื่ อ งประดั บ หู      แต่งกายในโอกาสพิเศษ ทรงผมนี้
      ผ้ามีดำากว่าประมาณ 1 คืบ ต่อกับ          พื้นเมือง) รูปแบบของเสื้อก็มีหลาก               บ่าห้อย ตัวหลวม จะจีบห่างๆทั้ง
                                                                                                                                    แปลโดยความหมายถึง “สายรัดเอว               แบบนี้ เรียกว่า “ละคัด (อ่าน ละกั๊ด)”          จะเกล้ามวยสูงเหนือท้ายทอย ด้าน
      ส่วนชาย และส่วนที่ต่อกับเอวนิยม          หลาย ได้แก่ เสื้อคอกลม ตัวหลวม                  ด้านหน้าและด้านหลัง ใช้ผ้ากุ๊น
                                                                                                                                    หรือเข็มขัดสตรี” ซึ่งมิบอกลักษณะ           หน้ า ต้ า งเป็ น เครื่ อ งประดั บ หู ที่ มี   หน้าจะใช้หมอนหนุนผมด้านหน้า
      นำาผ้าสีขาวกว้างประมาณ 1 คืบ             แขนกระบอกต่ำา ผ่าอกตลอด หรือ                    หรือต่อขอบต่อตัวเสื้อด้านบน ส่วน
                                                                                                                                    ให้รู้ได้ชัดเจน ต่อมาในยุคหลังนิยม         ลั ก ษณะเป็ น ลายอย่ า งดอกไม้                 ให้มองดูสูงตั้ง ปักปิ่นตรงมวยด้าน
      มาต่อเช่นกัน ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ         ผ่าครึ่งอกผูกเชือก หรือติดกระดุม                แขนใช้ผ้าประมาณครึ้งนิ้วผืนตรง
                                                                                                                                    ใช้เครื่องเงินกันมากขึ้น โดยเฉพาะ          ประจำายามมีก้านสำาหรับสอดเข้าใน                ใดด้านหนึ่ง แล้วเหน็บหวีเขาควาย
      มีการพัฒนากี่กระตุกให้สามารถท่อ          บาตอมแตบ(กระดมแปบ) มกระเปา
                                                  ่ ่         ๊       ุ ๊ ี              ๋     แล้วเย็บติดกับตัวเสื้อ
                                                                                                                                    หญิงสาวนิยมใช้สายต้ายหรือต้าย              รูที่เจาะไว้
      ผ้าหน้ากว้าง คนจึงหันมานิยมนุ่ง          2 ข้าง                                          หมวก
                                                                                                                                    แอว คือ เข็มขัดเงินกว้างประมาณ 2                นอกจากนี้หญิงสาวยัง
      ซิ่นตีนลว (ผ้าซิ่นที่ทอตั้งแต่เชิงถึง    เสื้อชั้นใน                                         เมื่อออกไปทำางานนอกบ้านแล้ว
                                                                                                                                    นิ้ว ที่มีช่วงสี่เหลี่ยมเกาะเกี่ยวต่อกัน   นิ ย มสวมกำ า ไลแขนทำ า
      เอวรวดเดียวไม่มีการเย็บต่อ) และ                เสื้อชั้นในไม่มีแขนเรียกว่า“เสื้อ         ชาวล้านนาจะทือกุบ (อ่านว่า “ตือ
                                                                                                                                    เป็นเปลาะๆ ต่อมาจึงเรียกเข็มขัด            ด้วยเงิน ทอง เป็นรูป
      ยังนุ่งซิ่นที่มีเชิงเป็นลวดลายสลับ       อกหรือเสื้อบ่าห้อย” วิธีเย็บเหมือน              กุบ”) หรือ “สุบกุบ” คือ การสวม
                                                                                                                                    โดยทั่วไปว่า “สายรั้ง หรือ สายฮั้ง”        เกลี ย วหรื อ รู ป แบบ
      สี ซึ่งนิยมมาถึงปัจจุบัน ในระดับผู้      การเยบเสอหาตะเขบ (ดานหลงแยก
                                                        ็ ื้ ้         ็ ้          ั          หมวกตามลักษณะงาน เช่น ในการ
                                                                                                                                    เครื่องประดับ                              อื่ น ๆ จ ะ ส ว ม ม า ก
      ที่มีฐานะ มักจะแต่งกายเลียนแบบ           เป็น 3 เกร็ด) บางครั้งผู้สูงอายุแต่งตัว         ออกศึกจะทืบกุบ (หมวกปีกกว้าง
                                                                                                                                         หญิงสาวบ้านใดที่มีฐานะดี มัก          น้ อ ยนั้ น ขึ้ น อยู่ ต าม
      เจ้านายทั้งเสื้อผ้าและทรงผม เมื่อ        ไปวัดก็จะสวมใส่เสื้ออกและผ้าทุ้ม                สำาหรับออกศึก) เมื่อทำางานกลาง
                                                                                                                                    จะนิยมสวมสร้อยคอลูกทับ หรือ                ฐานะของผู้สวมใส่
      สามัญชนเห็นว่าสวยงาม จึงได้รับ           เฉียงบ่า                                        แดดก็จะทือกุบละแอ (สวมหมวก
                                                                                                                                    ลายดอกหมาก ทำาด้วยเงิน ทอง หรือ            และยั ง นิ ย มการ
      แบบมาแต่งกันบ้าง            ปลายสมัย            สำ�หรับผู้ใหญ่ เป็นเสื้อคอกลม            อย่างงอบปีกกว้าง) หากเมื่ออากาศ
                                                                                                                                    นาก จำานวนจะมากหรือน้อยนั้นขึ้น            สวมกำาไลข้อเท้า
      รัชการที่ 5 มีการตัดเย็บเสื้อจากผ้า      ต่ำา เว้าแขน เย็บห้าตะเข็บพอดีตัว               หนาวทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ และ
                                                                                                                                    อยู่ตามฐานะของผู้สวมใส่เอง สวม             ในโอกาศพิเศษ
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร
นิตยสาร

More Related Content

What's hot

พระนครศรีอยุธยา
พระนครศรีอยุธยาพระนครศรีอยุธยา
พระนครศรีอยุธยาPattama Poyangyuen
 
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์ไนซ์ ไนซ์
 
โครงงานประเภททฤษฏี
โครงงานประเภททฤษฏีโครงงานประเภททฤษฏี
โครงงานประเภททฤษฏีNuchy Geez
 
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรี
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรีพัฒนาการของอาณาจักรธนบุรี
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรีพัน พัน
 
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1teacherhistory
 
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1ดุซงญอ ตำบล
 
บาลี 60 80
บาลี 60 80บาลี 60 80
บาลี 60 80Rose Banioki
 
เล่มที่ 8 เมืองหลวงของประเทศในอาเซียน
เล่มที่ 8  เมืองหลวงของประเทศในอาเซียนเล่มที่ 8  เมืองหลวงของประเทศในอาเซียน
เล่มที่ 8 เมืองหลวงของประเทศในอาเซียนหรร 'ษๅ
 
08กรุงธนบุรี
08กรุงธนบุรี08กรุงธนบุรี
08กรุงธนบุรีJulPcc CR
 

What's hot (15)

พระนครศรีอยุธยา
พระนครศรีอยุธยาพระนครศรีอยุธยา
พระนครศรีอยุธยา
 
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์
วัดในบางกอก ม.๓ห้อง๙ วิชาภูมิปัญญาบางกอก อ.นภัสสรณ์
 
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยาพัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
 
โครงงานประเภททฤษฏี
โครงงานประเภททฤษฏีโครงงานประเภททฤษฏี
โครงงานประเภททฤษฏี
 
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรี
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรีพัฒนาการของอาณาจักรธนบุรี
พัฒนาการของอาณาจักรธนบุรี
 
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
 
มหาชาติ
มหาชาติมหาชาติ
มหาชาติ
 
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร1
 
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
 
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1
ข้อมูลสำคัญดุซงญอ.Pdf 1
 
มิลินทปัญหา
มิลินทปัญหามิลินทปัญหา
มิลินทปัญหา
 
บาลี 60 80
บาลี 60 80บาลี 60 80
บาลี 60 80
 
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
 
เล่มที่ 8 เมืองหลวงของประเทศในอาเซียน
เล่มที่ 8  เมืองหลวงของประเทศในอาเซียนเล่มที่ 8  เมืองหลวงของประเทศในอาเซียน
เล่มที่ 8 เมืองหลวงของประเทศในอาเซียน
 
08กรุงธนบุรี
08กรุงธนบุรี08กรุงธนบุรี
08กรุงธนบุรี
 

Similar to นิตยสาร (7)

งานนำเสนอนางสาวสิรินุช ม่วงนิล
งานนำเสนอนางสาวสิรินุช  ม่วงนิลงานนำเสนอนางสาวสิรินุช  ม่วงนิล
งานนำเสนอนางสาวสิรินุช ม่วงนิล
 
งานนำเสนอนางสาวสิรินุช ม่วงนิล
งานนำเสนอนางสาวสิรินุช  ม่วงนิลงานนำเสนอนางสาวสิรินุช  ม่วงนิล
งานนำเสนอนางสาวสิรินุช ม่วงนิล
 
Sukhothai
SukhothaiSukhothai
Sukhothai
 
Conceptของสุโขทัย
ConceptของสุโขทัยConceptของสุโขทัย
Conceptของสุโขทัย
 
ประวัติพระแก้วมรกต
ประวัติพระแก้วมรกตประวัติพระแก้วมรกต
ประวัติพระแก้วมรกต
 
เล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอีเล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอี
 
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
 

นิตยสาร

  • 1. เล่ม 1 สวเจียงใหม...่ กันยายน 2553 สาวเชียงใหม่ 1
  • 2. สาวเชียงใหม่ 2 สาวเชียงใหม่ 3 อ่านสารบัญ...เจ้า เดียวก่อน!!! มีแฮมหน้า นพบุรีศรีนครพิงค์ หน้า 4 เครื่องดื่มสุขภาพ หน้า 29 พันช์ดอกอัญชัน หน้า 29 เสื้อผ้าแม่ญิงป่อจาย หน้า 9 น้ามะเขือเทศ หน้า 30 ซิ่น หน้า 11 น้าลูกเดือยทรงเครื่อง หนา้ 31 ดื่มน้าตามกรุ๊ปเลือด หน้า 32 ความงามที่หายไป หน้า 13 “4สูตรหน้าใสง่ายๆ ทาได้ด้วยตัวเอง”หน้า 33 จ่างฟ้อนบ้านเฮา หน้า 18 ว๊าว!!!อยู่บ้านก็สวยได้ หน้า 34 ฟ้อนเล็บ หน้า 19 งามแต้ หน้า 36 ฟ้อนสาวไหม หน้า 21 อาหารเมืองเหนือ หน้า 25 “ดูดี มีสไตล์” หน้า 37 น้าพริกอ่อง หน้า 26 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หน้า 38 ขนมจีนน้าเงี้ยว หน้า 27 ข้าวแต๋น หน้า 28 วัดพระธาตุดอยสุเทพ หน้า 39
  • 3. สาวเชียงใหม่ 4 สาวเชียงใหม่ 5 นพบุรีศรีนครพิงค์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปก ดอกไม้ประจำาจังหวัด : ดอก “ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า เกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน สัญลักษณ์ประจำาจังหวัด คือ ทองกวาว ต้นไม้ประจำาจังหวัด : ทอง บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำาค่านครพิงค์” รูปช้างเผือกในเรือนแก้วหมายถึง กวาว ความสำาคัญ 2 ประการของจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นท่ีทั้งหมด ซึ่งช้างเผือก คือ ช้างที่เจ้าผู้ครอง 20,107.057 ตารางกิโลเมตร หรือ คำ�ขวัญจังหวัดเชียงใหม่ นครเชียงใหม่นำามาทูลเกล้าถวาย ประมาณ 12,566,911ไรมพนทกวาง ี ื้ ี่ ้ เมืองเชียงใหม่มีชื่อปรากฏใน พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ า โ ล ก พระเจ้ า บรมราชาธิ บ ดี ก าวิ ล ะ แด่ ส มเด็ จ พระพุ ท ธเลิ ศ หล้ า นภา ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ สภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ตำานานว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียง มหาราชไดมการทาสงคราม เพอขบ ้ ี ำ ื่ ั ก็ ไ ด้ ป ก ค ร อ ง เ มื อ ง เ ชี ย ง ใ ห ม่ ลั ย (รั ช กาลที่ 2 แห่ ง กรุ ง รั ต นโก และเป็นอันดับ 2 ของประเทศรอง คือ ใหม” ซงเปนราชธานของอาณาจกร ่ ึ่ ็ ี ั ไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ และ และหั ว เมื อ งต่ า งๆสื บ ต่ อ มาและ สิ น ทร์ ) และได้ ขึ้ น ระวางเป็ น ช้ า ง จากจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะ 1. พื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่อยู่ทางทิศ ล้านนาสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1839 โดย เชียงแสนได้สำาเร็จโดยการนำาของ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “รัตนติงสาอภิ- เผือกเอกในรัชกาลส่วนเรือนแก้ว ภู มิ ป ระเทศโดยทั่ ว ไปมี ส ภาพ เหนือและทิศตะวันตกของจังหวัด พญามังราย อดีตเชียงใหม่มีฐานะ เจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้าน นวบุรีเชียงใหม่” คื อ ดิ น แ ด น ที่ พุ ท ธ ศ า ส น า รุ่ ง พื้ น ที่ เ ป็ น ภู เ ขาและป่ า ละเมาะมี คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 80% ของพื้น เป็นราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ซึ่ง จากนั้นพระบาทสมเด็จพระ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ เรืองสูงสุด ที่ ร าบอยู่ ต อนกลางตามสองฟาก ที่จังหวัด เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำาลำาธาร ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย พุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลกมหาราช พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ได้ มี ฝั่ ง แม่ น้ำ า ปิ ง มี ภู เ ขาที่ สู ง ที่ สุ ด ใน ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ประมาณ 261ปี (ระหว่าง พ.ศ.1839 - ท ร ง พ ร ะ ก รุ ณ า โ ป ร เ ก ล้ า ฯ การปฏิ รู ป การปกครองหั ว เมื อ ง ประเทศไทย คือดอยอินทนนท์สูง 2.พืนทีราบลุมน้ำาและทีราบเชิงเขา ้ ่ ่ ่ พ.ศ.2101) แต่ต่อมาในปี พ.ศ.2101 สถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระเจ้า ประเทศราชโดยมี ก ารจั ด ตั้ ง การ ประมาณ 2,565.3355 เมตร อยู่ใน กระจายอยู่ ทั่ ว ไประหว่ า งหุ บ เขา เชียงใหม่ได้เสียเมืองให้แก่พระเจ้า บรมราชาธิ บ ดี ก าวิ ล ะโดยให้ ป ก ปกครองแบบมณฑลเทศาภิ บ าล เขตอำาเภอจอมทอง นอกจากนี้ยังมี ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ได้แก่ ที่- บุเรงนอง กษัตริย์ของพม่า และถูก ครองหั ว เมื อ งฝ่ า ยเหนื อ ในฐานะ เรียกว่า“มณฑลพายัพ”หรือมณฑล ดอยอื่ น ที่ มี ค วามสู ง รองลงมาอี ก ราบลุ่มน้ำาปิง ลุ่มน้ำาฝาง ลุ่มน้ำาแม่งัด พม่ า ปกครองนานกว่ า สองร้ อ ยปี ประเทศราชของสยาม และราชวงศ์ ลาวเฉียง ต่อมาเชียงใหม่ได้มีการ หลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก สูง เป็ น พื้ น ที่ ที่ มี ค วามอุ ด มสมบู ร ณ์ จนถึ ง สมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น ทิ พ ย์ จั ก ราธิ ว งศ์ ห รื อ ราชวงศ์ ปรับปรุงการ ปกครองและยกฐานะ 2,285 เมตร ดอยหลวงเชียงดาวสูง เหมาะสมต่อการเกษตร มหาราชและพระบาทสมเด็ จ เจ้ า เจ็ ด ตนซึ่ ง เป็ น เชื้ อ สายของ ขึ้นเป็น “จังหวัด” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 2,170 เมตร ดอยสเุ ทพสง 1,601 เมตร ู
  • 4. สาวเชียงใหม่ 6 สาวเชียงใหม่ 7 ภูมิอ�ก�ศ ประเพณีและวัฒนธรรม เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีสภาพ เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์ อากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี ท่ี่ ย าวนานคนเชี ย งใหม่ ไ ด้ สั่ ง สม มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 25.4 องศาเซล วัฒนธรรมประเพณีสืบทอดมาจาก เซียส โดยมีค่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย บรรพบุรุษอย่างต่อเนื่อง โดยส่วน 31.8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำาสุด ใหญ่มีความผูกพันกับพุทธศาสนา เฉลี่ย 20.1 องศาเซลเซียส มีปริมาณ และความเชื่ อ ดั้ ง เดิ ม ประเพณี ที่ คำาเมือง” ซึ่งแต่ละท้องถิ่นของทาง น้ำาฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร สำาคัญ ได้แก่ ภาคเหนือ มีคุณลักษณะของภาษาที่ สภาพภู มิ อ ากาศจั ง หวั ด เชี ย งใหม่ • ปีใหม่เมือง(สงกรานต์)จัดขึ้น คล้ายๆกัน จะแตกต่างกันเฉพาะสำา อยู่ภายใต้อิทธิพลมรสุม 2 ชนิด คือ ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน เนียงและศัพท์บางคำา แต่ละท้องถิ่น ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลม แมงดสมบรณชล อาเภอแมแตงและ ่ั ู ์ ำ ่ แม่น้ำาปิง แม่แตง แม่กวง แม่งัด แม่ ของทุ ก ปี เ ป็ น ประเพณี ที่ สำ า ก็จะมีความไพเราะต่างกันไป นัก มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งภูมิ ยังแบ่งตามพื้นที่ลุ่มน้ำาดังนี้ แจ่ม แม่ขาน และแม่ตื่น คัญและยิ่งใหญ่ของชาวเชียง ท่ อ งเที่ ย วที่ ม าจากถิ่ น อื่ น ล้ ว นชื่ น อากาศออกได้เป็น 3 ฤดู ได้แก่ • ลุ่มน้ำาปิงตอนบนเป็นลุ่มน้ำาที่ •ลุ่มน้ำากกมีแม่น้ำากกเป็นแม่น้ำา ใหม่ แบ่งเป็นวันที่ 13 เป็นวันมหา มิ ถุ น า ย น ชมว่า “ภาษาคำาเมืองนั้นมีความไพ •ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือน สำ า คั ญ ที่ สุ ด ในภาคเหนื อ ตอนบน สายหลัก มีต้นกำาเนิดจากภูเขาใน สงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิ ที่ วั ด เจดี ย์ ห ลวงเป็ น การ บู ช าเสา เราะนุ่มนวลยิ่งนักแล” พฤษภาคมจนถึ ง เดื อ นตุ ล าคม เป็นต้นกำาเนิดของแม่น้ำาปิงมีพื้นที่ ประเทศพม่า ไหลผ่านเมืองกก เมือง หิงค์และพิธีสรงน้ำาพระ วันที่ 14 เข้า หลั ก เมื อ งโดยการนำ า ดอกไม้ ธู ป ศ�สน� •ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศ- 25,355.9 ตร.กม. สภาพภูมิประเทศ สาดประเทศพม่ า เข้ า เขตประเทศ วัดก่อเจดีย์ทราย และวันที่ 15 เมษา เทียนมาใส่ขันดอก ประชากรจังหวัดเชียงใหม่นับ จิกายนไปจนถึงกลางเดือนกุมภา- เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมีความ ไทยที่ ช่ อ งน้ำ า กกอำ า เภอแม่ อ าย ยน ประเพณีรดน้ำาดำาหัวผู้ใหญ่ และ • เทศก�ลรมบอสร�งจดขนในเดอน ่ ่ ้ ั ึ้ ื ถอศาสนาพทธรอยละ 91.80 ศาสนา ื ุ ้ พันธ์ ลาดชั น สู ง วางตั ว แนวเหนื อ -ใต้ จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ แ ล้ ว ไหลเข้ า สู่ มีการเล่นสาดน้ำาตลอดช่วงเทศกาล มกราคมของทุกปี ที่ศูนย์หัตถกรรม คริสต์ร้อยละ 5.60 ศาสนาอิสลาม •ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภา- พื้ น ที่ ส่ ว นใหญ่ เ สี่ ย งต่ อ แผ่ น ดิ น จั ง หวั ด เชี ย งรายก่ อ นจะไหลลงสู่ •ประเพณี ยี่ เ ป็ ง จั ด ขึ้ น ในช่ ว งวั น ทำาร่มบ่อสร้าง อำาเภอสันกำาแพง มี ร้อยละ 1.17 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พั น ธ์ ถึ ง กลางเดื อ นพฤษภาคม ถล่ ม และการชะล้ า งพั ง ทลายของ แ ม่ น้ำ า โ ข ง ค ร อ บ ค ลุ ม พื้ น ที่ ลอยกระทงของทุ ก ปี ร าวเดื อ น การแสดงและจำ า หน่ า ยผลิ ต ภั ณ ฑ์ และสิกข์ร้อยละ 0.02 และอื่นๆ ร้อย จังหวัดเชียงใหม่มีแม่น้ำาสำาคัญ ดินสูง ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบ 2,773ตร.กม. พฤศจิกายนมีการตกแต่งบ้านเรือน พื้นบ้าน มีการแสดงทางวัฒนธรรม ละ 1.14 โดยมีสำานักสงฆ์ 471 แห่ง คือ แม่นาปิงและยังมีแหล่งน้าขนาด ้ำ ำ สะวันนา คือ มีฤดูฝนสลับกับฤดู • ลุ่มน้ำาฝาง มีแม่น้ำาฝางเป็น และสถานที่ ต่ า งๆด้ ว ยโคมชนิ ด ประเพณีพื้นบ้าน โบสถ์คริสต์ 356 แห่ง มัสยิด 13 แห่ง ใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนแม่กวงอุดม แล้งอย่างชัดเจน และยังมีลุ่มน้ำาย่อย แม่น้ำาสายหลัก ซึ่งมีต้นกำาเนิดจาก ต่างๆ มีการปล่อยโคมลอย ลอยกระ • ประเพณีแห่ไม้ค้ำ�โพธิ์ จัดขึ้นใน และโบสถ์พราหมณ์ 3 แห่ง ธารา อำาเภอดอยสะเก็ด และเขื่อน อีก 14 ลุ่มน้ำาย่อย แม่น้ำาสำาคัญ ได้แก่ ดอยขุนห้วยฝาง และดอยหัวโททาง ทง ประกวดกระทงและนางนพมาศ เดือนเมษายน ในวันที่ 15 เป็นต้นไป ตอนใต้ของอำาเภอไชยปราการไหล • ประเพณีเข้าอินทขิลจัดขึ้นในช่วง ของทุกปี ที่บริเวณตัวเมืองจอมทอง ลงสู่ แ ม่ น้ำ า กกมี ค วามยาวลำ า น้ำ า เ ดื อ น พ ฤ ษ ภ า ค ม ถึ ง มีขบวนรถจากชุมชนห้างร้าน กลุ่ม ประมาณ 70 กิโลเมตร ครอบคลุม ต่างๆกว่า 40 ขบวน แห่ไปตามเมือง พนทลมนา 1,948.5ตร.กม. ในอาเภอ ื้ ี่ ุ่ ้ำ ำ จอมทองจนถึ ง วั ด พระบรมธาตุ ไชยปราการ ฝาง และแม่อาย ศรีจอมทองวรวิหาร เป็นประเพณีที่ ภ�ษ� สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี ตาม ภาษาราชการที่ใช้ในจังหวัดเชียง ตำานานเกิดขึ้นที่อำาเภอเภอจอมทอง ใหม่ ใ ช้ ภ าษาไทยเป็ น หลั ก และมี ถื อ เป็ น แห่ ง แรกของประเทศไทย ภาษาท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง เรี ย กว่ า “ภาษา และแห่งเดียวในโลกประเพณีแห่ ไม้ ค้ำ า โพธิ์ ก ลายเป็ น ต้ น แบบของ
  • 5. สาวเชียงใหม่ 8 สาวเชียงใหม่ 9 การแห่ไม้ค้ำาสะหลีของชาวล้านนา จนได้รับความนิยมไปทั่วภาคเหนือ และเป็ น ประเพณี ที่ เ ริ่ ม มี ชื่ อ เสี ย ง เสื้อผ้าแม่ญิงป่อจาย โด่ ง ดั ง และได้ รั บ ความนิ ย มอย่ า ง มาก ก�รแต่งก�ยช�ย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ชายชาวล้านนานิยมการสักขาลาย ซึ่งสักขา ยาว จะเป็นการสักตั้งแต่เอวลงมาเสมอเข่าหรือต่ำากว่าเข่าเล็กน้อย ส่วนสักขาก้อม จะเป็นการสักในช่วงเอวถึงกลางขา การสักหมึก คือ การสักยันต์ด้วยหมึกดำา กล่าวกันว่าหญิงสาวจะเมินชายหนุ่ม ที่ปล่อยสะโพกขาว เพราะถือว่าเป็นคนขี้ขลาด ผ้านุ่งของชายเป็น ผ้าพื้นซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอมือเรียกว่าผ้าตาโก้ง คือ ผ้าลายดำาสลับขาว ซึ่งมีวิธีนุ่งสามแบบ คือ การนุ่งแบบปกติจะจับรวบตรงเอวแล้ว เหน็บตรงกึ่งกลาง มีบางส่วนเหลือปล่อยห้อยลงมาจากเอว อีกวิธี หนึ่ ง จั บ รวบเหน็ บ ตรงเอวส่ ว นชายอี ก ด้ า นหนึ่ ง ดึ ง ไปเหน็ บ ไว้ด้านหลังคล้ายกับนุ่งโจงกระเบน เรียกว่ นุ่งผ้าต้อย ส่วนแบบ ที่สามเป็นการนุ่งผ้าที่มุ่งความกระชับรัดกุมจนมองเห็นสะโพก ทั้งสองข้างเผยให้เห็นรอยสักได้ชัดเจน เรียกว่า เฅว็ดม่าม หรือ เฅ็ดม่ามในเมื่อต้องการความกระฉับกระเฉง สะดวกในการต่อสู้ • งานไม้แกะสลักบ้านถวาย จัดขึ้นในเดือนมกราคม ที่หมู่บ้านถวาย อำาเภอหางดง มีการจำาหน่ายและสาธิต ทำางานขุดดิน ทำาไร่ ทำานา ขี่ควาย ในการนุ่งผ้าทั้ง ๓ แบบนี้ส่วน การแกะสลักไม้และหัตถกรรมพื้นบ้าน บนจะเปลือยอก ส่วนเตี่ยวหรือกางเกงที่ใช้นุ่งนั้นมีรูปแบบคล้าย กับกางเกงจีน คือ ตัวโตเป้าหลวม เมื่อตัดเย็บจะเห็นว่ามีแนว ตะเข็บถึงห้าแนวจึงเรียกว่า “เตี่ยวห้าดูก” เตี่ยวนี้จะมีทั้งขาสั้น (ครึ่งหน้าแข้ง) ที่ เรียกว่า “เตี่ยวสะดอ” และชนิดขายาวถึงข้อเท้าเรียกว่า “เตี่ยวยาว” (มักเข้าใจกัน ว่าเรียก “เตี่ยวสะดอ” ทั้งขาสั้นและขายาว) เตี่ยวนี้ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือ แต่ เจ้านายและผู้มีอันจะกินนั้นแม้เสื้อผ้าจะมีรูปแบบเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป และมักจะเลือกสรรวัสดุที่ประณีต มีค่า ทั้งยังมีโอกาสใช้เส้นใยที่ทอจากต่าง ประเทศอีกด้วยส่วนกางเกงแบบสมัยใหม่เรียว่า “เตี่ยวหลัง” ผู้ชายจะไม่สวม • มหกรรมไม้ดอกไม้ เสื้อ แม้ในยามหนาวก็จะใช้ผ้าทุ้ (อ่าน ผ้าตุ๊ม)ปกคลุมร่างกาย ผ้าทุ้มนี้เป็น ประดั บ จั ด ขึ้ น ในอาทิ ต ย์ ที่นิยมใช้ทั้งชายและหญิง สีของผ้าย้อมมักทำาด้วยสีจากพืช เช่น คราม แรกของเดือนกุมภาพันธ์ มะเกลือ หรือแก่นขนุน เป็นต้น ของทุกปี บริเวณสวน สำาหรับการสวมเสื้อนั้นมานิยมกันในตอนหลัง ซึ่งพบหลักฐาน ส า ธ า ร ณ ะ บ ว ก ห า ด มี ชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีลักษณะเป็นเสื้อคอกลมซึ่งมีอยู่ ๒ แบบ ข บ ว น ร ถ บุ ป ผ า ช า ติ แ ล ะ น า ง ง า ม แบบแรกเป็ น เสื้ อ คอกลมแขนสั้ น หรื อ แขนยาวผ่ า หน้ า ตลอด บุปผาชาติ
  • 6. สาวเชียงใหม่ 10 สาวเชียงใหม่ 11 ผูกเชือกมีกระเป๋าปะทั้งสองข้าง สีของเสื้อเป็นสีขาวตุ่นขอใยฝ้าย มีบ้างที่ย้อมครามที่เรียกว่า “หม้อห้อม” แบบที่สอง เป็นเสื้อคอ กลมผ่าครึ่งอกติดกระดุมหอยสองเม็ดมีกระเป๋าหรือไม่มีก็ได้ ค่านิยมของคนไทยพวนหาดเสี้ยว ในอดีต ยกย่องสตรีที่สามารถทอผ้า ได้ดีว่า มีคุณสมบัติของแม่บ้านแม่ ซิ่น ประมาณรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ชายเริ่มนิยมนุ่ง เรือน เพราะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็น ในเรื่องของการแต่งกายด้วยผ้าซิ่น กางเกงแพรจีนสีต่างๆ หรือแพรปังลิ้น และนิยมสวมเสื้อมิสสะ หนึ่ ง ปั จ จั ย สี ที่ มี ค วามสำ า คั ญ ต่ อ ตีนจก จึงถูกสืบสานส่งต่อไปยังรุ่น กีที่เป็นเสื้อตัดเย็บจากผ้ามัสลินหรือผ้าป่าน ซึ่งมีลักษณะเป็น การดำาเนินชีวิต สังคมในสมัยก่อน ลูกหลาน โดยคุณสาธร โสรัจประ เสื้อคอกลมผ่าครึ่งอก ติดบ่าต่อมหอย คือ กระดุมหอยสอง การผลิตปัจจัยสี่ในการดำารงชีพจะ สพสันติ ผู้ที่มีความชำานาญการ เม็ด ผ่าเฉลียงระหว่างตัวเสื้อกับแขนเพื่ิอ เพื่อให้ใส่ได้สบาย กระทำาเองในครัวเรือนผู้หญิงจึงมัก เรื่ อ งผ้ า และการทอผ้ า และเป็ น มีกระเป๋าติดตรงกลางด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีเสื้อคอกลม หัดทอผ้าตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่สังคม เลื อ ดเนื้ อ เชื้ อ ไขชาวไทยพวน หรือคอแหลมผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมหอย ใช้วิธีการตัด ปั จ จุ บั น การทอผ้ า ใช้ เ องไม่ เ ป็ น โดยแท้จริง เย็บเช่นเดียวกับเสื้อมิสสะกี แต่ที่พิเศษออกไป ก็คือ จะมี เรื่องที่สำาคัญอีกแล้ว สาเหตุหนึ่ง กระเป๋าทั้งสองข้างที่เห็นแปลกออกไปบ้าง คือ เจ้านาย มาจากการเปลี่ยนแปลงของค่า ที่ทันสมัยและอุปสงค์หรือความ บางท่านอาจนุ่งเตี่ยว(กางเกงเป้า นิ ย มเรื่ อ งการแต่ ง กายที่ ข้ า สู่ ยุ ค ต้ อ งการของผู้ ซื้ อ สิ น ค้ า ประเภท ยาน มิ ส สะกี ห รื อ ของสากลนิยม ผ้าซิ่นตีนจกนั่นเอง เสื้อผ้าไหมสีดำาตัดคล้ายเสื้อกุย มรดกทางด้านวัฒนธรรมที่ค่อยๆ คว�มเป็นม�ของผ้�ซิ่นตีนจกห�ด เฮงในบรรดาเจ้ า นายแล้ ว เสื้ อ ผ้ า ที่ ใ ช้ ใ นโอกาส เลือนหายไปจากความทรงจำาของ เสี้ยว พิเศษหรือเป็นพิธีการจะนุ่งผ้าไหมโจงกระเบน คนไทยสมั ย ปั จ จุ บั น และอนาคต ผ้าซิ่นตีนจกของชาวพวนหาด เสื้อแขนยาวคล้าย “เสื้อพระราชทาน” มีผ้าไหม ข้างหน้านี้ คือ ผ้าซิ่นตีนจกของพวก เสี้ ย วนานนั บ ศตวรรษลั ก ษณะ คาดเอว ต่อมาได้มีการนิยมนุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อ พวนหาดเสยว ซงตามกฏเกณฑของ ี้ ึ่ ์ พิ เ ศษที่ แ ตกต่ า งจากผ้ า ซิ่ น ของ ราชปะแตน สวมถุงเท้ายาวสีขาว พร้อมด้วยรอง สิ่งที่ถูกเรียกว่า “วัฒนธรรม” ย่อมมี ชาวไทยอื่นๆ คือ รายละเอียดใน เท้าคัทชูสีดำา เช่นเดียวกับทางกรุงเทพฯ การวิ วั ฒ นาการในตั ว ของมั น เอง การออกแบบโครงสร้ า งและ ก�รแต่งก�ยหญิง พัฒนาจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง ผู้หญิงนิยมเกล้ามวยสูงกลางศีรษะแล้ว ให้ เ หมาะสมกั บ สภาพแวดล้ อ ม และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป หากว่า ใน เข ต ตำ า บลห าดเสี้ ย ว ปักปิ่นหรือเสียบดอกไม้ประดับ การเปลือย การเปลี่ยนแปลงนั้น ตั้งมั่นอยู่บน อำาเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อกของหญิงเป็นเรื่องธรรมดา ในอดีตอาจ รากฐานของความเชื่ อ มั่ น ศรั ท ธา มีวัฒนธรรมการทอผ้าซิ่นตีนจกที่ จะมี เ พี ย งผ้ า สี อ่ อ นซึ่ งมี วิธี ใ ช้ ห ลายอย่าง และผสมผสานไว้ซึ่งความต้องการ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นมาก เช่น การพันผ้าไว้ใต้ทรวงอกหรือปิดอก ของสังคมที่อนุรักษ์วัฒนธรรมนั้น การผสมกลมกลื น สี ส รรของการ ใช้คล้องคอปล่อยชายผ้าไว้ด้าหน้าหรือ ไว้ลักษณะที่เป็นสิ่งเฉพาะตัวของ ทอผ้าซิ่นตีนจก แต่เดิมเริ่มแรกจะ คล้ อ งทิ้ ง ชายไปด้ า นหลั ง ใช้ ห่ ม เฉี ย ง สิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” จะยังคง เปนสโทนรอน และยคสมยตอมาจง ็ ี ้ ุ ั ่ ึ แบบสไบเรียกว่า “สะหว้ายแหล้ง” หรือ โดดเด่ น อยู่ ใ นความรู้ สึ ก ของคน เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงในเรื่ อ งของ เบี่ยงบ้ายนุ่งผ้าซิ่นลายขวางยาวกรอม ทัวไป แม้วากาลเวลาจะล่วงเลยผ่าน ่ ่ ลวดลายและสีสรร เท้าเรียกว่าซิ่นต่อตีนต่อแอว ไปก็ตามฉะนั้นการสืบทอดเจตนา ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการ รมย์ ข องบรรพบุ รุ ษ ชาวไทยพวน เปลยนแปลงดงกลาว คอ เทคโนโลยี ี่ ั ่ ื
  • 7. สาวเชียงใหม่ 12 สาวเชียงใหม่ 13 คือ จก ตามภาษาพื้นบ้าน แปลว่า 1. หัวซิ่น คือ ส่วน “ควัก” หรือล้วงด้วยมือ เป็นเทคนิค บนของผ้าซิ่น การทำาลวดลายบนผืนผ้าเป็นช่วงๆ 2. ตัวซิ่น คือ ส่วน ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า กลางของผ้าซิ่น ทำาให้สามารถสลับสีสรรลวดลาย 3. ตีนซิ่น คือ ส่วนล่าง ได้หลากหลายสี ซึ่งอาจใช้ขนเม่น ของผ้าซิ่น หรือไม่ช่วยก็ได้ เมื่อนำาความหมาย ซึ่งวิธีการเย็บเป็นถุงข้าง มารวมกัน ซิ่นตีนจกจึงหมายความ เ ดี ย ว เ ส้ น ยื น ข อ ง ผ้ า จ ะ ถึงการทำาลวดลายที่มีสีสรรงดงาม ปรากฏเป็ น ลายขวางตรง บนผืนผ้า อาจจะใช้ฝ้ายหรือไหม กลางตัวซิ่น ความยาวของผ้า แล้ ว นำ า มาประกอบหรื อ ต่ อ ตรง ท่องเที่ยวธรรมชาติ (ดอยอินทนนท์, ซิ่นตีนจกนี้ขึ้นอยู่กับความกว้าง ส่วนกลางของผ้าซิ่น เมื่อรวมกัน น้ำาพุร้อนสันกำาแพง,น้ำาตกแม่สา), ลวดลายบนผืนผ้า ของฟึม (อุปกรณ์การทอผ้า) ใน เป็นผืนจึงเรียกว่า “ซิ่นตีจก” ได้แก่ สินค้าพื้นเมือง (ร่มบ่อสร้าง , เครื่อง ซิ่น แม้แต่ในพื้นที่ตำาบลหาด สมั ย ก่ อ นฟึ ม ทอผ้ า มั ก หน้ า แคบ ลายเครือน้อย, ลายเครืิอกลาง, ลาย เงิน, ไม้แกะสลัก, ผ้าซิ่นหรือผ้าพ้น เสี้ ย วเดี ย วกั น ความแตกต่ า งของ จึงต้องใช้วิธีต่อส่วนเอวและส่วน เครือใหญ,่ ลายมน16, ลาย12, เมือง),วัดวาอารามต่างๆ(วัดเชียงมั่น ความงามที่ ห ายไป โครงสร้ า งและลวดลายที่ ป รากฏ ตีน เพื่อให้มีความยาวเหมาะกับการ หน่วยตัด, ลายน้ำาอ่าง, ลายสอง วัดพระสิงห์, วัดเจดีย์หลวง), อาหาร บนผืนผ้าจะไม่เหมือนกัน คำากล่าว ส่วมใส่ การทอซิ่นตีนจกนี้นิยมทอ ท้อง, ลาย 8 ขอ, ลาย 4 ขอ (น้ำาพริกอ่อง, น้ำาเงี้ยว, แกงอ่อม, แคบ ของผูเ้ ฒ่าผูแก่ทบอกว่า ผ้าซินตีนจก ้ ี่ ่ ลวดลายโดยเฉพาะตรงส่วนกลาง หมู ) นอกจากนี้ ยั ง มี ภ าษาล้ า นนา สามารถบอกแหล่งกำาเนิดกลุ่มชน และส่วนล่างของผ้าซิ่น ส่วนที่เป็น หรือเรียกว่า “คำา ชาติพันธุ์ว่ามาจากกลุ่มใดหมู่บ้าน หัวซิ่นนั้นจะเป็นผ้าพื้นธรรมดา ซึ่ง ประเทศไทยของเราเป็นประเทศ เชียงใหม่เป็นจังหวัดจังหวัดหนึ่ง เมือง” และศิลปวัฒน ใดได้เป็นอย่างดี ให้ ป ระโยชน์ ใ นแง่ ข อง ที่ มี สิ่ ง ดี ง ามมากมายจนหลายๆ ที่มีประวัติศาสตร์และอายุยาวนาน ธรรมต่างๆ อีกมากมายที่ได้สืบทอด ในสมัยก่อนผ้าซิ่นตีนจกเป็นซิ่นที่ ความคงทนถาวร ส่วนที่ ประเทศอิจฉาคนไทย ที่คนไทยนั้น กว่า 700 ปี นับตั้งแต่พระยามังราย กันอย่างต่อเนื่องจากบรรพบุรุษ ทอขึ้ น มาไว้ ใ ช้ ใ นโอกาสพิ เ ศษ เป็นหัวสามารถเปลี่ยนได้ โชคดี เ กิ ด มาบนผื น แผ่ น ดี ที่ อุ ด ม มหาราช ย้ายเมืองหลวง(ล้านนา) การแต่งกายและสิ่งที่นำามาประดับ เกี่ยวกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ถ้าหากมีการฉีกขาด เพื่อ สมบรูณ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำาตก ภูเขา มาอยู่ที่เชียงใหม่ เดิมนั้นเชียงใหม่ ตามร่างกายของหญิงสาวชาวเชียง ประเพณี ข องชาวพวนหาดเสี้ ย ว การง่ายต่อความเข้าใจ ผ้าซิ่น ทะเล และธรรมชาติต่างๆอีกมาก “นพบุ รี ศ รี น ครพิ ง ค์ เ ชี ย งใหม่ ” ใหม่ ในอดีตนั้นนับได้ว่าเป็นแฟชั่น เช่น งานทำาบุญ งานนักขัตฤกษ์ ตีนจกสามารถแยกแปลความ นอกจากนี้ยังงดงามไปด้วยมิตร จังหวัดเชียงใหม่อยู่ทางภาคเหนือ อี ก อย่ า งหนึ่ ง ที่ ไ ด้ รั บ ความสนใจ งานเทศกาลและพิธีการสำาคัญ ใน หมายได้ดังนี้ คือ ไมตรี การแต่งกาย ศิลปวัฒนธรรม ของประเทศไทย ปัจจุบันเชียงใหม่ จากผู้คนทั่วไปเป็นอย่างมาก เรามา กระบวนการทอผ้ า ทั้ ง หมดทุ ก ซิ่น หมายถึง ผ้าที่ทอเป็นถุง ททรงคณคามาชานาน ในแตละภาค ี่ ุ ่ ้ ่ จัดเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 2 รอง ย้อนอดีตกันว่าการแต่งกายของสาว ประเภท ผ้าซินตีนจกเป็นสิงทีดแล้ว ่ ่ ู่ ตีน หมายถึง โครงสร้างส่วน ของประเทศไทยมี วั ฒ นธรรม จากกรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ เชี ย งใหม่ ห รื อ สาวล้ า นนาในอดี ต ประณีตงดงามที่สุด และยังแฝงไว้ ล่างที่ประกอบเป็นผ้าถุงซึ่งโดย ประเพณี ภาษา และการแต่งกายที่ มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศ กันว่าจะเป็นอย่างไร ด้ ว ยความเชื่ อ ขนบธรรมเนี ย ม ทั่วไปผ้าซิ่นตีนจกจะประกอบไป เป็ น เอกลั ก ษณ์ เ ฉพาะของแต่ ล ะ ที่ ส ามารถดึ ง ดู ด นั ก ท่ อ งเที่ ย ว ในอดีตสาวเชียงใหม่จะนิยมเกล้า ประเพณีอันดีงามของชาวพวนหาด ด้วย 3 ส่วน คือ หัวซิ่น, ตัวซิ่น, ภาคที่ แ ตกต่ า งกั น ตามวิ ถี ชี วิ ต จำานวนมาก และสร้างความประทับ มวยผมและประดับด้วยดอกไม้หรือ เสี้ยวไว้อีกด้วย ตีนซิ่น ภูมิอากาศภูมิประเทศ เป็นต้น ใจให้แก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน เช่น แหล่ง ปิ่นปักผมซึ่งเดิมนั้นสาวเชียงใหม่ และหญิงสาวที่อาศัยอยู่ตามชนบท
  • 8. สาวเชียงใหม่ 14 สาวเชียงใหม่ 15 เช่น งานปีใหม่ งานปอย เป็นต้น ต่างๆจะไม่สวมเสื้อ การเปลือยอก ทรงผม ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สาวเชียงใหม่จะรวบผมเกล้ามวย หรืออาจมีการใช้ผ้าสีอ่อน มีวิธีการ ไว้เหนือท้ายทอย หรือบริเวณท้าย ใช้หลายวิธี เช่น การพันผ้าไว้ใต้ ทอยพอดี โดยดึงผมด้านหน้าให้ตึง ทรวงอกหรือบริเวณปิดอก คล้อง เรียบ สำาหรับมวยผมจะเสียบหย่อง ตรงคอ ปล่อยชายไว้ด้านหน้าหรือ โลหะ(เข็มเสียบผม) ทำาด้วยโลหะ คล้องทิ้งชายไปด้านหลัง ห่มเฉียง บิดเป็นเกลียวเล็กๆ ตัดโค้งคล้ายตัว แบบสไบ เรียกว่า “สะหว้ายแหล่ง ยู หย่องนี้อาจทำาด้วยเงิน ทอง นาก หรือ เบี่ยงบ่าย” หากอากาศหนาวก็ หรือโลหะอื่นๆ จะให้ผ้าทุ้ม(ผ้าคลุมไหล่)ห่ม มีการ พระสงฆ์จะใส่วอม (หมวกผ้าทีไม่มี ่ ่ ต่างหู เรียกว่า “ลานหู หรือ ท่อท้าง นอกจากนี้ หญิงสาวบางคนยัง นุ่งผ้าซิ่งลายขวางกรอมเท้าเรียกว่า ปีก) ส่วนผ้าโพกศีรษะที่เรียกกันว่า ลานหู (อ่านว่า ต้อต๊างลานหู)” ซึ่ง เกล้าแบบชักหงีบ คือ ดึงด้านหน้า “ซิ่นต่อตีนต่อเอว” “ผ้าพอกหัว” พบว่าหญิงสาวมักจะ หญิงสาวชาวบ้านโดยทั่วไป จะใช้ ตรงกลางตึงเรียบ แล้วใช้นิ้วสอด ผ้�ซิ่น ใช้เพื่อการกันแดดกันลม แต่บาง ใบลาน ม้วนกลมสอดในรูหูที่เจาะ สองข้าง ดึงตรงขมับให้ผมโป่งออก ผ้าซิ่น มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ เผ่ามีการตกแต่งผ้าโพกศีรษะให้มี ไว้ นอกจากนี้ก็อาจใช้แผ่นโลหะ เล็กน้อยทั้งสองข้าง หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่นผ้าซิ่นที่ ลวดลายที่สวยงาม บางคนอาจมี เช่น เงิน, ทอง, นาก, ทองเหลือง ช่วงต่อมามีทรงผมแบบใหม่ คือ ใช้ในงานปกติตัวซิ่นจะมีลายขวาง การแซมดอกไม้ไหวบนผ้าโพกหัว มาทำ า เป็ น แผ่ น โลหะคล้ า ยการทำ า “แบบอี่ปุ่น (แบบญี่ปุ่น)” หรือแบบ เย็บตะเข็บเดียว ใช้สีย้อมจากมาพืช อีกด้วย หัวแหวน แล้วปิดครอบม้วนโลหะ พระราชชายาฯก็ ไ ด้ รั บ ความนิ ย ม จากธรรมชาติ เข็มขัด ก้านโลหะ ที่ปลายก้านมีเกียวเอาไว้ กันแพร่หลาย โดยเฉพาะเมื่อมีการ ตีนซิ่น (เชิงผ้าซิ่น) มักนิยมใช้ ทอมื อ มี สี ข าวตุ่ น (สี ข องฝ้ า ยพั น ธุ์ สำ�หรับเด็กหญิงส�ว จะเป็นเสื้อ คำาว่า “สายอิ้ง หรือ สายเอ้ง” ที่ สำ า หรั บ หมุ ด ยึ ด เครื่ อ งประดั บ หู แต่งกายในโอกาสพิเศษ ทรงผมนี้ ผ้ามีดำากว่าประมาณ 1 คืบ ต่อกับ พื้นเมือง) รูปแบบของเสื้อก็มีหลาก บ่าห้อย ตัวหลวม จะจีบห่างๆทั้ง แปลโดยความหมายถึง “สายรัดเอว แบบนี้ เรียกว่า “ละคัด (อ่าน ละกั๊ด)” จะเกล้ามวยสูงเหนือท้ายทอย ด้าน ส่วนชาย และส่วนที่ต่อกับเอวนิยม หลาย ได้แก่ เสื้อคอกลม ตัวหลวม ด้านหน้าและด้านหลัง ใช้ผ้ากุ๊น หรือเข็มขัดสตรี” ซึ่งมิบอกลักษณะ หน้ า ต้ า งเป็ น เครื่ อ งประดั บ หู ที่ มี หน้าจะใช้หมอนหนุนผมด้านหน้า นำาผ้าสีขาวกว้างประมาณ 1 คืบ แขนกระบอกต่ำา ผ่าอกตลอด หรือ หรือต่อขอบต่อตัวเสื้อด้านบน ส่วน ให้รู้ได้ชัดเจน ต่อมาในยุคหลังนิยม ลั ก ษณะเป็ น ลายอย่ า งดอกไม้ ให้มองดูสูงตั้ง ปักปิ่นตรงมวยด้าน มาต่อเช่นกัน ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ผ่าครึ่งอกผูกเชือก หรือติดกระดุม แขนใช้ผ้าประมาณครึ้งนิ้วผืนตรง ใช้เครื่องเงินกันมากขึ้น โดยเฉพาะ ประจำายามมีก้านสำาหรับสอดเข้าใน ใดด้านหนึ่ง แล้วเหน็บหวีเขาควาย มีการพัฒนากี่กระตุกให้สามารถท่อ บาตอมแตบ(กระดมแปบ) มกระเปา ่ ่ ๊ ุ ๊ ี ๋ แล้วเย็บติดกับตัวเสื้อ หญิงสาวนิยมใช้สายต้ายหรือต้าย รูที่เจาะไว้ ผ้าหน้ากว้าง คนจึงหันมานิยมนุ่ง 2 ข้าง หมวก แอว คือ เข็มขัดเงินกว้างประมาณ 2 นอกจากนี้หญิงสาวยัง ซิ่นตีนลว (ผ้าซิ่นที่ทอตั้งแต่เชิงถึง เสื้อชั้นใน เมื่อออกไปทำางานนอกบ้านแล้ว นิ้ว ที่มีช่วงสี่เหลี่ยมเกาะเกี่ยวต่อกัน นิ ย มสวมกำ า ไลแขนทำ า เอวรวดเดียวไม่มีการเย็บต่อ) และ เสื้อชั้นในไม่มีแขนเรียกว่า“เสื้อ ชาวล้านนาจะทือกุบ (อ่านว่า “ตือ เป็นเปลาะๆ ต่อมาจึงเรียกเข็มขัด ด้วยเงิน ทอง เป็นรูป ยังนุ่งซิ่นที่มีเชิงเป็นลวดลายสลับ อกหรือเสื้อบ่าห้อย” วิธีเย็บเหมือน กุบ”) หรือ “สุบกุบ” คือ การสวม โดยทั่วไปว่า “สายรั้ง หรือ สายฮั้ง” เกลี ย วหรื อ รู ป แบบ สี ซึ่งนิยมมาถึงปัจจุบัน ในระดับผู้ การเยบเสอหาตะเขบ (ดานหลงแยก ็ ื้ ้ ็ ้ ั หมวกตามลักษณะงาน เช่น ในการ เครื่องประดับ อื่ น ๆ จ ะ ส ว ม ม า ก ที่มีฐานะ มักจะแต่งกายเลียนแบบ เป็น 3 เกร็ด) บางครั้งผู้สูงอายุแต่งตัว ออกศึกจะทืบกุบ (หมวกปีกกว้าง หญิงสาวบ้านใดที่มีฐานะดี มัก น้ อ ยนั้ น ขึ้ น อยู่ ต าม เจ้านายทั้งเสื้อผ้าและทรงผม เมื่อ ไปวัดก็จะสวมใส่เสื้ออกและผ้าทุ้ม สำาหรับออกศึก) เมื่อทำางานกลาง จะนิยมสวมสร้อยคอลูกทับ หรือ ฐานะของผู้สวมใส่ สามัญชนเห็นว่าสวยงาม จึงได้รับ เฉียงบ่า แดดก็จะทือกุบละแอ (สวมหมวก ลายดอกหมาก ทำาด้วยเงิน ทอง หรือ และยั ง นิ ย มการ แบบมาแต่งกันบ้าง ปลายสมัย สำ�หรับผู้ใหญ่ เป็นเสื้อคอกลม อย่างงอบปีกกว้าง) หากเมื่ออากาศ นาก จำานวนจะมากหรือน้อยนั้นขึ้น สวมกำาไลข้อเท้า รัชการที่ 5 มีการตัดเย็บเสื้อจากผ้า ต่ำา เว้าแขน เย็บห้าตะเข็บพอดีตัว หนาวทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ และ อยู่ตามฐานะของผู้สวมใส่เอง สวม ในโอกาศพิเศษ