SlideShare a Scribd company logo
1 of 21
Download to read offline
ใช้ข้อจ�ำกัด
สร้ำงชีวิต
ไร้ขีดจ�ำกัด
STRETCH
ไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีประสบกำรณ์
ก็สร้ำงชีวิตให้ส�ำเร็จได้!
Scott Sonenshein
ใช้ข้อจำ�กัด สร้�งชีวิตไร้ขีดจำ�กัด
STRETCH
Copyright © by Scott Sonenshein
Published by arrangement with Workman Publishing Company, New York
Thai language translation copyright © 2019 by Superposition Co., Ltd.
All rights reserved.
เลขมาตรฐานสากลประจำาหนังสือ ISBN 978-6-16-810913-7
ผู้เขียน Scott Sonenshein
ผู้แปล ฐานันดร วงศ์กิตติธร
กองบรรณาธิการ จิรวรรณ วงคำาเสา, ธีร์ มีนสุข, ปิยะพงษ์ ศิริสุทธานันท์
ออกแบบปก สมเกียรติ ภูผาสิทธิ์
ราคา 240 บาท
จัดพิมพ์โดย สำานักพิมพ์บิงโก
ภายในเครือ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จำากัด (Superposition Co., Ltd.)
18 ซอยดุลิยา ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 10170
อีเมล superposition.books@gmail.com
โทรศัพท์ 094-810-7272
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/bingobooks
จัดจำาหน่ายโดย
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำากัด (มหาชน) SE-EDUCATION Public Company Limited
เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260
โทร. 0-2826-8000 โทรสาร 0-2826-8999
เว็บไซต์ www.se-ed.com
พิมพ์ที่ P.R. Color Print โทรศัพท์ 02-806-6344
หากต้องการสั่งซื้อเป็นจำานวนมาก กรุณาติดต่อรับส่วนลดได้ที่ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จำากัด
อีเมล superposition.books@gmail.com
สารบัญ
บทนํา: ฉลาดคิดในแบบของผม 1
1 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ 5
2 สิ่งที่เราไม่มี ย่อมดูดีเสมอ 25
3 ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าและสวยงาม 43
4 ออกนอกกรอบ 67
5 ถึงเวลาลงมือทํา 93
6 เชื่ออะไรก็ได้อย่างนั้น 121
7 ผสมผสาน 143
8 หลีกเลี่ยงภัยร้าย 173
9 หมั่นฝึกฝน 205
บทสรุป: จงฉลาดคิดและทํางานในแบบของตัวเอง 235
1
บทนํา
บทนํา
ฉลาดคิดในแบบของผม
วงฤดูใบไม้ผลิปี 2000 ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่จัดหางาน
ของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งในซิลิคอนวัลเลย์ทราบมาว่าเธอใช้
เวลาหลายเดือนเสาะหาคนมาทำางานในตำาแหน่งที่ว่างอยู่เมื่อเธอได้ยินว่า
ผมมีคุณสมบัติเหมาะสมเธอจึงรีบติดต่อมาตอนนั้นผมเพิ่งทำางานตำาแหน่ง
ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้แค่ปีเดียว และก็ไม่เคยรู้จัก
บริษัท Vividence มาก่อนเลย แถมผมยังไม่มีคนรู้จักอาศัยอยู่ที่ซิลิคอน
วัลเลย์สักคนเดียว แต่ใครๆ ก็รู้ดีว่าธุรกิจในย่านซิลิคอนวัลเลย์นั้น “ฮอต”
แค่ไหน ผมจึงไม่อยากปล่อยโอกาสครั้งนั้นให้หลุดมือไป
คืนก่อนวันเดินทางไปสัมภาษณ์งานผมซื้อหนังสือTheNewNew
Thing ของไมเคิล ลูอิส ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของซิลิคอนวัลเลย์มาอ่าน เพื่อ
หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับย่านธุรกิจที่ดูน่าตื่นเต้นแต่ก็น่าหวั่นเกรงอยู่บ้าง
แห่งนี้
ช่
2
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
เมื่อเดินทางไปถึงทีมงานบริษัทใช้ทุกวิถีทางหว่านล้อมให้ผมเข้า
ร่วมงานกับ Vividence ซึ่งเป็นบริษัทที่น่าจับตามองและเติบโตแบบก้าว
กระโดดทุกๆสัปดาห์จะมีผู้ร่วมงานหน้าใหม่แห่เข้ามาร่วมทีมเสมอมีขนม
ขบเคี้ยวอยู่ในตู้ใส่อาหารตลอดเวลา แถมยังมีอาหารเย็นเสิร์ฟฟรีทุกวัน
อีกต่างหาก นอกจากนี้ ผมยังได้เป็นหัวหน้าทีม ได้ตำาแหน่งที่สูงขึ้น และมี
โอกาสจะได้เป็นเศรษฐีกับเขาเสียที
แล้วแบบนี้ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ
หนึ่งเดือนให้หลัง ผมจึงเริ่มทำางานใหม่ที่ไกลจากครอบครัวและ
เพื่อนฝูงผมตื่นตาตื่นใจไปกับการเติบโตอย่างรวดเร็วและความสร้างสรรค์
ที่ไม่หยุดนิ่งในซิลิคอนวัลเลย์ ที่นี่มีปาร์ตี้แสนสนุก มีบุคลากรที่มุ่งมั่นจะ
เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งรอบตัว ตั้งแต่วิธีการที่ผู้คนใช้จ่ายเงิน ออกเดท เรียนรู้
ไปจนถึงการสื่อสารสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเงินทุนมหาศาลและเหล่าคน
ไฟแรงเช่นเดียวกับตัวผมที่หลั่งไหลเข้ามาในยุคตื่นทองครั้งใหม่นี้ ผมใช้
เงินก้อนโตซื้อหุ้นของบริษัท ไม่กังวลเลยว่าตัวเองจะไม่ได้กำาไร สิ่งเดียวที่
คิดคือกำาไรจะมาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
งานของบริษัทVividenceคือการช่วยให้ลูกค้าจัดการเว็บไซต์ของ
ตนได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย เราอยากจะเป็นบริษัท
ซอฟต์แวร์ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงมากยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เรากลับเป็นเพียงบริษัทที่ถลุงเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ไปกับเป้าหมายที่
ไม่ยั่งยืนซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเหล่าบริษัทลูกค้าของเราเลยในที่สุดกระแส
เงินก็หยุดชะงักไม่มีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาอีกเราได้แต่ดิ้นรนให้อยู่รอดใน
สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมเซ็นเช็คเปล่าให้อีกต่อไป และเราก็ล้มเหลว
ไม่เป็นท่า
3
บทนํา
เพียงไม่กี่เดือน บริษัทก็ร่วงลงจากตำาแหน่งธุรกิจสตาร์ทอัพดาว
รุ่งที่มีเงินทุนสนับสนุนกว่า50ล้านดอลลาร์จากบริษัทร่วมทุนรายใหญ่ๆสู่
บริษัทที่จำาต้องเร่งปลดพนักงานออกให้เร็วพอๆ กับตอนจ้างงาน คนเก่งๆ
และน่าคบหลายคนที่ผมรู้จักต้องหัวใจสลาย เมื่อพวกเขาต้องตัดใจทิ้งสิ่ง
ที่ตนทุ่มเทก่อร่างสร้างมาอย่างสุดกำาลังไป
ผมกลัวว่าบริษัทจะไปไม่รอด และรู้สึกกังวลเรื่องความมั่นคงใน
หน้าที่การงานของตัวเองผมจึงเข้าเว็บFuckedCompany.comอยู่บ่อยๆ
เว็บไซต์นี้ตั้งขึ้นเพื่อทำานายความล้มเหลวของบริษัทต่างๆ และวิเคราะห์
ว่าการบริหารจัดการแบบไหนที่ทำาให้บริษัทต้องปิดตัวลง เว็บไซต์นี้เคย
เตือนถึงชะตากรรมของบริษัท Vividence มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังช่วยปลอบ
ใจว่าเราไม่ใช่บริษัทเพียงแห่งเดียวที่กำาลังจมดิ่งสู่หายนะ
ผมสมัครเรียนปริญญาเอกสาขาพฤติกรรมองค์กรที่มหาวิทยาลัย
มิชิแกนพวกเขากำาลังสร้างหลักสูตรใหม่ที่เรียกว่าองค์กรเชิงบวก(Positive
Organizations)หลักสูตรดังกล่าวเน้นการดึงศักยภาพสูงสุดของผู้คนและ
องค์กรออกมา เพราะแม้ว่าความสำาเร็จในหน้าที่การงานและผลกำาไรจะ
สำาคัญ แต่การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมาย รวมถึงการได้
สร้างบริษัทที่มีคุณค่าต่อคนอื่นก็สำาคัญไม่แพ้กันในที่สุดผมจึงตอบคำาถาม
สำาคัญที่ค้างคาใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้สำาเร็จ มันคือคำาถามที่ว่า
4
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
ท�ำไมคนบำงกลุ่มหรือบริษัทบำงแห่งจึงประสบควำมส�ำเร็จได้
ด้วยต้นทุนอันน้อยนิด ในขณะที่คนและบริษัทอื่นๆ กลับ
ล้มเหลว ทั้งๆ ที่มีต้นทุนมหำศำล?
ท�ำไมคนเรำจึงหมกมุ่นอยู่กับกำรไล่ตำมสิ่งที่ตนไม่มี?
เรำจะท�ำให้องค์กรประสบควำมส�ำเร็จมีหน้ำที่กำรงำนที่ดีและ
ใช้ชีวิตอย่ำงมีควำมหมำย
ด้วยสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วได้อย่ำงไร?
ผ่านมาแล้ว 15 ปี ตั้งแต่ผมลาออกจากบริษัท Vividence แต่ผู้คนยังคง
ตกหลุมพรางเดิมๆ แบบเดียวกับที่ผมเคยเจอ
ทุกวันนี้คนเราต่างคิดว่าถ้าอยากทำาสิ่งที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องใช้เงินหรือ
กำาลังคนจำานวนมากขึ้น จนมองข้ามสิ่งมีค่าที่เรามีอยู่ไปจนหมด ผมมั่นใจ
ว่าวงจรนี้จะดำาเนินต่อไป นอกเสียจากว่าเราจะยื่นมือเข้าไปหยุดมัน
ในเนื้อหาบทต่อๆ ไป ผมจะหยิบยกความรู้จากงานวิจัยเกี่ยวกับ
วิธีทำางานอย่างชาญฉลาดที่ผมใช้เวลาศึกษาร่วมสิบปี เพื่อนำามาสอนวิธี
เพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มี ผมจะแบ่งปันแนวคิดอันทรงพลัง และทักษะที่จะ
ทำาให้คุณใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้ประสบความสำาเร็จ ทั้งยังมีความสุขมากขึ้น
ในการทำางานและการใช้ชีวิตถ้าคุณรู้จักเพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่คุณก็จะ
เปิดโอกาสไปสู่ความสำาเร็จที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง
5
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
หนึ่ง
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี
ดูใบไม้ร่วงปี 1961 วัยรุ่นใจร้อนชื่อ ดิ๊ก ได้ออกจากบ้านในเขต
ชนบทของรัฐเพนซิลเวเนียเพื่อไปศึกษาต่อณโรงเรียนเตรียมทหาร
ที่อยู่ห่างออกไป150ไมล์เขาต้องเจอกับตารางเรียนที่อัดแน่นและ
กฎที่เข้มงวดมันต่างจากวิถีชีวิตตอนที่เขายังอยู่บ้านเกิดลิบลับที่บ้านเกิด
ใครๆ ก็เรียกเขาว่า “หนุ่มนักปาร์ตี้” ฉายาที่ดูจะเหมาะสมดีกับลูกชาย
เจ้าของธุรกิจเบียร์ท้องถิ่น ซึ่งเพิ่งเริ่มทำางานในโรงเบียร์ของครอบครัวเมื่อ
ไม่นานมานี้
เมื่อพ่อแม่ของดิ๊กไปเยี่ยมเขาที่โรงเรียนประมาณ1เดือนหลังจาก
เปิดเทอมใหม่ดิ๊กอ้อนวอนให้พวกท่านพาเขากลับบ้านด้วยเขาจะได้เรียน
รู้ธุรกิจของครอบครัวเสียทีแต่พ่อแม่ปฏิเสธเพราะธุรกิจที่บ้านกำาลังประสบ
ปัญหาพวกเขาจึงหวังว่าสิ่งแวดล้อมใหม่ๆจะช่วยให้ลูกชายหันไปทำาอาชีพ
ที่มีอนาคตสดใสกว่าการทำาโรงเบียร์
ฤ
6
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
แต่ดิ๊กไม่ยอมแพ้เขาหว่านล้อมขอยืมชุดลำาลองจากภารโรงจาก
นั้นก็หนีออกจากพื้นที่กว่า40เอเคอร์ของโรงเรียนเขาขึ้นรถบัสไปลงที่เมือง
ฟิลาเดลเฟียแล้วโบกรถต่อเพื่อกลับบ้าน เขาไม่อาจทิ้งธุรกิจเบียร์ที่เขารัก
ได้จริงๆ
การหนีกลับบ้านตัวเปล่าในครั้งนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด
การใช้สิ่งที่มีอย่างชาญฉลาด จนดิ๊กสามารถพลิกฟื้นกิจการครอบครัวที่
กำาลังดิ่งลงเหวให้เป็นบริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดเจ้าหนึ่งในอเมริกาดิ๊กก้าวขึ้น
สู่ตำาแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านในขณะที่คู่แข่งของเขาผลาญสิ่งจำาเป็นที่น่า
จะใช้สร้างธุรกิจมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ได้สบายๆ ไปจนหมดสิ้น
ธุรกิจครอบครัวของดิ๊กก่อตั้งโดยต้นตระกูลชาวเยอรมันในปี1829
และดิ๊กเข้ามารับช่วงต่อจากพ่อที่กำาลังป่วยในปี1985ขณะนั้นบริษัทเบียร์
ยักษ์ใหญ่ 3 บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในอเมริกาอยู่กว่า 70% ส่วน
ธุรกิจของดิ๊กเป็นกิจการขนาดเล็กที่ผลิตเบียร์เพียง 137,000 บาร์เรลต่อปี
ซึ่งเทียบไปก็เหมือนกับเป็นเบียร์หนึ่งหยดในถังขนาด 200 ล้านบาร์เรลที่
ขายกันต่อปีในอเมริกาเท่านั้น
เมื่อต้องแข่งขันกับพี่เบิ้มเจ้าตลาด บริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่ถ้า
ไม่เลิกกิจการหรือขายกิจการให้คู่แข่ง ก็ต้องพยายามขยายธุรกิจอย่าง
รวดเร็วด้วยการซื้อบริษัทอื่น
แต่ดิ๊กไม่เลือกทั้งสองทางเขาไม่ยอมขายบริษัทตัวเองและไม่คิด
จะซื้อบริษัทใคร เขาพบทางที่ดีกว่าด้วยการนำาสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้สร้าง
ธุรกิจที่เขารักให้มั่งคั่งรุ่งเรือง
7
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
ปกติยอดขายเบียร์จะต้องพึ่งพางบการตลาดมหาศาลแต่ดิ๊กมีวิธี
ที่เหนือกว่านั้นโดยใช้งบโฆษณาเพียงน้อยนิด เขารู้ว่าโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุด
ในอเมริกาแห่งนี้มีประวัติที่น่าดึงดูดซึ่งทำาให้เบียร์ของที่นี่แตกต่างจากเบียร์
ของคู่แข่งยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ
แทนที่จะบุกตลาดให้ได้มากที่สุด ดิ๊กกลับจำากัดการขายเบียร์ไว้
แค่ในบางพื้นที่ ยิ่งเบียร์หายากก็ยิ่งกระตุ้นให้คนอยากซื้อ มีคนขับรถข้าม
เขตรัฐเพื่อมาซื้อเบียร์ ทำาให้เบียร์ของเขามีมนต์ขลังไปโดยปริยาย ลูกค้าผู้
หลงใหลเบียร์หลายคนกลายเป็นนักโฆษณาชั้นยอดให้แบบฟรีๆ บางคน
ถึงกับเรียกร้องให้บริษัทมาเปิดตลาดในพื้นที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ด้วยซำ้า
เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ดิ๊กก็กว้านซื้อของมือสองมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น
ถังเบียร์ขวดแก้วและเครื่องติดป้ายการใช้ประโยชน์จากโรงเบียร์อายุ150
กว่าปีของดิ๊กประสบผลสำาเร็จถึงขั้นสุด ในปี 1996 เขาผลิตเบียร์ได้กว่า 5
แสนบาร์เรลต่อปี เต็มขีดความสามารถที่อุปกรณ์และโรงงานที่ออกแบบ
มาให้ผลิตเบียร์ได้ 2.5 แสนบาร์เรลต่อปีจะเอื้ออำานวยแล้ว
บริษัท D. G. Yuengling & Son ของดิ๊กเติบโตจนขึ้นแท่นเป็น
บริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา“เราไม่ได้
แข่งขันเพื่อจะเป็นบริษัทเบียร์รายใหญ่ที่สุด” ดิ๊กกล่าว “เป้าหมายของเรา
คือความยั่งยืน...ลูกๆ ของผม...ตอนนี้ก็เข้ามาสานต่อธุรกิจแล้ว และเรา
หวังว่าสักวันลูกๆของพวกเธอจะสานต่อธุรกิจนี้ต่อไปแค่นี้เราก็มีความสุข
แล้ว”
8
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
นิตยสาร Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของดิ๊กที่ 2 พันล้าน
ดอลลาร์ แต่ไม่ว่าดิ๊กจะรำ่ารวยแค่ไหน เขาก็ยังคงขับรถราคาถูกและคอย
ตามปิดไฟทุกดวงที่คนเปิดทิ้งไว้ในออฟฟิศเสมอ “ใครๆ ก็ว่าผมขี้เหนียว”
ดิ๊กเล่าให้ผมฟัง “แต่ผมว่าผมแค่เป็นคนประหยัด”
“ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” คือคติประจำาใจที่ช่วยให้
ดิ๊กก่อตั้งธุรกิจที่รุ่งเรืองและยั่งยืนเขาสุขใจที่ได้ทำาธุรกิจนี้ร่วมกับลูกหลาน
อะไรกันแน่ที่ทำาให้ดิ๊กประสบความสำาเร็จและสุขใจ ในขณะที่
ผู้ผลิตเบียร์รายอื่นๆ ดิ่งลงเหว?
ในฐานะนักสังคมศาสตร์และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ ผมใช้
เวลาร่วมสิบปีศึกษาปัจจัยที่ทำาให้องค์กรประสบความสำาเร็จและบุคลากร
มีความสุขผมร่วมงานกับองค์กรต่างๆทั้งบริษัทเทคโนโลยีบริษัทพลังงาน
อุตสาหกรรมการผลิต ธนาคาร ร้านค้าปลีก ศูนย์สุขภาพ และองค์กรไม่
แสวงผลกำาไร
ผมศึกษาเหล่าผู้บริหารในบริษัทท็อป500ของโลกผมเรียนรู้จาก
เจ้าของธุรกิจ พนักงานที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และคนอื่นๆ อีกจำานวน
มาก ผมยังได้รับเกียรติเป็นอาจารย์สอนผู้คนนับพันจากทั่วทุกมุมโลก ทั้ง
ผู้บริหารวิศวกรครูอาจารย์หมอพ่อแม่วัยทำางานและคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่ม
ทำางาน
ความรู้ที่ผมได้จากงานวิจัยก็คือ ทัศนคติที่คนเรามีต่อการใช้สิ่งที่
มีอยู่นั้นส่งผลอย่างมากกับความสำาเร็จในหน้าที่การงาน ความสุข และ
ธุรกิจแต่ปัญหาก็คือคนเรามักจะประเมินคุณค่าของสิ่งใหม่ๆ สูงเกิน
จริง และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เราประเมินคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ต�่าเกิน
ไป
9
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
ไม่ว่าคุณจะกำาลังเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ ใช้ชีวิตตามปกติ
หรือสรรค์สร้างชีวิตและหน้าที่การงานให้มีความหมายงานวิจัยของผมจะ
นำาเสนอวิธีเพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่จนคุณบรรลุเป้าหมายและรู้สึกอิ่มเอม
ใจ ผมเรียกวิธีนี้ว่า “การฉลาดคิด”
ll
การฉลาดคิด คือทัศนคติและทักษะที่เราเปลี่ยนความ
ต้องการสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นการยอมรับ
และลงมือสร้างประโยชน์จากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว
ll
แต่ก่อนที่เราจะมาฉลาดคิดกันเราต้องเลิกนิสัยที่จะล่อลวงเราไป
สู่หนทางอับจนเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำาเป้าหมายสำาคัญ ไม่ว่า
จะเป็นการก่อตั้งธุรกิจหรือการทำางานการสร้างครอบครัวหรือค้นหาความ
สุขในชีวิต สัญชาตญาณของเรามักบอกว่า “ยิ่งมีมาก = ยิ่งได้มาก”
เมื่อคุณต้องทำาโปรเจกต์ให้เสร็จเร็วขึ้นเรามักคิดว่าต้องหาคนเพิ่ม
ถ้าคุณอยากมีอำานาจในที่ทำางานก็ต้องหาตำาแหน่งที่สูงขึ้นและมีห้อง
ทำางานที่ใหญ่ขึ้น หรือถ้าจะเพิ่มยอดขายสินค้าที่กำาลังเสื่อมความนิยม ก็
ต้องอัดงบการตลาดเข้าไปถ้าอยากให้นักเรียนเก่งขึ้นก็ต้องจ้างครูเพิ่มถ้า
รัฐบาลจะทำางานให้ดีก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาลหรือถ้าจะพัฒนาความ
สัมพันธ์ คุณก็คงต้องซื้อของขวัญราคาแพงไปกำานัล
10
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
วิธีคิดแบบนี้ทำาให้เราสบายใจ เพราะฟังดูเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่
ยิ่งมีมาก คุณก็ยิ่งทำาได้มากและรู้สึกดีมากกว่า แต่ไม่ว่ามันจะฟังดูน่าเชื่อ
ถือเพียงใดผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ดีอย่างที่คิดเพราะมันทำาให้เรามัวแต่วิ่งตาม
สิ่งไม่จำาเป็น และมองข้ามศักยภาพของสิ่งที่มีอยู่แล้วในมือ
ตอนที่ดิ๊กยิงกลิงขยายกิจการเบียร์ของเขาบริษัทคู่แข่งชื่อสโตรห์(Stroh)
ยังคงคิดว่า “ยิ่งมีมาก = ยิ่งได้มาก” บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1849 โดย
เบิร์นฮาร์ดสโตรห์ชาวเยอรมันอพยพบริษัทสโตรห์ตั้งอยู่ในเมืองดีทรอยต์
และเติบโตจนเป็นธุรกิจเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ในช่วงที่
รุ่งเรืองที่สุด บริษัทผลิตเบียร์ถึง 31 ล้านบาร์เรลต่อปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 3
ของอเมริกา
ปีเตอร์สโตรห์ผู้เป็นรุ่นเหลนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
และขึ้นเป็นประธานบริษัทในปี 1967
ปีเตอร์มีปรัชญาการทำาธุรกิจว่า “ถ้าไม่เติบโต ก็มีแต่จะตกต�่า”
ซึ่งแตกต่างอย่างสุดขั้วกับที่คิดว่าเราควร “ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี” ปีเตอร์
บอกกับหุ้นส่วนของเขาว่าบริษัทต้อง “ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เราต้องเข้า
ซื้อกิจการอื่นๆ” เขากู้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อทำาตามเป้าหมายนี้
คนในครอบครัวต่างกินอยู่อย่างสุขสบายถึงแม้ว่าสมาชิกครอบครัวหลาย
คนจะไม่มีตำาแหน่งในบริษัทอย่างเป็นทางการแต่ละคนก็ยังได้รับส่วนแบ่ง
รายได้กว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี (1 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) ฟรานเชส
สโตรห์เขียนไว้ในบันทึกว่า“หลายสิบปีแล้วที่คนในครอบครัวใช้ชีวิตเยี่ยง
ราชา”
11
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
ไม่ช้าบริษัทก็วิกฤติ บริษัทเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปอย่าง
รวดเร็วเพราะมีภาระหนี้สินหนักอึ้งและไม่อาจใช้ประโยชน์จากทรัพยากร
อย่างสินค้าหรือแบรนด์ในเครือได้อย่างเต็มที่ เกร็ก สโตรห์ อดีตพนักงาน
และคนในครอบครัวรุ่นที่5กล่าวว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับการ“ถือมีด
ไปดวลปืน”
สุดท้ายบริษัทก็ต้องปิดโรงเบียร์ขนาด 1 ล้านตารางฟุตในเมือง
ดีทรอยต์ลง ปีเตอร์มองไม่เห็นหนทางที่จะกู้วิกฤติครั้งนั้นได้ เขากล่าวว่า
“ไม่ว่าจะด้วยการจัดการภายในการแก้ปัญหาแรงงานวิธีไหนๆหรือแม้แต่
การลงทุนเพิ่มก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายบานปลายของโรงเบียร์เก่าล้าสมัยแห่งนี้
ไม่ได้”
หลังจากการฟื้นฟูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร สโตรห์จึงขายกิจการให้
บริษัทเบียร์อีกแห่งที่ชื่อ คัวร์ส (Coors) ในปี 1989 แต่หลังจากเซ็นสัญญา
ซื้อขายไม่นาน อัศวินขี่ม้าขาวอย่างคัวร์สก็ยกธงขาว สโตรห์จึงปิดกิจการ
ลงในอีกสิบปีต่อมา เท่ากับว่าพวกเขาสูญเสียทรัพย์สินของตระกูลมูลค่า
กว่า 9 พันล้านดอลลาร์ ดิ๊กพูดถึงเรื่องนี้ว่า “พวกเขาขยายกิจการใหญ่โต
เกินไป ในเวลาที่รวดเร็วเกินไป กลายเป็นภาระที่แบกรับไม่ไหว”
อุตสาหกรรมเบียร์ในตอนนั้นกำาลังยำ่าแย่บริษัทเบียร์ส่วนใหญ่จึง
พลาดโอกาสทองจากความล้มเหลวของสโตรห์ เว้นแต่บริษัทเดียวเท่านั้น
ดิ๊ก ยิงกลิง กระโจนเข้าคว้าโอกาส เขาซื้อโรงเบียร์ของสโตรห์ที่
เมืองแทมปารัฐฟลอริดาในราคาถูกมากโรงเบียร์แห่งใหม่นี้ช่วยดิ๊กขยาย
กิจการ ในขณะที่อดีตคู่แข่งล้มเหลวเพราะขยายตัวเกินขนาด ดิ๊กอัพเกรด
อุปกรณ์ต่างๆ ในโรงเบียร์จนกลับมาใช้งานได้ภายใน 3 เดือนด้วยต้นทุน
เสี้ยวเดียวเมื่อเทียบกับการสร้างโรงเบียร์ขึ้นใหม่ ดิ๊กทำาให้โรงเบียร์ที่เมือง
12
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
แทมปาใช้คนงานน้อยกว่าโรงเบียร์อื่นๆ ทั้งยังพัฒนาให้พนักงานเก่าของ
สโตรห์เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาติดขัดต่างๆ และเสนอไอเดียของตนเพื่อ
ทำาให้โรงเบียร์แห่งนี้ผลิตเบียร์ได้มากกว่าเดิม
สโตรห์เป็นถึงหนึ่งในสามโรงเบียร์ใหญ่ของอเมริกา มีทรัพยากร
มากมายมหาศาลดูเผินๆแล้วบริษัทควรฝ่าฟันวิกฤติธุรกิจเบียร์ในช่วงนั้น
ได้ดีกว่าบริษัทที่เล็กกว่าของดิ๊ก แต่บรรดาผู้บริหารของสโตรห์กลับใช้สิ่งที่
มีไม่เป็นจนธุรกิจยืนไม่อยู่พวกเขามัวแต่จะซื้อกิจการขยายบริษัทและดึง
เอาพนักงานมาอยู่กับตัวให้ได้มากที่สุด จนความทะเยอทะยานนั้นทำาให้
บริษัทต้องปิดตัวลง
ผมคงไม่เถียงว่าทรัพยากรนั้นเป็นสิ่งจำาเป็น เราคงประสบความสำาเร็จได้
ยาก หากขาดบุคลากรที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ และเครื่องมือ แต่
ถ้าเรามัวแต่แสวงหาสิ่งที่ไม่มีอยู่ตลอดเวลา เราก็จะใช้สิ่งที่มีอยู่ได้อย่าง
ไม่มีประสิทธิภาพและที่เลวร้ายกว่านั้นคือเราจะมองตัวเองในแง่ลบเพราะ
คิดว่าเราไม่มีอะไรเลย
ผมเรียกวิธีคิดแบบสโตรห์ว่าแนวทาง“การไล่ตาม”เหล่านักไล่ตาม
จะตีกรอบตัวเองให้คอยแต่ไล่ตามสิ่งใหม่ๆ จนมองข้ามสิ่งที่ตัวเองมี การ
ไล่ตามนั้นดูเผินๆแล้วสมเหตุสมผลดีแต่ผมจะตีแผ่อันตรายที่แฝงตัวคอย
ทำาลายความสำาเร็จและสร้างความทุกข์ใจให้คุณได้เห็นครับ
คนเรามักมองไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากการไล่ตาม เพราะคน
รอบตัวคอยบอกว่า “ยิ่งมากยิ่งดี” ในทุกเรื่องของชีวิต ผมจึงเล่าเรื่องโรง
เบียร์นี้ให้คุณเห็นว่าคนอย่างดิ๊กยิงกลิงประสบความสำาเร็จและมีความสุข
13
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
ได้ด้วยการฉลาดใช้สิ่งที่มีอยู่เขาไม่มัวหลงงมงายกับการไล่ตามวิธีของดิ๊ก
จึงแตกต่างจากนักไล่ตาม ดังนี้
ยิ่งฉลาดคิด = ยิ่งดี
เพื่อให้คุณเห็นภาพผมจะนำาเสนอผลการศึกษาและเล่าเรื่องราว
ของผู้คนที่ได้พบกับความสุขและความสำาเร็จซึ่งหาได้ยากจากการไล่ตาม
คนฉลาดคิดมักตั้งค�าถามว่า “ฉันจะใช้ต้นทุนที่มีได้อย่างไรอีกบ้าง?”
แทนที่จะคอยถามว่า ฉันยังขาดอะไรอยู่อีก?
ทําไมต้องฉลาดคิด
นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส โคลด เลวีสเตราส์ ศึกษา 2 แนวทางที่ผู้คน
ชอบใช้ทำาสิ่งต่างๆ ได้แก่
1. แนวทางก่อสร้าง หัวใจของแนวทางก่อสร้างคือการตามหา
เครื่องมือที่พวกเขาคิดว่าจำาเป็นนักไล่ตามมักใช้แนวทางนี้เพราะ
มองไม่เห็นประโยชน์อื่นๆของสิ่งที่มีอยู่ในมือดังนั้นถ้าเขาจะตอก
ตะปูที่ผนังห้อง เขาก็จะไปซื้อค้อน แต่ถ้าไม่ได้ค้อนที่มีขนาด
นำ้าหนัก และรูปทรงแบบที่ตั้งใจ เขาก็จะทำาอะไรไม่ได้ เขาจะ
เสาะหาเครื่องทุ่นแรงให้มากที่สุดแม้จะไม่จำาเป็น พอนานๆ เข้า
กล่องเครื่องมือก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนตัวเองก็จำาไม่ได้แล้วว่ามีอะไร
อยู่ในกล่องใบนั้นบ้าง
14
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
2. แนวสร้างสรรค์ เป็นแนวทางของคนฉลาดคิดแนวทางนี้เน้นให้
เราใช้สิ่งที่มีอยู่และท้าทายข้อจำากัดเดิมๆ ถ้าตรงนั้นมีก้อนหิน
คนฉลาดคิดก็จะใช้มันตอกตะปูเข้ากับผนังห้อง พวกเขายังใช้
ก้อนอิฐกระป๋องถั่วรองเท้าส้นสูงและไฟฉายหนักๆมาตอกตะปู
แทนค้อนได้อีกด้วย
ไม่ว่าคุณจะชอบก่อสร้างหรือสร้างสรรค์ คุณก็ตอกตะปูได้เหมือนกัน แต่
ผลลัพธ์นั้นต่างกันมาก แนวทางก่อสร้างนั้นฟังดูน่าทำาตาม เพราะมันคือ
สูตรสำาเร็จในการตอกตะปูคุณคงประหลาดใจถ้าเห็นช่างไม้ใช้ไม้นวดแป้ง
ตอกตะปูแต่ลองมองให้กว้างขึ้นถึงชีวิตจริงดูนะครับเราจะเหนื่อยแค่ไหน
ถ้าต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะกับแต่ละงานเท่านั้นเราต้องหมดแรงไปกับการ
หาเครื่องมือไม่ใช่การตอกตะปูผนังห้องพอไม่มีเครื่องมือเหมาะๆเราก็เจอ
ทางตัน ยิ่งถ้าคนอื่นมีเครื่องมือดีๆ เราก็ยิ่งท้อแท้และคิดว่าเราคงทำาไม่ได้
ถ้าใช้แค่เครื่องมือห่วยๆ ที่มี
แนวทางสร้างสรรค์ช่วยให้เราเลิกคิดแค่ว่าต้องใช้ค้อนเท่านั้น
คนเรามักอึดอัดใจเมื่อต้องใช้เครื่องมือที่แหวกแนว ทำาให้เราอยากไปซื้อ
ค้อนก่อน เราจะใช้อุปกรณ์อื่นก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว เช่น ตอนที่ร้าน
ขายอุปกรณ์ปิด
แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตั้งใจไม่ไปร้านขายอุปกรณ์แล้วบังคับ
ตัวเองให้ใช้สิ่งที่มี? เราจะมีชีวิตที่เปลี่ยนไป มันจะเป็นชีวิตที่แฮปปี้เพราะ
เราจะพอใจกับสิ่งที่มีและรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น ดังนั้น
การฉลาดคิดจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะข้อจ�ากัด แต่มันคือทัศนคติการ
ใช้ชีวิตที่ท�าให้เรามีความสุขด้วย
15
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
“พ่อหนุ่มรถตู้” เป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกชายคนหนึ่งด้วยความเอ็นดู หนุ่ม
คนนี้อาศัยอยู่บนรถบ้านสภาพทรุดโทรมทุกครั้งที่เครื่องยนต์มีปัญหาเขา
จะใช้เทปกาวซ่อมเพราะไม่อยากยุ่งยากและจะได้ไม่เปลืองเงิน เขาทำา
อาหารที่สุกใหม่และดีต่อสุขภาพโดยใช้เตาแบบพกพา
ในช่วงปี2015พ่อหนุ่มรถตู้จอดรถอยู่หลังถังขยะของห้างวอลมาร์ท
สาขาเมืองดันนีดิน รัฐฟลอริดา ที่นั่นสะดวกสบายมากเพราะมีร้านค้าตั้ง
อยู่ใกล้ๆในช่วงเช้าเขาจะใช้ที่นี่เป็นยิมส่วนตัวเขาใช้รางเหล็กของช่องจอด
รถเข็นชอปปิ้งเป็นบาร์โหนออกกำาลังกาย หุ่นจึงฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ และ
ถึงแม้รถตู้จะมีพื้นที่ใช้สอยไม่มาก แต่ก็ยังพอมีที่เก็บกางเกงยีนส์ตัวเก่ง
ถุงนอน และสมุดบันทึกที่เขามักเขียนในคืนที่ไม่ได้อ่านงานวรรณกรรม
ถึงแม้สภาพความเป็นอยู่จะลำาบากไปหน่อย แต่พ่อหนุ่มรถตู้ก็มี
ความสุขดี เพราะชีวิตแบบนี้ทำาให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี เขายังได้ใกล้
ชิดกับพื้นที่โล่งกว้างที่เขาชอบอีกด้วย
ลูกค้าช่างสงสัยหลายคนจอดรถดูชายแปลกๆที่อาศัยอยู่บนรถตู้
บางคนถึงกับเวทนา จึงมอบเงินหรือไม่ก็ซื้ออาหารมาให้ แต่เขามักปฏิเสธ
อย่างสุภาพเสมอและเมื่อผู้คนได้พูดคุยกับเขาพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ
กับสิ่งที่ได้รู้
พ่อหนุ่มรถตู้คนนี้ที่จริงเป็นมหาเศรษฐี เขาสามารถซื้อคฤหาสน์
สักหลังบริเวณนี้ได้ง่ายๆ แต่เขาเลือกมาอาศัยข้างๆ ร้านวอลมาร์ท เพราะ
มันช่วยให้เขาใช้สิ่งที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ “ถ้าคุณต้องอาศัยอยู่
บนรถตู้ คุณก็ต้องหัดมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี” เขากล่าว เขามีคติการใช้
ชีวิตว่า
16
ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด
ll
“ชีวิตก็เหมือนกับทะเล มีทั้งคลื่นลมที่สงบและบ้าคลั่ง
ท้ายที่สุดคุณก็ต้องหัดล่องเรือไปตามคลื่นที่ซัดมา
ไม่ว่าคลื่นนั้นจะเป็นแบบไหน”
ll
ที่จอดรถของร้านวอล์มาร์ทยังสะดวกต่อการเดินทางไปทำางานที่
ห่างออกไปเพียง 3 ไมล์เท่านั้น เขาไม่เคยอายเมื่อต้องจอดรถตู้โกโรโกโส
ข้างๆ รถสปอร์ตสุดหรูหรือรถเอสยูวีแต่งรอบคันของเพื่อนร่วมงาน ทุกวัน
หลังดื่มกาแฟที่ต้มด้วยเตาบนรถเสร็จ เขาก็จะเดินทางไปทำางานที่เด็ก
หลายๆ คนใฝ่ฝัน
Daniel Norris (1993-ปัจจุบัน)
17
เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์
พ่อหนุ่มรถตู้ที่เล่ามานี้ชื่อแดเนียลนอร์ริสเขาเป็นนักเบสบอลมือ
อาชีพระดับเมเจอร์ลีก
ในปี2011แดเนียลขึ้นแท่นเป็นนักขว้างลูกมือหนึ่งของทีมโตรอนโตบลูเจส์
เมื่อได้รับเงินโบนัสค่าเซ็นสัญญา2ล้านดอลลาร์เพื่อนร่วมทีมก็ชวนเขาไป
ช้อปปิ้งจัดเต็ม3ชั่วโมงเพื่อนๆถลุงเงินนับหมื่นไปกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ใหม่ๆ ส่วนแดเนียลนั้นซื้อเสื้อคอนเวิร์สที่ลดราคาเหลือ 14 ดอลลาร์เพียง
ตัวเดียว“ถึงเราจะมีเงินแต่เราไม่จำาเป็นต้องใช้ของหรูกว่าเดิม”แดเนียลกล่าว
แดเนียลกังวลว่าเงินจำานวนมหาศาลจะทำาให้เขาเสียคนและไขว้
เขวจากเบสบอลซึ่งเป็นงานที่เขารัก แดเนียลสั่งให้ที่ปรึกษาด้านการเงิน
ฝากเงินเข้าบัญชีของเขาเดือนละ 800 ดอลลาร์ สำาหรับใช้จ่ายในชีวิต
ประจำาวัน ส่วนเงินที่เหลือไปลงทุนแบบความเสี่ยงตำ่า เงินเดือนของเขามี
มูลค่าครึ่งหนึ่งของค่าแรงขั้นตำ่าเท่านั้นเอง
ตอนเด็กๆ แดเนียลได้แต่มองดูเพื่อนๆ เปลี่ยนถุงมือและไม้
เบสบอลใหม่ในทุกฤดูกาลแข่งตัวเขาต้องใช้อุปกรณ์เดิมๆปีแล้วปีเล่าแต่
เขาก็ไม่เคยโกรธพ่อแม่ที่ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ใหม่ให้ เขาพูดว่า “ตอนเป็น
เด็ก ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองขาดอะไร ผมค่อยๆ เรียนรู้คุณค่าของสิ่งที่มี
ผมดีใจนะที่พ่อแม่เลี้ยงดูผมมาอย่างนั้น”
ถึงแดเนียลจะมีรายได้นับล้าน แต่เขากลับทำาสิ่งที่เพื่อนร่วมทีม
คนอื่นไม่เคยแม้แต่จะคิด เขาทำางานพิเศษในช่วงนอกฤดูกาลแข่ง 40
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ร้านค้ากลางแจ้งในบ้านเกิดเขาไม่ได้ทำาเพื่อเงินแต่ทำา
เพราะสนุกกับงาน

More Related Content

More from Piyapong Sirisutthanant

ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdfตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdfตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdfตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdfตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdfตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdfตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdfตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdfตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdfตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdfฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdfPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่องตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่องPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stickตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stickPiyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวยตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวยPiyapong Sirisutthanant
 

More from Piyapong Sirisutthanant (20)

ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdfตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_พูดคุยอย่างไร ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเอง.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdfตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdfตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdfตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เธอหรือฉันใครกันที่Toxic.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdfตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_เก่งด้วยศาสตร์.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdfตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_ถ้าสอนงานแบบนี้.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdfตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_แค่มองให้เป็น.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdfตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdfตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
 
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdfฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
 
AI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่างAI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่าง
 
LHTL_Sample.pdf
LHTL_Sample.pdfLHTL_Sample.pdf
LHTL_Sample.pdf
 
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่องตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stickตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
 
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
 
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวยตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
 
You canlearnanything sample
You canlearnanything sampleYou canlearnanything sample
You canlearnanything sample
 
Successful peopleact sample
Successful peopleact sampleSuccessful peopleact sample
Successful peopleact sample
 

ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด

  • 2. ใช้ข้อจำ�กัด สร้�งชีวิตไร้ขีดจำ�กัด STRETCH Copyright © by Scott Sonenshein Published by arrangement with Workman Publishing Company, New York Thai language translation copyright © 2019 by Superposition Co., Ltd. All rights reserved. เลขมาตรฐานสากลประจำาหนังสือ ISBN 978-6-16-810913-7 ผู้เขียน Scott Sonenshein ผู้แปล ฐานันดร วงศ์กิตติธร กองบรรณาธิการ จิรวรรณ วงคำาเสา, ธีร์ มีนสุข, ปิยะพงษ์ ศิริสุทธานันท์ ออกแบบปก สมเกียรติ ภูผาสิทธิ์ ราคา 240 บาท จัดพิมพ์โดย สำานักพิมพ์บิงโก ภายในเครือ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จำากัด (Superposition Co., Ltd.) 18 ซอยดุลิยา ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 10170 อีเมล superposition.books@gmail.com โทรศัพท์ 094-810-7272 เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/bingobooks จัดจำาหน่ายโดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำากัด (มหาชน) SE-EDUCATION Public Company Limited เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทร. 0-2826-8000 โทรสาร 0-2826-8999 เว็บไซต์ www.se-ed.com พิมพ์ที่ P.R. Color Print โทรศัพท์ 02-806-6344 หากต้องการสั่งซื้อเป็นจำานวนมาก กรุณาติดต่อรับส่วนลดได้ที่ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จำากัด อีเมล superposition.books@gmail.com
  • 3. สารบัญ บทนํา: ฉลาดคิดในแบบของผม 1 1 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ 5 2 สิ่งที่เราไม่มี ย่อมดูดีเสมอ 25 3 ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าและสวยงาม 43 4 ออกนอกกรอบ 67 5 ถึงเวลาลงมือทํา 93 6 เชื่ออะไรก็ได้อย่างนั้น 121 7 ผสมผสาน 143 8 หลีกเลี่ยงภัยร้าย 173 9 หมั่นฝึกฝน 205 บทสรุป: จงฉลาดคิดและทํางานในแบบของตัวเอง 235
  • 4.
  • 5. 1 บทนํา บทนํา ฉลาดคิดในแบบของผม วงฤดูใบไม้ผลิปี 2000 ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่จัดหางาน ของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งในซิลิคอนวัลเลย์ทราบมาว่าเธอใช้ เวลาหลายเดือนเสาะหาคนมาทำางานในตำาแหน่งที่ว่างอยู่เมื่อเธอได้ยินว่า ผมมีคุณสมบัติเหมาะสมเธอจึงรีบติดต่อมาตอนนั้นผมเพิ่งทำางานตำาแหน่ง ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้แค่ปีเดียว และก็ไม่เคยรู้จัก บริษัท Vividence มาก่อนเลย แถมผมยังไม่มีคนรู้จักอาศัยอยู่ที่ซิลิคอน วัลเลย์สักคนเดียว แต่ใครๆ ก็รู้ดีว่าธุรกิจในย่านซิลิคอนวัลเลย์นั้น “ฮอต” แค่ไหน ผมจึงไม่อยากปล่อยโอกาสครั้งนั้นให้หลุดมือไป คืนก่อนวันเดินทางไปสัมภาษณ์งานผมซื้อหนังสือTheNewNew Thing ของไมเคิล ลูอิส ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของซิลิคอนวัลเลย์มาอ่าน เพื่อ หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับย่านธุรกิจที่ดูน่าตื่นเต้นแต่ก็น่าหวั่นเกรงอยู่บ้าง แห่งนี้ ช่
  • 6. 2 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด เมื่อเดินทางไปถึงทีมงานบริษัทใช้ทุกวิถีทางหว่านล้อมให้ผมเข้า ร่วมงานกับ Vividence ซึ่งเป็นบริษัทที่น่าจับตามองและเติบโตแบบก้าว กระโดดทุกๆสัปดาห์จะมีผู้ร่วมงานหน้าใหม่แห่เข้ามาร่วมทีมเสมอมีขนม ขบเคี้ยวอยู่ในตู้ใส่อาหารตลอดเวลา แถมยังมีอาหารเย็นเสิร์ฟฟรีทุกวัน อีกต่างหาก นอกจากนี้ ผมยังได้เป็นหัวหน้าทีม ได้ตำาแหน่งที่สูงขึ้น และมี โอกาสจะได้เป็นเศรษฐีกับเขาเสียที แล้วแบบนี้ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ หนึ่งเดือนให้หลัง ผมจึงเริ่มทำางานใหม่ที่ไกลจากครอบครัวและ เพื่อนฝูงผมตื่นตาตื่นใจไปกับการเติบโตอย่างรวดเร็วและความสร้างสรรค์ ที่ไม่หยุดนิ่งในซิลิคอนวัลเลย์ ที่นี่มีปาร์ตี้แสนสนุก มีบุคลากรที่มุ่งมั่นจะ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งรอบตัว ตั้งแต่วิธีการที่ผู้คนใช้จ่ายเงิน ออกเดท เรียนรู้ ไปจนถึงการสื่อสารสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเงินทุนมหาศาลและเหล่าคน ไฟแรงเช่นเดียวกับตัวผมที่หลั่งไหลเข้ามาในยุคตื่นทองครั้งใหม่นี้ ผมใช้ เงินก้อนโตซื้อหุ้นของบริษัท ไม่กังวลเลยว่าตัวเองจะไม่ได้กำาไร สิ่งเดียวที่ คิดคือกำาไรจะมาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง งานของบริษัทVividenceคือการช่วยให้ลูกค้าจัดการเว็บไซต์ของ ตนได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย เราอยากจะเป็นบริษัท ซอฟต์แวร์ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงมากยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรากลับเป็นเพียงบริษัทที่ถลุงเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ไปกับเป้าหมายที่ ไม่ยั่งยืนซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเหล่าบริษัทลูกค้าของเราเลยในที่สุดกระแส เงินก็หยุดชะงักไม่มีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาอีกเราได้แต่ดิ้นรนให้อยู่รอดใน สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมเซ็นเช็คเปล่าให้อีกต่อไป และเราก็ล้มเหลว ไม่เป็นท่า
  • 7. 3 บทนํา เพียงไม่กี่เดือน บริษัทก็ร่วงลงจากตำาแหน่งธุรกิจสตาร์ทอัพดาว รุ่งที่มีเงินทุนสนับสนุนกว่า50ล้านดอลลาร์จากบริษัทร่วมทุนรายใหญ่ๆสู่ บริษัทที่จำาต้องเร่งปลดพนักงานออกให้เร็วพอๆ กับตอนจ้างงาน คนเก่งๆ และน่าคบหลายคนที่ผมรู้จักต้องหัวใจสลาย เมื่อพวกเขาต้องตัดใจทิ้งสิ่ง ที่ตนทุ่มเทก่อร่างสร้างมาอย่างสุดกำาลังไป ผมกลัวว่าบริษัทจะไปไม่รอด และรู้สึกกังวลเรื่องความมั่นคงใน หน้าที่การงานของตัวเองผมจึงเข้าเว็บFuckedCompany.comอยู่บ่อยๆ เว็บไซต์นี้ตั้งขึ้นเพื่อทำานายความล้มเหลวของบริษัทต่างๆ และวิเคราะห์ ว่าการบริหารจัดการแบบไหนที่ทำาให้บริษัทต้องปิดตัวลง เว็บไซต์นี้เคย เตือนถึงชะตากรรมของบริษัท Vividence มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังช่วยปลอบ ใจว่าเราไม่ใช่บริษัทเพียงแห่งเดียวที่กำาลังจมดิ่งสู่หายนะ ผมสมัครเรียนปริญญาเอกสาขาพฤติกรรมองค์กรที่มหาวิทยาลัย มิชิแกนพวกเขากำาลังสร้างหลักสูตรใหม่ที่เรียกว่าองค์กรเชิงบวก(Positive Organizations)หลักสูตรดังกล่าวเน้นการดึงศักยภาพสูงสุดของผู้คนและ องค์กรออกมา เพราะแม้ว่าความสำาเร็จในหน้าที่การงานและผลกำาไรจะ สำาคัญ แต่การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมาย รวมถึงการได้ สร้างบริษัทที่มีคุณค่าต่อคนอื่นก็สำาคัญไม่แพ้กันในที่สุดผมจึงตอบคำาถาม สำาคัญที่ค้างคาใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้สำาเร็จ มันคือคำาถามที่ว่า
  • 8. 4 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด ท�ำไมคนบำงกลุ่มหรือบริษัทบำงแห่งจึงประสบควำมส�ำเร็จได้ ด้วยต้นทุนอันน้อยนิด ในขณะที่คนและบริษัทอื่นๆ กลับ ล้มเหลว ทั้งๆ ที่มีต้นทุนมหำศำล? ท�ำไมคนเรำจึงหมกมุ่นอยู่กับกำรไล่ตำมสิ่งที่ตนไม่มี? เรำจะท�ำให้องค์กรประสบควำมส�ำเร็จมีหน้ำที่กำรงำนที่ดีและ ใช้ชีวิตอย่ำงมีควำมหมำย ด้วยสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วได้อย่ำงไร? ผ่านมาแล้ว 15 ปี ตั้งแต่ผมลาออกจากบริษัท Vividence แต่ผู้คนยังคง ตกหลุมพรางเดิมๆ แบบเดียวกับที่ผมเคยเจอ ทุกวันนี้คนเราต่างคิดว่าถ้าอยากทำาสิ่งที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องใช้เงินหรือ กำาลังคนจำานวนมากขึ้น จนมองข้ามสิ่งมีค่าที่เรามีอยู่ไปจนหมด ผมมั่นใจ ว่าวงจรนี้จะดำาเนินต่อไป นอกเสียจากว่าเราจะยื่นมือเข้าไปหยุดมัน ในเนื้อหาบทต่อๆ ไป ผมจะหยิบยกความรู้จากงานวิจัยเกี่ยวกับ วิธีทำางานอย่างชาญฉลาดที่ผมใช้เวลาศึกษาร่วมสิบปี เพื่อนำามาสอนวิธี เพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มี ผมจะแบ่งปันแนวคิดอันทรงพลัง และทักษะที่จะ ทำาให้คุณใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้ประสบความสำาเร็จ ทั้งยังมีความสุขมากขึ้น ในการทำางานและการใช้ชีวิตถ้าคุณรู้จักเพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่คุณก็จะ เปิดโอกาสไปสู่ความสำาเร็จที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง
  • 9. 5 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ หนึ่ง เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี ดูใบไม้ร่วงปี 1961 วัยรุ่นใจร้อนชื่อ ดิ๊ก ได้ออกจากบ้านในเขต ชนบทของรัฐเพนซิลเวเนียเพื่อไปศึกษาต่อณโรงเรียนเตรียมทหาร ที่อยู่ห่างออกไป150ไมล์เขาต้องเจอกับตารางเรียนที่อัดแน่นและ กฎที่เข้มงวดมันต่างจากวิถีชีวิตตอนที่เขายังอยู่บ้านเกิดลิบลับที่บ้านเกิด ใครๆ ก็เรียกเขาว่า “หนุ่มนักปาร์ตี้” ฉายาที่ดูจะเหมาะสมดีกับลูกชาย เจ้าของธุรกิจเบียร์ท้องถิ่น ซึ่งเพิ่งเริ่มทำางานในโรงเบียร์ของครอบครัวเมื่อ ไม่นานมานี้ เมื่อพ่อแม่ของดิ๊กไปเยี่ยมเขาที่โรงเรียนประมาณ1เดือนหลังจาก เปิดเทอมใหม่ดิ๊กอ้อนวอนให้พวกท่านพาเขากลับบ้านด้วยเขาจะได้เรียน รู้ธุรกิจของครอบครัวเสียทีแต่พ่อแม่ปฏิเสธเพราะธุรกิจที่บ้านกำาลังประสบ ปัญหาพวกเขาจึงหวังว่าสิ่งแวดล้อมใหม่ๆจะช่วยให้ลูกชายหันไปทำาอาชีพ ที่มีอนาคตสดใสกว่าการทำาโรงเบียร์ ฤ
  • 10. 6 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด แต่ดิ๊กไม่ยอมแพ้เขาหว่านล้อมขอยืมชุดลำาลองจากภารโรงจาก นั้นก็หนีออกจากพื้นที่กว่า40เอเคอร์ของโรงเรียนเขาขึ้นรถบัสไปลงที่เมือง ฟิลาเดลเฟียแล้วโบกรถต่อเพื่อกลับบ้าน เขาไม่อาจทิ้งธุรกิจเบียร์ที่เขารัก ได้จริงๆ การหนีกลับบ้านตัวเปล่าในครั้งนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด การใช้สิ่งที่มีอย่างชาญฉลาด จนดิ๊กสามารถพลิกฟื้นกิจการครอบครัวที่ กำาลังดิ่งลงเหวให้เป็นบริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดเจ้าหนึ่งในอเมริกาดิ๊กก้าวขึ้น สู่ตำาแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านในขณะที่คู่แข่งของเขาผลาญสิ่งจำาเป็นที่น่า จะใช้สร้างธุรกิจมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ได้สบายๆ ไปจนหมดสิ้น ธุรกิจครอบครัวของดิ๊กก่อตั้งโดยต้นตระกูลชาวเยอรมันในปี1829 และดิ๊กเข้ามารับช่วงต่อจากพ่อที่กำาลังป่วยในปี1985ขณะนั้นบริษัทเบียร์ ยักษ์ใหญ่ 3 บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในอเมริกาอยู่กว่า 70% ส่วน ธุรกิจของดิ๊กเป็นกิจการขนาดเล็กที่ผลิตเบียร์เพียง 137,000 บาร์เรลต่อปี ซึ่งเทียบไปก็เหมือนกับเป็นเบียร์หนึ่งหยดในถังขนาด 200 ล้านบาร์เรลที่ ขายกันต่อปีในอเมริกาเท่านั้น เมื่อต้องแข่งขันกับพี่เบิ้มเจ้าตลาด บริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่ถ้า ไม่เลิกกิจการหรือขายกิจการให้คู่แข่ง ก็ต้องพยายามขยายธุรกิจอย่าง รวดเร็วด้วยการซื้อบริษัทอื่น แต่ดิ๊กไม่เลือกทั้งสองทางเขาไม่ยอมขายบริษัทตัวเองและไม่คิด จะซื้อบริษัทใคร เขาพบทางที่ดีกว่าด้วยการนำาสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้สร้าง ธุรกิจที่เขารักให้มั่งคั่งรุ่งเรือง
  • 11. 7 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ ปกติยอดขายเบียร์จะต้องพึ่งพางบการตลาดมหาศาลแต่ดิ๊กมีวิธี ที่เหนือกว่านั้นโดยใช้งบโฆษณาเพียงน้อยนิด เขารู้ว่าโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุด ในอเมริกาแห่งนี้มีประวัติที่น่าดึงดูดซึ่งทำาให้เบียร์ของที่นี่แตกต่างจากเบียร์ ของคู่แข่งยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ แทนที่จะบุกตลาดให้ได้มากที่สุด ดิ๊กกลับจำากัดการขายเบียร์ไว้ แค่ในบางพื้นที่ ยิ่งเบียร์หายากก็ยิ่งกระตุ้นให้คนอยากซื้อ มีคนขับรถข้าม เขตรัฐเพื่อมาซื้อเบียร์ ทำาให้เบียร์ของเขามีมนต์ขลังไปโดยปริยาย ลูกค้าผู้ หลงใหลเบียร์หลายคนกลายเป็นนักโฆษณาชั้นยอดให้แบบฟรีๆ บางคน ถึงกับเรียกร้องให้บริษัทมาเปิดตลาดในพื้นที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ด้วยซำ้า เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ดิ๊กก็กว้านซื้อของมือสองมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น ถังเบียร์ขวดแก้วและเครื่องติดป้ายการใช้ประโยชน์จากโรงเบียร์อายุ150 กว่าปีของดิ๊กประสบผลสำาเร็จถึงขั้นสุด ในปี 1996 เขาผลิตเบียร์ได้กว่า 5 แสนบาร์เรลต่อปี เต็มขีดความสามารถที่อุปกรณ์และโรงงานที่ออกแบบ มาให้ผลิตเบียร์ได้ 2.5 แสนบาร์เรลต่อปีจะเอื้ออำานวยแล้ว บริษัท D. G. Yuengling & Son ของดิ๊กเติบโตจนขึ้นแท่นเป็น บริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา“เราไม่ได้ แข่งขันเพื่อจะเป็นบริษัทเบียร์รายใหญ่ที่สุด” ดิ๊กกล่าว “เป้าหมายของเรา คือความยั่งยืน...ลูกๆ ของผม...ตอนนี้ก็เข้ามาสานต่อธุรกิจแล้ว และเรา หวังว่าสักวันลูกๆของพวกเธอจะสานต่อธุรกิจนี้ต่อไปแค่นี้เราก็มีความสุข แล้ว”
  • 12. 8 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด นิตยสาร Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของดิ๊กที่ 2 พันล้าน ดอลลาร์ แต่ไม่ว่าดิ๊กจะรำ่ารวยแค่ไหน เขาก็ยังคงขับรถราคาถูกและคอย ตามปิดไฟทุกดวงที่คนเปิดทิ้งไว้ในออฟฟิศเสมอ “ใครๆ ก็ว่าผมขี้เหนียว” ดิ๊กเล่าให้ผมฟัง “แต่ผมว่าผมแค่เป็นคนประหยัด” “ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” คือคติประจำาใจที่ช่วยให้ ดิ๊กก่อตั้งธุรกิจที่รุ่งเรืองและยั่งยืนเขาสุขใจที่ได้ทำาธุรกิจนี้ร่วมกับลูกหลาน อะไรกันแน่ที่ทำาให้ดิ๊กประสบความสำาเร็จและสุขใจ ในขณะที่ ผู้ผลิตเบียร์รายอื่นๆ ดิ่งลงเหว? ในฐานะนักสังคมศาสตร์และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ ผมใช้ เวลาร่วมสิบปีศึกษาปัจจัยที่ทำาให้องค์กรประสบความสำาเร็จและบุคลากร มีความสุขผมร่วมงานกับองค์กรต่างๆทั้งบริษัทเทคโนโลยีบริษัทพลังงาน อุตสาหกรรมการผลิต ธนาคาร ร้านค้าปลีก ศูนย์สุขภาพ และองค์กรไม่ แสวงผลกำาไร ผมศึกษาเหล่าผู้บริหารในบริษัทท็อป500ของโลกผมเรียนรู้จาก เจ้าของธุรกิจ พนักงานที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และคนอื่นๆ อีกจำานวน มาก ผมยังได้รับเกียรติเป็นอาจารย์สอนผู้คนนับพันจากทั่วทุกมุมโลก ทั้ง ผู้บริหารวิศวกรครูอาจารย์หมอพ่อแม่วัยทำางานและคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่ม ทำางาน ความรู้ที่ผมได้จากงานวิจัยก็คือ ทัศนคติที่คนเรามีต่อการใช้สิ่งที่ มีอยู่นั้นส่งผลอย่างมากกับความสำาเร็จในหน้าที่การงาน ความสุข และ ธุรกิจแต่ปัญหาก็คือคนเรามักจะประเมินคุณค่าของสิ่งใหม่ๆ สูงเกิน จริง และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เราประเมินคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ต�่าเกิน ไป
  • 13. 9 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ ไม่ว่าคุณจะกำาลังเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ ใช้ชีวิตตามปกติ หรือสรรค์สร้างชีวิตและหน้าที่การงานให้มีความหมายงานวิจัยของผมจะ นำาเสนอวิธีเพิ่มคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่จนคุณบรรลุเป้าหมายและรู้สึกอิ่มเอม ใจ ผมเรียกวิธีนี้ว่า “การฉลาดคิด” ll การฉลาดคิด คือทัศนคติและทักษะที่เราเปลี่ยนความ ต้องการสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นการยอมรับ และลงมือสร้างประโยชน์จากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ll แต่ก่อนที่เราจะมาฉลาดคิดกันเราต้องเลิกนิสัยที่จะล่อลวงเราไป สู่หนทางอับจนเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำาเป้าหมายสำาคัญ ไม่ว่า จะเป็นการก่อตั้งธุรกิจหรือการทำางานการสร้างครอบครัวหรือค้นหาความ สุขในชีวิต สัญชาตญาณของเรามักบอกว่า “ยิ่งมีมาก = ยิ่งได้มาก” เมื่อคุณต้องทำาโปรเจกต์ให้เสร็จเร็วขึ้นเรามักคิดว่าต้องหาคนเพิ่ม ถ้าคุณอยากมีอำานาจในที่ทำางานก็ต้องหาตำาแหน่งที่สูงขึ้นและมีห้อง ทำางานที่ใหญ่ขึ้น หรือถ้าจะเพิ่มยอดขายสินค้าที่กำาลังเสื่อมความนิยม ก็ ต้องอัดงบการตลาดเข้าไปถ้าอยากให้นักเรียนเก่งขึ้นก็ต้องจ้างครูเพิ่มถ้า รัฐบาลจะทำางานให้ดีก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาลหรือถ้าจะพัฒนาความ สัมพันธ์ คุณก็คงต้องซื้อของขวัญราคาแพงไปกำานัล
  • 14. 10 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด วิธีคิดแบบนี้ทำาให้เราสบายใจ เพราะฟังดูเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ ยิ่งมีมาก คุณก็ยิ่งทำาได้มากและรู้สึกดีมากกว่า แต่ไม่ว่ามันจะฟังดูน่าเชื่อ ถือเพียงใดผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ดีอย่างที่คิดเพราะมันทำาให้เรามัวแต่วิ่งตาม สิ่งไม่จำาเป็น และมองข้ามศักยภาพของสิ่งที่มีอยู่แล้วในมือ ตอนที่ดิ๊กยิงกลิงขยายกิจการเบียร์ของเขาบริษัทคู่แข่งชื่อสโตรห์(Stroh) ยังคงคิดว่า “ยิ่งมีมาก = ยิ่งได้มาก” บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1849 โดย เบิร์นฮาร์ดสโตรห์ชาวเยอรมันอพยพบริษัทสโตรห์ตั้งอยู่ในเมืองดีทรอยต์ และเติบโตจนเป็นธุรกิจเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ในช่วงที่ รุ่งเรืองที่สุด บริษัทผลิตเบียร์ถึง 31 ล้านบาร์เรลต่อปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 3 ของอเมริกา ปีเตอร์สโตรห์ผู้เป็นรุ่นเหลนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และขึ้นเป็นประธานบริษัทในปี 1967 ปีเตอร์มีปรัชญาการทำาธุรกิจว่า “ถ้าไม่เติบโต ก็มีแต่จะตกต�่า” ซึ่งแตกต่างอย่างสุดขั้วกับที่คิดว่าเราควร “ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี” ปีเตอร์ บอกกับหุ้นส่วนของเขาว่าบริษัทต้อง “ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เราต้องเข้า ซื้อกิจการอื่นๆ” เขากู้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อทำาตามเป้าหมายนี้ คนในครอบครัวต่างกินอยู่อย่างสุขสบายถึงแม้ว่าสมาชิกครอบครัวหลาย คนจะไม่มีตำาแหน่งในบริษัทอย่างเป็นทางการแต่ละคนก็ยังได้รับส่วนแบ่ง รายได้กว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี (1 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) ฟรานเชส สโตรห์เขียนไว้ในบันทึกว่า“หลายสิบปีแล้วที่คนในครอบครัวใช้ชีวิตเยี่ยง ราชา”
  • 15. 11 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ ไม่ช้าบริษัทก็วิกฤติ บริษัทเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปอย่าง รวดเร็วเพราะมีภาระหนี้สินหนักอึ้งและไม่อาจใช้ประโยชน์จากทรัพยากร อย่างสินค้าหรือแบรนด์ในเครือได้อย่างเต็มที่ เกร็ก สโตรห์ อดีตพนักงาน และคนในครอบครัวรุ่นที่5กล่าวว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับการ“ถือมีด ไปดวลปืน” สุดท้ายบริษัทก็ต้องปิดโรงเบียร์ขนาด 1 ล้านตารางฟุตในเมือง ดีทรอยต์ลง ปีเตอร์มองไม่เห็นหนทางที่จะกู้วิกฤติครั้งนั้นได้ เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะด้วยการจัดการภายในการแก้ปัญหาแรงงานวิธีไหนๆหรือแม้แต่ การลงทุนเพิ่มก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายบานปลายของโรงเบียร์เก่าล้าสมัยแห่งนี้ ไม่ได้” หลังจากการฟื้นฟูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร สโตรห์จึงขายกิจการให้ บริษัทเบียร์อีกแห่งที่ชื่อ คัวร์ส (Coors) ในปี 1989 แต่หลังจากเซ็นสัญญา ซื้อขายไม่นาน อัศวินขี่ม้าขาวอย่างคัวร์สก็ยกธงขาว สโตรห์จึงปิดกิจการ ลงในอีกสิบปีต่อมา เท่ากับว่าพวกเขาสูญเสียทรัพย์สินของตระกูลมูลค่า กว่า 9 พันล้านดอลลาร์ ดิ๊กพูดถึงเรื่องนี้ว่า “พวกเขาขยายกิจการใหญ่โต เกินไป ในเวลาที่รวดเร็วเกินไป กลายเป็นภาระที่แบกรับไม่ไหว” อุตสาหกรรมเบียร์ในตอนนั้นกำาลังยำ่าแย่บริษัทเบียร์ส่วนใหญ่จึง พลาดโอกาสทองจากความล้มเหลวของสโตรห์ เว้นแต่บริษัทเดียวเท่านั้น ดิ๊ก ยิงกลิง กระโจนเข้าคว้าโอกาส เขาซื้อโรงเบียร์ของสโตรห์ที่ เมืองแทมปารัฐฟลอริดาในราคาถูกมากโรงเบียร์แห่งใหม่นี้ช่วยดิ๊กขยาย กิจการ ในขณะที่อดีตคู่แข่งล้มเหลวเพราะขยายตัวเกินขนาด ดิ๊กอัพเกรด อุปกรณ์ต่างๆ ในโรงเบียร์จนกลับมาใช้งานได้ภายใน 3 เดือนด้วยต้นทุน เสี้ยวเดียวเมื่อเทียบกับการสร้างโรงเบียร์ขึ้นใหม่ ดิ๊กทำาให้โรงเบียร์ที่เมือง
  • 16. 12 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด แทมปาใช้คนงานน้อยกว่าโรงเบียร์อื่นๆ ทั้งยังพัฒนาให้พนักงานเก่าของ สโตรห์เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาติดขัดต่างๆ และเสนอไอเดียของตนเพื่อ ทำาให้โรงเบียร์แห่งนี้ผลิตเบียร์ได้มากกว่าเดิม สโตรห์เป็นถึงหนึ่งในสามโรงเบียร์ใหญ่ของอเมริกา มีทรัพยากร มากมายมหาศาลดูเผินๆแล้วบริษัทควรฝ่าฟันวิกฤติธุรกิจเบียร์ในช่วงนั้น ได้ดีกว่าบริษัทที่เล็กกว่าของดิ๊ก แต่บรรดาผู้บริหารของสโตรห์กลับใช้สิ่งที่ มีไม่เป็นจนธุรกิจยืนไม่อยู่พวกเขามัวแต่จะซื้อกิจการขยายบริษัทและดึง เอาพนักงานมาอยู่กับตัวให้ได้มากที่สุด จนความทะเยอทะยานนั้นทำาให้ บริษัทต้องปิดตัวลง ผมคงไม่เถียงว่าทรัพยากรนั้นเป็นสิ่งจำาเป็น เราคงประสบความสำาเร็จได้ ยาก หากขาดบุคลากรที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ และเครื่องมือ แต่ ถ้าเรามัวแต่แสวงหาสิ่งที่ไม่มีอยู่ตลอดเวลา เราก็จะใช้สิ่งที่มีอยู่ได้อย่าง ไม่มีประสิทธิภาพและที่เลวร้ายกว่านั้นคือเราจะมองตัวเองในแง่ลบเพราะ คิดว่าเราไม่มีอะไรเลย ผมเรียกวิธีคิดแบบสโตรห์ว่าแนวทาง“การไล่ตาม”เหล่านักไล่ตาม จะตีกรอบตัวเองให้คอยแต่ไล่ตามสิ่งใหม่ๆ จนมองข้ามสิ่งที่ตัวเองมี การ ไล่ตามนั้นดูเผินๆแล้วสมเหตุสมผลดีแต่ผมจะตีแผ่อันตรายที่แฝงตัวคอย ทำาลายความสำาเร็จและสร้างความทุกข์ใจให้คุณได้เห็นครับ คนเรามักมองไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากการไล่ตาม เพราะคน รอบตัวคอยบอกว่า “ยิ่งมากยิ่งดี” ในทุกเรื่องของชีวิต ผมจึงเล่าเรื่องโรง เบียร์นี้ให้คุณเห็นว่าคนอย่างดิ๊กยิงกลิงประสบความสำาเร็จและมีความสุข
  • 17. 13 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ ได้ด้วยการฉลาดใช้สิ่งที่มีอยู่เขาไม่มัวหลงงมงายกับการไล่ตามวิธีของดิ๊ก จึงแตกต่างจากนักไล่ตาม ดังนี้ ยิ่งฉลาดคิด = ยิ่งดี เพื่อให้คุณเห็นภาพผมจะนำาเสนอผลการศึกษาและเล่าเรื่องราว ของผู้คนที่ได้พบกับความสุขและความสำาเร็จซึ่งหาได้ยากจากการไล่ตาม คนฉลาดคิดมักตั้งค�าถามว่า “ฉันจะใช้ต้นทุนที่มีได้อย่างไรอีกบ้าง?” แทนที่จะคอยถามว่า ฉันยังขาดอะไรอยู่อีก? ทําไมต้องฉลาดคิด นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส โคลด เลวีสเตราส์ ศึกษา 2 แนวทางที่ผู้คน ชอบใช้ทำาสิ่งต่างๆ ได้แก่ 1. แนวทางก่อสร้าง หัวใจของแนวทางก่อสร้างคือการตามหา เครื่องมือที่พวกเขาคิดว่าจำาเป็นนักไล่ตามมักใช้แนวทางนี้เพราะ มองไม่เห็นประโยชน์อื่นๆของสิ่งที่มีอยู่ในมือดังนั้นถ้าเขาจะตอก ตะปูที่ผนังห้อง เขาก็จะไปซื้อค้อน แต่ถ้าไม่ได้ค้อนที่มีขนาด นำ้าหนัก และรูปทรงแบบที่ตั้งใจ เขาก็จะทำาอะไรไม่ได้ เขาจะ เสาะหาเครื่องทุ่นแรงให้มากที่สุดแม้จะไม่จำาเป็น พอนานๆ เข้า กล่องเครื่องมือก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนตัวเองก็จำาไม่ได้แล้วว่ามีอะไร อยู่ในกล่องใบนั้นบ้าง
  • 18. 14 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด 2. แนวสร้างสรรค์ เป็นแนวทางของคนฉลาดคิดแนวทางนี้เน้นให้ เราใช้สิ่งที่มีอยู่และท้าทายข้อจำากัดเดิมๆ ถ้าตรงนั้นมีก้อนหิน คนฉลาดคิดก็จะใช้มันตอกตะปูเข้ากับผนังห้อง พวกเขายังใช้ ก้อนอิฐกระป๋องถั่วรองเท้าส้นสูงและไฟฉายหนักๆมาตอกตะปู แทนค้อนได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะชอบก่อสร้างหรือสร้างสรรค์ คุณก็ตอกตะปูได้เหมือนกัน แต่ ผลลัพธ์นั้นต่างกันมาก แนวทางก่อสร้างนั้นฟังดูน่าทำาตาม เพราะมันคือ สูตรสำาเร็จในการตอกตะปูคุณคงประหลาดใจถ้าเห็นช่างไม้ใช้ไม้นวดแป้ง ตอกตะปูแต่ลองมองให้กว้างขึ้นถึงชีวิตจริงดูนะครับเราจะเหนื่อยแค่ไหน ถ้าต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะกับแต่ละงานเท่านั้นเราต้องหมดแรงไปกับการ หาเครื่องมือไม่ใช่การตอกตะปูผนังห้องพอไม่มีเครื่องมือเหมาะๆเราก็เจอ ทางตัน ยิ่งถ้าคนอื่นมีเครื่องมือดีๆ เราก็ยิ่งท้อแท้และคิดว่าเราคงทำาไม่ได้ ถ้าใช้แค่เครื่องมือห่วยๆ ที่มี แนวทางสร้างสรรค์ช่วยให้เราเลิกคิดแค่ว่าต้องใช้ค้อนเท่านั้น คนเรามักอึดอัดใจเมื่อต้องใช้เครื่องมือที่แหวกแนว ทำาให้เราอยากไปซื้อ ค้อนก่อน เราจะใช้อุปกรณ์อื่นก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว เช่น ตอนที่ร้าน ขายอุปกรณ์ปิด แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตั้งใจไม่ไปร้านขายอุปกรณ์แล้วบังคับ ตัวเองให้ใช้สิ่งที่มี? เราจะมีชีวิตที่เปลี่ยนไป มันจะเป็นชีวิตที่แฮปปี้เพราะ เราจะพอใจกับสิ่งที่มีและรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น ดังนั้น การฉลาดคิดจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะข้อจ�ากัด แต่มันคือทัศนคติการ ใช้ชีวิตที่ท�าให้เรามีความสุขด้วย
  • 19. 15 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ “พ่อหนุ่มรถตู้” เป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกชายคนหนึ่งด้วยความเอ็นดู หนุ่ม คนนี้อาศัยอยู่บนรถบ้านสภาพทรุดโทรมทุกครั้งที่เครื่องยนต์มีปัญหาเขา จะใช้เทปกาวซ่อมเพราะไม่อยากยุ่งยากและจะได้ไม่เปลืองเงิน เขาทำา อาหารที่สุกใหม่และดีต่อสุขภาพโดยใช้เตาแบบพกพา ในช่วงปี2015พ่อหนุ่มรถตู้จอดรถอยู่หลังถังขยะของห้างวอลมาร์ท สาขาเมืองดันนีดิน รัฐฟลอริดา ที่นั่นสะดวกสบายมากเพราะมีร้านค้าตั้ง อยู่ใกล้ๆในช่วงเช้าเขาจะใช้ที่นี่เป็นยิมส่วนตัวเขาใช้รางเหล็กของช่องจอด รถเข็นชอปปิ้งเป็นบาร์โหนออกกำาลังกาย หุ่นจึงฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ และ ถึงแม้รถตู้จะมีพื้นที่ใช้สอยไม่มาก แต่ก็ยังพอมีที่เก็บกางเกงยีนส์ตัวเก่ง ถุงนอน และสมุดบันทึกที่เขามักเขียนในคืนที่ไม่ได้อ่านงานวรรณกรรม ถึงแม้สภาพความเป็นอยู่จะลำาบากไปหน่อย แต่พ่อหนุ่มรถตู้ก็มี ความสุขดี เพราะชีวิตแบบนี้ทำาให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี เขายังได้ใกล้ ชิดกับพื้นที่โล่งกว้างที่เขาชอบอีกด้วย ลูกค้าช่างสงสัยหลายคนจอดรถดูชายแปลกๆที่อาศัยอยู่บนรถตู้ บางคนถึงกับเวทนา จึงมอบเงินหรือไม่ก็ซื้ออาหารมาให้ แต่เขามักปฏิเสธ อย่างสุภาพเสมอและเมื่อผู้คนได้พูดคุยกับเขาพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ กับสิ่งที่ได้รู้ พ่อหนุ่มรถตู้คนนี้ที่จริงเป็นมหาเศรษฐี เขาสามารถซื้อคฤหาสน์ สักหลังบริเวณนี้ได้ง่ายๆ แต่เขาเลือกมาอาศัยข้างๆ ร้านวอลมาร์ท เพราะ มันช่วยให้เขาใช้สิ่งที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ “ถ้าคุณต้องอาศัยอยู่ บนรถตู้ คุณก็ต้องหัดมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี” เขากล่าว เขามีคติการใช้ ชีวิตว่า
  • 20. 16 ใช้ข้อจํากัด สร้างชีวิตไร้ขีดจํากัด ll “ชีวิตก็เหมือนกับทะเล มีทั้งคลื่นลมที่สงบและบ้าคลั่ง ท้ายที่สุดคุณก็ต้องหัดล่องเรือไปตามคลื่นที่ซัดมา ไม่ว่าคลื่นนั้นจะเป็นแบบไหน” ll ที่จอดรถของร้านวอล์มาร์ทยังสะดวกต่อการเดินทางไปทำางานที่ ห่างออกไปเพียง 3 ไมล์เท่านั้น เขาไม่เคยอายเมื่อต้องจอดรถตู้โกโรโกโส ข้างๆ รถสปอร์ตสุดหรูหรือรถเอสยูวีแต่งรอบคันของเพื่อนร่วมงาน ทุกวัน หลังดื่มกาแฟที่ต้มด้วยเตาบนรถเสร็จ เขาก็จะเดินทางไปทำางานที่เด็ก หลายๆ คนใฝ่ฝัน Daniel Norris (1993-ปัจจุบัน)
  • 21. 17 เรื่องเล่าแห่งวงการเบียร์ พ่อหนุ่มรถตู้ที่เล่ามานี้ชื่อแดเนียลนอร์ริสเขาเป็นนักเบสบอลมือ อาชีพระดับเมเจอร์ลีก ในปี2011แดเนียลขึ้นแท่นเป็นนักขว้างลูกมือหนึ่งของทีมโตรอนโตบลูเจส์ เมื่อได้รับเงินโบนัสค่าเซ็นสัญญา2ล้านดอลลาร์เพื่อนร่วมทีมก็ชวนเขาไป ช้อปปิ้งจัดเต็ม3ชั่วโมงเพื่อนๆถลุงเงินนับหมื่นไปกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใหม่ๆ ส่วนแดเนียลนั้นซื้อเสื้อคอนเวิร์สที่ลดราคาเหลือ 14 ดอลลาร์เพียง ตัวเดียว“ถึงเราจะมีเงินแต่เราไม่จำาเป็นต้องใช้ของหรูกว่าเดิม”แดเนียลกล่าว แดเนียลกังวลว่าเงินจำานวนมหาศาลจะทำาให้เขาเสียคนและไขว้ เขวจากเบสบอลซึ่งเป็นงานที่เขารัก แดเนียลสั่งให้ที่ปรึกษาด้านการเงิน ฝากเงินเข้าบัญชีของเขาเดือนละ 800 ดอลลาร์ สำาหรับใช้จ่ายในชีวิต ประจำาวัน ส่วนเงินที่เหลือไปลงทุนแบบความเสี่ยงตำ่า เงินเดือนของเขามี มูลค่าครึ่งหนึ่งของค่าแรงขั้นตำ่าเท่านั้นเอง ตอนเด็กๆ แดเนียลได้แต่มองดูเพื่อนๆ เปลี่ยนถุงมือและไม้ เบสบอลใหม่ในทุกฤดูกาลแข่งตัวเขาต้องใช้อุปกรณ์เดิมๆปีแล้วปีเล่าแต่ เขาก็ไม่เคยโกรธพ่อแม่ที่ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ใหม่ให้ เขาพูดว่า “ตอนเป็น เด็ก ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองขาดอะไร ผมค่อยๆ เรียนรู้คุณค่าของสิ่งที่มี ผมดีใจนะที่พ่อแม่เลี้ยงดูผมมาอย่างนั้น” ถึงแดเนียลจะมีรายได้นับล้าน แต่เขากลับทำาสิ่งที่เพื่อนร่วมทีม คนอื่นไม่เคยแม้แต่จะคิด เขาทำางานพิเศษในช่วงนอกฤดูกาลแข่ง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ร้านค้ากลางแจ้งในบ้านเกิดเขาไม่ได้ทำาเพื่อเงินแต่ทำา เพราะสนุกกับงาน