SlideShare a Scribd company logo
1 of 76
Download to read offline
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนปลาย
คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์ จะส่งผลต่อเซลล์อย่ำงไร
1. เซลล์จะมีรูปร่ำงไม่คงตัว
2. เซลล์มีควำมแข็งแรงมำก
3. สำรต่ำงๆ จะไม่สำมำรถผ่ำนเซลล์ได้
4. เซลล์จะไม่สำมำรถสังเครำะห์สำรต่ำงๆ ได้
2. ควำมเข้มข้นของสำรมีผลต่อกระบวนกำรแพร่อย่ำงไร
1. มีผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์
2. มีผลต่ออัตรำกำรแพร่
3. ไม่มีผลต่อกระบวนกำรแพร่
4. มีผลต่อปริมำณนำในกำรแพร่
3. กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำ หรือช้ำกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ เพรำะเหตุใด
1. ช้ำกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่
2. ช้ำกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำมีจำนวนน้อย
3. เร็วกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ แต่มีปริมำณมำก
4. เร็วกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำทำให้สำรผ่ำนเยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว
4. กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำนเปรียบเทียบได้กับเหตุกำรณ์ใด
1. กำรตักนำใส่กะละมัง
2. กำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ
3. กำรเทนำออกจำกกะละมัง
4. กำรปล่อยนำลงจำกถังเก็บนำ
5. เมื่อใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป ต้นไม้จะไม่เจริญงอกงำมตำมต้องกำร แต่กลับเหี่ยวเฉำลง เพรำะเหตุใด
1. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน
2. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์
3. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน
4. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์
6. ในที่อุณหภูมิต่ำอัตรำเมแทบอลิซึมของสัตว์เลือดอุ่นเทียบกับสัตว์เลือดเย็นจะเป็นดังข้อใด
1. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง
2. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ
3. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ
4. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง
7. หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยมีกลไกกำรรักษำดุลยภำพของอุณหภูมิอย่ำงไร
1. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
2. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว
3. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
4. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว
8. ข้อใดไม่ใช่กลไกกำรทำงำนของจุลินทรีย์ประจำถิ่นเพื่อยับยังจุลินทรีย์ก่อโรค
1. แข่งขันแย่งอำหำร
2. จับเชือจุลินทรีย์ก่อโรคกิน
3. สร้ำงสำรยับยังกำรเจริญเติบโตของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
4. ปรับเปลี่ยนสภำพแวดล้อมให้ไม่เหมำะสมสำหรับกำรเจริญของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
9. เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีกำจัดเชือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีใด
1. สร้ำงแอนติเจนจำเพำะ
2. สร้ำงแอนติบอดีจำเพำะ
3. สร้ำงเซลล์พลำสมำเพื่อกลืนกินเชือโรค
4. กระตุ้นให้เซลล์ทีแบ่งตัวอย่ำงรวดเร็วเพื่อกำจัดเชือโรค
10. หลักกำรให้หรือรับเลือดต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับเพรำะเหตุใด
1. ถ้ำแอนติบอดีของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว
2. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
3. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว
4. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
11. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด
1. ไม่มีกำรจดจำแอนติเจน
2. ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง
3. มีกำรตอบสนองทันที รวดเร็ว และรุนแรง
4. กลไกกำรป้องกันสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีกำรจับกินและย่อยทำลำย
12. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
1. ลักษณะบำงอย่ำงของลูกอำจเหมือนปู่ ย่ำ ตำ ยำยได้
2. ลักษณะของลูกที่ต่ำงจำกพ่อหรือแม่เกิดจำกกำรกลำย
3. ลักษณะของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เสมอ ไม่มีทำงเหมือนบุคคลอื่นได้
4. ลักษณะต่ำงๆ ของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เท่ำนัน เพรำะลูกเกิดจำกกกำรรวมตัวของไข่ของแม่
และอสุจิของพ่อ
13. กำรรณรงค์ให้เด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ปี มำรับวัคซีนโปลิโอ เพื่อให้เด็กสร้ำงภูมิคุ้มกันแบบใด
ก. ภูมิคุ้มกันที่ได้รับ
ข. ภูมิคุ้มกันแบบจำเพำะ
ค. ภูมิคุ้มกันที่สร้ำงขึนเอง
ง. ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ค. และ ง. 4. ก. และ ง.
14. ข้อใดเป็นหน้ำที่ของออโตโซม
1. ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต
2. กำหนดเพศและลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต
3. ควบคุมกำรแสดงออกเกี่ยวกับเพศในสิ่งมีชีวิต
4. กำหนดกำรจับคู่ของยีน หรือกำรจับคู่ของโครโมโซม
15. องค์ประกอบใดที่ทำให้ในแต่ละนิวคลีโอไทด์ของสำยอำร์เอ็นเอมีลักษณะแตกต่ำงกันออกไป
1. หมู่ฟอสเฟต 2. นำตำลไรโบส
3. ไนโตรเจนเบส 4. นำตำลเพนโทส
16. ส่วนประกอบในข้อใดที่พบในดีเอ็นเอแต่ไม่พบในอำร์เอ็นเอ
1. นำตำลดีออกซีไรโบส
2. นำตำลไรโบส และเบสไทมีน
3. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสไทมีน
4. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสยูรำซิล
17. เซลล์ในระยะใดเหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซมมำกที่สุด
1. ระยะที่ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์
2. ระยะเมทำเฟสซึ่งโครโมโซมเรียงอยู่ตรงกลำงเซลล์
3. ระยะโพรเฟสซึ่งกำลังเกิดกระบวนกำรคลอสซิงโอเวอร์
4. ระยะอินเตอร์เฟสซึ่งมีกำรสะสมสำรต่ำงๆ สำหรับกำรแบ่งเซลล์
18. กำหนดเซลล์ต่ำงๆ ต่อไปนี
ก. เซลล์อสุจิ ข. เซลล์ไข่
ค. เซลล์เม็ดเลือดขำว ง. เซลล์ผิวหนัง
เซลล์ในข้อใดมีกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ค. 3. ค. และ ง.
19. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วยเหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ
น้อยที่สุด
1. งู 2. เหยี่ยว
3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน
20. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดพลังงำน
1. ผู้ผลิตเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่อำหำรทุกชนิด
2. ระบบนิเวศใดที่มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก แสดงว่ำระบบนิเวศนันมีควำมสมดุล
3. จุลินทรีย์มีบทบำทในกำรย่อยสลำยสำรอินทรีย์ แต่ไม่ได้มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน
4. โซ่อำหำรที่มีจำนวนสิ่งมีชีวิตมำก สิ่งมีชีวิตท้ำยๆ โซ่อำหำรยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลง
21. อัมนำนก 2 ชนิดที่มีลักษณะคล้ำยกัน มำเลียงไว้ด้วยกัน ให้อำหำรและดูแลเหมือนกัน เนื่องจำกต้องกำร
ให้นกผสมพันธุ์ออกลูกออกหลำน แต่เมื่อเวลำผ่ำนไป พบว่ำนกไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ ข้อสรุปใด
ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุกำรณ์นี
1. นก 2 ชนิดนีอยู่ต่ำงสปีชีส์กัน
2. นก 2 ชนิดนีกินแมลงต่ำงชนิดกัน
3. เสียงเรียกหำคู่ของนก 2 ชนิดนีต่ำงกัน
4. ลำตัวของนก 2 ชนิดนีมีขนำดต่ำงกันมำก
22. สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด
1. มอสและเฟิร์น 2. เฟิร์นและหญ้ำ
3. หญ้ำและพุ่มไม้ 4. รำและสำหร่ำยที่อยู่ร่วมกัน
23. ข้อใดกล่ำวถึงสมดุลของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศได้ถูกต้องที่สุด
1. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในปริมำณมำก
2. มีสัดส่วนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม
3. มีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่ำต่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหยื่อในปริมำณที่เหมำะสม
4. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตปริมำณน้อย แต่มีสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในปริมำณมำก
24. ควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใดที่มีควำมสัมพันธ์ในรูปแบบที่แตกต่ำงไปจำกพวก
1. ต่อไทรกับต้นไทร 2. ฉลำมกับเหำฉลำม
3. นกทำรังอยู่บนต้นไม้ 4. เพรียงเกำะบนตัวสัตว์
25. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
1. แตงโมไม่มีเมล็ด
2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนีอเยื่อ
3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ
26. สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมเกี่ยวข้องกันอย่ำงไร
1. สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยำกรธรรมชำติ
2. ทรัพยำกรธรรมชำติเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
3. สิ่งแวดล้อมเกิดจำกทรัพยำกรธรรมชำติที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์
4. ทรัพยำกรธรรมชำติเกิดจำกสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์
27. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน
1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม
3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์
28. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก
1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน
3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน
29. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตกำรณ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติของโลก คือข้อใด
1. ควำมเจริญของชุมชนเมือง
2. ควำมเจริญของอุตสำหกรรม
3. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี
4. กำรเพิ่มจำนวนประชำกรมนุษย์
30. กำรกระทำในข้อใดเป็นกำรช่วยเพิ่มรำยได้ให้แก่ตนเอง โดยยึดหลักกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
1. กำรเก็บกล้วยไม้จำกป่ำมำขำย
2. จับม้ำนำมำตำกแห้งเพื่อขำยให้ร้ำนยำโบรำณ
3. เก็บเปลือกหอยตำมชำยหำดมำประดิษฐ์ของที่ระลึกขำย
4. เก็บขวดพลำสติกที่ถูกทิงตำมข้ำงถนนมำสะสมเพื่อนำไปขำย
31. ข้อควำมใดกล่ำวถึงอะตอมได้ถูกต้องที่สุด
1. อะตอมอยู่เป็นอิสระได้
2. นิวเคลียสในอะตอมมีประจุเป็นกลำงเสมอ
3. เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนจะเกิดเป็นไอออนบวก
4. เมื่อจำนวนโปรตอนเท่ำกับจำนวนนิวตรอนจะทำให้อะตอมเป็นกลำง
32. กำรทดลองข้อใดที่พิสูจน์ว่ำนิวเคลียสในอะตอมมีขนำดเล็กมำกเมื่อเทียบกับขนำดของอะตอม
1. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้มีกำรปล่อยรังสีเอ็กซ์เกิดขึน
2. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ
3. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ
4. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง แล้วพบว่ำอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำนไปได้ โดยมีเพียง
ส่วนน้อยที่กระเจิงออกหรือสะท้อนกลับ
33. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x
มีสัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด
1. x9
10
2. x9
21
3. x11
20
4. x11
21
34. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+
) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด
1. โปรตอน
2. อิเล็กตรอน
3. นิวตรอนและอิเล็กตรอน
4. โปรตอนและอิเล็กตรอน
35. ธำตุชนิดหนึ่งมีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอน ดังนี 2, 8, 18, 32, 18, 7 ธำตุนีควำรเป็นธำตุใด
1. Fr 2. At
3. Bi 4. Ra
36. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด
เท่ำกัน
1. Pb2-
2. Pb
3. Pb2+
4. Pb4+
37. ข้อใดเปรียบเทียบสมบัติของธำตุไม่ถูกต้อง
1. โลหะโซเดียมมีขนำดอะตอมเล็กกว่ำโลหะแมกนีเซียม
2. โลหะโพแทสเซียมมีควำมว่องไวต่อปฏิกิริยำน้อยกว่ำโลหะโซเดียม
3. เกลือของโลหะโซเดียมละลำยนำได้ดีกว่ำเกลือของโลหะแมกนีเซียม
4. สำรประกอบของแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยำคล้ำยคลึงกับสำรประกอบของแคลเซียม
38. รังสีใดใช้ในกำรเหนี่ยวนำให้เกิดกำรกลำยพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต
1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ
3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด
39. ธำตุกับมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี
ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลือออยู่ 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตเมื่อกี่ปีมำแล้ว
1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี
3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี
40. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ
1. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์
2. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู
3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์
4. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ปรมำณูไปยังกังหันไอนำ
41. เพรำะเหตุใดธำตุจึงมีกำรสร้ำงพันธะเคมี
1. ธำตุต้องกำรให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
2. ธำตุต้องกำรรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
3. ธำตุต้องกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
4. ธำตุต้องกำรจัดอิเล็กตรอนวงนอกสุดให้ครบ 8 เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
42. ธำตุในข้อใดมำรวมตัวกันโดยกำรสร้ำงพันธะโคเวเลนต์
1. เหล็กกับฟลูออรีน 2. แบเรียมกับกำมะถัน
3. ฟอสฟอรัสกับโบรมีน 4. รูบิเดียมกับออกซิเจน
43. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี
ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A
ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้
ค. โลหะแทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
44. กำหนดสำรให้ 3 ชนิด ดังนี สำร A มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอน สำร B มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรง
ดึงดูดระหว่ำงขัวและ สำร C มีแรงยึดเหนียวเป็นพันธะไฮโดรเจน สำร A B และ C ควรเป็นสำรใด
ตำมลำดับ
1. O2 CCI4 HF 2. CCI4 SF2 CH3OH
3. BCI3 CI2 NH3 4. CHCI3 SO2 CH3OH
45. จงพิจำรณำว่ำสูตรสำรประกอบ และชื่อของสำรประกอบไอออนิกต่อไปนีข้อใดถูกต้อง
ก. Li2HPO4 ลิเทียมไฮโดรเจนฟอสเฟต
ข. Fe2O3 ไอร์ออน (II) ออกไซด์
ค. Cu2S คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์
ง. CaHCO3 แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต
1. ข. และ ค. 2. ก. ค. และ ข.
3. ข. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ
46. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน
1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน
2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง
3. กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้
4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
47. กำหนดควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำของสำรประกอบต่ำงๆ ดังนี
สำร A ไม่นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็ง แต่เมื่อหลอมเหลวนำไฟฟ้ำได้ดี
สำร B นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็งหรือของเหลว
สำร C ไม่นำไฟฟ้ำทังในสถำนะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
สำร A B และ C ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ
1. KI Cr CO2
2. Cr KI CO2
3. CO2 KI Cr
4. CO2 Cr KI
48. ตะกรันในกำต้มนำไม่ได้เกิดจำกสำเหตุในข้อใด
1. CaCO3 ละลำยนำได้น้อย
2. กำรสะสมของตะกอน CaCO3
3. กำที่ใช้ต้มนำทำด้วยโลหะ
4. นำที่ใช้ต้มเป็นนำกระด้ำง
49. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำกระดำษแผ่น
2. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ
3. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่
4. เครื่องปฏิกิริยำนิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น
ก้อนเล็กๆ
50. ปฏิกิริยำเคมีจะสำมำรถเกิดขึนได้ต้องอำศัยสภำวะในข้อใด
ก. อนุภำคของสำรตังต้นชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม
ข. มีกำรเติมตัวเร่งปฏิกิริยำลงไปเพื่อช่วยเร่งให้เกิดปฏิกิริยำ
ค. สำรตังต้นต้องมีพลังงำนสูงกว่ำพลังงำนก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยำ
ง. มีควำมดันที่มำกพอที่จะทำให้สำรอยู่ในสภำวะแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยำได้ง่ำยขึน
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ง. 4. ค. และ ง.
51. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับสำรชีวโมเลกุล
1. พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำรจะอยู่ในรูปพลังงำนเคมี
2. โปรตีนเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด
3. ในร่ำงกำยมนุษย์จะพบคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด
4. ร่ำงกำยสำมำรถนำสำรอำหำรทุกชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่ำนกระบวนกำรย่อย
52. สำรในข้อใดเมื่อนำมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์แล้วให้ผลกำรทดสอบที่ถูกต้องที่สุด
1. เมื่อนำนำแป้งมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
2. เมื่อนำนำองุ่นมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
3. เมื่อนำนำผึงมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
4. เมื่อนำนำแอปเปิลมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
53. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
ก. กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน
ข. ไขมันกับไตรกลีเซอไรด์เป็นสำรคนละชนิดกัน
ค. หมู่ฟังก์ชันในกลีเซอรอลที่มำทำปฏิกิริยำกับกรดไขมัน คือ หมู่ไฮดรอกซิล
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ
54. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบส จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร
1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน
2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน
3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน
4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีน
55. กำรเผำไหม้ของเอทำนอลให้พลังงำนน้อยกว่ำนำมันเบนซินในปริมำตรที่เท่ำกัน และเอทำนอลมีค่ำ
ออกเทนสูงกว่ำนำมันเบนซิน ถ้ำใช้รถคันเดียวกัน เติมนำมันเท่ำกัน แล้วขับบนเส้นทำงและสภำพถนน
เดียวกันจะได้ผลตำมข้อใด
1. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ และเครื่องยนต์ทำงำนดีกว่ำ
2. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำ แต่เครื่องยนต์ทำงำนได้ดีกว่ำ
3. กำรใช้เบนซินหรือแก๊สโซฮอล์ได้ผลเหมือนกันทังระยะทำงและกำรทำงำนของเครื่องยนต์
4. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำใช้เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ทำงำนได้เหมือนกัน
56. ข้อใดนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำรกลั่นนำมันดิบมำใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง
1. นำนำมันหล่อลื่นมำใช้ทำนำมันเครื่อง
2. นำแก๊สปิโตรเลียมมำใช้เป็นเชือเพลิงในตะเกียง
3. นำแก๊สโซลีนมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับเครื่องบิน
4. นำนำมันเชือเพลิงมำใช้เป็นเชือเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
57. ข้อใดกล่ำวถึงผลของแก๊สอันตรำยที่เกิดขึนจำกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ถูกต้อง
1. แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด
2. แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน
3. แก๊สไฮโดรคำร์บอนก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองในระบบหำยใจ
4. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ทำให้เลือดไม่สำมำรถรับออกซิเจนได้
58. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศที่มีออกซิเจน O2(g) ได้ไอนำ H2O(g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
CO2(g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใด
1. แก๊สโซฮอล์ 2. แก๊สบิวเทน
3. แก๊สธรรมชำติ 4. แก๊สไฮโดรเจน
59. ข้อใดเป็นพอลิเมอร์ธรรมชำติทังหมด
1. ลินิน ไนลอน เซลลูโลส
2. พีวีซี นีโอพรีน ยำงพำรำ
3. ไคติน ซิลิโคน ไกลโคเจน
4. แป้ง โปรตีน กรดนิวคลีอิก
60. พลำสติกชนิดหนึ่งนำมำใช้ทำสวิตซ์ไฟฟ้ำ เป็นพลำสติกที่มีควำมแข็งมำก แต่เมื่อถูกควำมร้อนสูงมำกๆ
จะเปรำะและแตกหักได้ พลำสติกชนิดนีน่ำจะมีโครงสร้ำงแบบใด
1. โครงสร่ำงแบบกิ่ง
2. โครงสร้ำงแบบเส้น
3. โครงสร้ำงแบบร่ำงแห
4. โครงสร้ำงแบบกิ่งหรือแบบร่ำงแห
61. เกณฑ์ใดใช้ในกำรแยกพลำสติกออกเป็นเทอร์มอพลำสติกและพลำติกเทอร์มอเซต
1. ควำมหนำแน่น
2. ควำมคงทนต่อกรด-เบส
3. กำรละลำยในตัวทำละลำยอินทรีย์
4. กำรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อน
62. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับยำงสังเครำะห์
1. พอลิบิวตำไดอีนเป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
2. ยำงเอสบีอำร์เป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
3. ยำงเอบีเอสเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น
4. นีโอพรีนเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น
63. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดของกำรกระจัดน้อยที่สุด
1. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร
2. เดินไปทำงขวำด้วยควำมเร็วคงที่ 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที
3. เดินไปทำงซ้ำยด้วยควำมเร็วคงที่ 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที
4. ทังสำมข้อมีขนำดกำรกระจัดเท่ำกัน
64. เด็กคนหนึ่งวิ่งไปทำงขวำ 20 เมตร ใช้เวลำ 4 วินำที จำกนันหันกลับหลังแล้ววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลำ 1
วินำที เด็กคนนีมีควำมเร็วเฉลี่ยเท่ำใด
1. 3.5 เมตรต่อวินำที
2. 3.6 เมตรต่อวินำที
3. 6.0 เมตรต่อวินำที
4. 7.0 เมตรต่อวินำที
65. รถยนต์ A เริ่มเคลื่อนที่จำกหยุดนิ่งโดยควำมเร็วเพิ่มขึน 2 เมตร/วินำที ทุก 1 วินำที เมื่อสินวินำทีที่ 5
รถยนต์จะมีควำมเร็วเท่ำไร
1. 5 เมตร/วินำที 2. 10 เมตร/วินำที
3. 15 เมตร/วินำที 4. 20 เมตร/วินำที
66. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำในแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด
1. 9.8 m/s2
2. 19.6 m/s2
3. 29.4 m/s2
4. 39.2 m/s2
67. วัตถุที่มีกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ขณะวัตถุอยู่บนจุดสูงสุด ข้อใดต่อไปนีถูกต้อง
1. ควำมเร็วของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์
2. ควำมเร่งของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์
3. ควำมเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีค่ำเป็นศูนย์
4. ควำมเร็วของวัตถุในแนวรำบมีค่ำเป็นศูนย์
68. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำงแล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยควำมเร็ว
คงตัว ข้อใดถูกต้อง
1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว
2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์
3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง
4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศทำงพุ่งเข้ำสู่ศูนย์กลำงของวงกลม
69. ผูกวัตถุด้วยเชือกแล้วเหวี่ยงให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระนำบดิ่ง ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มำถึงตำแหน่ง
สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดต่อไปนีที่ทำหน้ำที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลำง
1. แรงตึงเชือก
2. นำหนักวัตถุ
3. แรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ
4. ตำแหน่งนันแรงสู่ศูนย์กลำงเป็นศูนย์
70. ข้อควำมใดถูกต้องเกี่ยวกับคำบของลูกตุ้มอย่ำงง่ำย
1. ไม่ขึนอยู่กับควำมยำวเชือก
2. ไม่ขึนอยู่กับมวลของลูกตุ้ม
3. ไม่ขึนอยู่กับแรงโน้มถ่วงของโลก
4. มีคำบเท่ำเดิมถ้ำแกว่งบนดวงจันทร์
71. ข้อใดต่อไปนีไม่ได้ทำให้วัตถุมีกำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย
1. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่งแล้วผลักลูกตุ้มให้แกว่งเป็นวงกลมแนวดิ่ง
2. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่ง ดึงลูกตุ้มออกมำจนเชือกทำมุมกับแนวดิ่งเล็กน้อยแล้วปล่อยมือ
3. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวดิ่ง ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อยแล้ว
ปล่อยมือ
4. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวระดับ ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อย แล้ว
ปล่อยมือ
72. จำกแผนภำพที่แสดงลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดจำกแท่งแม่เหล็กสองแท่งวำงใกล้กัน
A
C D
B
ข้อใดบอกถึงขัวของแม่เหล็กที่ตำแหน่ง A, B, C และ D ได้อย่ำงถูกต้อง
1. A และ C เป็นขัวเหนือ B และ D เป็นขัวใต้
2. A และ D เป็นขัวเหนือ B และ C เป็นขัวใต้
3. B และ D เป็นขัวเหนือ A และ C เป็นขัวใต้
4. B และ C เป็นขัวเหนือ A และ D เป็นขัวใต้
73. ข้อควำมใดต่อไปนีไม่ถูกต้อง
1. สนำมไฟฟ้ำเป็นปริมำณเวกเตอร์ และมีทิศทำงจำกประจุบวกไปประจุลบเสมอ
2. วัตถุที่เป็นฉนวนจะไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้ำไหลผ่ำน แต่สำมำรถเกิดสนำมไฟฟ้ำได้ถ้ำถูกกระตุ้น
3. ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกัน ถ้ำอยู่ใกล้กันจะออกแรงผลักกันและเคลื่อนที่ห่ำงกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะ
อนันต์
4. ถ้ำนำวัตถุที่เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำวำงคั่นกลำงระหว่ำงประจุบวกกับประจุลบ วัตถุนันจะไม่ส่งผลใดๆ
ต่อสนำมไฟฟ้ำของประจุบวกและประจุลบ
74. วำงอนุภำคอิเล็กตรอนลงในบริเวณซึ่งมีเฉพำะสนำมไฟฟ้ำที่มีทิศไปทำงขวำดังรูป อนุภำคอิเล็กตรอน
จะมีกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด
1. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนขึนข้ำงบน
2. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนลงข้ำงล่ำง
3. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงขวำ
4. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงซ้ำย
75. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม อยู่บนดวงจันทร์มีนำหนัก 16 นิวตัน อยำกทรำบว่ำสนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์
มีค่ำเท่ำใด
1. 1.6 m/s2
2. 3.2
m
s2
3. 6.4 m/s2
4. 9.6 m/s2
76. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียร์จะประกอบด้วยแรงใดบ้ำง
1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน
2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ
3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
77. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก
1. ควำมยำวคลื่น
2. ประเภทของแหล่งกำเนิด
3. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
4. ทิศทำงกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง
78. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นตำมยำว
1. เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปตำมแนวยำวของตัวกลำง
2. เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่
3. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นได้หลำยแนว
4. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นในแนวเดียวกับกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
79. คลื่นวิทยุ FM มีควำมถี่ 88 เมกะเฮิรตซ์ คลื่นนีมีควำมยำวคลื่นเท่ำใด เมื่อกำหนดให้ควำมเร็วของ
คลื่นวิทยุ FM ขณะนันมีค่ำเท่ำกับ 3.0 x 108
เมตร/วินำที
1. 3.0 เมตร 2. 3.4 เมตร
3. 6.0 เมตร 4. 6.8 เมตร
80. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง
1. กำรหักเห 2. ดอพเพลอร์
3. กำรสั่นพ้อง 4. กำรสะท้อน
81. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใดของคลื่น
1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน
3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด
82. สมบัติตำมข้อใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดบีตส์
1. กำรสะท้อน 2. กำรหักเห
3. กำรเลียวเบน 4. กำรแทรกสอด
83. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่นตำมขวำง
1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ
2. เพรำะสนำมไฟ้ฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
3. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
4. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศเดียวกันกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
84. คลื่นใดในข้อต่อไปนีที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด
1. คลื่นวิทยุ 2. คลื่นอินฟรำเรด
3. คลื่นไมโครเวฟ 4. คลื่นแสงที่ตำมองเห็น
85. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน
2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง
3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก
4. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป
86. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5
11
1. B5
12
2. B6
12
3. B5
11
4. B6
11
87. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเขำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสี ภำยใน
สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด
1. เบนไปด้ำนข้ำง 2. เคลื่อนที่เป็นวงกลม
3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม 4. ย้อนกลับทำงเดิม
88. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับรังสีแอลฟำ รังสีบีตำ และรังสีแกมมำ
1. รังสีแอลฟำมีประจุ+4
2. รังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด
3. รังสีแอลฟำมีมวลมำกที่สุดและอำนำจทะลุทะลวงมำกที่สุด
4. รังสีบีตำมีมวลน้อยที่สุดและมีอำนำจกำรทะลุทะลวงต่ำที่สุด
89. นิวเคลียสของเรเดียม -226 มีกำรสลำยตัว ดังสมกำร
Ra88
226
→ Rn86
222
+ x
จำกสมกำร x คืออะไร
1. รังสีแกมมำ 2. อนุภำคบีตำ
3. อนุภำคแอลฟำ 4. อนุภำคนิวตรอน
90. ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธำตุไอโอดีน -128 มีครึ่งชีวิต 25 นำที ถ้ำมีไอโอดีน -128 ทังหมด 256 กรัม
จะใช้เวลำเท่ำไรจึงจะเหลือไอโอดีน -128 อยู่ 32 กรัม
1. 0 ชั่วโมง 50 นำที 2. 1 ชั่วโมง 15 นำที
3. 2 ชั่วโมง 30 นำที 4. 3 ชั่วโมง 20 นำที
91. รังสีใดที่ใช้สำหรับฆ่ำเชือโรคในเครื่องมือทำงกำรแพทย์
1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ
3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด
92. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน
1. เป็นปฏิกิริยำที่เกิดในอุณหภูมิต่ำ
2. เกิดจำกกำรหลอมรวมกันของดิวเทอเรียมเท่ำนัน
3. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุเบำหลอมรวมกันเป็นธำตุหนัก
4. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุหนักแตกตัวออกมำเป็นธำตุเบำ
93. ข้อควำมใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก
1. ภำยในโลกมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก
2. เปลือกโลกเป็นชันที่บำงที่สุดและมีควำมหนำสม่ำเสมอ
3. โครงสร้ำงภำยในโลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เปลือกโลก เนือโลก และแก่นโลก
4. สัณฐำนของโลกมีรูปร่ำงกลมรี เส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวดิ่ง
94. เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน จะเกิดเหตุกำรณ์ลักษณะใด
1. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะยกตัวขึน
2. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมตัวลง
3. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะถูกยกตัวขึน ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมลง
4. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะจมลง ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะถูกยกตัวขึน
95. สำเหตุใดที่ทำให้แผ่นธรณีภำคมีกำรเคลื่อนที่
1. กำรหมุนรอบตัวเองของโลก
2. หินบนเปลือกโลกเกิดกำรทรุดตัว
3. กำรเคลื่อนที่ของหินหนืดในชันเนือโลก
4. กำรปรับสมดุลเพื่อระบำยควำมร้อนภำยในโลก
96. หลักฐำนใดไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป
1. ฟอสซิลของทวีปที่ต่อกันมีลักษณะเหมือนกัน
2. ทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี
3. ลักษณะของคนชำวอเมริกำใต้กับคนชำวอเมริกำเหนือคล้ำยกัน
4. หินในบริเวณขอบของทวีปที่ต่อกันเป็นชนิดเดียวกัน และเกิดในยุคใกล้เคียงกัน
97. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด
1. ลำว 2. พม่ำ
3. เวียดนำม 4. อินโดนีเซีย
98. ผลจำกเหตุกำรณ์ในข้อใดไม่ได้เป็นสำเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว
1. กำรทดลองระเบิดปรมำณูใต้ดิน
2. กำรปะทุของภูเขำไฟอย่ำงรุนแรง
3. กำรผุพังทำงเคมีของเปลือกโลก
4. กำรเคลื่อนที่เข้ำชนกันของแผ่นเปลือกโลก
99. บริเวณใดที่มีโอกำสเกิดภูเขำไฟมำกที่สุด
1. แนวเทือกเขำกลำงมหำสมุทร
2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค
3. บริเวณกลำงของแผ่นธรณีภำค
4. บริเวณที่มีกำรมุดตัวของแผ่นธรณีภำค
100. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด
1. สี 2. ขนำด
3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ
101. วิธีกำรในข้อใดที่ไม่สำมำรถบอกอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้
1. กำรใช้ซำกดึกดำบรรพดัชนี
2. กำรเปรียบเทียบอำยุกับชันหินที่พบซำกนัน
3. กำรวิเครำะห์ปริมำณยูเรเนียมในซำกดึกดำบรรพ์
4. กำรวิเครำะห์ปริมำณคำร์บอน-14 ในซำกดึกดำบรรพ์
102. ภำคใดของประเทศไทยที่มีกำรค้นพบซำกไดโนเสำร์มำกที่สุด
1. ภำคใต้ 2. ภำคเหนือ
3. ภำคกลำง 4. ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ
103. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับเอกภพ
1. เอกภพมีขนำดใหญ่กว่ำระบบสุริยะแต่มีขนำดเล็กกว่ำกำแล็กซี
2. กำรขยำยตัวของเอกภพมีผลทำให้กำรแล็กซี่เคลื่อนเข้ำใกล้กันมำกขึน
3. เอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ที่เรียกว่ำ บิกแบง ทำให้อนุภำคและพลังงำนแผ่กระจำยออกไป
4. พลังงำนควำมร้อนที่ลดลงหลังจำกกำรเกิดบิกแบง ทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่ อิเล็กตรอน
โปรตอน และนิวตรอน
104. เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ศึกษำเกี่ยวกับเรื่องในข้อใดที่ทำให้พบว่ำเอกภพมีกำรขยำยตัว
1. กำรสังเกตกำรเคลื่อนที่ของดำวฤกษ์ โดยใช้กำรวัดสเปกตรัม
2. กำรสร้ำงสมกำรเพื่อแก้ไขข้อผิดพลำดของทฤษฎีสัมพัทธภำพ
3. ศึกษำโครงสร้ำงของกำแล็กซี ว่ำประกอบด้วยดำวฤกษ์จำนวนมำก
4. กำรวัดกำรเลื่อนตำแหน่งของสเปกตรัมจำกกำแล็กซี เทียบกับระยะห่ำงจำกโลก
105. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่
1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ
2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ
3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร
4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร
106. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด
1. วงรี 2. รูปร่ำงไม่แน่นอน
3. ก้นหอยหรือกังหัน 4. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน
107. เพรำะเหตุใดดำวเครำะห์ถึงโคจรรอบดวงอำทิตย์
ก. เพรำะดวงอำทิตย์มีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลแก่ดำวเครำะห์
ข. เพรำะดำวเครำะห์ถูกดวงอำทิตย์ดึงดูดเอำไว้ด้วยแรงทำงไฟฟ้ำ
ค. เพรำะดำวเครำะห์ภำยในระบบสุริยะอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ก. เท่ำนัน 4. ข. เท่ำนัน
108. แรงในข้อใดต่อไปนีเป็นปัจจัยทำให้กลุ่มหมอกแก๊สเกิดกำรยุบตัวเพื่อเป็นดำว
1. แรงโน้มถ่วง 2. แรงนิวเคลียร์
3. แรงสู่ศูนย์กลำง 4. แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ
109. ข้อใดเรียงลำดับกำรสินสุดของดำวฤกษ์ได้ถูกต้อง
1. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ หลุมดำ
2. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวยักษ์แดง
3. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวนิวตรอน
4. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ ดำวแคระขำว
110. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง
1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน
2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก
3. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย
4. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง
111. กำรสินสุดของดำวฤกษ์ขึนอยู่กับสิ่งใด
1. สี 2. มวล
3. อุณหภูมิ 4. องค์ประกอบทำงเคมี
112. ดำวฤกษ์ในข้อใดต่อไปนีที่มีอุณหภูมิผิวสูงสุด
1. ดำวที่มีสีส้ม 2. ดำวที่มีสีแดง
3. ดำวที่มีสีเหลือง 4. ดำวที่มีสีส้มแดง
113. กำรโครจรของดำวเทียมเกี่ยวข้องกับแรงชนิดใด
1. แรงพยุง 2. แรงเสียดทำน
3. แรงโน้มถ่วงของโลก 4. แรงกิริยำและแรงปฏิกิริยำ
114. แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะมีค่ำมำกหรือน้อยขึนอยู่กับสิ่งใด
1. มวลของวัตถุและชนิดของวัตถุ
2. มวลของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
3. ชนิดของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
4. มวลของวัตถุ ชนิดของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
115. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคจรของดำวเทียม
1. กำรส่งดำวเทียมขึนไปสู่วงโคจรจะต้องใช้จรวดเป็นตัวนำส่ง
2. จรวดที่ใช้นำส่งดำวเทียมจะมี 3 ท่อน เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดก็จะถูกสลัดทิงไป
3. ดำวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้โลกจะโคจรด้วยควำมเร็วมำกกว่ำดำวเทียมที่โคจรอยู่ห่ำงจำกโลก
4. กำรโคจรของดำวเทียมต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงน้อยกว่ำแรงหนีศูนย์กลำง ดำวเทียมจึงจะโคจรได้
116. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล
1. ใช้ในกำรพยำกรณ์อำกำศ
2. ใช้ในกำรเตือนภัยธรรมชำติ
3. ใช้ในกำรสำรวจทิศทำงในกำรเดินทำง
4. ใช้ในกำรสำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน
117. ดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย ที่ถูกส่งขึนสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 1 ตุลำคม
พ.ศ. 2551 ชื่ออะไร
1. ธีออส 2. ไทยคม 4
3. แลนเซท 4. ไทยคม 1A
118. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของดำวเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
1. รวมพลังงำนแสงอำทิตย์แล้วส่งมำยังโลก
2. กำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลก
3. ค้นหำแหล่งทรัพยำกรที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน
4. ช่วยเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น นำท่วม พำยุ
119. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ
1. แผนที่กูเกิล (Google Maps)
2. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph)
3. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ
4. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้
120. กำรส่งยำนอวกำศด้วยยำนขนส่งอวกำศมีคุณสมบัติเด่นอย่ำงไร
1. นำหนักเบำ 2. เคลื่อนที่ได้เร็ว
3. ประหยัดพลังงำน 4. สำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้
ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552
มัธยมศึกษาตอนปลาย
ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
ข้อ 1-68 : ข้อละ 1 คะแนน
1. เซลล์ที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี : ดีเอ็นเอ ไรโบโซม เยื่อหุ้มเซลล์ เอนไซม์ และไมโทคอนเดรีย
เป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใด
1. แบคทีเรีย 2. พืชเท่ำนัน
3. สัตว์เท่ำนัน 4. อำจเป็นได้ทังพืชหรือสัตว์
2. กระบวนกำรใดไม่พบในกระบวนกำรดูดนำกลับที่ท่อหน่วยไต
1. กำรแพร่ 2. ออสโมซิส
3. เอนโดไซโทซิส 4. กำรลำเลียงแบบใช้พลังงำน
3. เหตุใดผู้ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงมักปัสสำวะบ่อยกว่ำปกติ
1. ไตทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพสูงขึน
2. กำรหลั่งฮอร์โมนวำโซเปรสซินลดลง
3. แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่ำงกำย จึงถูกกำจัดทิงอย่ำงรวดเร็ว
4. ร่ำงกำยควบคุมกำรทำงำนของกล้ำมเนือกระเพำะปัสสำวะไม่ได้
4. กำรดื่มนำส้มเป็นปริมำณมำก ทำให้เลือดมีสภำวะเป็นกรดจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด
1. เป็นกรดจริง เพรำะวิตำมินซีละลำยนำได้
2. เป็นกรดจริง เพรำะนำส้มมีรสเปรียวและมีปริมำณกรดสูง
3. ไม่เป็นกรด เพรำะเลือดมีสมบัติเป็นสำรละลำยบัฟเฟอร์
4. ไม่เป็นกรด เพรำะร่ำงกำยจะได้รับอันตรำยได้หำกเลือดมีสภำวะเป็นกรด
5. วิธีกำรในข้อใดที่ใช้ควบคุมโรคไวรัสในพืชได้ผลดีที่สุด
1. กำรเผำทำลำยพืช 2. กำรฉีดวัคซีน
3. กำรใช้ยำปฏิชีวนะ 4. กำรเพิ่มไนโตรเจนในดิน
6. เมื่อเชือโรคเข้ำสู่ร่ำงกำยคน ร่ำงกำยจะมีปฏิกิริยำตอบสนองโดยสร้ำงสำรใดมำต่อสู้
1. ซีรุ่ม 2. แอนติเจน
3. ทอกซอยด์ 4. แอนติบอดี
ปีการศึกษา
7. เมื่อหยดนำเกลือลงบนสไลด์ที่มีใบสำหร่ำยหำงกระรอกอยู่ จะสังเกตเห็นกำรเปลี่ยนแปลงของเซลล์
คล้ำยกับที่เกิดขึนเมื่อหยดสำรใดมำกที่สุดและเกิดเร็วที่สุด
1. นำกลั่น 2. นำเชื่อม
3. นำนมสด 4. แอลกอฮอล์
8. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดีเอ็นเอ
1. ดีเอ็นเอพบได้ในคลอโรพลำสต์
2. ดีเอ็นเอทำหน้ำที่กำหนดชนิดของโปรตีน
3. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีปริมำณดีเอ็นเอไม่เท่ำกัน
4. ไนโตรเจนเบสชนิดกวำนีนและไซโทซีนจะจับคู่กันด้วยพันธะคู่เสมอ
9. ถ้ำพ่อมีหมู่เลือด B แม่มีหมู่เลือด A และมีลูกชำยที่มีหมู่เลือด O โอกำสที่จะได้ลูกสำวที่มีหมู่เลือด O
เป็นเท่ำใด
1. 1/2 2. 1/4
3. 1/8 4. 1/16
10. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคธำลัสซีเมีย
1. เป็นโรคโลหิตจำงชนิดหนึ่ง
2. ผู้ป่วยเป็นโรคธำลัสซีเมียควรหลีกเลี่ยงอำหำรที่มีธำตุเหล็กสูง
3. เป็นโรคที่เกิดจำกควำมผิดปกติของยีนที่ควบคุมกำรสร้ำงโกลบิน
4. ผู้ที่ได้รับแอลลีลผิดปกติจำกพ่อหรือแม่เพียงฝ่ำยเดียวมีโอกำสเป็นโรคได้
11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับมิวเทชัน
1. มีอัตรำกำรเกิดได้สูงตำมธรรมชำติ
2. เกิดได้ทังระดับโครโมโซมและดีเอ็นเอ
3. เกิดขึนได้เฉพำะในเซลล์ที่กำลังแบ่งตัว
4. มิวเทชันในเซลล์ทุกชนิดสำมำรถถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกหลำนได้
12. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคลน
1. ได้สัตว์ตัวใหม่ที่มีเพศเดียวกับสัตว์ต้นแบบ
2. เป็นกำรสร้ำงสัตว์ตัวใหม่โดยไม่ต้องอำศัยเซลล์สืบพันธุ์
3. แฝดเหมือนคือตัวอย่ำงของกำรโคลนที่เกิดขึนตำมธรรมชำติ
4. แกะดอลลีเกิดจำกกำรโคลนโดยใช้เซลล์บริเวณเต้ำนมเป็นต้นแบบ
13. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
1. แตงโมไม่มีเมล็ด
2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนือเยื่อ
3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ
14. หลักฐำนในข้อใดที่ไม่สำมำรถใช้ตรวจหำฆำตกรโดยใช้ลำยพิมพ์ดีเอ็นเอ
1. เส้นผม 2. ลำยนิวมือ
3. ครำบอสุจิ 4. ครำบเลือด
15. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วย เหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ
น้อยที่สุด
1. งู 2. เหยี่ยว
3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน
16. กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบใดนำไปสู่กำรเกิดระบบนิเวศหลังจำกกำรระเบิดของภูเขำไฟ
บนเกำะหนึ่ง
1. แบบปฐมภูมิ 2. แบบทุติยภูมิ
3. แบบตติยภูมิ 4. แบบจตุรภูมิ
17. ข้อใดไม่นับว่ำเป็นส่วนหนึ่งของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ
1. ควำมหลำกหลำยของสปีชีส์
2. ควำมหลำกหลำยของพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต
3. ควำมหลำกหลำยของแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต
4. ควำมหลำกหลำยของสำรเคมีต่ำงๆ รอบสิ่งมีชีวิต
18. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน
1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม
3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์
19. เมื่อมีสำรประกอบไนเตรตและฟอสเฟตสะสมอยู่ในแหล่งนำเป็นปริมำณมำกปรำกฏกำรณ์ใดจะเกิดขึน
เป็นอันดับแรก
1. ปริมำณแพลงตอนสัตว์จะเพิ่มขึน
2. จำนวนของแพลงตอนพืช สำหร่ำย และพืชนำจะเพิ่มขึน
3. สำรพิษตกค้ำง เช่น สำรกำจัดแมลง จะมีปริมำณกำรสะสมสูงขึน
4. ปริมำณสัตว์นำ เช่น ปลำ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะเพิ่มขึน
20. สัตว์ป่ำในข้อใดมีสถำนภำพปัจจุบันแตกต่ำงไปจำกข้ออื่นทังหมด
1. พะยูน ช้ำง
2. ควำยป่ำ กระทิง วัวแดง
3. นกเจ้ำฟ้ำหญิงสิรินธร กูปรี
4. นกแต้วแล้วท้องดำ เลียงผำ
ตารางธาตุ
H He
Li Be B C N O F Ne
Na Mg Al Si P S Cl Ar
K Ca Sc Ti V Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr
Rb Sr Y Zr Nb Mo Tc Ru Rh Pd Ag Cd In Sn Sb Te I Xe
Cs Ba * Hf Ta W Re Os Ir Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn
Fr Ra ** Rf Db Sg Bh Hs Mt Ds Rg Uub Uut Uuq Uup Uuh Uus Uuo
*Lanthanides La Ce Pr Nd Pm Sm Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu
**Actinides Ac Th Pa U Np Pu Am Cm Bk Cf Es Fm Md No Lr
21. ข้อควำมใดไม่ถูกต้อง
1. กรดไรโบนิวคลีอิกทำหน้ำที่ในกำรสร้ำงโปรตีน
2. คำร์โบไฮเดรตช่วยให้กำรเผำไหม้ไขมันเป็นไปอย่ำงสมบูรณ์
3. ปฏิกิริยำกำรเตรียมสบู่จำกนำมันเรียกว่ำ “สะปอนนิฟิเคชัน (saponification)”
4. โปรตีนเป็นแหล่งพลังงำนขันแรกของร่ำงกำยโดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงำน
4 กิโลแคลอรี
22. กำรทดสอบสำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ได้ผล ดังนี
 หมำยถึง ละลำยในนำหรือให้สีนำเงินกับไอโอดีน หรือเกิดตะกอนสีแดงอิฐกับสำรละลำยเบเนดิกต์
 หมำยถึง ไม่เปลี่ยนแปลง
การทดสอบ
สาร
ก ข ค ง
กำรละลำยนำ    
สำรละลำยไอโอดีน    
สำรละลำยเบเนดิกต์    
HCI ตำมด้วยสำรละลำยเบเนดิกต์    
สำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ
1. แป้งข้ำวโพด นำเชื่อม ใยไหม กลูโคส
2. แป้งผัดหน้ำ ฟรักโทส ใยสำลี นำตำลทรำย
3. แป้งข้ำวเจ้ำ นำตำลทรำย ใยบวบ ฟรักโทส
4. แป้งสำลี แอสพำร์แทม ใยแมงมุม กลูโคส
23. ปริมำณของไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และสำรอื่น ๆ ในนำมันเป็นดังตำรำง
ชนิดน้ามัน/ไขมัน ไขมันอิ่มตัว (%) ไขมันไม่อิ่มตัว (%) อื่นๆ (%)
นำมันถั่วเหลือง 15 52 33
นำมันมะพร้ำว 86 0 14
นำมันไก่ 23 24 53
ไขมันวัว 48 2 50
ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง
1. ไขมันวัวจะเหม็นหืนเร็วกว่ำนำมันไก่
2. นำมันถั่วเหลืองเหม็นหืนช้ำกว่ำนำมันมะพร้ำว
3. นำมันถั่วเหลืองเหมำะสำหรับทอดอำหำรมำกกว่ำนำมันมะพร้ำว
4. ถ้ำใช้นำมันที่มีจำนวนเท่ำกัน นำมันถั่วเหลืองจะทำปฏิกิริยำกับไอโอดีนโดยใช้ปริมำณมำกที่สุด
24. กำหนดโครงสร้ำงของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจำเป็น
ข้อควำมใดถูกต้อง
1. เพปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนทัง 3 ชนิด ข้ำงต้นโดยไม่มีกรดที่ซำกัน มีทังหมด 3 ชนิด
2. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A และกรด B ทำปฏิกิริยำกับ CuSO4 ในสภำวะเบสให้สำรสีม่วง
3. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ที่มีจำนวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ
4. ในร่ำงกำยมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ
25. กำหนดสำย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึ่งมีลำดับของเบส ดังนี
(A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวำนีน, T = ไทมีน)
TGTAG C A
XX
สำย Y ที่เป็นคู่ของสำย X จะมีลำดับเบสเป็นไปตำมข้อใด
1.
A C A T CGT
Y Y
2.
T C A G TAC
Y Y
3.
A C T C ATC
Y Y
4.
A G T A CGT
Y Y
26. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของตัวทำละลำยในอุตสำหกรรมเคมีที่ได้จำกกำรกลั่นปิโตรเลียม
1. มีจุดเดือดสูงกว่ำนำมันดีเซล
2. เป็นสำรไฮโดรคำร์บอนที่ละลำยนำได้
3. มีสถำนะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิและควำมดันปกติ
4. ประกอบด้วยสำรไฮโดรคำร์บอนที่มีจำนวนคำร์บอนน้อยกว่ำ 5 อะตอม
27. เมื่อนำยำงชนิดหนึ่งที่มีสมบัติยืดหยุ่นมำเผำไฟ พบว่ำเกิดแก๊สที่ละลำยนำแล้วได้สำรละลำยที่มีฤทธิ์
เป็นกรด ชนิดของยำงและแก๊สที่เกิดขึนเป็นข้อใด
1.
2.
3.
4.
28. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน
1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน
2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง
3. กำรทำเล็กเกอร์เคลือบผิวไม้
4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
29. ไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบำที่สุด ใช้ทำให้บอลลูนลอยตัวขึนในอำกำศได้ แต่ในทำงปฏิบัติจะใช้แก๊สฮีเลียม
ซึ่งหนักกว่ำ เพรำะเหตุผลหลักตำมข้อใด
1. แก๊สไฮโดรเจนติดไฟได้ง่ำย
2. แก๊สไฮโดรเจนมีรำคำแพงกว่ำแก๊สฮีเลียม
3. ต้องใช้แก๊สไฮโดรเจนปริมำณมำกกว่ำกำรใช้ฮีเลียม
4. ฮีเลียมแยกได้จำกธรรมชำติ แต่แก๊สไฮโดรเจนต้องผ่ำนกระบวนกำรผลิต
30. ข้อใดระบุชนิดของแก๊สและกรดที่เกิดจำกกำรนำแก๊สนันไปละลำยในนำได้ถูกต้อง
1. อีเทน – กรดนำส้ม
2. คลอรีน – กรดเกลือ
3. ไนโตรเจน – กรดไนตริก
4. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ – กรดซัลฟิวริก
31. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศออกซิเจน O2 (g) จะได้ไอนำ H2 O (g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
CO2 (g)
สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใดในข้อต่อไปนี
1. แก๊สไฮโดรเจน 2. แก๊สโซฮอล์
3. แก๊สบิวเทน 4. แก๊สธรรมชำติ
ชนิดของยาง ควันที่เกิดจากการเผา
ซิลิโคน SiO2
ยำงวัลคำไนซ์ SO2
พอลิไวนิลแอซีเตท HCI
ไนลอน 66 NH3
32. สำรละลำย X, Y และ Z ต่ำงก็เป็นสำรละลำยใสที่ไม่มีสี เมื่อนำแต่ละชนิดที่มีควำมเข้มข้นและปริมำณ
เท่ำกัน มำผสมกันที่อุณหภูมิเป็น 25o
C ได้ผลดังตำรำง
การผสมสารละลาย อุณหภูมิหลังผสม (o
C) สิ่งที่สังเกตเห็น
X กับ Y 24 สำรละลำยสีฟ้ำ
Y กับ Z 25 ใส ไม่มีสี
ข้อสรุปใดไม่ถูกต้อง
1. X กับ Y เกิดปฏิกิริยำคำยควำมร้อน
2. Y กับ Z เป็นสำรละลำยชนิดเดียวกัน
3. Y กับ Z ทำปฏิกิริยำโดยไม่คำยควำมร้อน
4. Y กับ Z เป็นสำรละลำยต่ำงชนิดที่ไม่ทำปฏิกิริยำกัน
33. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง
1. สบู่ กำจัดไขมันได้เพรำะละลำยในนำแต่ไม่ละลำยนำมัน
2. กำรผสมยำลดกรดในกระเพำะลงในนำแล้วเกิดแก๊ส แสดงว่ำมีปฏิกิริยำเกิดขึน
3. กำรต้มนำนมจะทำให้โปรตีนแปลงสภำพ ซึ่งจะกลับสู่สภำพเดิมได้เมื่อเย็นลง
4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้แผ่นตะกั่วและกรดซัลฟิวริก เมื่อใช้งำนแผ่นตะกั่วจะทำหน้ำที่เป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยำ เพรำะเมื่อใช้งำนเสร็จแล้วแผ่นตะกั่วไม่เปลี่ยนแปลง
34. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ
1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำแผ่นกระดำษ
2. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่
3. เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น
ก้อนเล็กๆ
4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ
35. ข้อใดที่ไม่ได้แสดงว่ำธรรมชำติของสำรมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. เกลือเม็ดดูดควำมชืนเร็วกว่ำผลึกนำตำลทรำย
2. กระดำษมีอำยุกำรใช้งำนน้อยกว่ำพลำสติก
3. แบตเตอรี่ปรอท กับแบตเตอรี่อัลคำไลน์มีอำยุใช้งำนไม่เท่ำกัน
4. เหล็กที่อยู่ในอำกำศและควำมชืนจะผุกร่อนได้เร็วกว่ำอะลูมิเนียม
36. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+
) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด
1. โปรตอน
2. อิเล็กตรอน
3. นิวตรอน และอิเล็กตรอน
4. โปรตอน และอิเล็กตรอน
37. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5
11
1. B5
12
2. B6
12
3. B5
11
4. B6
11
38. ธำตุ 3 ชนิดมีสัญลักษณ์ดังนี A4
8
B13
27
C17
35
ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสำรประกอบฟลูออไรด์ของธำตุทังสำมชนิดตำมลำดับ
1. AF BF3 CF2
2. AF B2F3 CF2
3. AF2 B2F3 CF
4. AF2 BF3 CF
39. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี
ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A
ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้
ค. โลหะเทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
40. ธำตุกัมมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี
ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลืออยู่เพียง 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตโดยประมำณ
เมื่อกี่ปีมำแล้ว
1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี
3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)
2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)

More Related Content

What's hot

ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์Suriyawaranya Asatthasonthi
 
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพSirintip Arunmuang
 
แบบฝึกชุดที่ 1
แบบฝึกชุดที่ 1แบบฝึกชุดที่ 1
แบบฝึกชุดที่ 1kruking2
 
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...Kruthai Kidsdee
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1dnavaroj
 
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศkrupornpana55
 
ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร Aoy Amm Mee
 
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)Nattapong Boonpong
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์SiwadolChaimano
 
Science.m.3.2
Science.m.3.2Science.m.3.2
Science.m.3.2dnavaroj
 
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษาSiwadolChaimano
 
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์Jinwara Sriwichai
 

What's hot (20)

ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
 
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
 
แบบฝึกชุดที่ 1
แบบฝึกชุดที่ 1แบบฝึกชุดที่ 1
แบบฝึกชุดที่ 1
 
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
 
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
 
Diffusion and osmotic
Diffusion and osmoticDiffusion and osmotic
Diffusion and osmotic
 
ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร
 
P6thai+math2552
P6thai+math2552P6thai+math2552
P6thai+math2552
 
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
 
Diver plantae
Diver plantaeDiver plantae
Diver plantae
 
Response to stimuli in plants
Response to stimuli in plantsResponse to stimuli in plants
Response to stimuli in plants
 
Science.m.3.2
Science.m.3.2Science.m.3.2
Science.m.3.2
 
Handling and nama plant
Handling and nama plantHandling and nama plant
Handling and nama plant
 
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
 
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
 
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
 
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
 
Photosynthesis process
Photosynthesis processPhotosynthesis process
Photosynthesis process
 

Similar to 2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)

2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)Phakhanat Wayruvanarak
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 02. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0sincerecin
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 02. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0Supisara Jaibaan
 
Pat2 52 72
Pat2 52 72Pat2 52 72
Pat2 52 72june41
 
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)Lupin F'n
 
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1Muk52
 
M6 science-2551
M6 science-2551M6 science-2551
M6 science-2551sutham
 
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพสำเร็จ นางสีคุณ
 
วิชา วิทยาศาสตร์
วิชา วิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์
วิชา วิทยาศาสตร์Chariyakornkul
 
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์linnoi
 
M6 science-2551
M6 science-2551M6 science-2551
M6 science-2551mcf_cnx1
 

Similar to 2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6) (20)

2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 02. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
 
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 02. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
 
วิทย์
วิทย์วิทย์
วิทย์
 
Pat2 52 72
Pat2 52 72Pat2 52 72
Pat2 52 72
 
Pat2 2552
Pat2 2552Pat2 2552
Pat2 2552
 
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
 
Pat2 52-1
Pat2 52-1Pat2 52-1
Pat2 52-1
 
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1
ตอนที่2 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง1
 
M6 science-2551
M6 science-2551M6 science-2551
M6 science-2551
 
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1
 
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
 
2
22
2
 
วิทย์
วิทย์วิทย์
วิทย์
 
วิชา วิทยาศาสตร์
วิชา วิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์
วิชา วิทยาศาสตร์
 
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์
 
วิทย์
วิทย์วิทย์
วิทย์
 
6
66
6
 
Onet52
Onet52Onet52
Onet52
 
M6 science-2551
M6 science-2551M6 science-2551
M6 science-2551
 

More from teerachon

แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6teerachon
 
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6teerachon
 
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2teerachon
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1teerachon
 
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3teerachon
 
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3teerachon
 

More from teerachon (20)

แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
 
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
 
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
 
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
 
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
 
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
 
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
 
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
 
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
 
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
 
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
 
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
 
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
 
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
 

2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)

  • 1. ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนปลาย คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์ จะส่งผลต่อเซลล์อย่ำงไร 1. เซลล์จะมีรูปร่ำงไม่คงตัว 2. เซลล์มีควำมแข็งแรงมำก 3. สำรต่ำงๆ จะไม่สำมำรถผ่ำนเซลล์ได้ 4. เซลล์จะไม่สำมำรถสังเครำะห์สำรต่ำงๆ ได้ 2. ควำมเข้มข้นของสำรมีผลต่อกระบวนกำรแพร่อย่ำงไร 1. มีผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์ 2. มีผลต่ออัตรำกำรแพร่ 3. ไม่มีผลต่อกระบวนกำรแพร่ 4. มีผลต่อปริมำณนำในกำรแพร่ 3. กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำ หรือช้ำกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ เพรำะเหตุใด 1. ช้ำกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ 2. ช้ำกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำมีจำนวนน้อย 3. เร็วกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ แต่มีปริมำณมำก 4. เร็วกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำทำให้สำรผ่ำนเยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว 4. กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำนเปรียบเทียบได้กับเหตุกำรณ์ใด 1. กำรตักนำใส่กะละมัง 2. กำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ 3. กำรเทนำออกจำกกะละมัง 4. กำรปล่อยนำลงจำกถังเก็บนำ
  • 2. 5. เมื่อใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป ต้นไม้จะไม่เจริญงอกงำมตำมต้องกำร แต่กลับเหี่ยวเฉำลง เพรำะเหตุใด 1. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน 2. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์ 3. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน 4. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์ 6. ในที่อุณหภูมิต่ำอัตรำเมแทบอลิซึมของสัตว์เลือดอุ่นเทียบกับสัตว์เลือดเย็นจะเป็นดังข้อใด 1. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง 2. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ 3. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ 4. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง 7. หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยมีกลไกกำรรักษำดุลยภำพของอุณหภูมิอย่ำงไร 1. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 2. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว 3. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 4. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว 8. ข้อใดไม่ใช่กลไกกำรทำงำนของจุลินทรีย์ประจำถิ่นเพื่อยับยังจุลินทรีย์ก่อโรค 1. แข่งขันแย่งอำหำร 2. จับเชือจุลินทรีย์ก่อโรคกิน 3. สร้ำงสำรยับยังกำรเจริญเติบโตของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค 4. ปรับเปลี่ยนสภำพแวดล้อมให้ไม่เหมำะสมสำหรับกำรเจริญของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค 9. เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีกำจัดเชือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีใด 1. สร้ำงแอนติเจนจำเพำะ 2. สร้ำงแอนติบอดีจำเพำะ 3. สร้ำงเซลล์พลำสมำเพื่อกลืนกินเชือโรค 4. กระตุ้นให้เซลล์ทีแบ่งตัวอย่ำงรวดเร็วเพื่อกำจัดเชือโรค 10. หลักกำรให้หรือรับเลือดต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับเพรำะเหตุใด 1. ถ้ำแอนติบอดีของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว 2. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน 3. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว 4. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
  • 3. 11. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด 1. ไม่มีกำรจดจำแอนติเจน 2. ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง 3. มีกำรตอบสนองทันที รวดเร็ว และรุนแรง 4. กลไกกำรป้องกันสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีกำรจับกินและย่อยทำลำย 12. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม 1. ลักษณะบำงอย่ำงของลูกอำจเหมือนปู่ ย่ำ ตำ ยำยได้ 2. ลักษณะของลูกที่ต่ำงจำกพ่อหรือแม่เกิดจำกกำรกลำย 3. ลักษณะของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เสมอ ไม่มีทำงเหมือนบุคคลอื่นได้ 4. ลักษณะต่ำงๆ ของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เท่ำนัน เพรำะลูกเกิดจำกกกำรรวมตัวของไข่ของแม่ และอสุจิของพ่อ 13. กำรรณรงค์ให้เด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ปี มำรับวัคซีนโปลิโอ เพื่อให้เด็กสร้ำงภูมิคุ้มกันแบบใด ก. ภูมิคุ้มกันที่ได้รับ ข. ภูมิคุ้มกันแบบจำเพำะ ค. ภูมิคุ้มกันที่สร้ำงขึนเอง ง. ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ค. และ ง. 4. ก. และ ง. 14. ข้อใดเป็นหน้ำที่ของออโตโซม 1. ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต 2. กำหนดเพศและลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต 3. ควบคุมกำรแสดงออกเกี่ยวกับเพศในสิ่งมีชีวิต 4. กำหนดกำรจับคู่ของยีน หรือกำรจับคู่ของโครโมโซม 15. องค์ประกอบใดที่ทำให้ในแต่ละนิวคลีโอไทด์ของสำยอำร์เอ็นเอมีลักษณะแตกต่ำงกันออกไป 1. หมู่ฟอสเฟต 2. นำตำลไรโบส 3. ไนโตรเจนเบส 4. นำตำลเพนโทส 16. ส่วนประกอบในข้อใดที่พบในดีเอ็นเอแต่ไม่พบในอำร์เอ็นเอ 1. นำตำลดีออกซีไรโบส 2. นำตำลไรโบส และเบสไทมีน 3. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสไทมีน 4. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสยูรำซิล
  • 4. 17. เซลล์ในระยะใดเหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซมมำกที่สุด 1. ระยะที่ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์ 2. ระยะเมทำเฟสซึ่งโครโมโซมเรียงอยู่ตรงกลำงเซลล์ 3. ระยะโพรเฟสซึ่งกำลังเกิดกระบวนกำรคลอสซิงโอเวอร์ 4. ระยะอินเตอร์เฟสซึ่งมีกำรสะสมสำรต่ำงๆ สำหรับกำรแบ่งเซลล์ 18. กำหนดเซลล์ต่ำงๆ ต่อไปนี ก. เซลล์อสุจิ ข. เซลล์ไข่ ค. เซลล์เม็ดเลือดขำว ง. เซลล์ผิวหนัง เซลล์ในข้อใดมีกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ค. 3. ค. และ ง. 19. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วยเหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ น้อยที่สุด 1. งู 2. เหยี่ยว 3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน 20. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดพลังงำน 1. ผู้ผลิตเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่อำหำรทุกชนิด 2. ระบบนิเวศใดที่มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก แสดงว่ำระบบนิเวศนันมีควำมสมดุล 3. จุลินทรีย์มีบทบำทในกำรย่อยสลำยสำรอินทรีย์ แต่ไม่ได้มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน 4. โซ่อำหำรที่มีจำนวนสิ่งมีชีวิตมำก สิ่งมีชีวิตท้ำยๆ โซ่อำหำรยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลง 21. อัมนำนก 2 ชนิดที่มีลักษณะคล้ำยกัน มำเลียงไว้ด้วยกัน ให้อำหำรและดูแลเหมือนกัน เนื่องจำกต้องกำร ให้นกผสมพันธุ์ออกลูกออกหลำน แต่เมื่อเวลำผ่ำนไป พบว่ำนกไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ ข้อสรุปใด ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุกำรณ์นี 1. นก 2 ชนิดนีอยู่ต่ำงสปีชีส์กัน 2. นก 2 ชนิดนีกินแมลงต่ำงชนิดกัน 3. เสียงเรียกหำคู่ของนก 2 ชนิดนีต่ำงกัน 4. ลำตัวของนก 2 ชนิดนีมีขนำดต่ำงกันมำก 22. สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด 1. มอสและเฟิร์น 2. เฟิร์นและหญ้ำ 3. หญ้ำและพุ่มไม้ 4. รำและสำหร่ำยที่อยู่ร่วมกัน
  • 5. 23. ข้อใดกล่ำวถึงสมดุลของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศได้ถูกต้องที่สุด 1. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในปริมำณมำก 2. มีสัดส่วนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม 3. มีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่ำต่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหยื่อในปริมำณที่เหมำะสม 4. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตปริมำณน้อย แต่มีสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในปริมำณมำก 24. ควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใดที่มีควำมสัมพันธ์ในรูปแบบที่แตกต่ำงไปจำกพวก 1. ต่อไทรกับต้นไทร 2. ฉลำมกับเหำฉลำม 3. นกทำรังอยู่บนต้นไม้ 4. เพรียงเกำะบนตัวสัตว์ 25. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 1. แตงโมไม่มีเมล็ด 2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนีอเยื่อ 3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน 4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ 26. สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมเกี่ยวข้องกันอย่ำงไร 1. สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยำกรธรรมชำติ 2. ทรัพยำกรธรรมชำติเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม 3. สิ่งแวดล้อมเกิดจำกทรัพยำกรธรรมชำติที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ 4. ทรัพยำกรธรรมชำติเกิดจำกสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ 27. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน 1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม 3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์ 28. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก 1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน 3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน 29. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตกำรณ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติของโลก คือข้อใด 1. ควำมเจริญของชุมชนเมือง 2. ควำมเจริญของอุตสำหกรรม 3. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี 4. กำรเพิ่มจำนวนประชำกรมนุษย์
  • 6. 30. กำรกระทำในข้อใดเป็นกำรช่วยเพิ่มรำยได้ให้แก่ตนเอง โดยยึดหลักกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 1. กำรเก็บกล้วยไม้จำกป่ำมำขำย 2. จับม้ำนำมำตำกแห้งเพื่อขำยให้ร้ำนยำโบรำณ 3. เก็บเปลือกหอยตำมชำยหำดมำประดิษฐ์ของที่ระลึกขำย 4. เก็บขวดพลำสติกที่ถูกทิงตำมข้ำงถนนมำสะสมเพื่อนำไปขำย 31. ข้อควำมใดกล่ำวถึงอะตอมได้ถูกต้องที่สุด 1. อะตอมอยู่เป็นอิสระได้ 2. นิวเคลียสในอะตอมมีประจุเป็นกลำงเสมอ 3. เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนจะเกิดเป็นไอออนบวก 4. เมื่อจำนวนโปรตอนเท่ำกับจำนวนนิวตรอนจะทำให้อะตอมเป็นกลำง 32. กำรทดลองข้อใดที่พิสูจน์ว่ำนิวเคลียสในอะตอมมีขนำดเล็กมำกเมื่อเทียบกับขนำดของอะตอม 1. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้มีกำรปล่อยรังสีเอ็กซ์เกิดขึน 2. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ 3. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ 4. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง แล้วพบว่ำอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำนไปได้ โดยมีเพียง ส่วนน้อยที่กระเจิงออกหรือสะท้อนกลับ 33. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x มีสัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด 1. x9 10 2. x9 21 3. x11 20 4. x11 21 34. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+ ) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 3. นิวตรอนและอิเล็กตรอน 4. โปรตอนและอิเล็กตรอน 35. ธำตุชนิดหนึ่งมีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอน ดังนี 2, 8, 18, 32, 18, 7 ธำตุนีควำรเป็นธำตุใด 1. Fr 2. At 3. Bi 4. Ra
  • 7. 36. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด เท่ำกัน 1. Pb2- 2. Pb 3. Pb2+ 4. Pb4+ 37. ข้อใดเปรียบเทียบสมบัติของธำตุไม่ถูกต้อง 1. โลหะโซเดียมมีขนำดอะตอมเล็กกว่ำโลหะแมกนีเซียม 2. โลหะโพแทสเซียมมีควำมว่องไวต่อปฏิกิริยำน้อยกว่ำโลหะโซเดียม 3. เกลือของโลหะโซเดียมละลำยนำได้ดีกว่ำเกลือของโลหะแมกนีเซียม 4. สำรประกอบของแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยำคล้ำยคลึงกับสำรประกอบของแคลเซียม 38. รังสีใดใช้ในกำรเหนี่ยวนำให้เกิดกำรกลำยพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต 1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ 3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด 39. ธำตุกับมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลือออยู่ 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตเมื่อกี่ปีมำแล้ว 1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี 3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี 40. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ 1. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 2. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู 3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 4. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ปรมำณูไปยังกังหันไอนำ 41. เพรำะเหตุใดธำตุจึงมีกำรสร้ำงพันธะเคมี 1. ธำตุต้องกำรให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 2. ธำตุต้องกำรรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 3. ธำตุต้องกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 4. ธำตุต้องกำรจัดอิเล็กตรอนวงนอกสุดให้ครบ 8 เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 42. ธำตุในข้อใดมำรวมตัวกันโดยกำรสร้ำงพันธะโคเวเลนต์ 1. เหล็กกับฟลูออรีน 2. แบเรียมกับกำมะถัน 3. ฟอสฟอรัสกับโบรมีน 4. รูบิเดียมกับออกซิเจน
  • 8. 43. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้ ค. โลหะแทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค. 44. กำหนดสำรให้ 3 ชนิด ดังนี สำร A มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอน สำร B มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรง ดึงดูดระหว่ำงขัวและ สำร C มีแรงยึดเหนียวเป็นพันธะไฮโดรเจน สำร A B และ C ควรเป็นสำรใด ตำมลำดับ 1. O2 CCI4 HF 2. CCI4 SF2 CH3OH 3. BCI3 CI2 NH3 4. CHCI3 SO2 CH3OH 45. จงพิจำรณำว่ำสูตรสำรประกอบ และชื่อของสำรประกอบไอออนิกต่อไปนีข้อใดถูกต้อง ก. Li2HPO4 ลิเทียมไฮโดรเจนฟอสเฟต ข. Fe2O3 ไอร์ออน (II) ออกไซด์ ค. Cu2S คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์ ง. CaHCO3 แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต 1. ข. และ ค. 2. ก. ค. และ ข. 3. ข. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ 46. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน 1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน 2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง 3. กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ 4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
  • 9. 47. กำหนดควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำของสำรประกอบต่ำงๆ ดังนี สำร A ไม่นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็ง แต่เมื่อหลอมเหลวนำไฟฟ้ำได้ดี สำร B นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็งหรือของเหลว สำร C ไม่นำไฟฟ้ำทังในสถำนะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สำร A B และ C ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ 1. KI Cr CO2 2. Cr KI CO2 3. CO2 KI Cr 4. CO2 Cr KI 48. ตะกรันในกำต้มนำไม่ได้เกิดจำกสำเหตุในข้อใด 1. CaCO3 ละลำยนำได้น้อย 2. กำรสะสมของตะกอน CaCO3 3. กำที่ใช้ต้มนำทำด้วยโลหะ 4. นำที่ใช้ต้มเป็นนำกระด้ำง 49. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำกระดำษแผ่น 2. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ 3. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่ 4. เครื่องปฏิกิริยำนิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น ก้อนเล็กๆ 50. ปฏิกิริยำเคมีจะสำมำรถเกิดขึนได้ต้องอำศัยสภำวะในข้อใด ก. อนุภำคของสำรตังต้นชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม ข. มีกำรเติมตัวเร่งปฏิกิริยำลงไปเพื่อช่วยเร่งให้เกิดปฏิกิริยำ ค. สำรตังต้นต้องมีพลังงำนสูงกว่ำพลังงำนก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยำ ง. มีควำมดันที่มำกพอที่จะทำให้สำรอยู่ในสภำวะแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยำได้ง่ำยขึน 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ง. 4. ค. และ ง.
  • 10. 51. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับสำรชีวโมเลกุล 1. พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำรจะอยู่ในรูปพลังงำนเคมี 2. โปรตีนเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด 3. ในร่ำงกำยมนุษย์จะพบคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด 4. ร่ำงกำยสำมำรถนำสำรอำหำรทุกชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่ำนกระบวนกำรย่อย 52. สำรในข้อใดเมื่อนำมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์แล้วให้ผลกำรทดสอบที่ถูกต้องที่สุด 1. เมื่อนำนำแป้งมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ 2. เมื่อนำนำองุ่นมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ 3. เมื่อนำนำผึงมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง 4. เมื่อนำนำแอปเปิลมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง 53. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง ก. กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน ข. ไขมันกับไตรกลีเซอไรด์เป็นสำรคนละชนิดกัน ค. หมู่ฟังก์ชันในกลีเซอรอลที่มำทำปฏิกิริยำกับกรดไขมัน คือ หมู่ไฮดรอกซิล 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ 54. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบส จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร 1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน 2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน 3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน 4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีน 55. กำรเผำไหม้ของเอทำนอลให้พลังงำนน้อยกว่ำนำมันเบนซินในปริมำตรที่เท่ำกัน และเอทำนอลมีค่ำ ออกเทนสูงกว่ำนำมันเบนซิน ถ้ำใช้รถคันเดียวกัน เติมนำมันเท่ำกัน แล้วขับบนเส้นทำงและสภำพถนน เดียวกันจะได้ผลตำมข้อใด 1. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ และเครื่องยนต์ทำงำนดีกว่ำ 2. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำ แต่เครื่องยนต์ทำงำนได้ดีกว่ำ 3. กำรใช้เบนซินหรือแก๊สโซฮอล์ได้ผลเหมือนกันทังระยะทำงและกำรทำงำนของเครื่องยนต์ 4. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำใช้เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ทำงำนได้เหมือนกัน
  • 11. 56. ข้อใดนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำรกลั่นนำมันดิบมำใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง 1. นำนำมันหล่อลื่นมำใช้ทำนำมันเครื่อง 2. นำแก๊สปิโตรเลียมมำใช้เป็นเชือเพลิงในตะเกียง 3. นำแก๊สโซลีนมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับเครื่องบิน 4. นำนำมันเชือเพลิงมำใช้เป็นเชือเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล 57. ข้อใดกล่ำวถึงผลของแก๊สอันตรำยที่เกิดขึนจำกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ถูกต้อง 1. แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด 2. แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน 3. แก๊สไฮโดรคำร์บอนก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองในระบบหำยใจ 4. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ทำให้เลือดไม่สำมำรถรับออกซิเจนได้ 58. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศที่มีออกซิเจน O2(g) ได้ไอนำ H2O(g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ CO2(g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใด 1. แก๊สโซฮอล์ 2. แก๊สบิวเทน 3. แก๊สธรรมชำติ 4. แก๊สไฮโดรเจน 59. ข้อใดเป็นพอลิเมอร์ธรรมชำติทังหมด 1. ลินิน ไนลอน เซลลูโลส 2. พีวีซี นีโอพรีน ยำงพำรำ 3. ไคติน ซิลิโคน ไกลโคเจน 4. แป้ง โปรตีน กรดนิวคลีอิก 60. พลำสติกชนิดหนึ่งนำมำใช้ทำสวิตซ์ไฟฟ้ำ เป็นพลำสติกที่มีควำมแข็งมำก แต่เมื่อถูกควำมร้อนสูงมำกๆ จะเปรำะและแตกหักได้ พลำสติกชนิดนีน่ำจะมีโครงสร้ำงแบบใด 1. โครงสร่ำงแบบกิ่ง 2. โครงสร้ำงแบบเส้น 3. โครงสร้ำงแบบร่ำงแห 4. โครงสร้ำงแบบกิ่งหรือแบบร่ำงแห 61. เกณฑ์ใดใช้ในกำรแยกพลำสติกออกเป็นเทอร์มอพลำสติกและพลำติกเทอร์มอเซต 1. ควำมหนำแน่น 2. ควำมคงทนต่อกรด-เบส 3. กำรละลำยในตัวทำละลำยอินทรีย์ 4. กำรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อน
  • 12. 62. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับยำงสังเครำะห์ 1. พอลิบิวตำไดอีนเป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม 2. ยำงเอสบีอำร์เป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม 3. ยำงเอบีเอสเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น 4. นีโอพรีนเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น 63. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดของกำรกระจัดน้อยที่สุด 1. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร 2. เดินไปทำงขวำด้วยควำมเร็วคงที่ 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที 3. เดินไปทำงซ้ำยด้วยควำมเร็วคงที่ 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที 4. ทังสำมข้อมีขนำดกำรกระจัดเท่ำกัน 64. เด็กคนหนึ่งวิ่งไปทำงขวำ 20 เมตร ใช้เวลำ 4 วินำที จำกนันหันกลับหลังแล้ววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลำ 1 วินำที เด็กคนนีมีควำมเร็วเฉลี่ยเท่ำใด 1. 3.5 เมตรต่อวินำที 2. 3.6 เมตรต่อวินำที 3. 6.0 เมตรต่อวินำที 4. 7.0 เมตรต่อวินำที 65. รถยนต์ A เริ่มเคลื่อนที่จำกหยุดนิ่งโดยควำมเร็วเพิ่มขึน 2 เมตร/วินำที ทุก 1 วินำที เมื่อสินวินำทีที่ 5 รถยนต์จะมีควำมเร็วเท่ำไร 1. 5 เมตร/วินำที 2. 10 เมตร/วินำที 3. 15 เมตร/วินำที 4. 20 เมตร/วินำที 66. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำในแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด 1. 9.8 m/s2 2. 19.6 m/s2 3. 29.4 m/s2 4. 39.2 m/s2 67. วัตถุที่มีกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ขณะวัตถุอยู่บนจุดสูงสุด ข้อใดต่อไปนีถูกต้อง 1. ควำมเร็วของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์ 2. ควำมเร่งของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์ 3. ควำมเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีค่ำเป็นศูนย์ 4. ควำมเร็วของวัตถุในแนวรำบมีค่ำเป็นศูนย์
  • 13. 68. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำงแล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยควำมเร็ว คงตัว ข้อใดถูกต้อง 1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว 2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์ 3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง 4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศทำงพุ่งเข้ำสู่ศูนย์กลำงของวงกลม 69. ผูกวัตถุด้วยเชือกแล้วเหวี่ยงให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระนำบดิ่ง ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มำถึงตำแหน่ง สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดต่อไปนีที่ทำหน้ำที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลำง 1. แรงตึงเชือก 2. นำหนักวัตถุ 3. แรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ 4. ตำแหน่งนันแรงสู่ศูนย์กลำงเป็นศูนย์ 70. ข้อควำมใดถูกต้องเกี่ยวกับคำบของลูกตุ้มอย่ำงง่ำย 1. ไม่ขึนอยู่กับควำมยำวเชือก 2. ไม่ขึนอยู่กับมวลของลูกตุ้ม 3. ไม่ขึนอยู่กับแรงโน้มถ่วงของโลก 4. มีคำบเท่ำเดิมถ้ำแกว่งบนดวงจันทร์ 71. ข้อใดต่อไปนีไม่ได้ทำให้วัตถุมีกำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย 1. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่งแล้วผลักลูกตุ้มให้แกว่งเป็นวงกลมแนวดิ่ง 2. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่ง ดึงลูกตุ้มออกมำจนเชือกทำมุมกับแนวดิ่งเล็กน้อยแล้วปล่อยมือ 3. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวดิ่ง ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อยแล้ว ปล่อยมือ 4. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวระดับ ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อย แล้ว ปล่อยมือ
  • 14. 72. จำกแผนภำพที่แสดงลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดจำกแท่งแม่เหล็กสองแท่งวำงใกล้กัน A C D B ข้อใดบอกถึงขัวของแม่เหล็กที่ตำแหน่ง A, B, C และ D ได้อย่ำงถูกต้อง 1. A และ C เป็นขัวเหนือ B และ D เป็นขัวใต้ 2. A และ D เป็นขัวเหนือ B และ C เป็นขัวใต้ 3. B และ D เป็นขัวเหนือ A และ C เป็นขัวใต้ 4. B และ C เป็นขัวเหนือ A และ D เป็นขัวใต้ 73. ข้อควำมใดต่อไปนีไม่ถูกต้อง 1. สนำมไฟฟ้ำเป็นปริมำณเวกเตอร์ และมีทิศทำงจำกประจุบวกไปประจุลบเสมอ 2. วัตถุที่เป็นฉนวนจะไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้ำไหลผ่ำน แต่สำมำรถเกิดสนำมไฟฟ้ำได้ถ้ำถูกกระตุ้น 3. ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกัน ถ้ำอยู่ใกล้กันจะออกแรงผลักกันและเคลื่อนที่ห่ำงกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะ อนันต์ 4. ถ้ำนำวัตถุที่เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำวำงคั่นกลำงระหว่ำงประจุบวกกับประจุลบ วัตถุนันจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อสนำมไฟฟ้ำของประจุบวกและประจุลบ 74. วำงอนุภำคอิเล็กตรอนลงในบริเวณซึ่งมีเฉพำะสนำมไฟฟ้ำที่มีทิศไปทำงขวำดังรูป อนุภำคอิเล็กตรอน จะมีกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด 1. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนขึนข้ำงบน 2. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนลงข้ำงล่ำง 3. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงขวำ 4. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงซ้ำย
  • 15. 75. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม อยู่บนดวงจันทร์มีนำหนัก 16 นิวตัน อยำกทรำบว่ำสนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์ มีค่ำเท่ำใด 1. 1.6 m/s2 2. 3.2 m s2 3. 6.4 m/s2 4. 9.6 m/s2 76. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียร์จะประกอบด้วยแรงใดบ้ำง 1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน 2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ 3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 77. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก 1. ควำมยำวคลื่น 2. ประเภทของแหล่งกำเนิด 3. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 4. ทิศทำงกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง 78. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นตำมยำว 1. เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปตำมแนวยำวของตัวกลำง 2. เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ 3. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นได้หลำยแนว 4. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นในแนวเดียวกับกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 79. คลื่นวิทยุ FM มีควำมถี่ 88 เมกะเฮิรตซ์ คลื่นนีมีควำมยำวคลื่นเท่ำใด เมื่อกำหนดให้ควำมเร็วของ คลื่นวิทยุ FM ขณะนันมีค่ำเท่ำกับ 3.0 x 108 เมตร/วินำที 1. 3.0 เมตร 2. 3.4 เมตร 3. 6.0 เมตร 4. 6.8 เมตร 80. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง 1. กำรหักเห 2. ดอพเพลอร์ 3. กำรสั่นพ้อง 4. กำรสะท้อน 81. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใดของคลื่น 1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน 3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด
  • 16. 82. สมบัติตำมข้อใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดบีตส์ 1. กำรสะท้อน 2. กำรหักเห 3. กำรเลียวเบน 4. กำรแทรกสอด 83. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่นตำมขวำง 1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ 2. เพรำะสนำมไฟ้ฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 3. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 4. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศเดียวกันกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 84. คลื่นใดในข้อต่อไปนีที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด 1. คลื่นวิทยุ 2. คลื่นอินฟรำเรด 3. คลื่นไมโครเวฟ 4. คลื่นแสงที่ตำมองเห็น 85. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน 2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก 4. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป 86. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5 11 1. B5 12 2. B6 12 3. B5 11 4. B6 11 87. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเขำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสี ภำยใน สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด 1. เบนไปด้ำนข้ำง 2. เคลื่อนที่เป็นวงกลม 3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม 4. ย้อนกลับทำงเดิม 88. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับรังสีแอลฟำ รังสีบีตำ และรังสีแกมมำ 1. รังสีแอลฟำมีประจุ+4 2. รังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด 3. รังสีแอลฟำมีมวลมำกที่สุดและอำนำจทะลุทะลวงมำกที่สุด 4. รังสีบีตำมีมวลน้อยที่สุดและมีอำนำจกำรทะลุทะลวงต่ำที่สุด
  • 17. 89. นิวเคลียสของเรเดียม -226 มีกำรสลำยตัว ดังสมกำร Ra88 226 → Rn86 222 + x จำกสมกำร x คืออะไร 1. รังสีแกมมำ 2. อนุภำคบีตำ 3. อนุภำคแอลฟำ 4. อนุภำคนิวตรอน 90. ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธำตุไอโอดีน -128 มีครึ่งชีวิต 25 นำที ถ้ำมีไอโอดีน -128 ทังหมด 256 กรัม จะใช้เวลำเท่ำไรจึงจะเหลือไอโอดีน -128 อยู่ 32 กรัม 1. 0 ชั่วโมง 50 นำที 2. 1 ชั่วโมง 15 นำที 3. 2 ชั่วโมง 30 นำที 4. 3 ชั่วโมง 20 นำที 91. รังสีใดที่ใช้สำหรับฆ่ำเชือโรคในเครื่องมือทำงกำรแพทย์ 1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ 3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด 92. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน 1. เป็นปฏิกิริยำที่เกิดในอุณหภูมิต่ำ 2. เกิดจำกกำรหลอมรวมกันของดิวเทอเรียมเท่ำนัน 3. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุเบำหลอมรวมกันเป็นธำตุหนัก 4. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุหนักแตกตัวออกมำเป็นธำตุเบำ 93. ข้อควำมใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก 1. ภำยในโลกมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก 2. เปลือกโลกเป็นชันที่บำงที่สุดและมีควำมหนำสม่ำเสมอ 3. โครงสร้ำงภำยในโลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เปลือกโลก เนือโลก และแก่นโลก 4. สัณฐำนของโลกมีรูปร่ำงกลมรี เส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวดิ่ง 94. เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน จะเกิดเหตุกำรณ์ลักษณะใด 1. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะยกตัวขึน 2. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมตัวลง 3. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะถูกยกตัวขึน ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมลง 4. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะจมลง ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะถูกยกตัวขึน
  • 18. 95. สำเหตุใดที่ทำให้แผ่นธรณีภำคมีกำรเคลื่อนที่ 1. กำรหมุนรอบตัวเองของโลก 2. หินบนเปลือกโลกเกิดกำรทรุดตัว 3. กำรเคลื่อนที่ของหินหนืดในชันเนือโลก 4. กำรปรับสมดุลเพื่อระบำยควำมร้อนภำยในโลก 96. หลักฐำนใดไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป 1. ฟอสซิลของทวีปที่ต่อกันมีลักษณะเหมือนกัน 2. ทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี 3. ลักษณะของคนชำวอเมริกำใต้กับคนชำวอเมริกำเหนือคล้ำยกัน 4. หินในบริเวณขอบของทวีปที่ต่อกันเป็นชนิดเดียวกัน และเกิดในยุคใกล้เคียงกัน 97. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด 1. ลำว 2. พม่ำ 3. เวียดนำม 4. อินโดนีเซีย 98. ผลจำกเหตุกำรณ์ในข้อใดไม่ได้เป็นสำเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว 1. กำรทดลองระเบิดปรมำณูใต้ดิน 2. กำรปะทุของภูเขำไฟอย่ำงรุนแรง 3. กำรผุพังทำงเคมีของเปลือกโลก 4. กำรเคลื่อนที่เข้ำชนกันของแผ่นเปลือกโลก 99. บริเวณใดที่มีโอกำสเกิดภูเขำไฟมำกที่สุด 1. แนวเทือกเขำกลำงมหำสมุทร 2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค 3. บริเวณกลำงของแผ่นธรณีภำค 4. บริเวณที่มีกำรมุดตัวของแผ่นธรณีภำค 100. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด 1. สี 2. ขนำด 3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ 101. วิธีกำรในข้อใดที่ไม่สำมำรถบอกอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้ 1. กำรใช้ซำกดึกดำบรรพดัชนี 2. กำรเปรียบเทียบอำยุกับชันหินที่พบซำกนัน 3. กำรวิเครำะห์ปริมำณยูเรเนียมในซำกดึกดำบรรพ์ 4. กำรวิเครำะห์ปริมำณคำร์บอน-14 ในซำกดึกดำบรรพ์
  • 19. 102. ภำคใดของประเทศไทยที่มีกำรค้นพบซำกไดโนเสำร์มำกที่สุด 1. ภำคใต้ 2. ภำคเหนือ 3. ภำคกลำง 4. ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 103. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับเอกภพ 1. เอกภพมีขนำดใหญ่กว่ำระบบสุริยะแต่มีขนำดเล็กกว่ำกำแล็กซี 2. กำรขยำยตัวของเอกภพมีผลทำให้กำรแล็กซี่เคลื่อนเข้ำใกล้กันมำกขึน 3. เอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ที่เรียกว่ำ บิกแบง ทำให้อนุภำคและพลังงำนแผ่กระจำยออกไป 4. พลังงำนควำมร้อนที่ลดลงหลังจำกกำรเกิดบิกแบง ทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่ อิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน 104. เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ศึกษำเกี่ยวกับเรื่องในข้อใดที่ทำให้พบว่ำเอกภพมีกำรขยำยตัว 1. กำรสังเกตกำรเคลื่อนที่ของดำวฤกษ์ โดยใช้กำรวัดสเปกตรัม 2. กำรสร้ำงสมกำรเพื่อแก้ไขข้อผิดพลำดของทฤษฎีสัมพัทธภำพ 3. ศึกษำโครงสร้ำงของกำแล็กซี ว่ำประกอบด้วยดำวฤกษ์จำนวนมำก 4. กำรวัดกำรเลื่อนตำแหน่งของสเปกตรัมจำกกำแล็กซี เทียบกับระยะห่ำงจำกโลก 105. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่ 1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ 2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ 3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร 4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร 106. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด 1. วงรี 2. รูปร่ำงไม่แน่นอน 3. ก้นหอยหรือกังหัน 4. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน 107. เพรำะเหตุใดดำวเครำะห์ถึงโคจรรอบดวงอำทิตย์ ก. เพรำะดวงอำทิตย์มีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลแก่ดำวเครำะห์ ข. เพรำะดำวเครำะห์ถูกดวงอำทิตย์ดึงดูดเอำไว้ด้วยแรงทำงไฟฟ้ำ ค. เพรำะดำวเครำะห์ภำยในระบบสุริยะอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ก. เท่ำนัน 4. ข. เท่ำนัน
  • 20. 108. แรงในข้อใดต่อไปนีเป็นปัจจัยทำให้กลุ่มหมอกแก๊สเกิดกำรยุบตัวเพื่อเป็นดำว 1. แรงโน้มถ่วง 2. แรงนิวเคลียร์ 3. แรงสู่ศูนย์กลำง 4. แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ 109. ข้อใดเรียงลำดับกำรสินสุดของดำวฤกษ์ได้ถูกต้อง 1. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ หลุมดำ 2. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวยักษ์แดง 3. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวนิวตรอน 4. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ ดำวแคระขำว 110. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง 1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน 2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก 3. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย 4. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง 111. กำรสินสุดของดำวฤกษ์ขึนอยู่กับสิ่งใด 1. สี 2. มวล 3. อุณหภูมิ 4. องค์ประกอบทำงเคมี 112. ดำวฤกษ์ในข้อใดต่อไปนีที่มีอุณหภูมิผิวสูงสุด 1. ดำวที่มีสีส้ม 2. ดำวที่มีสีแดง 3. ดำวที่มีสีเหลือง 4. ดำวที่มีสีส้มแดง 113. กำรโครจรของดำวเทียมเกี่ยวข้องกับแรงชนิดใด 1. แรงพยุง 2. แรงเสียดทำน 3. แรงโน้มถ่วงของโลก 4. แรงกิริยำและแรงปฏิกิริยำ 114. แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะมีค่ำมำกหรือน้อยขึนอยู่กับสิ่งใด 1. มวลของวัตถุและชนิดของวัตถุ 2. มวลของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ 3. ชนิดของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ 4. มวลของวัตถุ ชนิดของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
  • 21. 115. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคจรของดำวเทียม 1. กำรส่งดำวเทียมขึนไปสู่วงโคจรจะต้องใช้จรวดเป็นตัวนำส่ง 2. จรวดที่ใช้นำส่งดำวเทียมจะมี 3 ท่อน เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดก็จะถูกสลัดทิงไป 3. ดำวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้โลกจะโคจรด้วยควำมเร็วมำกกว่ำดำวเทียมที่โคจรอยู่ห่ำงจำกโลก 4. กำรโคจรของดำวเทียมต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงน้อยกว่ำแรงหนีศูนย์กลำง ดำวเทียมจึงจะโคจรได้ 116. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล 1. ใช้ในกำรพยำกรณ์อำกำศ 2. ใช้ในกำรเตือนภัยธรรมชำติ 3. ใช้ในกำรสำรวจทิศทำงในกำรเดินทำง 4. ใช้ในกำรสำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน 117. ดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย ที่ถูกส่งขึนสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 1 ตุลำคม พ.ศ. 2551 ชื่ออะไร 1. ธีออส 2. ไทยคม 4 3. แลนเซท 4. ไทยคม 1A 118. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของดำวเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 1. รวมพลังงำนแสงอำทิตย์แล้วส่งมำยังโลก 2. กำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลก 3. ค้นหำแหล่งทรัพยำกรที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน 4. ช่วยเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น นำท่วม พำยุ 119. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ 1. แผนที่กูเกิล (Google Maps) 2. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph) 3. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ 4. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้ 120. กำรส่งยำนอวกำศด้วยยำนขนส่งอวกำศมีคุณสมบัติเด่นอย่ำงไร 1. นำหนักเบำ 2. เคลื่อนที่ได้เร็ว 3. ประหยัดพลังงำน 4. สำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้
  • 22. ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552 มัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ข้อ 1-68 : ข้อละ 1 คะแนน 1. เซลล์ที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี : ดีเอ็นเอ ไรโบโซม เยื่อหุ้มเซลล์ เอนไซม์ และไมโทคอนเดรีย เป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใด 1. แบคทีเรีย 2. พืชเท่ำนัน 3. สัตว์เท่ำนัน 4. อำจเป็นได้ทังพืชหรือสัตว์ 2. กระบวนกำรใดไม่พบในกระบวนกำรดูดนำกลับที่ท่อหน่วยไต 1. กำรแพร่ 2. ออสโมซิส 3. เอนโดไซโทซิส 4. กำรลำเลียงแบบใช้พลังงำน 3. เหตุใดผู้ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงมักปัสสำวะบ่อยกว่ำปกติ 1. ไตทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพสูงขึน 2. กำรหลั่งฮอร์โมนวำโซเปรสซินลดลง 3. แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่ำงกำย จึงถูกกำจัดทิงอย่ำงรวดเร็ว 4. ร่ำงกำยควบคุมกำรทำงำนของกล้ำมเนือกระเพำะปัสสำวะไม่ได้ 4. กำรดื่มนำส้มเป็นปริมำณมำก ทำให้เลือดมีสภำวะเป็นกรดจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด 1. เป็นกรดจริง เพรำะวิตำมินซีละลำยนำได้ 2. เป็นกรดจริง เพรำะนำส้มมีรสเปรียวและมีปริมำณกรดสูง 3. ไม่เป็นกรด เพรำะเลือดมีสมบัติเป็นสำรละลำยบัฟเฟอร์ 4. ไม่เป็นกรด เพรำะร่ำงกำยจะได้รับอันตรำยได้หำกเลือดมีสภำวะเป็นกรด 5. วิธีกำรในข้อใดที่ใช้ควบคุมโรคไวรัสในพืชได้ผลดีที่สุด 1. กำรเผำทำลำยพืช 2. กำรฉีดวัคซีน 3. กำรใช้ยำปฏิชีวนะ 4. กำรเพิ่มไนโตรเจนในดิน 6. เมื่อเชือโรคเข้ำสู่ร่ำงกำยคน ร่ำงกำยจะมีปฏิกิริยำตอบสนองโดยสร้ำงสำรใดมำต่อสู้ 1. ซีรุ่ม 2. แอนติเจน 3. ทอกซอยด์ 4. แอนติบอดี ปีการศึกษา
  • 23. 7. เมื่อหยดนำเกลือลงบนสไลด์ที่มีใบสำหร่ำยหำงกระรอกอยู่ จะสังเกตเห็นกำรเปลี่ยนแปลงของเซลล์ คล้ำยกับที่เกิดขึนเมื่อหยดสำรใดมำกที่สุดและเกิดเร็วที่สุด 1. นำกลั่น 2. นำเชื่อม 3. นำนมสด 4. แอลกอฮอล์ 8. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดีเอ็นเอ 1. ดีเอ็นเอพบได้ในคลอโรพลำสต์ 2. ดีเอ็นเอทำหน้ำที่กำหนดชนิดของโปรตีน 3. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีปริมำณดีเอ็นเอไม่เท่ำกัน 4. ไนโตรเจนเบสชนิดกวำนีนและไซโทซีนจะจับคู่กันด้วยพันธะคู่เสมอ 9. ถ้ำพ่อมีหมู่เลือด B แม่มีหมู่เลือด A และมีลูกชำยที่มีหมู่เลือด O โอกำสที่จะได้ลูกสำวที่มีหมู่เลือด O เป็นเท่ำใด 1. 1/2 2. 1/4 3. 1/8 4. 1/16 10. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคธำลัสซีเมีย 1. เป็นโรคโลหิตจำงชนิดหนึ่ง 2. ผู้ป่วยเป็นโรคธำลัสซีเมียควรหลีกเลี่ยงอำหำรที่มีธำตุเหล็กสูง 3. เป็นโรคที่เกิดจำกควำมผิดปกติของยีนที่ควบคุมกำรสร้ำงโกลบิน 4. ผู้ที่ได้รับแอลลีลผิดปกติจำกพ่อหรือแม่เพียงฝ่ำยเดียวมีโอกำสเป็นโรคได้ 11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับมิวเทชัน 1. มีอัตรำกำรเกิดได้สูงตำมธรรมชำติ 2. เกิดได้ทังระดับโครโมโซมและดีเอ็นเอ 3. เกิดขึนได้เฉพำะในเซลล์ที่กำลังแบ่งตัว 4. มิวเทชันในเซลล์ทุกชนิดสำมำรถถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกหลำนได้ 12. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคลน 1. ได้สัตว์ตัวใหม่ที่มีเพศเดียวกับสัตว์ต้นแบบ 2. เป็นกำรสร้ำงสัตว์ตัวใหม่โดยไม่ต้องอำศัยเซลล์สืบพันธุ์ 3. แฝดเหมือนคือตัวอย่ำงของกำรโคลนที่เกิดขึนตำมธรรมชำติ 4. แกะดอลลีเกิดจำกกำรโคลนโดยใช้เซลล์บริเวณเต้ำนมเป็นต้นแบบ
  • 24. 13. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 1. แตงโมไม่มีเมล็ด 2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนือเยื่อ 3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน 4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ 14. หลักฐำนในข้อใดที่ไม่สำมำรถใช้ตรวจหำฆำตกรโดยใช้ลำยพิมพ์ดีเอ็นเอ 1. เส้นผม 2. ลำยนิวมือ 3. ครำบอสุจิ 4. ครำบเลือด 15. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วย เหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ น้อยที่สุด 1. งู 2. เหยี่ยว 3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน 16. กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบใดนำไปสู่กำรเกิดระบบนิเวศหลังจำกกำรระเบิดของภูเขำไฟ บนเกำะหนึ่ง 1. แบบปฐมภูมิ 2. แบบทุติยภูมิ 3. แบบตติยภูมิ 4. แบบจตุรภูมิ 17. ข้อใดไม่นับว่ำเป็นส่วนหนึ่งของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ 1. ควำมหลำกหลำยของสปีชีส์ 2. ควำมหลำกหลำยของพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต 3. ควำมหลำกหลำยของแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต 4. ควำมหลำกหลำยของสำรเคมีต่ำงๆ รอบสิ่งมีชีวิต 18. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน 1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม 3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์ 19. เมื่อมีสำรประกอบไนเตรตและฟอสเฟตสะสมอยู่ในแหล่งนำเป็นปริมำณมำกปรำกฏกำรณ์ใดจะเกิดขึน เป็นอันดับแรก 1. ปริมำณแพลงตอนสัตว์จะเพิ่มขึน 2. จำนวนของแพลงตอนพืช สำหร่ำย และพืชนำจะเพิ่มขึน 3. สำรพิษตกค้ำง เช่น สำรกำจัดแมลง จะมีปริมำณกำรสะสมสูงขึน 4. ปริมำณสัตว์นำ เช่น ปลำ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะเพิ่มขึน
  • 25. 20. สัตว์ป่ำในข้อใดมีสถำนภำพปัจจุบันแตกต่ำงไปจำกข้ออื่นทังหมด 1. พะยูน ช้ำง 2. ควำยป่ำ กระทิง วัวแดง 3. นกเจ้ำฟ้ำหญิงสิรินธร กูปรี 4. นกแต้วแล้วท้องดำ เลียงผำ ตารางธาตุ H He Li Be B C N O F Ne Na Mg Al Si P S Cl Ar K Ca Sc Ti V Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr Rb Sr Y Zr Nb Mo Tc Ru Rh Pd Ag Cd In Sn Sb Te I Xe Cs Ba * Hf Ta W Re Os Ir Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn Fr Ra ** Rf Db Sg Bh Hs Mt Ds Rg Uub Uut Uuq Uup Uuh Uus Uuo *Lanthanides La Ce Pr Nd Pm Sm Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu **Actinides Ac Th Pa U Np Pu Am Cm Bk Cf Es Fm Md No Lr 21. ข้อควำมใดไม่ถูกต้อง 1. กรดไรโบนิวคลีอิกทำหน้ำที่ในกำรสร้ำงโปรตีน 2. คำร์โบไฮเดรตช่วยให้กำรเผำไหม้ไขมันเป็นไปอย่ำงสมบูรณ์ 3. ปฏิกิริยำกำรเตรียมสบู่จำกนำมันเรียกว่ำ “สะปอนนิฟิเคชัน (saponification)” 4. โปรตีนเป็นแหล่งพลังงำนขันแรกของร่ำงกำยโดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงำน 4 กิโลแคลอรี
  • 26. 22. กำรทดสอบสำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ได้ผล ดังนี  หมำยถึง ละลำยในนำหรือให้สีนำเงินกับไอโอดีน หรือเกิดตะกอนสีแดงอิฐกับสำรละลำยเบเนดิกต์  หมำยถึง ไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบ สาร ก ข ค ง กำรละลำยนำ     สำรละลำยไอโอดีน     สำรละลำยเบเนดิกต์     HCI ตำมด้วยสำรละลำยเบเนดิกต์     สำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ 1. แป้งข้ำวโพด นำเชื่อม ใยไหม กลูโคส 2. แป้งผัดหน้ำ ฟรักโทส ใยสำลี นำตำลทรำย 3. แป้งข้ำวเจ้ำ นำตำลทรำย ใยบวบ ฟรักโทส 4. แป้งสำลี แอสพำร์แทม ใยแมงมุม กลูโคส 23. ปริมำณของไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และสำรอื่น ๆ ในนำมันเป็นดังตำรำง ชนิดน้ามัน/ไขมัน ไขมันอิ่มตัว (%) ไขมันไม่อิ่มตัว (%) อื่นๆ (%) นำมันถั่วเหลือง 15 52 33 นำมันมะพร้ำว 86 0 14 นำมันไก่ 23 24 53 ไขมันวัว 48 2 50 ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง 1. ไขมันวัวจะเหม็นหืนเร็วกว่ำนำมันไก่ 2. นำมันถั่วเหลืองเหม็นหืนช้ำกว่ำนำมันมะพร้ำว 3. นำมันถั่วเหลืองเหมำะสำหรับทอดอำหำรมำกกว่ำนำมันมะพร้ำว 4. ถ้ำใช้นำมันที่มีจำนวนเท่ำกัน นำมันถั่วเหลืองจะทำปฏิกิริยำกับไอโอดีนโดยใช้ปริมำณมำกที่สุด
  • 27. 24. กำหนดโครงสร้ำงของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ข้อควำมใดถูกต้อง 1. เพปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนทัง 3 ชนิด ข้ำงต้นโดยไม่มีกรดที่ซำกัน มีทังหมด 3 ชนิด 2. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A และกรด B ทำปฏิกิริยำกับ CuSO4 ในสภำวะเบสให้สำรสีม่วง 3. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ที่มีจำนวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ 4. ในร่ำงกำยมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ 25. กำหนดสำย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึ่งมีลำดับของเบส ดังนี (A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวำนีน, T = ไทมีน) TGTAG C A XX สำย Y ที่เป็นคู่ของสำย X จะมีลำดับเบสเป็นไปตำมข้อใด 1. A C A T CGT Y Y 2. T C A G TAC Y Y 3. A C T C ATC Y Y 4. A G T A CGT Y Y 26. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของตัวทำละลำยในอุตสำหกรรมเคมีที่ได้จำกกำรกลั่นปิโตรเลียม 1. มีจุดเดือดสูงกว่ำนำมันดีเซล 2. เป็นสำรไฮโดรคำร์บอนที่ละลำยนำได้ 3. มีสถำนะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิและควำมดันปกติ
  • 28. 4. ประกอบด้วยสำรไฮโดรคำร์บอนที่มีจำนวนคำร์บอนน้อยกว่ำ 5 อะตอม 27. เมื่อนำยำงชนิดหนึ่งที่มีสมบัติยืดหยุ่นมำเผำไฟ พบว่ำเกิดแก๊สที่ละลำยนำแล้วได้สำรละลำยที่มีฤทธิ์ เป็นกรด ชนิดของยำงและแก๊สที่เกิดขึนเป็นข้อใด 1. 2. 3. 4. 28. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน 1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน 2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง 3. กำรทำเล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ 4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล 29. ไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบำที่สุด ใช้ทำให้บอลลูนลอยตัวขึนในอำกำศได้ แต่ในทำงปฏิบัติจะใช้แก๊สฮีเลียม ซึ่งหนักกว่ำ เพรำะเหตุผลหลักตำมข้อใด 1. แก๊สไฮโดรเจนติดไฟได้ง่ำย 2. แก๊สไฮโดรเจนมีรำคำแพงกว่ำแก๊สฮีเลียม 3. ต้องใช้แก๊สไฮโดรเจนปริมำณมำกกว่ำกำรใช้ฮีเลียม 4. ฮีเลียมแยกได้จำกธรรมชำติ แต่แก๊สไฮโดรเจนต้องผ่ำนกระบวนกำรผลิต 30. ข้อใดระบุชนิดของแก๊สและกรดที่เกิดจำกกำรนำแก๊สนันไปละลำยในนำได้ถูกต้อง 1. อีเทน – กรดนำส้ม 2. คลอรีน – กรดเกลือ 3. ไนโตรเจน – กรดไนตริก 4. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ – กรดซัลฟิวริก 31. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศออกซิเจน O2 (g) จะได้ไอนำ H2 O (g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ CO2 (g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใดในข้อต่อไปนี 1. แก๊สไฮโดรเจน 2. แก๊สโซฮอล์ 3. แก๊สบิวเทน 4. แก๊สธรรมชำติ ชนิดของยาง ควันที่เกิดจากการเผา ซิลิโคน SiO2 ยำงวัลคำไนซ์ SO2 พอลิไวนิลแอซีเตท HCI ไนลอน 66 NH3
  • 29. 32. สำรละลำย X, Y และ Z ต่ำงก็เป็นสำรละลำยใสที่ไม่มีสี เมื่อนำแต่ละชนิดที่มีควำมเข้มข้นและปริมำณ เท่ำกัน มำผสมกันที่อุณหภูมิเป็น 25o C ได้ผลดังตำรำง การผสมสารละลาย อุณหภูมิหลังผสม (o C) สิ่งที่สังเกตเห็น X กับ Y 24 สำรละลำยสีฟ้ำ Y กับ Z 25 ใส ไม่มีสี ข้อสรุปใดไม่ถูกต้อง 1. X กับ Y เกิดปฏิกิริยำคำยควำมร้อน 2. Y กับ Z เป็นสำรละลำยชนิดเดียวกัน 3. Y กับ Z ทำปฏิกิริยำโดยไม่คำยควำมร้อน 4. Y กับ Z เป็นสำรละลำยต่ำงชนิดที่ไม่ทำปฏิกิริยำกัน 33. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง 1. สบู่ กำจัดไขมันได้เพรำะละลำยในนำแต่ไม่ละลำยนำมัน 2. กำรผสมยำลดกรดในกระเพำะลงในนำแล้วเกิดแก๊ส แสดงว่ำมีปฏิกิริยำเกิดขึน 3. กำรต้มนำนมจะทำให้โปรตีนแปลงสภำพ ซึ่งจะกลับสู่สภำพเดิมได้เมื่อเย็นลง 4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้แผ่นตะกั่วและกรดซัลฟิวริก เมื่อใช้งำนแผ่นตะกั่วจะทำหน้ำที่เป็นตัวเร่ง ปฏิกิริยำ เพรำะเมื่อใช้งำนเสร็จแล้วแผ่นตะกั่วไม่เปลี่ยนแปลง 34. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ 1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำแผ่นกระดำษ 2. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่ 3. เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น ก้อนเล็กๆ 4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ 35. ข้อใดที่ไม่ได้แสดงว่ำธรรมชำติของสำรมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. เกลือเม็ดดูดควำมชืนเร็วกว่ำผลึกนำตำลทรำย 2. กระดำษมีอำยุกำรใช้งำนน้อยกว่ำพลำสติก 3. แบตเตอรี่ปรอท กับแบตเตอรี่อัลคำไลน์มีอำยุใช้งำนไม่เท่ำกัน 4. เหล็กที่อยู่ในอำกำศและควำมชืนจะผุกร่อนได้เร็วกว่ำอะลูมิเนียม
  • 30. 36. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+ ) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 3. นิวตรอน และอิเล็กตรอน 4. โปรตอน และอิเล็กตรอน 37. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5 11 1. B5 12 2. B6 12 3. B5 11 4. B6 11 38. ธำตุ 3 ชนิดมีสัญลักษณ์ดังนี A4 8 B13 27 C17 35 ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสำรประกอบฟลูออไรด์ของธำตุทังสำมชนิดตำมลำดับ 1. AF BF3 CF2 2. AF B2F3 CF2 3. AF2 B2F3 CF 4. AF2 BF3 CF 39. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้ ค. โลหะเทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค. 40. ธำตุกัมมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลืออยู่เพียง 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตโดยประมำณ เมื่อกี่ปีมำแล้ว 1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี 3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี