More Related Content Similar to รายงานเรียน (20) รายงานเรียน1. รายงาน
เรื่องภาวะสมดุลเคมี
เสนอ
คุณครูวีระพงษ์ บรรจง
จัดทำาโดย
นางสาวทิพวรรณ ดีดวงพันธ์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5/1 เลขที่ 14
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
เคมี(ว 40222)
โรงเรียนดงเย็นวิทยาคม
คำำนำ ำ
2. ในปั จจุบันกำรเรียนรู้เร่ ืองเคมีมีควำมสำำคัญอย่ำงมำกใน
กำรศึกษำ ทั่งตูองใชูในกำรเรียนและยังรวมไปถึงกำรใชูชีวิตประจำำ
วันของเรำดูวยซ่ึงอำจตูองพบเจอกับสำรเคมีต่ำงๆดังนั ้นเรำจึงตูอง
เรียนรู้เก่ียวกับเร่ ืองรำวของสำรเคมีท่ีมีอย่้ในบนเรียนวิชำเคมี
ผู้จัดทำำเห็นว่ำกำรเรียนรู้เร่ ืองวิชำเคมีเป็ นส่ิงจำำเป็ นดังนั ้น
จึงไดูรวบรวมเร่ ืองของภำวะสมดุลเคมีท่ีมำไวูใหูผู้อ่ำนไดูศึกษำต่อไป
หำกมีขูอผิดพลำดประกำรใดผู้จัดทำำตูองขออภัยมำ ณ โอกำสนี้
ดูวย
ขอขอบคุณคุณคร้วีระพงษ บรรจงเป็ นอย่ำงย่ิงท่ีช่วยใหู
์
คำำแนะนำ ำใหูแนวทำงในกำรจัดทำำจนสำำเร็จลุล่วงไปไดูดูวยดี
ทิพวรรณ ดีดวงพันธ์
4. สมดุลเคมี (Eguilibrium)
นั กเคมีมักพบปั ญหาจากปฏิกิริยาเคมีใดๆว่า ผลิตภัณฑ์ท่ีได้มกได้ไม่
ั
ถึง 100% โดยอาจมีสาเหตุมาจากเทคนิ คของการทดลอง หรือ
ปฏิกริยาเกิดไม่สมบูรณ์ จากหลักปริมาณสารสัมพันธ์จะพิจารณาว่า
ิ
ในการเกิดปฏิกิริยาใดๆ ปฏิกิริยาต้องดำาเนิ นไปจนสมบูรณ์กล่าวคือ
เม่ ือสารทำาปฏิกิริยากัน ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นจนกว่าสารตังต้นสารใดสาร
้
หน่ ึงหมดไป ปฏิกิริยาจึงจะหยุด
Ex 1.CaCO3(s)— CaO(s) + CO2(g)………………..(1)
CaO(s) + CO2(g)— CaCO3(s)…………………(2)
เม่ ืออัตราการเกิดปฏิกิรยาไปข้างหน้ า(Rate of forward
ิ
Reaction) ปฏิกิริยา (1)เท่ากับอัตราการเกิดปฏิกิรยาย้อน ิ
กลับ(Rate of backward Reaction)ปฏิกริยา(2) แล้วใน ิ
ขณะนั ้นระบบมีสมบัติคงท่ี เรียกว่า เกิดภาวะสมดุล(Equilibrium
State)
ลักษณะทั่วไปของภำวะสมดุล
1. การเปล่ียนแปลงท่ีเข้าสู่ภาวะสมดุล โดยระบบมิได้หยุดน่ิง แต่จะมี
การเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าสมดุลไดนามิก(Dynamic
Equilibrium) ซ่ ึงเป็ นสมดุลท่ีโมเลกุลของสารในระบบยังคงมีการ
เปล่ียนแปลงท่ีผันกลับได้และเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระบบ
ปิ ด(Closed system)
2. ระบบจะดำาเนิ นเข้าสู้ภาวะสมดุลได้เอง โดยอัตราการเกิดปฏิกิริยา
ไปข้างหน้ าเท่ากับอัตราการเกิดปฏิกิรยาย้อนกลับ
ิ
3. การดำาเนิ นเข้าสู่ภาวะสมดุลของระบบอาจเร่ิมจากทางซ้ายหรือทาง
ขวาก็ได้
Ex 2.PCl5(g) =PCl3(g) + Cl2(g)
ปัจจัยที่มีผลต่อสภาวะสมดุล
ทีสภาวะสมดุลสมบัติของสารต่างๆในระบบ สามารถถูก
่
รบกวนได้จากปัจจัยภายนอก อันได้แก่ ความเข้มข้น อุณหภูมิ และ
ความดัน ทำาให้ระบบเกิดการเสียสมดุล ดัง นั้นระบบจึงต้องมีการ
ปรั บ ตั ว เข้ า สู่ ส ภาวะสมดุ ล ใหม่ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง เพื่อ ลดผล ของการ
5. รบกวนนั้น โดยผู้ที่ศึกษาในเรื่อง ของการรบกวนสมดุลและสรุปไว้
เป็นหลักเกณฑ์ไว้คือ เลอชา เตอริเย
ความ เข้มข้นกับภาวะสมดุล
ถ้ า ใ ห้ ส ม ก า ร เ ค มี ทั่ ว ไ ป เ ป็ น A +
B C+D
หากมีการไปรบกวนสภาวะสมดุลของ ระบบ โดยการไป
เปลียนความเข้มข้นของสารตัวใดตัวหนึง จะ ทำาให้ระบบมีการปรับ
่ ่
ตัวเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่ได้ดังนี้
ก. ถ้า เพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้น (A
หรือ B)
ระบบ จะปรั บ ตั ว เข้ า สู่ ส ภาวะสมดุ ล ใหม่ เพื่ อ ลดความ
เข้ ม ข้ น ของสารที่ เ ติ ม เข้ า ไป (A หรื อ B) โดยสารตั้ ง ต้ น จะทำา
ปฏิกิริยากันมากขึ้น ส่ง ผลให้ปฏิกิริยาเกิดไปข้างหน้าเพิ่มมากขึ้น
จึ ง ได้ สารผลิตภัณฑ์ C และ D เข้ มข้ นมากขึ้ น (สมดุ ล เลื่ อนไป
ทางขวา)
ข. ถ้า เพิ่มความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์
(C หรือ D)
ระบบ จะปรั บ ตั ว เข้ า สู่ ส ภาวะสมดุ ล ใหม่ เพื่ อ ลดความ
เข้มข้นของสารที่เติมเข้าไป (C หรือ D) โดยสารผลิตภัณฑ์ คือ C
และ D ทำา ปฏิกิริยากันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยา ย้อนกลับได้
มากขึ้น ทำาให้ได้สารตั้งต้น A และ B เข้มข้นมากขึ้น (สมดุลเลื่อน
ไปทางซ้าย)
ค. ถ้ า ลดความเข้ ม ข้ น ของสารตั้ ง ต้ น
(A หรือ B)
ระบบ จะปรับตัวเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่ เพื่อ เพิ่มความ
เข้ ม ข้ น ของสารตั้ ง ต้ น ให้ ม ากขึ้ น โดยสาร ผลิ ตภั ณ ฑ์ C และ D
ทำาปฏิกิริยากันเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้มากขึ้น (สมดุล เลื่อนไป
ทางซ้าย)
6. ง. ถ้ า ลดความเข้ ม ข้ น ของสารผลิ ต ภั ณ ฑ์
(C หรือ D)
ระบบ จะปรับตัวเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่ เพื่อ เพิ่มความ
เข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น โดยสารตั้งต้น A และ B ทำา
ปฏิกิริยากันเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าเพิ่มมากขึ้น (สมดุล เลื่อนไป
ทางขวา)
ค่ำคงท่ีสมดุล
ในปฏิกริยาเคมีใดๆ จะมีค่าคงท่ีค่าหน่ ึงซ่ ึงบอกให้ทราบถึงความ
ิ
สัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้น
ของสารต่างๆท่ีภาวะสมดุล เรียกว่า ค่าคงท่ีสมดุล(Equilibrium
Constant)
Ex 3.H2(g) + I2(g) =2HI(g) ท่ี 4250C
การทดลองท่ี [N2] [I2] [HI] K = [HI]2 / [H2][I2]
4.56
0.73
5
8
1 3.56 13.54 54.79
1.250
2 0 15.59 54.67
2.33
3 2.25 16.85 54.14
6
4 3 17.67 54.79
3.130
5 1.831 3.531 54.35
0.47
6 0.47 8.410 54.35
9
9
1.141
1.141
หมายเหตุ lab 1-4 ได้จากการรวมตัวชอง H2 และ I2
lab 5-6 ได้จากการสลายตัวของ HI
จากตารางสรุปได้วาไม่ว่าจะเร่ิมต้นด้วยปริมาณสารเท่าใดก็ตาม
่
7. อัตราส่วนระหว่างผลคูณของความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิ ดยก
กำาลังด้วย สัมประสิทธิบอกจำานวนโมลของผลิตภัณฑ์นั้นๆกับผลคูณ
์
ของความเข้มข้นของสารตังต้นท่ีเหลือแต่ละชนิ ดยกกำาลังด้วย
้
สัมประสิทธิบอกจำานวนโมลของสารท่ีเหลือท่ีสภาวะสมดุลจะมีคาคงท่ี
์ ่
เสมอเม่ ืออุณหภูมิคงท่ี เรียกว่า ค่าคงท่ีสมดุล(k)
K = [HI]2 / [H2][I2]
จลนศาสตร์เคมีและค่าคงท่ีสมดุล
ค.ศ. 1866 C.M. Guldberg นั กคณิ ตศาสตร์ประยุกต์ และ
P .Waage นั กเคมีได้เสนอ
“ Law of mass action” กล่าวคือ “ อัตราการเกิดปฏิกิรยาจะ ิ
ต้องเป็ นปฏิภาคกับความเข้มข้นของสารตังต้นยกกำาลังด้วย
้
สัมประสิทธิบอกจำานวนโมลของสารนั ้นๆ”
์
Ex aA + bB —cC + dD
อัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้ า
Ratef = kf[A]a[B]b………………..(1)
อัตราการเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ
Rater = kr [C]c[D]d………………..(2)
เม่ ือระบบเข้าสู่สภาวะสมดุลจะได้
(1)=(2) kf[A]a[B]b = kr [C]c[D]d
เม่ ือ kf/ kr = K
จะได้ K = [C]c[D]d/[A]a[B]b
หลักการใช้ค่าคงท่ีสมดุล
1.เม่ ืออุณหภูมิคงท่ี ค่าคงท่ีสมดุล k จะมีค่าคงท่ี และจะต้องอ้างถึง
สมการหน่ ึงสมการใดด้วยเสมอ เพราะถ้าเขียนสมการโดยใช้
สัมประสิทธิต่างกันไป ค่า k จะแตกต่างกันด้วย
์
Ex4. H2(g) + I2(g) =2HI(g)…………………………..(1)
K1 = [HI]2/[H2][I2]
2 x(1) 2H2(g) + 2 I2(g)= 4HI(g)
K2 = [HI]4/[H2]2[I2]2
K2 = K12
ดังนั ้น ถ้าคูณสมการเดิมด้วย n ค่า K ใหม่เท่ากับ Kn เดิม
2.ถ้าเขียนสมการกลับกัน ค่า k ก็จะกลับกันด้วย
Ex 5. 2NO(g) + O2(g) =2NO2(g)……………………(2)
K1 =[NO2]2/[NO]2[O2]
ถ้าเขียนสมการกลับกัน
8. 2NO2(g) =2NO(g) + O2(g)
K2 = [NO]2[O2] /[NO2]2
K2 = 1/K1
ดังนั ้นถ้าเขียนสมการกลับกัน K ใหม่ = 1/K เดิม
2.ในกรณี ท่ีปฏิกริยาเกิดขึ้นหลายๆขันตอน ค่า K ของปฏิกิริยารวม
ิ ้
จะเท่ากับผลคูณของค่า K ของปฏิกิริยาย่อยๆนั ้น
Ex 6. 2NO(g) + O2(g) =2NO2(g)………………..(1)
2NO2(g) N2O4(g)…………………(2)
(1)+(2) ได้ 2NO(g) + O2(g) =N2O4(g)
K3 =K1.K2=[N2O4]/[NO2]2[O2]
การใช้ค่า K ในสมดุลเอกพันธ์ ซ่ ึงสารตังต้นและสารผลิตภัณฑ์อยู่ใน
้
วัฏภาคเดียวกัน เช่น
Ex 7. จากปฏิกริยา aA + bB= cC +dD
ิ
Kc = [C]c [D]d /[A] a[B] b
Kp = PCc PDd / PAa PBb ; P = n/v RT
จาก Kp = Kc(RT) n ; n = (c+d)-(a+b)
ถ้า n = 0 จะได้ Kp = Kc(RT)0 ; Kp = Kc
Ex 8. N2(g) + 3H2(g) =2NH3(g)
Kc = [ NH3]2 /[ N2][ H2 ]3
หรือ Kp = ( P NH3)2/ (PN2)(PH2)3
การใช้ค่า K ในสมดุลวิวิธภัณฑ์ สารท่ีเป็ นของแข็งกำาหนดให้มีค่าคงท่ี
เท่ากับ 1
Ex 9. CaCO3(s) =CaO(s) + CO2(g)
Kc = [CO2] ; Kp = PCO2
การคำานวณเก่ียวกับค่าคงท่ีสมดุล
Ex 10. จากปฏิกิริยา 2SO2(g) + O2(g)= 2SO3(g) ท่ี
250 c
จงคำานวณหา Kc ท่ีสภาวะสมดุล (กำาหนด Kp = 2.5 x 1024
atm-1)
วิธีทำา จาก Kp = Kc(RT) n
Kc = Kp(RT)- n
Kc = (2.5 x 1024)(0.0821)(298)-(1)
= 6.2 x 1025 dm3 mol-1
Ex 11. เม่ ือเติม ก๊าซ H2 และ I2 อย่างละ 0.5 mol ลงใน
ภาชนะขนาด 2 dm3 ท่ีอุณหภูมิ 520Oc เม่ ือระบบเข้าสุ่ภาวะ
สมดุลจากการวิเคราะห์พบว่าภายในภาชนะประกอบด้วยก๊าซ HI
9. 0.06 mol จงคำานวณหาค่าคงท่ีสมดุล
วิธีทำา H2 (g) + I2(g) =2HI (g)
เร่ิมต้น 0.25 0.25 -
เปล่ียนแปลง 0.015 0.015 0.03
ท่ีสมดุล 0.235 0.235 0.03
K = [HI]2/[H2][I2]
= (0.03)2/(0.235)2
= 2 x 10-2
Ex 12. ท่ีอุณหภูมหน่ ึงก๊าซ HX 1.0 mol/dm3 สลายตัวได้
ิ
20 % ดังสมการ
2HX =H2 + X2 จงคำานวณหาค่าคงท่ีสมดุล
วิธีทำา HX 1.0 mol/dm3 สลายตัวได้ 20 %
ดังนั ้น HX สลายตัว= 20/100 X 1= 0.2 mol/dm3
2HX= H2 + X2
เร่ิมต้น 1 - -
เปล่ียนแปลง 0.2 0.1 0.1
ท่ีสมดุล 0.8 0.1 0.1
K =[H2][X2]/[HX]2
=(0.1)2/(0.8)2
=1.56 X 10-2
Ex 13. ก๊าซ N2 ทำาปฏิกริยากับก๊าซ H2 ดังสมการ
ิ
3H2(g) + N2(g)= 2NH3(g) ท่ีอุณหภูมิ 400oC
ท่ีภาวะสมดุลพบว่ามี N2 0.6mol/dm3 , H2 0.4
mol/dm3
และ NH3 0.14mol/dm3 จงคำานวณหาค่าคงท่ีสมดุล
K = [NH3]2/[H2]3[N2]
= (0.14)2/(0.6)(0.4)3
= 0.51
การเปล่ียนภาวะสมดุล
ท่ีภาวะสมดุลของปฏิกิริยาใดๆสมบัติต่างๆเช่น ความเข้มข้นของ
ผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดขึ้นและความเข้มข้นของสารตังต้นท่ีเหลือจะมีค่าคงท่ี
้
ถ้ามีการเปล่ียนแปลงปั จจัยบางอย่างขึ้น เช่น การเปล่ียนความเข้มข้น
อุณหภูมิ หรือความดัน อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปล่ียนแปลงไป โดย
การเปล่ียนแปลงดังกล่าวจะมีผลต่อภาวะสมดุล
10. ปั จจัยท่ีมีผลต่อภาวะสมดุลได้แก่
1.การเปล่ียนความเข้มข้น
2.การเปล่ียนความดัน
3.การเปล่ียนอุณหภูมิ
การเปล่ียนความเข้มข้นของสารกับภาวะสมดุล
Ex 14. ปฏิกิริยาระหว่าง Fe(NO3)3 กับ NH4 SCN
Fe3+(aq) + SCN-(aq)= [FeSCN]2+(aq)
นำ ้ าตาล ไม่มีสี สีแดงเลือดนก
ทำาการทดลองโดยแบ่งสารละลายออกเป็ น 4 ส่วนดังนี้
1.เก็บไว้เปรียบเทียบ (blank)
2.เติม Fe(NO3)3 ลงไป ปรากฏว่าสีแดงเพ่ิมขึ้น
3.เติม NH4 SCN ลงไปปรากฏว่าสีแดงเพ่ิมขึ้น(มากกว่าส่วนท่ี 1
แต่น้อยกว่าส่วนท่ี 2)
4.เติม Na2HPO4 ลงไป ปรากฏว่าสีแดงจางลงและมีตะกอนสี
ขาวเกิดขึ้น
จากการทดลองอธิบายได้ดังนี้
2.การเติม Fe(NO3)3 ลงไปเท่ากับเป็ นการเพ่ิม Fe3+ซ่ ึงจะทำา
ปฏิกริยากับ SCN- ท่ีเหลืออยู่เกิดเป็ น [FeSCN]2+ทำาให้สีแดง
ิ
เข้มขึ้น และ Fe3+ ท่ีเติมลงไปถูกใช้ไม่หมด
3.การเติม NH4 SCN เท่ากับเป็ นการเพ่ิม SCN-ซ่ ึงจะทำา
ปฏิกริยากับ Fe3+ ท่ีเหลืออยู่เกิดเป็ น [FeSCN]2+ ทำาให้สีแดง
ิ
เข้มขึ้นแต่สีจะน้ อยกว่าส่วนท่ี 2 เน่ ืองจาก SCN-ไม่มีสี
4.การเติม Na2HPO4 ลงไปเท่ากับเป็ นการเพ่ิม HPO42- ท่ี
จะไปดึง Fe3+เกิดเป็ นตะกอนขาวของ FePO4 ทำาให้สีแดงของ
สารลายจางลงกว่าเดิม
Fe3+(aq) + 2 HPO42-(aq) =FePO4(s) + H2
PO4-(s)
จากตัวอย่างสรุปได้ว่า การเพ่ิมหรือลดความเข้มข้นของสารจะมีผล
ทำาให้ภาวะสมดุลเปล่ียนไปซ่ ึงท่ีสมดุลใหม่สมบัติของระบบจะแตกต่าง
ไปจากสมดุลเดิม
การเปล่ียนความดันของสารกับภาวะสมดุล
Ex 15. ปฏิกิริยาการเตรียมก๊าซ NO2 ดังสมการ
Cu(s) + 4HNO3(aq)— Cu(NO3)2(aq) +2NO2(g)
+ 2H2O(l)
2NO2(g) =N2O4(g)
สีนำ้าตาลแดง ไม่มีสี
11. จากปฏิกริยาถ้าเพ่ิมความดันจะพบว่าสีของก๊าซในกระบอกฉี ดยาเข้ม
ิ
ขึ้นและ
ค่อยๆจางลงจนคงท่ีแต่ถ้าลดความดันจะพบว่าสีของสารละลายใน
กระบอกฉี ดยา
จะจางลงและเข้มขึ้นจนคงท่ีจากตัวอย่างสรุปได้ว่าการเพ่ิมหรือ
ลดความดันของก๊าซจะมีผลทำาให้ภาวะสมดุลเปล่ียนไปท่าสมดุลใหม่
สมบัติของ
ระบบจะแตกต่างไปจากสมดุลเดิม
การเปล่ียนอุณหภูมิกับภาวะสมดุล
Ex 16 จากปฏิกิริยา 2NO2(g) =N2O4(g) +DH
สีนำ้าตาลแดง ไม่มีสี
จากปฏิกริยา ถ้าเพ่ิมอุณหภูมิโดยการให้ความร้อน จะพบว่าสีของก๊าซ
ิ
ในกระบอกฉี ดยาเข้มขึ้นแล้วคงท่ี แต่ถ้าลดอุณหภูมิจะพบว่าสีของก๊าซ
ในกระบอกฉี ดยาจางลงแล้วคงท่ี
จึงสรุปได้ว่าการเพ่ิมหรือลดอุณหภูมิของสาร จะมีผลทำาให้ภาวะสมดุล
ของระบบเปล่ียนไป และทีสมดุลใหม่สมบัติของระบบจะแตกต่างไป
จากสมดุลเดิม
ปี ค.ศ. 1884 เลอ ชาเตอลิเอ นั กวิทยาศาสตร์ชาวฝรังเศสได้ศึกษา
่
ค้นคว้าเก่ียวกับการ
เปล่ียนแปลงภาวะสมดุลของปฏิกิริยาต่างๆและได้ข้อสรุปว่า ‘ เม่ ือ
ระบบท่ีอยู่ในภาวะสมดุล
ถูกรบกวนโดยการเปล่ียนแปลงปั จจัยท่ีมีผลต่อภาวะสมดุลของระบบ
ระบบจะเกิดการเปล่ียนแปลงไปในทิศทางท่ีจะลดผลของการรบกวน
นั ้น
เพ่ ือให้ระบบเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่อีกครัง’
้
กรณี ท่ีความเข้มข้นเปล่ียน
Ex 17 A + B= C + D
1.ถ้าเพ่ิมความเข้มข้นของสาร A ระบบจะปรับตัวโดยการเกิดปฏิกิริยา
ไปข้างหน้ าผลท่ีได้คือ
สาร C และ D มากขึ้น สาร B ลดลง
2.ถ้าลดความเข้มข้นของสาร A ระบบจะปรับตัวโดยการเกิดปฏิกิริยา
12. ย้อนกลับผลท่ีได้คือ
สาร B เพ่ิมขึ้น สาร C และ D ลดลง
หมายเหตุ กรณี การเพ่ิมหรือลดสารผลิตภัณฑ์ก็ให้ใช้หลักในการ
พิจารณาเช่นเดียวกับสารตังต้น้
กรณี ท่ีความดันเปล่ียน
Ex 18 3A + B= C + 4D
1.ถ้าเพ่ิมความดัน ระบบจะเกิดการปรับตัวในทิศทางท่ีจะลดความดัน
โดยการเกิด
ปฏิกริยาย้อน
ิ
กลับ ผลท่ีเกิดขึ้นคือ สาร A และ B มากขึ้น สาร C และ D จะลด
ลง
2.ถ้าลดความดันระบบจะเกิดการปรับตัวในทิศทางเพ่ิมความดันโดย
การเกิด
ปฏิกริยาไปข้างหน้ าผลท่ีเกิดขึ้นคือสาร C และ D
ิ
มากขึ้น สาร A และ B ลดลง
หมายเหตุ การเพ่ิมหรือลดความดันจะไม่มีผลต่อภาวะสมดุลของ
ปฏิกริยาถ้า
ิ
จำานวนโมลของสารท่ีเป็ นก๊าซทังสองข้างเท่ากัน
้
กรณี ท่ีอุณหภูมิเปล่ียนแปลง
Ex 19 X + Y =Z + D+H
1.ถ้าเพ่ิมอุณหภูมิ ระบบจะปรับตัวในทิศทางลดอุณหภูมิโดยเกิด
ปฏิกริยาย้อนกลับ ผลท่ีเกิดขึ้นคือสาร X และ Y มากขึ้น สาร Z ลด
ิ
ลง และค่าคงท่าสมดุล(K)ลดลงด้วย
2.ถ้าลดอุณหภูมิ ระบบจะปรับตัวในทิศทางเพ่ิมอุณหภูมิโดยเกิด
ปฏิกริยาไปข้างหน้ า ผลท่ีเกิดขึ้นคือสาร X และ Y ลดลง สาร Z
ิ
เพ่ิมขึ้นและค่าคงท่าสมดุล(K)เพ่ิมขึ้นด้วย
Ex 20 A + B + D+H=C + D
1.ถ้าเพ่ิมอุณหภูมิ ระบบจะปรับตัวในทิศทางลดอุณหภูมิโดยเกิด
ปฏิกริยาไปข้างหน้ า ผลท่ีเกิดขึ้นคือสาร A และ B ลดลง สาร C
ิ
และ D เพ่ิมขึ้น และค่าคงท่าสมดุล(K) เพ่ิมขึ้นด้วย
2.ถ้าลดอุณหภูมิ ระบบจะปรับตัวในทิศทางเพ่ิมอุณหภูมิโดยเกิด
ปฏิกริยาย้อนกลับผลท่ีเกิดขึ้นคือสาร A และ B เพ่ิมขึ้น สาร C และ
ิ
D ลดลงและค่าคงท่าสมดุล(K)ลดลงด้วย กรณี ตัวเร่งปฏิกิริยากับ
ภาวะสมดุล
การใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาเป็ นการทำาให้ปฏิกิรยาเกิดขึ้นเร็วขึ้นโดยไม่มีผล
ิ
ต่อภาวะสมดุลแต่อย่างใด เพียงแต่ระบบเข้าสู่ภาวะสมดุลเร็วเท่านั ้น
13. EX. ใ น ป ฏิ กิ ริ ย า Fe3+ + SCN-
[FeSCN]2+
¬ หาก เติ ม NH4SCN ลงไปใน
ปฏิกิริยา
k ห า ก ดึ ง [FeSCN]2+ อ อ ก จ า ก
ปฏิกิริยา
ทำา ¬ เติม NH4SCN
เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าไปข้ า งหน้ า เพิ่ ม มากขึ้ น
สมดุล เลื่อนไปทางขวา
k ลด [FeSCN]2+
เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าไปข้ า งหน้ า เพิ่ ม มากขึ้ น
สมดุล เลื่อนไปทางขวา
ค่าคง ที่สมดุล (Chemical Equilibrium)
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความเข้มข้นของสารต่างๆ ณ ภาวะ
สมดุล เมื่อปฏิกิริยาเคมีที่สาร A ทำาปฏิกิริยากับสาร B
ได้สาร C และสาร D เข้าสู่ภาวะสมดุล
A + B C + D
อัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้า (Ratef) และอัตรา
การเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ (Rater) สามารถเขียนได้ดังนี้
Kf และ Kr คือค่าคงที่ของ
Ratef และ Rater ตามลำาดับที่ภาวะสมดุล
14. Ratef
= Rater
Kf [A] [B]
= Kr [C] [D]
K =
= [ ] แทนความเข้มข้นเป็น mol/dm3
นิยามของค่าคงที่สมดุล และ การหาค่าคงที่สมดุล
(Equilibrium constant)
ผลคูณของความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ที่ยกกำาลัง
ด้วยสัมประสิทธิ์บอกจำานวนโมล สารผลิตภัณฑ์ หารด้วยผลคูณ
ของความเข้มข้นของสารตั้งต้น ทียกกำาลังด้วยสัมประสิทธิ์บอก
่
จำานวนโมลสารตั้งต้น จะมีค่าคงทีที่อุณหภูมิหนึ่ง คือค่าคงที่
่
สมดุล (Equilibrium constant) และมีสัญลักษณ์เป็น K
หรือ Kc
H2 (g) + I2 (g) 2HI
(g) ที่ภาวะสมดุล K =
2NO2Cl (g) 2NO2 (g) + Cl2
(g) K =
ขั้นตอนการคำานวณเกี่ยวกับค่า คงที่สมดุลเคมี
1. เขียนสมการพร้อมดุล
15. 2. เขียนความเข้มข้นของสารตั้งต้น
3. เขียนความเข้มข้นของสารที่เปลี่ยนไป
4. เขียนความเข้มข้นของสารที่ภาวะสมดุล ( จาก
ขั้นที่ 2 + ขั้นที่ 3 )
5. เขียนค่าคงที่สมดุลจากขั้นที่ 1
6. แทนค่าความเข้มข้นของสารต่าง ๆ ที่ภาวะสมดุล
จากขั้นที่ 4 ลงในขั้นที่ 5
7. คำานวณหาตัวแปร จากขั้นที่ 6
8. ตอบคำาถามจากโจทย์ที่กำาหนด
ความสัมพันธ์ระหว่าง ค่า K กับความเข้มข้นของสารตั้ง
ต้นและสารผลิตภัณฑ์ และการดำาเนินไปของปฏิกิริยา
1. ค่า K > 1 ถือว่า ค่า K มาก แสดงว่า
ปฏิกิริยาเกิดไปข้างหน้าได้ดีมาก ผลิตภัณฑ์เกิดมาก สารตั้ง
ต้นเหลือน้อย
2. ค่า K < 1 ถือว่า ค่า K น้อย แสดงว่า
ปฏิกิริยาเกิดไปข้างหน้าได้น้อย เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้ดี
ผลิตภัณฑ์เกิดน้อย สารตั้งต้นเหลือมาก
3. ค่า K = 1 ถือว่า ค่า K ปานกลาง แสดงว่า
สารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์ จะมีปริมาณพอ ๆ กัน
4. ค่า K จะคงที่เสมอ ไม่วาสมดุลจะถูกรบกวน
่
ยกเว้น อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลง
5. ค่า K > 1 หรือ K < 1 ได้ แต่จะไม่มีค่า
ติดลบ
16. สรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ค่า K
1. สมการเป็นสมการที่กลับข้างสมการเดิม ค่า K ก็เป็นส่วน
กลับค่า K ของสมการเดิม หรือเป็นปฏิกิริยาย้อนกลับขอสมา
การเดิม
(K = )
2H2 (g) + O2 (g) 2H2O (g) ; K1
=
2H2O (g) 2H2 (g) + O2 (g) ; K2
=
K1.K2 = .
= 1
จะได้วา
่ K2 =
2. ถ้าสมการใหม่ได้จากการคูณสมการเดิมด้วย n ค่า K
ของสมการใหม่จะเท่ากับ K ของสมการเดิมยกกำาลังด้วย n ( n
อาจจะเป็นเลขจำานวนเต็มหรือ เศษส่วนก็ได้)
K = เช่น
2H2 (g) + O2 (g) 2H2O (g) ; K1 =
17. ถ้าคูณสมการดังกล่าวนี้ด้วย 1/2 จะได้สมการใหม่
เป็นดังนี้
H2 (g) + 1/2 O2 (g) H2O
(g) ; K3 =
เมื่อพิจารณา K1 และ K3 จะได้วา
่
K3 = [
] = (K1)
3. ถ้าสมการใหม่ได้จากการรวมสมการ 2 สมการ (
สมมติมีค่า K เป็น K1 และ K2 ตามลำาดับ) เข้าด้วยกัน ค่า K
ของสมการใหม่ จะเท่ากับผลคูณของค่า K ของสมการ
เดิม K = K1 . K2
เช่น 2BrCl (g) Cl2 (g) + Br2
(g) ; K1 =
Br2 (g) + I2 (g) 2 IBr (g)
; K2 =
เมื่อรวมสมการทังสองเข้าด้วยกัน จะได้
้
2BrCl (g) + Br2 (g) + I2 (g) 2 IBr (g) + Cl2
(g) + Br2 (g) ;K3 =
K3 = = .
18. K3 = K1 . K2
4. ถ้าสมการใหม่ได้จากการลบสมการที่ 2 ออกจากสมการที่
1 ค่า K ของสมการใหม่เท่ากับค่า K ของสมการที่ 1 หารด้วย
ค่า K ของสมการที่ 2 K =
ค่าคงที่สมดุลในเทอมของความ ดัน (Kp)
ในปฏิกิริยาที่สารตั้งต้นและสาร ผลิตภัณฑ์เป็นก๊าซ ค่าคงที่
สมดุลสำาหรับระบบของก๊าซจะขึ้นอยู่กับความดันย่อยของก๊าซ
ไม่ใช้ความเข้มข้น มีสัญลักษณ์เป็น Kp
เช่น ปฏิกิริยา N2 (g) + H2 (g) 2NH3 (g)
KP = , P , P และ P
แทนความดันของก๊าซ NH3 , N2 และ H2 ตามลำาดับ
ความสัมพันธ์ระหว่าง Kp และ Kc
ค่า Kp และ Kc อาจจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ ความสัมพันธ์
ระหว่าง Kp และ Kc เป็นดังนี้
Kp = Kc(RT)
R = ค่าคงที่ของก๊าซ 0.0823
dm3 . atm . mol-1 . K-1
T = อุณหภูมิเคลวิน
= จำานวนโมลของสารผลิตภัณฑ์
(ก๊าซ ) - จำานวนโมลของสารตั้งต้น ( ก๊าซ )
ถ้า = 0 ค่า Kp = Kc
19. ค่าคงที่สมดุลของการละลาย
เมื่อเกลือละลายในนำ้า จะแตกตัวให้ไอออน ถ้าละลายได้ดี
มากในนำ้า ละลายหมด ปฏิกิริยาจะ ไม่ เกิดภาวะสมดุล
แต่ถ้าเป็นเกลือ
ทีละลายนำ้าได้น้อยมาก ยังมีเกลือเหลืออยู่ สามารถเกิดภาวะ
่
สมดุลได้
ถ้าปฏิกิริยาการละลายเขียนแทนด้วยสมการทั่วไป
ดังนี้
AmBn (s) mAn+ (aq) +
nBm- (aq)
ค่า Ksp จะเขียนได้ดังนี้
Ksp = [An+]m [Bm-]n
เช่น CaF2 (s) Ca2+ (aq)
+ 2F- (aq)
Ksp = [Ca2+] [F-]2
ถ้าให้ a คือการละลายของ CaF2 เป็นโมล/ลิตร หมาย
ถึง CaF2 ละลายได้ a โมล/ลิตร ดังนั้น จะให้ Ca2+ a
โมล/ลิตร และ F- 2a โมล/ลิตร
20. CaF2 (s) Ca2+ (aq) + 2F-
(aq)
a 2a
Ksp = (a) (2a)2 = 4a3
ค่า Ksp จะบอกให้ทราบว่าสารนั้นละลาย
ได้มากน้อยเพียงใด
ถ้า Ksp มีค่ามาก จะละลายได้มาก
ค่า Ksp กับการตกตะกอน
ค่า Ksp จะเป็นค่าที่กำาหนดการตกตะกอนของสาร เช่น
AgCl(s) (Ksp = 1.7x 10-10) ถ้า [Ag+]
[Cl-] = Ksp AgCl จะเริ่มเกิดการตกตะกอน
[Ag+] [Cl-] คือ ความเข้มข้นเป็นโมล/ลิตรของ Ag+ และ
Cl- ในสารละลายขณะนั้น ซึ่งยังไม่มีตะกอนหรือของแข็งเกิด
ขึ้น ดังนั้นสรุปได้วา
่
ถ้า [Ag+] [Cl-] Ksp (AgCl)
AgCl ตกตะกอน
[Ag+] [Cl-] < Ksp (AgCl)
AgCl ไม่ตกตะกอน
ร้อยละของการแตกตัว = ความ
เข้มข้นที่แตกตัว X 100