More Related Content
Similar to สมบัติของสารพันธุกรรม
Similar to สมบัติของสารพันธุกรรม (9)
More from Wan Ngamwongwan
More from Wan Ngamwongwan (20)
สมบัติของสารพันธุกรรม
- 2. คุณสมบัตของสารพันธุกรรม
ิ
1. ต้องสามารถเพิ่มจานวนตัวเองได้โดยมีลักษณะเหมือนเดิม เพื่อให้
สามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปยังรุ่นลูกได้
2. สามารถควบคุมให้เซลล์สังเคราะห์สารต่างๆ เพื่อแสดงลักษณะ
ทางพันธุกรรมให้ปรากฏ
3. ต้องสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขึ้นอาจก่อให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมที่ผิดแผกไป
จากเดิม และเป็นช่องทางให้เกิดสปีชีสใหม่ๆขึ้น
์
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 3. การสังเคราะห์ DNA
ในขณะที่เซลล์จะมีการแบ่งตัวจะมีการเพิ่มจานวน Chromosome
อีก 1 เท่าตัวในระยะ Interphase ของการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis
โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า การสังเคราะห์ DNA หรือ
DNA Replication
ทาให้มีการเพิ่มโมเลกุลของ DNA จาก 1 โมเลกุล เป็น
2 โมเลกุล แต่ละโมเลกุลมีพอลินิวคลีโอไทด์ สายเดิม 1 สาย
และสายใหม่ 1 สาย เรียกวิธีการจาลองลักษณะนี้เป็น
แบบกึ่งอนุรักษ์นิยม (Semiconservative )
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 5. สิ่งที่ใช้ในกระบวนการนี้มีดงนี้
ั
1. DNA แม่แบบ (DNA Template)
2. DNA Helicase (DNA Helicase หรือ Helix-
Destabilizing Protein) เป็นเอนไซม์ที่สลายพันธะ
ไฮโดรเจน ทาให้โมเลกุล DNA มีการคลายเกลียวคู่ ออกจาก
กันเป็นสายเดี่ยว 2 สายโดยอาศัยพลังงานจากการสลาย
ATP
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 6. 3. โปรตีน SSB (Single Strand DNA Binding Protein : SSB
หรือ DBP) จะจับกับ DNA สายเดี่ยวที่แยกออกจากกันเป็นตัวป้องกันไม่ให้
DNA สายเดี่ยวกลับไปจับกันอีก และป้องกัน DNA สายเดี่ยวไม่ให้ถูกย่อยโดย
เอนไซม์ Nuclease
4. DNA Gyrase หรือ Topoisomerase ทาหน้าที่
คลายปมเหนือจุดแยก (Replication fork) โดยการ
ตัด DNA สายใดสายหนึ่งออก เพื่อให้คลายเกลียวได้แล้ว
จึงต่อกลับใหม่
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 7. 5. DNA Primase ทาหน้าที่สร้าง RNA เริ่มต้น (RNA Primer)
6. DNA polymerase ทาหน้าที่ในการต่อสาย Polynucleotide
ให้ยาวขึ้นและตรวจสอบลาดับเบสที่ผิดพลาด และกาจัดลาดับเบสที่
ผิดพลาดออกไป รวมถึงการกาจัด RNA Primer และยังเป็นเอนไซม์
หลักในการจาลองตัวของ DNA
7. DNA Ligase ทาหน้าที่เชื่อมดีเอ็นเอเส้นสั้น ๆ เข้า
ด้วยกัน โดยการสร้างพันธะ Phosphodiester เชื่อม
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 9. 1. DNA Helicase เข้าสลายพันธะไฮโดรเจนทาให้สาย DNA เกลียวคู่
แยกออกจากกันจะได้ DNA สายเดี่ยว 2 สาย
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 10. 2. โปรตีน SSB เข้ามาเกาะบริเวณ DNA สายเดี่ยวที่แยกออกจากกัน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ DNA สายเดี่ยวทั้งสองสายนั้นกลับมาพันเกลียวกัน
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 11. 3. RNA Primase สร้าง RNA primer ซึ่ง RNA Primer จะทา
หน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นการทางานของ DNA Polymerase
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 12. 4. DNA polymerase เข้าจับกับสาย DNA และ นาดีออกซีไรโบ-
นิวคลีโอไทด์เดี่ยว (Deoxyribonucleotide) เข้ามาต่อสายในทิศทาง
5' 3' โดยเชื่อมเบสที่คู่กันเข้าด้วยกันด้วยพันธะไฮโดรเจน และเชื่อม
หมู่ฟอสเฟตของแต่ละ Nucleotide ให้เป็นพันธะ Phosphodiester
เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้นไปก็จะได้ DNA สายใหม่ที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ ตาม
ทิศทางการเคลื่อนที่ของ Replication fork เรียก DNA สายนี้ว่า
Leading strand
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 13. 5. ในขณะที่เกิดการสังเคราะห์ DNA สาย Leading บน DNA
แม่แบบสายหนึ่ง ก็จะเกิดการสังเคราะห์ DNA ในอีกสายหนึ่ง แต่มี
ทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของ Replication fork โดยจะ
สร้างได้เป็นสายสั้นๆ เรียก DNA สายสั้นๆ แต่ละสายนี้ว่าชิ้นส่วนโอกาซากิ
(Okazaki fragment) และเรียกเรียก DNA สายสั้นๆ ที่วางเรียงราย
กันในลักษณะเป็นสายยาวนี้ว่า Lagging strand
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร
- 14. 6. เมื่อการสังเคราะห์ DNA ดาเนินต่อไป DNA polymerase จะมี
การกาจัด RNA primer ออก ซึ่งจะทาให้ DNA บริเวณดังกล่าวอยู่
ในสภาพสายเดี่ยวที่ไม่มีคู่ และ DNA Polymerase เดิมจะนาดีออก
ซีไรโบนิวคลีโอไทด์ตัวใหม่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ และตามด้วยการเชื่อม
พันธะ Phosphodiester ของชิ้นส่วนโอกาซากิ แต่ละโมเลกุลเข้า
ด้วยกันด้วยเอนไซม์ไลเกส (Ligase) ในที่สุดได้เป็น DNA ใหม่
2 โมเลกุล โดยแต่ละโมเลกุลมีสายเดิมอยู่ 1 สาย
ครูฉวีวรรณ นาคบุตร