SlideShare a Scribd company logo
1 of 62
Download to read offline
1
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนต้น
คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ กำรดูภำพครั้งแรกควรใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยำยเท่ำใด
1. 10X 2. 20X
3. 40X 4. 100X
2. ส่วนประกอบใดภำยในเซลล์ที่ทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์
1. นิวเคลียส 2. แวคิวโอล
3. คลอโรพลำสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย
3. ออร์แกเนลล์ใดที่พบได้เฉพำะในเซลล์พืช
1. แวคิวโอล กอลจิบอดี
2. ผนังเซลล์ คลอโรพลำสต์
3. นิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย
4. เยื่อหุ้มเซลล์ ร่ำงแหเอนโดพลำซึม
4. ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีควำมเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร
1. เหมือนกัน คือ เป็นผนังเซลล์
2. เหมือนกัน คือ เป็นเยื่อหุ้มเซลล์
3. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีเยื่อหุ้มเซลล์
4. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีผนังเซลล์
5. ออร์แกเนลล์คู่ใดมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด
1. ไมโทคอนเดรีย – แวคิวโอล
2. เซนทริโอล – ไมโทคอนเดรีย
3. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – แวคิวโอล
4. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – กอลจิบอดี
2
6. กำรเคลื่อนที่ของสำรในข้อใดถูกต้อง
ข้อ กระบวนการแพร่ กระบวนกาออสโมซิส
1. กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ
2. กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก
3. กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ
4. กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก
7. นำลำต้นและรำกพืช 4 ชนิด มำส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่ำ
ลำต้นพืชชนิดที่ 1 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวอยู่ทั่วลำต้น
ลำต้นพืชชนิดที่ 2 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็นวงรอบลำต้น
ลำต้นพืชชนิดที่ 3 มีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ มีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงไซเล็ม
ลำต้นพืชชนิดที่ 4 มีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉกออกจำกกึ่งกลำงรำก โดยโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
อยำกทรำบว่ำพืชชนิดใดเป็นพืชประเภทเดียวกัน
1. พืชชนิดที่ 1 และ 3
2. พืชชนิดที่ 1 และ 4
3. พืชชนิดที่ 2 และ 3
4. พืชชนิดที่ 3 และ 4
8. น้ำและแร่ธำตุลำเลียงเข้ำสู่รำกพืชด้วยกระบวนกำรใด
1. ลำเลียงโดยกำรแพร่ทั้งคู่
2. ลำเลียงโดยกำรออสโมซิสทั้งคู่
3. น้ำลำเลียงโดยกำรแพร่ ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรออสโมซิส
4. น้ำลำเลียงโดยกำรออสโมซิส ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรแพร่
9. จำกสมกำรดังนี้
คำร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ แสง
คลอโรฟิลล์
น้ำตำล + A + น้ำ
A คือสำรใด
1. กลูโคส 2. ออกซิเจน
3. คลอโรฟิลล์ 4. คำร์บอนไดออกไซด์
3
10. กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงมีควำมสำคัญต่อพืชอย่ำงไร
1. ทำให้พืชมีอำกำศหำยใจ
2. ทำให้พืชสร้ำงอำหำรได้
3. ทำให้พืชสำมำรถสืบพันธุ์ได้
4. ช่วยระบำยควำมร้อนออกจำกต้นพืช
11. โครงสร้ำงใดที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ
1. ใบ 2. ผล
3. ดอก 4. ลำต้น
12. กำรปฏิสนธิของพืชเกิดขึ้นเมื่อใด
1. เมล็ดเริ่มงอกเป็นต้น
2. กลีบดอกเริ่มบำนออก
3. ละอองเรณูตกบนยอดเกสรเพศเมีย
4. นิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่
13. ดอกทำนตะวันจะหันไปตำมดวงอำทิตย์ตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำใด
1. แสง 2. อุณหภูมิ
3. ดวงอำทิตย์ 4. แก๊สออกซิเจน
14. กำรตอบสนองในข้อใดเป็นกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำชนิดเดียวกัน
1. กำรงอกของรำกต้นถั่ว-กำรจำศีลของหมี
2. กำรบำนของดอกคุณนำยตื่นสำย-กำรบินกลับรังของนก
3. กำรหุบใบของต้นกำบหอยแครง-กำรลงไปแช่ในแอ่งน้ำของควำย
4. กำรลดรูปใบไปเป็นหนำมของต้นตะบองเพชร-กำรพองตัวของอึ่งอ่ำง
15. กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหมำะสำหรับนำมำใช้ขยำยพันธุ์พืชชนิดใด
พืช A เป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจำกประเทศไทย
พืช B เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีอำกำศร้อนชื้น
พืช C เป็นพืชที่ถูกรบกวนโดยแมลงศัตรูพืชและวัชพืชได้ง่ำย
พืช D เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งทุกปีจะมีกำรส่งออกจำนวนมำก
1. พืช A เท่ำนั้น
2. พืช B เท่ำนั้น
3. พืช A B และ D
4. พืช A C และ D
4
16. กำรจำแนกสำรโดยใช้ขนำดของอนุภำคเป็นเกณฑ์เหมำะกับกำรจำแนกสำรในข้อใดมำกที่สุด
1. กำว โฟม เยลลี
2. เหล็ก ปรอท คลอรีน
3. น้ำนม น้ำส้มสำยชู น้ำคลอง
4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม แอลกอฮอล์ล้ำงแผล
17. ข้อใดระบุตัวทำละลำยละตัวละลำยได้ถูกต้อง
ข้อ สารละลาย ตัวทาละลาย ตัวละลาย
1. น้ำส้มสำยชู เอทำนอล กรดแอซีติก
2. น้ำเกลือ เกลือแกง น้ำ
3. น้ำเชื่อม น้ำ น้ำตำลทรำย
4. แอลกอฮอล์ล้ำงแผล น้ำ แอลกอฮอล์
18. สำรในข้อใดต่ำงไปจำกสำรอื่นๆ
1. นำก 2. ทอง
3. อำกำศ 4. น้ำเกลือ
19. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวถูกต้อง
1. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำนม คือ เคซีน
2. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำมันพืช
3. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำส้มสำยชู
4. อิมัลซิไฟเออร์ในกำรชำระล้ำงสิ่งสกปรก คือ ไขมัน
20. สำรในข้อใดมีสมบัติควำมเป็นกรด-เบสเหมือนกัน
1. ผงฟู ผงซักฟอก เกลือแกง
2. เบียร์ น้ำปูนใส น้ำตำลทรำย
3. น้ำยำเช็ดกระจก ผงชูรส ยำสระผม
4. น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ น้ำส้มสำยชู
21. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแรง
1. แรงทำให้วัตถุหยุดนิ่ง
2. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนสถำนะ
3. แรงทำให้วัตถุเกิดกำรเคลื่อนที่
4. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง
5
22. ข้อใดระบุชนิดของแรงที่ใช้ทำกิจกรรมได้ถูกต้อง
1. ตักน้ำ-แรงดัน 2. ปำเป้ำ-แรงบิด
3. นวดแป้ง-แรงกด 4. โยนลูกบอล-แรงดึง
23. เด็กคนหนึ่งเดินทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนด้วยอัตรำเร็ว 2 เมตรต่อวินำที โดยใช้เวลำ 60 วินำที ดังนั้น
ระยะทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนมีค่ำเท่ำใด
1. 30 เมตร 2. 60 เมตร
3. 90 เมตร 4. 120 เมตร
24. กำรคำนวณหำค่ำควำมเร็ว หำกระยะทำงมีหน่วยเป็นกิโลเมตร เวลำควรมีหน่วยเป็นอะไร
1. วินำที 2. นำที
3. ชั่วโมง 4. วัน
25. กำรคำนวณหำค่ำอัตรำเร็วในกำรเคลื่อนที่จำเป็นต้องทรำบค่ำของปริมำณใดบ้ำง
1. ระยะทำง เวลำ 2. ระยะทำง กำรกระจัด
3. ควำมเร็ว ระยะทำง 4. ควำมเร่ง ระยะทำง
26. อุณหภูมิ 30 องศำเซลเซียสมีค่ำกี่องศำฟำเรนไฮด์
1. 26 2. 46
3. 66 4. 86
27. ตัวกลำงในข้อใดพำควำมร้อนได้ดีที่สุด
1. น้ำ 2. เงิน
3. เหล็ก 4. อำกำศ
28. “เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ” ลักษณะดังกล่ำวนี้เป็น
กำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนแบบใด
1. กำรนำควำมร้อน 2. กำรพำควำมร้อน
3. กำรแผ่รังสีควำมร้อน 4. กำรดูดกลืนควำมร้อน
29. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรดูดกลืนและกำรคำยควำมร้อน
1. เสื้อสีดำจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำเสื้อสีขำว
2. ผงเหล็กจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำแผ่นเหล็ก
3. น้ำเย็นจะดูดกลืนควำมร้อนได้ช้ำกว่ำน้ำร้อน
4. ลูกกอล์ฟจะดูดควำมร้อนได้ช้ำกว่ำลูกปิงปอง
6
30. ข้อใดเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์
ก. กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติก
ข. กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำว
ค. กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดด
1. ข้อ ก. เท่ำนั้น 2. ข้อ ค. เท่ำนั้น
3. ข้อ ก. และ ข. 4. ข้อ ข. และ ค.
31. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของบรรยำกำศ
1. ช่วยดูดซับรังสีอัลตรำไวโอเลต
2. ช่วยป้ องกันอันตรำยจำกสะเก็ดดำว
3. ช่วยให้โลกไม่ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน
4. ช่วยให้โลกเย็นลงอย่ำงรวดเร็วในเวลำกลำงคืน
32. ในบริเวณใดที่มีอุณหภูมิของอำกำศสูงที่สุด
1. บนยอดดอยในเวลำ 06.00 น.
2. บริเวณริมทะเลในเวลำ 18.00 น.
3. บริเวณทะเลทรำยในเวลำ 15.00 น.
4. บริเวณป่ำไม้หนำทึบในเวลำ 10.00 น.
33. บริเวณใดจะมีควำมชื้นของอำกำศมำกที่สุด
1. บริเวณที่มีไอน้ำน้อย
2. บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง
3. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้มำก
4. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
34. บริเวณใดน่ำจะมีควำมกดอำกำศต่ำที่สุด
1. บริเวณยอดภูเขำ
2. บริเวณทะเลทรำย
3. บริเวณใต้ท้องทะเล
4. บริเวณที่รำบลุ่มแม่น้ำ
35. ควำมสัมพันธ์ของคำมชื้นสัมพัทธ์กับกิจกรรมต่ำงๆในชีวิตประจำวันในข้อใดถูกต้อง
1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ อำกำศจะอบอ้ำว
2. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เสื้อผ้ำจะแห้งช้ำ
3. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง เสื้อผ้ำจะแห้งเร็ว
4. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง จะรู้สึกเหนียวตัว
7
36. ข้อใดอธิบำยเกี่ยวกับหยำดน้ำฟ้ำได้ถูกต้องที่สุด
1. หมอกจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำชนิดหนึ่ง
2. ลูกเห็บจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ ส่วนหิมะไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ
3. ฝนและน้ำค้ำงจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำที่มีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกัน
4. หยำดน้ำฟ้ำเป็นไอน้ำในบรรยำกำศที่เกิดกำรควบแน่นแล้วตกลงมำสู่พื้นโลก
37. ปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อกำรเกิดลมมำกที่สุด
1. ควำมชื้นสัมพัทธ์
2. ปริมำณไอน้ำในอำกำศ
3. ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์
4. ระดับควำมสูง-ต่ำของพื้นที่
38. ข้อใดบอกลักษณะและกำรใช้ประโยชน์ของเครื่องมือที่ใช้วัดเกี่ยวกับลมได้ถูกต้องที่สุด
ข้อ อุปกรณ์ ลักษณะ การใช้ประโยชน์
1. ศรลม เป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่กว่ำหัวลูกศร วัดควำมเร็วลม
2. มำตรควำมเร็วลม เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน ตรวจสอบทิศทำงลม
3. แอนีมอมิเตอร์ เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน วัดควำมเร็วลม
4. แอโรเวน มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก ตรวจสอบทิศทำงลม
และวัดควำมเร็วลม
39. ข้อมูลเกี่ยวกับกำรพยำกรณ์อำกำศ มีดังนี้
ก. แผนที่อำกำศนำมำช่วยในกำรพยำกรณ์อำกำศ
ข. กำรพยำกรณ์อำกำศช่วยให้กำรคมนำคมทำงทะเลและทำงอำกำศปลอดภัยยิ่งขึ้น
ค. กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรทำนำยสภำพอำกำศที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ
จำกข้อมูลที่กำหนดให้มีข้อมูลที่ถูกต้องกี่ข้อ
1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ
3. 3 ข้อ 4. ไม่มีข้อถูก
40. ข้อใดไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน
1. กำรเข้ำร่วมโครงกำรปลูกป่ำทดแทน
2. กำรลดปริมำณขยะโดยกำรมำนำมำใช้ซ้ำ
3. กำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรผลิตไฟฟ้ำ
4. กำรใช้ถุงพลำสติกจำกร้ำนค้ำแค่เพียงใบเดียว
8
41. หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์ผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร
1. ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
2. ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ำย
3. ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ
4. ร่ำงกำยจะปรับตัวได้จึงไม่มีผลแต่อย่ำงใด
42. อำกำรท้องผูกเกิดจำกกำรทำงำนผิดปกติของอวัยวะใด
1. ลำไส้เล็ก 2. ลำไส้ใหญ่
3. ทวำรหนัก 4. กระเพำะอำหำร
43. เพรำะเหตุใดกล้ำมเนื้อหัวใจห้องล่ำงจึงหนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน
1. หัวใจห้องล่ำงต้องรับเลือดจำกส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย
2. หัวใจห้องล่ำงต้องบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย
3. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีควำมดันสูงกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน
4. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีปริมำณมำกกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน
44. กำรที่เหงือกของปลำมีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ มีผลต่อระบบหำยใจอย่ำงไร
1. ช่วยให้น้ำซึมผ่ำนได้ดี
2. ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊ส
3. ช่วยให้ดูดซึมแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ได้ดี
4. ช่วยให้ปลำไม่ต้องขึ้นมำหำยใจเหนือน้ำบ่อยๆ
45. ในขณะที่เรำหำยใจเข้ำ ข้อใดกล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกะบังลมกับกระดูกซี่โครงได้ถูกต้อง
1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง
2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น
3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง
4. กะบังลมเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น
46. หำกไตทำงำนผิดปกติ จะสำมำรถสังเกตได้จำกสิ่งใด
1. เหงื่อ 2. อุจจำระ
3. ปัสสำวะ 4. ลมหำยใจออก
47. หำกเด็กหญิงคนหนึ่งมีรังไข่ผิดปกติ จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร
1. ร่ำงกำยไม่เจริญเติบโต 2. มีลักษณะเหมือนผู้ชำย
3. พัฒนำกำรทำงเพศผิดปกติ 4. ทำให้เกิดโรคมะเร็งในรังไข่
9
48. แฝดอิน – จัน แฝดสยำมคู่แรกของโลก เป็นกำรเกิดแฝดในกรณีใด
1. แฝดต่ำงไข่
2. แฝดร่วมไข่
3. อำจเป็นแฝดต่ำงไข่ หรือแฝดร่วมไข่
4. เป็นแฝดที่เกิดจำกวิธีกำรทำงกำรแพทย์
49. เพรำะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงมีกำรแสดงพฤติกรรม
1. เพื่อปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม
2. เพื่อแสดงออกถึงควำมต้องกำร
3. เพื่อตอบสนองต่อสังคมที่อำศัยอยู่
4. เพื่อควำมอยู่รอดและดำรงเผ่ำพันธุ์
50. เทคโนโลยีชีวภำพมีประโยชน์อย่ำงไร
1. ช่วยประหยัดต้นทุนกำรผลิตสัตว์
2. ช่วยทำให้ได้สัตว์สำยพันธุ์ตำมต้องกำร
3. ลดระยะเวลำในกำรเจริญเติบโตของสัตว์
4. สำมำรถทำได้ง่ำย โดยไม่ต้องใช้ควำมเชี่ยวชำญ
51. ข้อควำมใดที่กล่ำวเกี่ยวกับกำรใช้พลังงำนจำกสำรอำหำรได้ถูกต้องที่สุด
1. ขณะนอนหลับร่ำงกำยจะไม่ใช้พลังงำนที่ได้จำกสำรอำหำร
2. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชำยจะใช้พลังงำนต่ำงกัน
3. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักมำก
4. ขณะเล่นกีฬำผู้ชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้หญิง แต่ในขณะทำงำนเบำๆ ผู้หญิงจะใช้พลังงำน
มำกกว่ำผู้ชำย
52. เพื่อส่งเสริมให้ร่ำงกำยเจริญเติบโตอย่ำงสมวัย วัยรุ่นควรรับประทำนอำหำรชนิดใดมำกที่สุด
1. ข้ำว เนื้อสัตว์ 2. เนย ผักใบเขียว
3. ไข่ มะเขือเทศ 4. น้ำมันพืช ถั่วเหลือง
53. ข้อใดเป็นสำเหตุสำคัญที่สุด ที่ทำให้เด็กในวัยเรียนรับประทำนอำหำรไม่ครบ 5 หมู่
1. กำรรับประทำนอำหำรนอกบ้ำน
2. กำรรับประทำนอำหำรไม่เป็นเวลำ
3. กำรรับประทำนอำหำรไม่อิ่มเพรำะเร่งรีบ
4. กำรเลือกรับประทำนอำหำรเฉพำะที่ตนเองชอบ
10
54. นักเรียนควรเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใดต่อไปนี้ จึงจะให้คุณค่ำทำงอำหำรดีที่สุด หำกอำหำร
ทั้งหมดนี้มีรำคำเท่ำกัน
1. ขนมครก 2. ปำท่องโก๋
3. กล้วยบวชชี 4. นมถั่วเหลือง
55. กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีใดที่ให้ผลแน่นอนที่สุด
1. สังเกตจำกบุคคลใกล้ชิด
2. สังเกตจำกพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
3. สังเกตจำกสุขภำพร่ำงกำยของผู้เสพ
4. สังเกตจำกผลกำรตรวจเลือดและปัสสำวะ
56. ข้อใดกล่ำวถึงธำตุได้ถูกต้อง
1. ธำตุทุกชนิดสำมำรถนำไฟฟ้ำ
2. ธำตุแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โลหะ และอโลหะ
3. โซเดียมคลอไรด์และโพแทสเซียมออกไซด์เป็นธำตุ
4. ไม่สำมำรถทำให้ธำตุแตกตัวเป็นสำรเดี่ยวหลำยชนิดได้
57. ข้อใดเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร
1. สี กำรลุกติดไฟ
2. สถำนะ จุดเดือด
3. กลิ่น ควำมเป็นกรด-เบส
4. จุดหลอมเหลว กำรสลำยตัว
58. เพรำะเหตุใดภำชนะหุงต้มที่ใช้ประกอบอำหำรจึงทำด้วยโลหะ
1. มีผิวมันวำว
2. นำไฟฟ้ำได้ดี
3. นำควำมร้อนได้ดี
4. ตีแผ่เป็นรูปทรงต่ำงๆ ได้ง่ำย
59. สำรที่เหมำะสมจะนำมำแยกโดยกำรกลั่นแบบไอน้ำ ควรมีสมบัติตำมข้อใด
1. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดสูง
2. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดต่ำ
3. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดสูง
4. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดต่ำ
11
60. กำรแยกสำรบริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟีอำศัยหลักกำรใด
1. ควำมแตกต่ำงของกำรถูกดูดซับ
2. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำย
3. ควำมแตกต่ำงของสำรที่ใช้เป็นตัวทำละลำย
4. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำยและกำรถูกดูดซับ
61. จำกกำรนำสำร 2 ชนิด มำผสมกัน ดังตำรำงที่กำหนดให้ ข้อใดเป็นปฏิกิริยำดูควำมร้อน
ข้อ สารที่ผสม
อุณหภูมิของสาร (o
C)
ก่อนผสม หลังผสม
1. A+B 27 28
2. C+D 29 29
3. E+F 29 28
4. G+H 26 25
62. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม
ก. เติมตัวเร่งปฏิกิริยำ
ข. ให้ควำมร้อนแก่ปฏิกิริยำ
ค. บดหรือหั่นสำรตั้งต้นให้มีขนำดเล็กลง
ง. เพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่น
จ. เลือกสำรตั้งต้นที่มีคุณสมบัติเหมำะสมในกำรใช้งำน
ข้อใดเป็นกำรเร่งอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. ก. ข. ค. 2. ก. ข. จ.
3. ก. ข. ค. ง. 4. ก. ข. ค. จ.
63. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้เร็ว
2. กำรเพิ่มพื้นที่ผิวของสำร จะช่วยให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดช้ำลง
3. สำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นมำก จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็ว
4. สมบัติของสำรตั้งต้นที่เป็นสำรไวไฟ จะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึ้น
12
64. จำกข้อควำมที่กำหนดให้ต่อไปนี้
ก. ฝนกรด
ข. กำรเกิดหินงอกหินย้อย
ค. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก
ง. น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์
ข้อใดเป็นผลกระทบของปฏิกิริยำเคมีที่เป็นอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
1. ก. ข. 2. ข. ค.
3. ก. ข. ค. 4. ก. ค. ง.
65. จำกข้อควำมที่กำหดให้ต่อไปนี้
ก. สำรสังเครำะห์สำมำรถเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติได้
ข. สำรสังเครำะห์ คือ กำรลอกเลียนแบบสำรจำกธรรมชำติ
ค. สำรสังเครำะห์มีประสิทธิภำพมำกกว่ำสำรจำกธรรมชำติ
ง. สำรจำกธรรมชำติมีพิษหรืออันตรำยมำกกว่ำสำรสังเครำะห์
ข้อใดกล่ำวถึงสำรสังเครำะห์ได้ถูกต้อง
1. ก. ข. 2. ข. ค.
3. ก. ค. 4. ก. ง.
66. แรงเป็นปริมำณที่มีลักษณะตำมข้อใด
1. มีแต่ขนำด
2. มีแต่ทิศทำง
3. มีทั้งขนำดและทิศทำง
4. มีขนำดในบำงทิศทำงเท่ำนั้น
67. ถ้ำแรง F1 มีขนำด 6 นิวตัน และแรง F2 มีขนำด 3 นิวตัน แรงลัพธ์ของแรงทั้งสองมีขนำด 9 นิวตัน
แสดงว่ำทั้งสองมีทิศทำงอย่ำงไร
1. มีทิศตั้งฉำกกัน
2. มีทิศตรงข้ำมกัน
3. มีทิศไปทำงเดียวกัน
4. แรง F1 มีทิศขึ้น ส่วนแรง F2 มีทิศลง
13
68. พิจำรณำภำพด้ำนล่ำงแล้วตอบคำถำม
จำกภำพ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกล่องมีขนำดเท่ำใด และกล่องจะเคลื่อนที่ไปในทิศทำงใด
1. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 0 นิวตัน กล่องไม่เคลื่อนที่
2. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 5 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ
3. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 10 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย
4. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 15 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ
69. จงพิจำรณำภำพต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม
A B
O
P
a d
b c
ข้อใดคือรังสีตกกระทบ
1. OP 2. AO
3. BO 4. AB
70. กำรสะท้อนกลับหมดจะสำมำรถเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทำงตำมข้อใด
1. จำกน้ำไปแก้ว 2. จำกแก้วไปน้ำ
3. จำกอำกำศไปน้ำ 4. จำกอำกำศไปแก้ว
71. คนที่ใส่แว่นสำยตำยำว จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด
1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส
2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส
3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำในระยะมำกกว่ำจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง
4. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส แต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส
14
72. จำกภำพในข้อใด จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ
1.
C F
2.
C F
3.
C F
4.
C F
73. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับตำขำว
ก. ตำขำวมีหน้ำที่ช่วยรักษำสมดุลของแสงที่เข้ำสู่จอตำ
ข. ตำขำวมีหน้ำที่รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำ
ค. ตำขำวมีสีขำว เป็นชั้นบำงๆ ที่เคลือบลูกตำเอำไว้ซึ่งมีควำมเหนียวและแข็งแรง
1. ก. 2. ข.
3. ค. 4. ทั้ง ก. และ ข.
74. ภำพที่ตกบนจอตำของมนุษย์เป็นภำพที่มีลักษณะอย่ำงไร
1. ภำพจริงหัวตั้ง 2. ภำพจริงหัวกลับ
3. ภำพเสมือนหัวตั้ง 4. ภำพเสมือนหัวกลับ
75. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก
1. โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้ นคล้ำยลูกมะนำว ที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเท่ำกันทั้งโลก
2. โลกประกอบด้วยเปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก ซึ่งเนื้อโลกจะมีควำมเย็นมำกกว่ำแก่นโลก
3. โลกเกิดขึ้น เมื่อ 4,600 ล้ำนปีก่อน โดยในช่วงแรกจะยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ซึ่งมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ
0.003 ล้ำนปีก่อน
4. โลกถูกแบ่งโครงสร้ำงจำกชั้นบรรยำกำศสู่แก่นโลก ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลกชั้นนอก เนื้อโลก
ชั้นใน แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นในตำมลำดับ
76. โครงสร้ำงของโลกส่วนใดมีควำมหนำมำกที่สุด
1. เนื้อโลก 2. แก่นโลก
3. เปลือกโลกชั้นใน 4. เปลือกโลกชั้นนอก
15
77. ดินชั้นบนและดินชั้นล่ำงมีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร
1. ดินชั้นบนมีสีจำงกว่ำดินชั้นล่ำง
2. ดินชั้นบนมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง
3. ดินชั้นบนมีควำมพรุนน้อยกว่ำดินชั้นล่ำง
4. ดินชั้นบนมีขนำดเม็ดดินใหญ่กว่ำดินชั้นล่ำง
78. ปัจจัยใดที่มีผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร
1. กำรหลอมละลำย
2. ควำมร้อนและควำมดัน
3. กำรสะสมและกำรทับถม
4. ควำมแค้นและควำมเครียด
79. ข้อใดไม่ใช่สมบัติทำงกำยภำพของแร่
1. สี สีผง
2. รูปผลึก ควำมวำว
3. สีเปลวไฟ แสงเรือง
4. ควำมแข็ง ควำมถ่วงจำเพำะ
80. ข้อใดเป็นควำมหมำยของคำว่ำ “ทรัพยำกรธรรมชำติ”
1. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ
2. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ หรือบำงส่วนที่มนุษย์สร้ำงขึ้น
3. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ แต่มนุษย์ไม่สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์
4. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทำงตรงและทำงอ้อม
81. กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึงข้อใด
1. พันธุกรรม 2. พันธุศำสตร์
3. พันธุวิศวกรรม 4. โรคทำงพันธุกรรม
82. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทำงพันธุกรรม
1. สีผิว 2. ลักยิ้ม
3. ชั้นตำ 4. แผลเป็น
83. เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ จะพบโครงสร้ำงใด
1. โครมำทิด 2. โครมำทิน
3. โครโมโซม 4. เซนโทรเมียร์
16
84. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโครโมโซมของมนุษย์
1. เป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
2. เป็นออโตโซม 23 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
3. เป็นออโตโซม 45 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
4. เป็นออโตโซม 46 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
85. กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ จัดเป็นควำมหลำกหลำยทำงใด
1. ควำมหลำกหลำยทำงกำยภำพ
2. ควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์
3. ควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม
4. ควำมหลำกหลำยทำงระบบนิเวศ
86. มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำอะไร
1. Homo sapiens
2. Homo erectus
3. Homo sapiens idaltu
4. Homo neanderthalensis
87. กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตตำมแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นกี่อำณำจักร
1. 4 อำณำจักร 2. 5 อำณำจักร
3. 6 อำณำจักร 4. 7 อำณำจักร
88. แพรวำจัดสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1) ฟองน้ำ แมงกะพรุน หอย และหมึก
2) ปลำหำงนกยูง โลมำ ไก่ และสุนัข
แพรวำใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ในกำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต
1. แหล่งที่อยู่ 2. แหล่งกำเนิด
3. ลักษณะลำตัว 4. กระดูกสันหลัง
89. ระบบนิเวศประกอบด้วยโครงสร้ำงใดบ้ำง
1. กลุ่มสิ่งมีชีวิตเพียงอย่ำงเดียว
2. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และแหล่งที่อยู่
3. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม
4. กลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม
17
90. สิ่งมีชีวิตในข้อใดแสดงบทบำทต่ำงจำกสิ่งมีชีวิตในข้ออื่น
1. มอส 2. ชวนชม
3. เห็ดนำงฟ้ำ 4. สำหร่ำยหำงกระรอก
91. “ไลเคน” เป็นกำรอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีควำมสัมพันธ์กันแบบใด
1. ภำวะแข่งขัน 2. ภำวะล่ำเหยื่อ
3. ภำวะอิงอำศัย 4. ภำวะพึ่งพำกัน
92. “หนอน นก หญ้ำ งู” พบในระบบนิเวศแห่งหนึ่ง จะเขียนควำมสัมพันธ์ในรูปโซ่อำหำรได้อย่ำงไร
1. หญ้ำ หนอน งู นก
2. หญ้ำ หนอน นก งู
3. หญ้ำ นก หนอน งู
4. หญ้ำ งู นก หนอน
93. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน
1. กำรคำยน้ำของพืช
2. กำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต
3. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช
4. กำรย่อยสลำยซำกพืช ซำกสัตว์
94. วัฏจักรสำรใดที่จะเกิดขึ้นได้สมบูรณ์ต้องอำศัยจุลินทรีย์
1. น้ำ 2. คำร์บอน
3. ไนโตรเจน 4. ฟอสฟอรัส
95. ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร
1. อัตรำกำรเกิดเท่ำนั้น
2. อัตรำกำรตำยเท่ำนั้น
3. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย และอัตรำกำรอพยพเข้ำ
4. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก
96. ระบบนิเวศที่สมดุลหมำยถึงข้อใด
1. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตหลำกหลำยชนิดมำอยู่รวมกัน
2. บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตจำนวนเท่ำๆ กัน
3. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอำศัยอยู่ และมีควำมสัมพันธ์กันในลักษณะต่ำงๆ
4. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่
เหมำะสม
18
97. ข้อใดอธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ “สิ่งแวดล้อม” ได้ถูกต้องที่สุด
1. สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ
2. สิ่งต่ำงๆ ที่มีควำมเหมำะสมต่อมนุษย์
3. ทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกและสภำพแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่ำไม้ดิน น้ำ อำกำศ
4. ทุกสิ่งทุกอย่ำงที่อยู่รอบตัวเรำทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติและที่
มนุษย์สร้ำงขึ้น
98. สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด
1. กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร
2. กำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ
3. ภัยธรรมชำติและอุบัติเหตุ
4. ควำมเจริญทำงด้ำนเทคโนโลยี
99. ตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด
1. มนุษย์
2. นักกำรเมือง
3. ภัยธรรมชำติ
4. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี
100. กำรแก้ปัญหำสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดคือข้อใด
1. กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
2. ลดปริมำณกำรใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
3. ให้กำรศึกษำด้ำนสิ่งแวดล้อมแก่ประชำชน
4. กำหนดบทลงโทษอย่ำงจริงจังเกี่ยวกับกำรทำลำยสิ่งแวดล้อม
101. แรงโน้มถ่วงของโลกบริเวณใดมีค่ำมำกที่สุด
1. ที่ระดับน้ำทะเลสูงสุด
2. ที่ระดับน้ำทะเลปำนกลำง
3. ที่ระดับควำมสูง 50 เมตร
4. ที่ระดับควำมสูง 100 เมตร
102. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน
1. แรงลอยตัวเป็นแรงคู่กิริยำปฏิกิริยำกับแรงโน้มถ่วงของโลก
2. เมื่อไม่มีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว
3. เมื่อมีแรงคงที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว
4. แรงปฏิกิริยำจะมีทิศทำงตรงกันข้ำมกับแรงกิริยำ ซึ่งกระทำต่อวัตถุก้อนเดียวกัน
19
103. แรงลอยตัวของของเหลวจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. ปริมำตรของของเหลว
2. ควำมหนำแน่นของของเหลว
3. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่จมในของเหลว
4. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่ลอยในของเหลว
104. คำนเบำที่มีควำมยำวสม่ำเสมอ 0.60 เมตร ปลำยด้ำนหนึ่งปักติดอยู่กับกำแพง ส่วนปลำยอีกด้ำนแขวน
วัตถุมวล 9 กิโลกรัม จงหำโมเมนต์ของแรงที่กระทำต่อคำนดังกล่ำว
1. 0.54 นิตันเมตร 2. 5.40 นิตันเมตร
3. 5.04 นิตันเมตร 4. 54.0 นิตันเมตร
105. นำย ก ออกแรง 50 นิวตัน เข็นรถให้เคลื่อนที่เป็นระยะทำง 1 เมตร จงหำงำนที่นำย ก. ใช้ในกำรเข็นรถ
1. 20 นิวตันเมตร 2. 30 นิวตันเมตร
3. 40 นิวตันเมตร 4. 50 นิวตันเมตร
106. นำย ก ขับรถขึ้นภูเขำ 50 กิโลเมตร เมื่อถึงยอดเขำจึงปล่อยให้รถไถลลงมำถึงเชิงเขำ ข้อใดสำมำรถ
อธิบำยกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของรถยนต์คันนี้ได้ถูกต้องที่สุด
1. พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์
2. พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์
3. พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์
4. พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์
107. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1 ตัน แล่นด้วยควำมเร็ว 10 เมตรต่อวินำที จงหำพลังงำนจลน์ของรถยนต์คันนี้
1. 10,000 จูล 2. 30,000 จูล
3. 50,000 จูล 4. 100,000 จูล
108. ข้อใดแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงำนและพลังงำน
1. งำน = พลังงำนศักย์– พลังงำนจลน์
2. งำน = พลังงำนจลน์ + พลังงำนศักย์
3. งำน = ผลบวกของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป
4. งำน = ผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป
109. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ
1. ไหลจำกที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
2. ไหลจำกขั้วลบไปยังขั้วบวก
3. ไหลจำกแรงดันต่ำไปยังแรงดันสูง
4. ไหลจำกศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังศักย์ไฟฟ้ำต่ำ
20
110. หลอดไฟฟ้ำ 220 V 80 W ถ้ำใช้นำน 20 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำกี่ยูนิต
1. 0.8 ยูนิต 2. 1.6 ยูนิต
3. 2.4 ยูนิต 4. 3.2 ยูนิต
111. วงจรไฟฟ้ำวงจรหนึ่งมีควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 12 กิโลโอห์ม มีกระแสไฟฟ้ำ 30 มิลลิแอมแปร์
จงคำนวณหำค่ำควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
1. 36 มิลลิโวลต์ 2. 36 กิโลโวลต์
3. 0.36 มิลลิโวลด์ 4. 360 โวลต์
112. ข้อใดกล่ำวถึงกฎของโอห์มได้ถูกต้อง
1. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ
2. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ
3. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
4. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
113. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
1. อุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้ำ
2. อุปกรณ์ที่ควบคุมกำรไหลของประจุ
3. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน
4. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ
114.
ตัวต้ำนทำนดังกล่ำวมีค่ำควำมต้ำนทำนกี่กิโลโอห์ม
1. 10 2. 100
3. 1,000 4. 10,000
115. อุปกรณ์ใดเป็นกำรใช้ประโยชน์จำกไดโอดเปล่งแสง
1. พัดลมไฟฟ้ำ
2. จอโทรทัศน์แอลซีดี
3. หน้ำจอคอมพิวเตอร์
4. หลอดฟลูออเรสเซนต์
21
116. อุปกรณ์ใดมีกำรใช้ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้
1. ตู้เย็น
2. สวิตช์หรี่ไฟ
3. โทรศัพท์มือถือ
4. จอโทรทัศน์แอลอีดี
117. ดำวเครำะห์ดวงใดมีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ
1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์
3. ดำวพลูโต 4. ดำวอังคำร
118. นักวิทยำศำสตร์ทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกสิ่งใด
1. ดำวหำง
2. ดวงอำทิตย์
3. ดำวเครำะห์บำงดวง
4. อุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก
119. สีของดำวฤกษ์ในข้อใดมีอุณหภูมิสูงที่สุด
1. แดง 2. ขำว
3. เหลือง 4. ส้มแดง
120. กำรใช้กล้องโทรทรรศน์ติดตั้งบนโลก ส่องดูดำวบนท้องฟ้ำจะรับได้เพียงคลื่นไมโครเวฟ และแสงสี
ที่มองเห็นได้เท่ำนั้น เพรำะเหตุใด
1. รังสีอื่นๆ จะสะท้อนกลับหมด
2. รังสีอื่นๆ ถูกบรรยำกำศของโลกดูดไว้
3. กล้องโทรทรรศน์มีสมบัติไม่ดีพอที่จะรับคลื่นอื่นๆ ได้
4. รังสีจำกดวงดำวมีเพียงคลื่นไมโครเวฟและแสงสีเท่ำนั้น
22
เฉลยข้อสอบ
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนต้น
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
1. 1 กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ ในกำรดูภำพครั้งแรกต้องใช้เลนส์ใกล้วัตถุ
ที่มีกำลังขยำยต่ำสุดก่อน ซึ่งเมื่อเห็นภำพแล้วจึงค่อยๆ ปรับให้มีกำลังขยำยสูงขึ้น
2. 4 ออร์แกเนลล์ที่ทำหน้ำที่สร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ คือ ไมโทคอนเดรีย ส่วนนิวเครียส
เป็นแหล่งข้อมูลทำงพันธุกรรม คลอโรพลำสต์มีหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำร
สังเครำะห์ด้วยแสง และแวคิวโอลทำหน้ำที่ขับถ่ำยของเสียออกจำกเซลล์
3. 2 ออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์พืชเท่ำนั้น ได้แก่ ผนังเซลล์ และคลอโรพลำสต์
ส่วนออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์สัตว์เท่ำนั้น ได้แก่ เซนทริโอล
4. 3 ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืช คือ ผนังเซลล์ ส่วนของเซลล์สัตว์คือ
เยื่อหุ้มเซลล์
5. 4 ไมโทคอนเดรียทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ แวคิวโอลทำหน้ำที่เป็น
ที่เก็บ หลั่ง และถ่ำยเทของเหลวภำยในเซลล์ เซนทริโอลทำหน้ำที่ช่วยในกำร
เคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ และช่วยในกำรเคลื่อนที่ของเซลล์
บำงชนิด ร่ำงแหเอนโดพลำซึมทำหน้ำที่สังเครำะห์โปรตีนและเอนไซม์ กอลจิบอดี
ทำหน้ำที่เก็บสำรที่ร่ำงแหเอนโดพลำซึมสร้ำงขึ้น ร่ำงแหเอนโดพลำซึมและกอลจิบอดี
จึงมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด
6. 2 กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ และกำรเคลื่อนที่ของ
แร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรแพร่ เพรำะโมเลกุลของสำรเคลื่อนที่จำก
บริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรน้อย ส่วน
กำรเคลื่อนที่ของน้ำข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรออสโมซิส เพรำะน้ำเคลื่อนที่
จำกบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมำกไปยังบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำน้อย
7. 1 พืชชนิดที่ 1 และ 3 เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เนื่องจำกลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัว
กระจัดกระจำย และที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ ส่วนพืช
ชนิดที่ 2 และ 4 เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เนื่องจำกที่ลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็น
ระเบียบ ส่วนที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉก โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
23
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
8. 4 กำรลำเลียงน้ำเข้ำสู่รำกพืชจะใช้กระบวนกำรออสโมซิส โดยลำเลียงจำกบริเวณที่มี
น้ำมำกไปยังบริเวณที่มีน้ำน้อย ส่วนกำรลำเลียงแร่ธำตุจะใช้กำรแพร่ โดยลำเลียง
จำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุ
น้อย
9. 2 จำกสมกำรที่กำหนดให้เป็นปฏิกิริยำของกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง ซึ่งจะมี
คำร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นสำรตั้งต้น มีแสงและคลอโรฟิลล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ
โดยจะได้น้ำตำลกลูโคส ออกซิเจน และน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ ดั้งนั้น A คือ ออกซิเจน
10. 2 กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนกำรสร้ำงอำหำรของพืช ซึ่งอำหำรนั้น
จะทำให้พืชเจริญเติบโต และสะสมไว้ตำมเนื้อเยื่อต่ำงๆ ของพืช เมื่อสัตว์มำกินพืช
ก็จะได้รับกำรถ่ำยทอดพลังงำนกันไปเป็นทอดๆ ตำมโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร
11. 3 โครงสร้ำงที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ คือ ดอก ซึ่งภำยในจะประกอบ
ไปด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
12. 4 กำรปฏิสนธิของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของ
เซลล์ไข่ ซึ่งหลังจำกปฏิสนธิแล้ว กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้จะล่วงหล่นไป
รังไข่จะพัฒนำเป็นเปลือกและเนื้อของผล และออวุลจะพัฒนำเป็นเมล็ด
13. 1 กำรที่ดอกทำนตะวันหันไปทำงดวงอำทิตตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนอง
ต่อแสง
14. 2 รำกต้นถั่วจะงอกไปตำมทิศทำงของแรงโน้มถ่วง (กำรตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วง)
หมีจะจำศีลในช่วงฤดูหนำว (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ดอกคุณนำยตื่นสำยจะบำน
เมื่อได้รับแสงแดด (กำรตอบสนองต่อแสง) นกจะบินกลับรังในเวลำพลบค่ำ
(กำรตอบสนองต่อแสง) ใบของต้นกำบหอยแครงจะหุบลงเมื่อได้รับกำรสัมผัสจำก
แมลง (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)ควำยจะลงไปแช่ในแอ่งน้ำเพื่อระบำยควำมร้อน
(กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ใบของต้นตะบองเพชรจะลดรูปเป็นหนำม เพื่อป้ องกัน
กำรสูญเสียน้ำ (กำรตอบสนองต่อควำมชื้น) อึ่งอ่ำงจะพองตัวเมื่อถูกสัมผัส
(กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)
15. 4 กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นกำรขยำยพันธุ์พืชที่นิยมใช้กับพืชที่เป็นพืชเศรษฐกิจ และ
พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะทำให้ได้พืชจำนวนมำกในเวลำอัน
รวดเร็ว และพืชที่ได้จะทนทำนต่อสภำพแวดล้อม แมลงศัตรูพืช และวัชพืชต่ำงๆ ได้
ดั้งนั้น พืชที่เหมำะสำหรับนำมำเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ พืช A C และ D ส่วนพืช B นั้น
สำมำรถเจริญเติบโตได้ในสภำพอำกำศของประเทศไทยอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้อง
ขยำยพันธุ์โดยกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
24
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
16. 3 เนื่องจำก
ข้อ 1. กำว โฟม และเยลลี เป็นคอลลอยด์
ข้อ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เป็นธำตุ
ข้อ 3. น้ำนมเป็นคอลลอยด์ น้ำส้มสำยชูเป็นสำรละลำย และน้ำคลองเป็น
สำรแขวนลอย
ข้อ 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม และแอลกอฮอล์ล้ำงแผล เป็นสำรละลำย
17. 3 เนื่องจำก
- น้ำส้มสำยชู มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีกรดแอซีติกเป็นตัวละลำย
- น้ำเกลือ มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีเกลือแกงเป็นตัวละลำย
- น้ำเชื่อม มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีน้ำตำลทรำยเป็นตัวละลำย
- แอลกอฮอล์ล้ำงแผล มีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลำย และมีน้ำเป็นตัวละลำย
18. 2 ทองเป็นสำรเนื้อเดียวที่เป็นธำตุ ส่วนนำก อำกำศ และน้ำเกลือเป็นสำรเนื้อเดียวที่
เป็นสำรละลำย
19. 1 อิมัลซิไฟเออร์ คือ สำรที่ทำหน้ำที่เป็นตัวประสำนให้อนุภำคของเหลว 2 ชนิดที่
ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน สำมำรถรวมตัวกันได้ในน้ำนมจะมีโปรตีนเคซีนทำหน้ำที่
เป็นอิมัลไฟเออร์ ในน้ำสลัดจะมีไข่แดงทำหน้ำที่เป็นอิมัลไฟเออร์ ส่วนในกำร
ชำระล้ำงสิ่งสกปรกจะมีสบู่หรือผงซักฟอกทำหน้ำที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์
20. 4 ผงฟู ผงซักฟอก น้ำปูนใส น้ำยำเช็ดกระจก และยำสระผม มีสมบัติเป็นเบส เบียร์
น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ และน้ำส้มสำยชู มีสมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือแกง
น้ำตำลทรำย และผงชูรส มีสมบัติเป็นกลำง
21. 2 แรงจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนรูปร่ำงได้แต่แรงไม่สำมำรถทำให้
วัตถุเปลี่ยนสถำนะได้
22. 3 กำรตักน้ำต้องใช้แรงดึง กำรปำเป้ ำต้องใช้แรงดัน กำรนวดแป้ งต้องใช้แรงกดและ
แรงบีบ ส่วนกำรโยนลูกบอลต้องใช้แรงดัน
23. 4 จำกสูตร อัตรำเร็ว =
ระยะทำง
เวลำ
แทนค่ำ 2 m/s =
ระยะทำง
เวลำ
ระยะทำง = 2 m/s x 60 s
= 120 m
24. 3 ควำมเร็วมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินำที (m/s) หรือกิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)
25
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
25. 1 อัตรำเร็ว คือ ระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลำ ดังนั้น หำกต้องกำร
หำอัตรำเร็ว จะต้องทรำบค่ำระยะทำงและเวลำที่ใช้ในกำรเคลื่อนที่
26. 4 จำกสูตร =
แทนค่ำ =
F = (6 x 9) + 32
= 86
27. 4 กำรพำควำมร้อน เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนจำกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
โดยอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ โดยตัวกลำงนั้นจะเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งตัวกลำงใน
กำรพำควำมร้อน ได้แก่ ของเหลวและแก๊ส แต่แก๊สสำมำรถพำควำมร้อนได้ดีกว่ำ
ของเหลว เนื่องจำกโมเลกุลของแก๊สสำมำรถเคลื่อนที่ได้ดีกว่ำของเหลว
28. 2 เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ
เนื่องจำกมีลมเป็นตัวกลำงในกำรพำควำมร้อนมำสู่ร่ำงกำย
29. 1 วัตถุสีเข้มจะดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุสีอ่อน วัตถุที่มีพื้นที่ผิวมำกจะ
ดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีพื้นที่ผิวน้อย วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ำ
อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะดูดกลืนควำมร้อนได้เร็วกว่ำ แต่คำยควำมร้อนได้ช้ำกว่ำวัตถุ
ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ำอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม และวัตถุที่มีเนื้อหยำบหรือผิวด้ำนจะดูดกลืน
และคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีเนื้อละเอียดหรือผิวเป็นมัน
30. 2 กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติกเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรนำควำมร้อนมำใช้
ประโยชน์ กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำวเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรพำ
ควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดดเป็นกำรนำควำมรู้
เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์
31. 4 ชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ต่อโลกหลำยประกำร เช่น ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้
เหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยไม่ให้ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน ไม่
เย็นเกินไปในเวลำกลำงคืน ช่วยป้ องกันอันตรำยจำกรังสีต่ำงๆ และอนุภำคต่ำงๆ
เป็นต้น
32. 3 บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะเป็นบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรำย ซึ่งดูดกลืนควำมร้อน
จำกดวงอำทิตย์ได้ดี และในเวลำกลำงวันอำกำศจะร้อนกว่ำเวลำกลำงคืน
33. 4 บริเวณที่มีควำมชื้นในอำกำศสูงจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ มีปริมำณไอน้ำใน
อำกำศมำก และสำมำรถรับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
26
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
34. 1 ควำมกดอำกำศจะขึ้นอยู่กับระดับควำมสูงของพื้นที่ อุณหภูมิ และควำมชื้นของ
อำกำศ โดยควำมกดอำกำศจะมีค่ำน้อยเมื่อสถำนที่นั้นอยู่สูงขึ้นไปจำกระดับน้ำทะเล
มีอุณหภูมิต่ำ และมีควำมชื้นในอำกำศมำก
35. 4 ควำมชื้นสัมพัทธ์ที่มีค่ำพอเหมำะที่จะทำให้เรำรู้สึกสบำยตัว คือ มีค่ำประมำณ
60-70% ซึ่งหำกควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำสูง อำกำศจะชื้น ร้อนอบอ้ำว รู้สึกเหนียวตัว
เสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งช้ำ แต่ถ้ำควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำต่ำ อำกำศจะแห้ง ผิวหนัง
ของเรำจะแตกแห้ง และเสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งเร็ว
36. 4 หยำดน้ำฟ้ำ คือ ไอน้ำในบรรยำกำศที่ควบแน่นกลำยเป็นหยดน้ำหรือน้ำแข็งแล้วตก
ลงมำสู่พื้นโลก ได้แก่ ฝน ลูกเห็บ และหิมะ ส่วนหมอก น้ำค้ำง และน้ำค้ำงแข็ง ไม่ได้
ตกลงมำจำกฟ้ำ จึงไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ
37. 3 ลมเกิดจำกอำกำศในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่อำกำศในบริเวณ
ใกล้เคียงที่อุณหภูมิต่ำกว่ำจะเคลื่อนตัวเข้ำมำแทนที่ โดยควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิ
ทั้ง 2 บริเวณนั้นเกิดจำกอำกำศทั้ง 2 บริเวณได้รับควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไม่เท่ำกัน
38. 4 ศรลมเป็นอุปกรณ์ตรวจสอบควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่
กว่ำหัวลูกศร มำตรวัดควำมเร็วลม หรือแอนีมอมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์วัดควำมเร็วลม
มีลักษณะเป็นกรวยโลหะ 3 – 4 อัน ติดอยู่ที่ปลำยก้ำน ส่วนแอโรเวนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้
ตรวจสอบทิศทำงลมและวัดควำมเร็วลม มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก
39. 3 กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรคำดหมำยสภำวะลมฟ้ำอำกำศ รวมทั้งปรำกฏกำรณ์
ทำงธรรมชำติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ โดยใช้ข้อมูลจำกแผ่นที่อำกำศช่วย
ในกำรพยำกรณ์ ซึ่งกำรพยำกรณ์อำกำศจะมีประโยชน์ในหลำยด้ำน เช่น เมื่อทรำบ
สภำพอำกำศล่วงหน้ำจะทำให้สำมำรถกำหนดและปรับเปลี่ยนเส้นทำงคมนำคม
เพื่อควำมปลอดภัยได้
40. 4 กำรปลูกป่ำทดแทน หรือกำรฟื้นฟูสภำพป่ำไม้กำรลดปริมำณขยะ และกำรใช้
พลังงำนหมุนเวียน จัดเป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน แต่กำรใช้ถุงพลำสติกแม้เพียง
ใบเดียวก็นับว่ำไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน
41. 3 หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลให้ระบบต่ำงๆ
ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ ซึ่งทำให้ไม่สำมำรถดำรงชีวิตอยู่ได้
42. 2 อำหำรที่เหลือจำกกำรย่อยและอำหำรที่ย่อยไม่ได้นั้นจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ โดย
ลำไส้ใหญ่จะทำหน้ำที่ดูดน้ำและแร่ธำตุกลับคืนสู่ร่ำงกำย ส่วนที่เป็นกำกอำหำรจะ
เคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลำยของลำไส้ใหญ่ เพื่อรอขับถ่ำยออกทำงทวำรหนัก หำก
ลำไส้ใหญ่ทำงำนผิดปกติจะทำให้มีอำกำรท้องผูก
27
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
43. 2 หัวใจห้องล่ำงมีกล้ำมเนื้อที่หนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน เนื่องจำกเป็นกล้ำมเนื้อที่
ทำหน้ำที่บีบตัว เพื่อดันเลือดให้ออกจำกหัวใจไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำยและไปยัง
ปอด จึงจำเป็นต้องมีกล้ำมเนื้อที่มีควำมแข็งแรงและหนำ ส่วนหัวใจห้องบน
ทำหน้ำที่รับและเก็บเลือดเพื่อส่งต่อมำยังหัวใจห้องล่ำงเท่ำนั้น ดังนั้น จึงมีกล้ำมเนื้อ
ไม่หนำมำกนัก
44. 2 เนื่องจำกแก๊สออกซิเจนในน้ำมีปริมำณน้อยกว่ำในอำกำศ กำรที่เหงือกของปลำมี
ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่ำงน้ำกับเซลล์ของ
เหงือก
45. 4 ในขณะหำยใจเข้ำ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมำตร
ช่องอกมีมำกขึ้น ควำมดันอำกำศลดต่ำลง อำกำศภำยนอกร่ำงกำยจะผ่ำนเข้ำสู่ปอด
ซึ่งหำกเป็นกำรหำยใจออกจะมีลักษณะตรงข้ำมกัน
46. 3 ไตมีหน้ำที่กรองของเสียที่ร่ำงกำยไม่ต้องกำรออกจำกเลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลำย
เป็นน้ำปัสสำวะ แล้ถูกขับออกนอกร่ำงกำย ดังนั้นหำกไตทำงำนผิดปกติ จะทำให้
กำรปัสสำวะเกิดควำมผิดปกติ หรือน้ำปัสสำวะมีองค์ประกอบเปลี่ยนแปลงไป
47. 3 รังไข่มีหน้ำที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมพัฒนำกำรทำงเพศของ
เพศหญิง หำกรังไข่ผิดปกติ จะทำให้มีพัฒนำกำรทำงเพศปกติ
48. 2 แฝดอิน-จัน เกิดจำกแฝดร่วมไข่ ซึ่งกำรที่มีบำงส่วนในร่ำงกำนติดกันอยู่ เนื่องจำก
เมื่อไข่ได้รับกำรผสมแล้วเกิดกำรแบ่งเซลล์จำก 1 เป็น 2 เซลล์ โดยเซลล์ทั้งสอง
แยกตัวจำกกันไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ตัวอ่อนที่เจริญเติบโตนั้นมีบำงส่วนในร่ำงกำย
ติดกันอยู่
49. 4 พฤติกรรม เป็นกำรแสดงออกที่เกิดขึ้นจำกกำรทำงำนร่วมกันของพันธุกรรมและ
สภำพแวดล้อม ซึ่งกำรแสดงพฤติกรรมต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้นล้วนเพื่อกำรอยู่รอด
และดำรงเผ่ำพันธุ์
50. 2 เทคโนโลยีชีวภำพทำให้สำมำรถขยำยพันธุ์สัตว์ได้อย่ำงรวดเร็ว ได้สัตว์ที่มี
คุณสมบัติตรงตำมต้องกำร แต่ยังมีข้อเสีย คือ มีค่ำใช้จ่ำยมำก และต้องใช้ผู้ที่มีควำมรู้
ควำมเชี่ยวชำญ
51. 2 พลังงำนที่ร่ำงกำยต้องกำรจะขึ้นอยู่กับเพศ วัย และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งในกิจกรรม
เดียวกันนั้น เพศชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำเพศหญิง และผู้ที่มีน้ำหนักมำกจะใช้
พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักน้อย
28
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
52. 1 วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังมีกำรเจริญเติบโตทำงร่ำงกำยอย่ำงมำก และต้องใช้พลังงำนมำก
ในกำรทำกิจกรรมต่ำงๆ จึงควรบริโภคอำหำรที่ให้เพลังงำนและช่วยเสริมสร้ำงกำร
เจริญเติบโต ซึ่งได้แก่ อำหำรในกลุ่มคำร์โบไฮเดรตและโปรตีน
53. 4 เด็กในวัยเรียนอำจยังขำดควำมรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรบริโภคอำหำรเพื่อสุขภำพ
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทำนอำหำรที่ตนเองชอบ ไม่รับประทำนอำหำรให้
ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทำให้ร่ำงกำยขำดสำรอำหำรบำงชนิด
54. 3 จำกอำหำรที่กำหนดให้ มีสำรอำหำร ดังนี้
อาหาร สารอาหาร
ขนมครก คำร์โบไฮเดรต ไขมัน
ปำท่องโก๋ คำร์โบไฮเดรต ไขมัน
กล้วยบวชชี คำร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตำมิน
นมถั่วเหลือง โปรตีน
ดังนั้น ควรเลือกรับประทำนกล้วยบวชชี เพรำะมีสำรอำหำรมำกที่สุด
55. 4 กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีที่ให้ผลน่ำเชื่อถือมำกที่สุด คือ กำรตรวจ
เลือดและปัสสำวะ ซึ่งเป็นวิธีกำรตรวจหำสำรเสพติดในร่ำงกำยผู้เสพ
56. 4 ธำตุเป็นสำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน ในทำงเคมีจึงไม่สำมำรถ
แยกสลำยเป็นสำรอื่นได้ซึ่งธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่ำงกัน สำมำรถแบ่งธำตุ
ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ
57. 2 เนื่องจำกสมบัติของสำรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
1. สมบัติทำงกำยภำพ คือ สมบัติที่สังเกตเห็นได้หรือทดลองด้วยวิธีง่ำยๆ ได้เช่น
สี กลิ่น รส จุดเดือด จุดหลอมเหลว สถำนะ กำรนำไฟฟ้ำ ควำมแข็ง เป็นต้น
2. สมบัติทำงเคมี คือ สมบัติที่ทรำบได้เมื่อมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี หรือก็คือ
สมบัติเฉพำะตัวของสำรที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี เช่น ควำมเป็นกรด-เบส
กำรลุกติดไฟ กำรสลำยตัวให้สำรใหม่ เป็นต้น
58. 3 เนื่องจำกโลหะมีสมบัติในกำรนำควำมร้อนได้ดี ช่วยทำให้อำหำรสุกเร็ว ภำชนะ
หุงต้มจึงมักทำจำกโลหะ
59. 2 กำรกลั่นแบบไอน้ำ เป็นวิธีกำรแยกสำรที่เป็นของเหลวระเหยง่ำย (จุดเดือดต่ำ) และ
ไม่ละลำยน้ำ โดยใช้ควำมดันจำกไอน้ำทำให้สำรที่ระเหยง่ำยเดือดกลำยเป็นไอแล้ว
ถูกกลั่นออกมำพร้อมกับน้ำ
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)

More Related Content

What's hot

แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศ
แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศแบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศ
แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศdnavaroj
 
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)dnavaroj
 
บทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำบทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำthanakit553
 
ใบงานพอลิเมอร์
ใบงานพอลิเมอร์ใบงานพอลิเมอร์
ใบงานพอลิเมอร์Jariya Jaiyot
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะKodchaporn Siriket
 
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdnaเฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdnaWan Ngamwongwan
 
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์dnavaroj
 
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)Napadon Yingyongsakul
 
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์Wann Rattiya
 
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdf
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdfแบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdf
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdfssuser2feafc1
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรอง
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรองชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรอง
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรองชลธิกาญจน์ จินาจันทร์
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1Wuttipong Tubkrathok
 
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3Jariya Jaiyot
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน หน่วย พลังงานไฟฟ้า
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน  หน่วย พลังงานไฟฟ้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน  หน่วย พลังงานไฟฟ้า
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน หน่วย พลังงานไฟฟ้าdnavaroj
 
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่นKruNistha Akkho
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2teerachon
 
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบwebsite22556
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองsukanya petin
 

What's hot (20)

ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
 
แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศ
แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศแบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศ
แบบทดสอบ บทที่ 4 ระบบนิเวศ
 
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
 
บทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำบทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำ
 
ใบงานพอลิเมอร์
ใบงานพอลิเมอร์ใบงานพอลิเมอร์
ใบงานพอลิเมอร์
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะ
 
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdnaเฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
 
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
 
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
 
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
 
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdf
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdfแบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdf
แบบทดสอบตามตัวชี้วัด ม.1.doc.pdf
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรอง
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรองชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรอง
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกสาร ชุดที่ 1 การแยกสารด้วยวิธีการกรอง
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
 
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
 
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน หน่วย พลังงานไฟฟ้า
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน  หน่วย พลังงานไฟฟ้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน  หน่วย พลังงานไฟฟ้า
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธฺื๋ทางการเรียน หน่วย พลังงานไฟฟ้า
 
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
 
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 

Similar to 2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)

3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)
3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)
3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)teerachon
 
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)Anawat Supappornchai
 
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)rapinn
 
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52Jamescoolboy
 
0 o net-2549
0 o net-25490 o net-2549
0 o net-2549saiyok07
 
6หลักสูตรวิทยาศาตร์
6หลักสูตรวิทยาศาตร์6หลักสูตรวิทยาศาตร์
6หลักสูตรวิทยาศาตร์sasiton sangangam
 
Copy-of-1.คลื่น (1).pdf
Copy-of-1.คลื่น (1).pdfCopy-of-1.คลื่น (1).pdf
Copy-of-1.คลื่น (1).pdfmatdavitmatseng1
 

Similar to 2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น) (12)

3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)
3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)
3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)
 
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
 
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
 
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
 
0 pat2 53-1
0 pat2 53-10 pat2 53-1
0 pat2 53-1
 
0 o net-2549
0 o net-25490 o net-2549
0 o net-2549
 
6หลักสูตรวิทยาศาตร์
6หลักสูตรวิทยาศาตร์6หลักสูตรวิทยาศาตร์
6หลักสูตรวิทยาศาตร์
 
คลื่นกล
คลื่นกลคลื่นกล
คลื่นกล
 
Copy-of-1.คลื่น (1).pdf
Copy-of-1.คลื่น (1).pdfCopy-of-1.คลื่น (1).pdf
Copy-of-1.คลื่น (1).pdf
 
บทนำ
บทนำบทนำ
บทนำ
 
วิทยาศาสตร์ ปลาย
วิทยาศาสตร์  ปลายวิทยาศาสตร์  ปลาย
วิทยาศาสตร์ ปลาย
 
P01
P01P01
P01
 

2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)

  • 1. 1 ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ กำรดูภำพครั้งแรกควรใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยำยเท่ำใด 1. 10X 2. 20X 3. 40X 4. 100X 2. ส่วนประกอบใดภำยในเซลล์ที่ทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ 1. นิวเคลียส 2. แวคิวโอล 3. คลอโรพลำสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย 3. ออร์แกเนลล์ใดที่พบได้เฉพำะในเซลล์พืช 1. แวคิวโอล กอลจิบอดี 2. ผนังเซลล์ คลอโรพลำสต์ 3. นิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย 4. เยื่อหุ้มเซลล์ ร่ำงแหเอนโดพลำซึม 4. ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีควำมเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร 1. เหมือนกัน คือ เป็นผนังเซลล์ 2. เหมือนกัน คือ เป็นเยื่อหุ้มเซลล์ 3. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีเยื่อหุ้มเซลล์ 4. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีผนังเซลล์ 5. ออร์แกเนลล์คู่ใดมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด 1. ไมโทคอนเดรีย – แวคิวโอล 2. เซนทริโอล – ไมโทคอนเดรีย 3. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – แวคิวโอล 4. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – กอลจิบอดี
  • 2. 2 6. กำรเคลื่อนที่ของสำรในข้อใดถูกต้อง ข้อ กระบวนการแพร่ กระบวนกาออสโมซิส 1. กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ 2. กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก 3. กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ 4. กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก 7. นำลำต้นและรำกพืช 4 ชนิด มำส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่ำ ลำต้นพืชชนิดที่ 1 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวอยู่ทั่วลำต้น ลำต้นพืชชนิดที่ 2 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็นวงรอบลำต้น ลำต้นพืชชนิดที่ 3 มีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ มีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงไซเล็ม ลำต้นพืชชนิดที่ 4 มีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉกออกจำกกึ่งกลำงรำก โดยโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก อยำกทรำบว่ำพืชชนิดใดเป็นพืชประเภทเดียวกัน 1. พืชชนิดที่ 1 และ 3 2. พืชชนิดที่ 1 และ 4 3. พืชชนิดที่ 2 และ 3 4. พืชชนิดที่ 3 และ 4 8. น้ำและแร่ธำตุลำเลียงเข้ำสู่รำกพืชด้วยกระบวนกำรใด 1. ลำเลียงโดยกำรแพร่ทั้งคู่ 2. ลำเลียงโดยกำรออสโมซิสทั้งคู่ 3. น้ำลำเลียงโดยกำรแพร่ ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรออสโมซิส 4. น้ำลำเลียงโดยกำรออสโมซิส ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรแพร่ 9. จำกสมกำรดังนี้ คำร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ แสง คลอโรฟิลล์ น้ำตำล + A + น้ำ A คือสำรใด 1. กลูโคส 2. ออกซิเจน 3. คลอโรฟิลล์ 4. คำร์บอนไดออกไซด์
  • 3. 3 10. กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงมีควำมสำคัญต่อพืชอย่ำงไร 1. ทำให้พืชมีอำกำศหำยใจ 2. ทำให้พืชสร้ำงอำหำรได้ 3. ทำให้พืชสำมำรถสืบพันธุ์ได้ 4. ช่วยระบำยควำมร้อนออกจำกต้นพืช 11. โครงสร้ำงใดที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ 1. ใบ 2. ผล 3. ดอก 4. ลำต้น 12. กำรปฏิสนธิของพืชเกิดขึ้นเมื่อใด 1. เมล็ดเริ่มงอกเป็นต้น 2. กลีบดอกเริ่มบำนออก 3. ละอองเรณูตกบนยอดเกสรเพศเมีย 4. นิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่ 13. ดอกทำนตะวันจะหันไปตำมดวงอำทิตย์ตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำใด 1. แสง 2. อุณหภูมิ 3. ดวงอำทิตย์ 4. แก๊สออกซิเจน 14. กำรตอบสนองในข้อใดเป็นกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำชนิดเดียวกัน 1. กำรงอกของรำกต้นถั่ว-กำรจำศีลของหมี 2. กำรบำนของดอกคุณนำยตื่นสำย-กำรบินกลับรังของนก 3. กำรหุบใบของต้นกำบหอยแครง-กำรลงไปแช่ในแอ่งน้ำของควำย 4. กำรลดรูปใบไปเป็นหนำมของต้นตะบองเพชร-กำรพองตัวของอึ่งอ่ำง 15. กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหมำะสำหรับนำมำใช้ขยำยพันธุ์พืชชนิดใด พืช A เป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจำกประเทศไทย พืช B เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีอำกำศร้อนชื้น พืช C เป็นพืชที่ถูกรบกวนโดยแมลงศัตรูพืชและวัชพืชได้ง่ำย พืช D เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งทุกปีจะมีกำรส่งออกจำนวนมำก 1. พืช A เท่ำนั้น 2. พืช B เท่ำนั้น 3. พืช A B และ D 4. พืช A C และ D
  • 4. 4 16. กำรจำแนกสำรโดยใช้ขนำดของอนุภำคเป็นเกณฑ์เหมำะกับกำรจำแนกสำรในข้อใดมำกที่สุด 1. กำว โฟม เยลลี 2. เหล็ก ปรอท คลอรีน 3. น้ำนม น้ำส้มสำยชู น้ำคลอง 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม แอลกอฮอล์ล้ำงแผล 17. ข้อใดระบุตัวทำละลำยละตัวละลำยได้ถูกต้อง ข้อ สารละลาย ตัวทาละลาย ตัวละลาย 1. น้ำส้มสำยชู เอทำนอล กรดแอซีติก 2. น้ำเกลือ เกลือแกง น้ำ 3. น้ำเชื่อม น้ำ น้ำตำลทรำย 4. แอลกอฮอล์ล้ำงแผล น้ำ แอลกอฮอล์ 18. สำรในข้อใดต่ำงไปจำกสำรอื่นๆ 1. นำก 2. ทอง 3. อำกำศ 4. น้ำเกลือ 19. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวถูกต้อง 1. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำนม คือ เคซีน 2. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำมันพืช 3. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำส้มสำยชู 4. อิมัลซิไฟเออร์ในกำรชำระล้ำงสิ่งสกปรก คือ ไขมัน 20. สำรในข้อใดมีสมบัติควำมเป็นกรด-เบสเหมือนกัน 1. ผงฟู ผงซักฟอก เกลือแกง 2. เบียร์ น้ำปูนใส น้ำตำลทรำย 3. น้ำยำเช็ดกระจก ผงชูรส ยำสระผม 4. น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ น้ำส้มสำยชู 21. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแรง 1. แรงทำให้วัตถุหยุดนิ่ง 2. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนสถำนะ 3. แรงทำให้วัตถุเกิดกำรเคลื่อนที่ 4. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง
  • 5. 5 22. ข้อใดระบุชนิดของแรงที่ใช้ทำกิจกรรมได้ถูกต้อง 1. ตักน้ำ-แรงดัน 2. ปำเป้ำ-แรงบิด 3. นวดแป้ง-แรงกด 4. โยนลูกบอล-แรงดึง 23. เด็กคนหนึ่งเดินทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนด้วยอัตรำเร็ว 2 เมตรต่อวินำที โดยใช้เวลำ 60 วินำที ดังนั้น ระยะทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนมีค่ำเท่ำใด 1. 30 เมตร 2. 60 เมตร 3. 90 เมตร 4. 120 เมตร 24. กำรคำนวณหำค่ำควำมเร็ว หำกระยะทำงมีหน่วยเป็นกิโลเมตร เวลำควรมีหน่วยเป็นอะไร 1. วินำที 2. นำที 3. ชั่วโมง 4. วัน 25. กำรคำนวณหำค่ำอัตรำเร็วในกำรเคลื่อนที่จำเป็นต้องทรำบค่ำของปริมำณใดบ้ำง 1. ระยะทำง เวลำ 2. ระยะทำง กำรกระจัด 3. ควำมเร็ว ระยะทำง 4. ควำมเร่ง ระยะทำง 26. อุณหภูมิ 30 องศำเซลเซียสมีค่ำกี่องศำฟำเรนไฮด์ 1. 26 2. 46 3. 66 4. 86 27. ตัวกลำงในข้อใดพำควำมร้อนได้ดีที่สุด 1. น้ำ 2. เงิน 3. เหล็ก 4. อำกำศ 28. “เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ” ลักษณะดังกล่ำวนี้เป็น กำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนแบบใด 1. กำรนำควำมร้อน 2. กำรพำควำมร้อน 3. กำรแผ่รังสีควำมร้อน 4. กำรดูดกลืนควำมร้อน 29. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรดูดกลืนและกำรคำยควำมร้อน 1. เสื้อสีดำจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำเสื้อสีขำว 2. ผงเหล็กจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำแผ่นเหล็ก 3. น้ำเย็นจะดูดกลืนควำมร้อนได้ช้ำกว่ำน้ำร้อน 4. ลูกกอล์ฟจะดูดควำมร้อนได้ช้ำกว่ำลูกปิงปอง
  • 6. 6 30. ข้อใดเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ ก. กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติก ข. กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำว ค. กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดด 1. ข้อ ก. เท่ำนั้น 2. ข้อ ค. เท่ำนั้น 3. ข้อ ก. และ ข. 4. ข้อ ข. และ ค. 31. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของบรรยำกำศ 1. ช่วยดูดซับรังสีอัลตรำไวโอเลต 2. ช่วยป้ องกันอันตรำยจำกสะเก็ดดำว 3. ช่วยให้โลกไม่ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน 4. ช่วยให้โลกเย็นลงอย่ำงรวดเร็วในเวลำกลำงคืน 32. ในบริเวณใดที่มีอุณหภูมิของอำกำศสูงที่สุด 1. บนยอดดอยในเวลำ 06.00 น. 2. บริเวณริมทะเลในเวลำ 18.00 น. 3. บริเวณทะเลทรำยในเวลำ 15.00 น. 4. บริเวณป่ำไม้หนำทึบในเวลำ 10.00 น. 33. บริเวณใดจะมีควำมชื้นของอำกำศมำกที่สุด 1. บริเวณที่มีไอน้ำน้อย 2. บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง 3. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้มำก 4. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย 34. บริเวณใดน่ำจะมีควำมกดอำกำศต่ำที่สุด 1. บริเวณยอดภูเขำ 2. บริเวณทะเลทรำย 3. บริเวณใต้ท้องทะเล 4. บริเวณที่รำบลุ่มแม่น้ำ 35. ควำมสัมพันธ์ของคำมชื้นสัมพัทธ์กับกิจกรรมต่ำงๆในชีวิตประจำวันในข้อใดถูกต้อง 1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ อำกำศจะอบอ้ำว 2. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เสื้อผ้ำจะแห้งช้ำ 3. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง เสื้อผ้ำจะแห้งเร็ว 4. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง จะรู้สึกเหนียวตัว
  • 7. 7 36. ข้อใดอธิบำยเกี่ยวกับหยำดน้ำฟ้ำได้ถูกต้องที่สุด 1. หมอกจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำชนิดหนึ่ง 2. ลูกเห็บจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ ส่วนหิมะไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ 3. ฝนและน้ำค้ำงจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำที่มีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกัน 4. หยำดน้ำฟ้ำเป็นไอน้ำในบรรยำกำศที่เกิดกำรควบแน่นแล้วตกลงมำสู่พื้นโลก 37. ปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อกำรเกิดลมมำกที่สุด 1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ 2. ปริมำณไอน้ำในอำกำศ 3. ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ 4. ระดับควำมสูง-ต่ำของพื้นที่ 38. ข้อใดบอกลักษณะและกำรใช้ประโยชน์ของเครื่องมือที่ใช้วัดเกี่ยวกับลมได้ถูกต้องที่สุด ข้อ อุปกรณ์ ลักษณะ การใช้ประโยชน์ 1. ศรลม เป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่กว่ำหัวลูกศร วัดควำมเร็วลม 2. มำตรควำมเร็วลม เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน ตรวจสอบทิศทำงลม 3. แอนีมอมิเตอร์ เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน วัดควำมเร็วลม 4. แอโรเวน มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก ตรวจสอบทิศทำงลม และวัดควำมเร็วลม 39. ข้อมูลเกี่ยวกับกำรพยำกรณ์อำกำศ มีดังนี้ ก. แผนที่อำกำศนำมำช่วยในกำรพยำกรณ์อำกำศ ข. กำรพยำกรณ์อำกำศช่วยให้กำรคมนำคมทำงทะเลและทำงอำกำศปลอดภัยยิ่งขึ้น ค. กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรทำนำยสภำพอำกำศที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ จำกข้อมูลที่กำหนดให้มีข้อมูลที่ถูกต้องกี่ข้อ 1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ 3. 3 ข้อ 4. ไม่มีข้อถูก 40. ข้อใดไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน 1. กำรเข้ำร่วมโครงกำรปลูกป่ำทดแทน 2. กำรลดปริมำณขยะโดยกำรมำนำมำใช้ซ้ำ 3. กำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรผลิตไฟฟ้ำ 4. กำรใช้ถุงพลำสติกจำกร้ำนค้ำแค่เพียงใบเดียว
  • 8. 8 41. หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์ผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 1. ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ 2. ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ำย 3. ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ 4. ร่ำงกำยจะปรับตัวได้จึงไม่มีผลแต่อย่ำงใด 42. อำกำรท้องผูกเกิดจำกกำรทำงำนผิดปกติของอวัยวะใด 1. ลำไส้เล็ก 2. ลำไส้ใหญ่ 3. ทวำรหนัก 4. กระเพำะอำหำร 43. เพรำะเหตุใดกล้ำมเนื้อหัวใจห้องล่ำงจึงหนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน 1. หัวใจห้องล่ำงต้องรับเลือดจำกส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย 2. หัวใจห้องล่ำงต้องบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย 3. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีควำมดันสูงกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน 4. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีปริมำณมำกกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน 44. กำรที่เหงือกของปลำมีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ มีผลต่อระบบหำยใจอย่ำงไร 1. ช่วยให้น้ำซึมผ่ำนได้ดี 2. ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊ส 3. ช่วยให้ดูดซึมแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ได้ดี 4. ช่วยให้ปลำไม่ต้องขึ้นมำหำยใจเหนือน้ำบ่อยๆ 45. ในขณะที่เรำหำยใจเข้ำ ข้อใดกล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกะบังลมกับกระดูกซี่โครงได้ถูกต้อง 1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง 2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง 4. กะบังลมเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 46. หำกไตทำงำนผิดปกติ จะสำมำรถสังเกตได้จำกสิ่งใด 1. เหงื่อ 2. อุจจำระ 3. ปัสสำวะ 4. ลมหำยใจออก 47. หำกเด็กหญิงคนหนึ่งมีรังไข่ผิดปกติ จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 1. ร่ำงกำยไม่เจริญเติบโต 2. มีลักษณะเหมือนผู้ชำย 3. พัฒนำกำรทำงเพศผิดปกติ 4. ทำให้เกิดโรคมะเร็งในรังไข่
  • 9. 9 48. แฝดอิน – จัน แฝดสยำมคู่แรกของโลก เป็นกำรเกิดแฝดในกรณีใด 1. แฝดต่ำงไข่ 2. แฝดร่วมไข่ 3. อำจเป็นแฝดต่ำงไข่ หรือแฝดร่วมไข่ 4. เป็นแฝดที่เกิดจำกวิธีกำรทำงกำรแพทย์ 49. เพรำะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงมีกำรแสดงพฤติกรรม 1. เพื่อปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม 2. เพื่อแสดงออกถึงควำมต้องกำร 3. เพื่อตอบสนองต่อสังคมที่อำศัยอยู่ 4. เพื่อควำมอยู่รอดและดำรงเผ่ำพันธุ์ 50. เทคโนโลยีชีวภำพมีประโยชน์อย่ำงไร 1. ช่วยประหยัดต้นทุนกำรผลิตสัตว์ 2. ช่วยทำให้ได้สัตว์สำยพันธุ์ตำมต้องกำร 3. ลดระยะเวลำในกำรเจริญเติบโตของสัตว์ 4. สำมำรถทำได้ง่ำย โดยไม่ต้องใช้ควำมเชี่ยวชำญ 51. ข้อควำมใดที่กล่ำวเกี่ยวกับกำรใช้พลังงำนจำกสำรอำหำรได้ถูกต้องที่สุด 1. ขณะนอนหลับร่ำงกำยจะไม่ใช้พลังงำนที่ได้จำกสำรอำหำร 2. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชำยจะใช้พลังงำนต่ำงกัน 3. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักมำก 4. ขณะเล่นกีฬำผู้ชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้หญิง แต่ในขณะทำงำนเบำๆ ผู้หญิงจะใช้พลังงำน มำกกว่ำผู้ชำย 52. เพื่อส่งเสริมให้ร่ำงกำยเจริญเติบโตอย่ำงสมวัย วัยรุ่นควรรับประทำนอำหำรชนิดใดมำกที่สุด 1. ข้ำว เนื้อสัตว์ 2. เนย ผักใบเขียว 3. ไข่ มะเขือเทศ 4. น้ำมันพืช ถั่วเหลือง 53. ข้อใดเป็นสำเหตุสำคัญที่สุด ที่ทำให้เด็กในวัยเรียนรับประทำนอำหำรไม่ครบ 5 หมู่ 1. กำรรับประทำนอำหำรนอกบ้ำน 2. กำรรับประทำนอำหำรไม่เป็นเวลำ 3. กำรรับประทำนอำหำรไม่อิ่มเพรำะเร่งรีบ 4. กำรเลือกรับประทำนอำหำรเฉพำะที่ตนเองชอบ
  • 10. 10 54. นักเรียนควรเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใดต่อไปนี้ จึงจะให้คุณค่ำทำงอำหำรดีที่สุด หำกอำหำร ทั้งหมดนี้มีรำคำเท่ำกัน 1. ขนมครก 2. ปำท่องโก๋ 3. กล้วยบวชชี 4. นมถั่วเหลือง 55. กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีใดที่ให้ผลแน่นอนที่สุด 1. สังเกตจำกบุคคลใกล้ชิด 2. สังเกตจำกพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป 3. สังเกตจำกสุขภำพร่ำงกำยของผู้เสพ 4. สังเกตจำกผลกำรตรวจเลือดและปัสสำวะ 56. ข้อใดกล่ำวถึงธำตุได้ถูกต้อง 1. ธำตุทุกชนิดสำมำรถนำไฟฟ้ำ 2. ธำตุแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โลหะ และอโลหะ 3. โซเดียมคลอไรด์และโพแทสเซียมออกไซด์เป็นธำตุ 4. ไม่สำมำรถทำให้ธำตุแตกตัวเป็นสำรเดี่ยวหลำยชนิดได้ 57. ข้อใดเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร 1. สี กำรลุกติดไฟ 2. สถำนะ จุดเดือด 3. กลิ่น ควำมเป็นกรด-เบส 4. จุดหลอมเหลว กำรสลำยตัว 58. เพรำะเหตุใดภำชนะหุงต้มที่ใช้ประกอบอำหำรจึงทำด้วยโลหะ 1. มีผิวมันวำว 2. นำไฟฟ้ำได้ดี 3. นำควำมร้อนได้ดี 4. ตีแผ่เป็นรูปทรงต่ำงๆ ได้ง่ำย 59. สำรที่เหมำะสมจะนำมำแยกโดยกำรกลั่นแบบไอน้ำ ควรมีสมบัติตำมข้อใด 1. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดสูง 2. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดต่ำ 3. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดสูง 4. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดต่ำ
  • 11. 11 60. กำรแยกสำรบริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟีอำศัยหลักกำรใด 1. ควำมแตกต่ำงของกำรถูกดูดซับ 2. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำย 3. ควำมแตกต่ำงของสำรที่ใช้เป็นตัวทำละลำย 4. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำยและกำรถูกดูดซับ 61. จำกกำรนำสำร 2 ชนิด มำผสมกัน ดังตำรำงที่กำหนดให้ ข้อใดเป็นปฏิกิริยำดูควำมร้อน ข้อ สารที่ผสม อุณหภูมิของสาร (o C) ก่อนผสม หลังผสม 1. A+B 27 28 2. C+D 29 29 3. E+F 29 28 4. G+H 26 25 62. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ก. เติมตัวเร่งปฏิกิริยำ ข. ให้ควำมร้อนแก่ปฏิกิริยำ ค. บดหรือหั่นสำรตั้งต้นให้มีขนำดเล็กลง ง. เพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่น จ. เลือกสำรตั้งต้นที่มีคุณสมบัติเหมำะสมในกำรใช้งำน ข้อใดเป็นกำรเร่งอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. ก. ข. ค. 2. ก. ข. จ. 3. ก. ข. ค. ง. 4. ก. ข. ค. จ. 63. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้เร็ว 2. กำรเพิ่มพื้นที่ผิวของสำร จะช่วยให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดช้ำลง 3. สำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นมำก จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็ว 4. สมบัติของสำรตั้งต้นที่เป็นสำรไวไฟ จะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึ้น
  • 12. 12 64. จำกข้อควำมที่กำหนดให้ต่อไปนี้ ก. ฝนกรด ข. กำรเกิดหินงอกหินย้อย ค. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ง. น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์ ข้อใดเป็นผลกระทบของปฏิกิริยำเคมีที่เป็นอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 1. ก. ข. 2. ข. ค. 3. ก. ข. ค. 4. ก. ค. ง. 65. จำกข้อควำมที่กำหดให้ต่อไปนี้ ก. สำรสังเครำะห์สำมำรถเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติได้ ข. สำรสังเครำะห์ คือ กำรลอกเลียนแบบสำรจำกธรรมชำติ ค. สำรสังเครำะห์มีประสิทธิภำพมำกกว่ำสำรจำกธรรมชำติ ง. สำรจำกธรรมชำติมีพิษหรืออันตรำยมำกกว่ำสำรสังเครำะห์ ข้อใดกล่ำวถึงสำรสังเครำะห์ได้ถูกต้อง 1. ก. ข. 2. ข. ค. 3. ก. ค. 4. ก. ง. 66. แรงเป็นปริมำณที่มีลักษณะตำมข้อใด 1. มีแต่ขนำด 2. มีแต่ทิศทำง 3. มีทั้งขนำดและทิศทำง 4. มีขนำดในบำงทิศทำงเท่ำนั้น 67. ถ้ำแรง F1 มีขนำด 6 นิวตัน และแรง F2 มีขนำด 3 นิวตัน แรงลัพธ์ของแรงทั้งสองมีขนำด 9 นิวตัน แสดงว่ำทั้งสองมีทิศทำงอย่ำงไร 1. มีทิศตั้งฉำกกัน 2. มีทิศตรงข้ำมกัน 3. มีทิศไปทำงเดียวกัน 4. แรง F1 มีทิศขึ้น ส่วนแรง F2 มีทิศลง
  • 13. 13 68. พิจำรณำภำพด้ำนล่ำงแล้วตอบคำถำม จำกภำพ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกล่องมีขนำดเท่ำใด และกล่องจะเคลื่อนที่ไปในทิศทำงใด 1. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 0 นิวตัน กล่องไม่เคลื่อนที่ 2. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 5 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ 3. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 10 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย 4. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 15 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ 69. จงพิจำรณำภำพต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม A B O P a d b c ข้อใดคือรังสีตกกระทบ 1. OP 2. AO 3. BO 4. AB 70. กำรสะท้อนกลับหมดจะสำมำรถเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทำงตำมข้อใด 1. จำกน้ำไปแก้ว 2. จำกแก้วไปน้ำ 3. จำกอำกำศไปน้ำ 4. จำกอำกำศไปแก้ว 71. คนที่ใส่แว่นสำยตำยำว จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด 1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส 2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส 3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำในระยะมำกกว่ำจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง 4. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส แต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส
  • 14. 14 72. จำกภำพในข้อใด จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ 1. C F 2. C F 3. C F 4. C F 73. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับตำขำว ก. ตำขำวมีหน้ำที่ช่วยรักษำสมดุลของแสงที่เข้ำสู่จอตำ ข. ตำขำวมีหน้ำที่รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำ ค. ตำขำวมีสีขำว เป็นชั้นบำงๆ ที่เคลือบลูกตำเอำไว้ซึ่งมีควำมเหนียวและแข็งแรง 1. ก. 2. ข. 3. ค. 4. ทั้ง ก. และ ข. 74. ภำพที่ตกบนจอตำของมนุษย์เป็นภำพที่มีลักษณะอย่ำงไร 1. ภำพจริงหัวตั้ง 2. ภำพจริงหัวกลับ 3. ภำพเสมือนหัวตั้ง 4. ภำพเสมือนหัวกลับ 75. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก 1. โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้ นคล้ำยลูกมะนำว ที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเท่ำกันทั้งโลก 2. โลกประกอบด้วยเปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก ซึ่งเนื้อโลกจะมีควำมเย็นมำกกว่ำแก่นโลก 3. โลกเกิดขึ้น เมื่อ 4,600 ล้ำนปีก่อน โดยในช่วงแรกจะยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ซึ่งมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 0.003 ล้ำนปีก่อน 4. โลกถูกแบ่งโครงสร้ำงจำกชั้นบรรยำกำศสู่แก่นโลก ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลกชั้นนอก เนื้อโลก ชั้นใน แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นในตำมลำดับ 76. โครงสร้ำงของโลกส่วนใดมีควำมหนำมำกที่สุด 1. เนื้อโลก 2. แก่นโลก 3. เปลือกโลกชั้นใน 4. เปลือกโลกชั้นนอก
  • 15. 15 77. ดินชั้นบนและดินชั้นล่ำงมีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร 1. ดินชั้นบนมีสีจำงกว่ำดินชั้นล่ำง 2. ดินชั้นบนมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง 3. ดินชั้นบนมีควำมพรุนน้อยกว่ำดินชั้นล่ำง 4. ดินชั้นบนมีขนำดเม็ดดินใหญ่กว่ำดินชั้นล่ำง 78. ปัจจัยใดที่มีผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร 1. กำรหลอมละลำย 2. ควำมร้อนและควำมดัน 3. กำรสะสมและกำรทับถม 4. ควำมแค้นและควำมเครียด 79. ข้อใดไม่ใช่สมบัติทำงกำยภำพของแร่ 1. สี สีผง 2. รูปผลึก ควำมวำว 3. สีเปลวไฟ แสงเรือง 4. ควำมแข็ง ควำมถ่วงจำเพำะ 80. ข้อใดเป็นควำมหมำยของคำว่ำ “ทรัพยำกรธรรมชำติ” 1. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ 2. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ หรือบำงส่วนที่มนุษย์สร้ำงขึ้น 3. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ แต่มนุษย์ไม่สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ 4. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทำงตรงและทำงอ้อม 81. กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึงข้อใด 1. พันธุกรรม 2. พันธุศำสตร์ 3. พันธุวิศวกรรม 4. โรคทำงพันธุกรรม 82. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทำงพันธุกรรม 1. สีผิว 2. ลักยิ้ม 3. ชั้นตำ 4. แผลเป็น 83. เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ จะพบโครงสร้ำงใด 1. โครมำทิด 2. โครมำทิน 3. โครโมโซม 4. เซนโทรเมียร์
  • 16. 16 84. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโครโมโซมของมนุษย์ 1. เป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 2. เป็นออโตโซม 23 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 3. เป็นออโตโซม 45 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 4. เป็นออโตโซม 46 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 85. กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ จัดเป็นควำมหลำกหลำยทำงใด 1. ควำมหลำกหลำยทำงกำยภำพ 2. ควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์ 3. ควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม 4. ควำมหลำกหลำยทำงระบบนิเวศ 86. มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำอะไร 1. Homo sapiens 2. Homo erectus 3. Homo sapiens idaltu 4. Homo neanderthalensis 87. กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตตำมแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นกี่อำณำจักร 1. 4 อำณำจักร 2. 5 อำณำจักร 3. 6 อำณำจักร 4. 7 อำณำจักร 88. แพรวำจัดสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ฟองน้ำ แมงกะพรุน หอย และหมึก 2) ปลำหำงนกยูง โลมำ ไก่ และสุนัข แพรวำใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ในกำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต 1. แหล่งที่อยู่ 2. แหล่งกำเนิด 3. ลักษณะลำตัว 4. กระดูกสันหลัง 89. ระบบนิเวศประกอบด้วยโครงสร้ำงใดบ้ำง 1. กลุ่มสิ่งมีชีวิตเพียงอย่ำงเดียว 2. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และแหล่งที่อยู่ 3. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม 4. กลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม
  • 17. 17 90. สิ่งมีชีวิตในข้อใดแสดงบทบำทต่ำงจำกสิ่งมีชีวิตในข้ออื่น 1. มอส 2. ชวนชม 3. เห็ดนำงฟ้ำ 4. สำหร่ำยหำงกระรอก 91. “ไลเคน” เป็นกำรอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีควำมสัมพันธ์กันแบบใด 1. ภำวะแข่งขัน 2. ภำวะล่ำเหยื่อ 3. ภำวะอิงอำศัย 4. ภำวะพึ่งพำกัน 92. “หนอน นก หญ้ำ งู” พบในระบบนิเวศแห่งหนึ่ง จะเขียนควำมสัมพันธ์ในรูปโซ่อำหำรได้อย่ำงไร 1. หญ้ำ หนอน งู นก 2. หญ้ำ หนอน นก งู 3. หญ้ำ นก หนอน งู 4. หญ้ำ งู นก หนอน 93. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน 1. กำรคำยน้ำของพืช 2. กำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต 3. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช 4. กำรย่อยสลำยซำกพืช ซำกสัตว์ 94. วัฏจักรสำรใดที่จะเกิดขึ้นได้สมบูรณ์ต้องอำศัยจุลินทรีย์ 1. น้ำ 2. คำร์บอน 3. ไนโตรเจน 4. ฟอสฟอรัส 95. ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร 1. อัตรำกำรเกิดเท่ำนั้น 2. อัตรำกำรตำยเท่ำนั้น 3. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย และอัตรำกำรอพยพเข้ำ 4. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก 96. ระบบนิเวศที่สมดุลหมำยถึงข้อใด 1. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตหลำกหลำยชนิดมำอยู่รวมกัน 2. บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตจำนวนเท่ำๆ กัน 3. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอำศัยอยู่ และมีควำมสัมพันธ์กันในลักษณะต่ำงๆ 4. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่ เหมำะสม
  • 18. 18 97. ข้อใดอธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ “สิ่งแวดล้อม” ได้ถูกต้องที่สุด 1. สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ 2. สิ่งต่ำงๆ ที่มีควำมเหมำะสมต่อมนุษย์ 3. ทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกและสภำพแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่ำไม้ดิน น้ำ อำกำศ 4. ทุกสิ่งทุกอย่ำงที่อยู่รอบตัวเรำทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติและที่ มนุษย์สร้ำงขึ้น 98. สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด 1. กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร 2. กำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ 3. ภัยธรรมชำติและอุบัติเหตุ 4. ควำมเจริญทำงด้ำนเทคโนโลยี 99. ตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด 1. มนุษย์ 2. นักกำรเมือง 3. ภัยธรรมชำติ 4. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี 100. กำรแก้ปัญหำสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดคือข้อใด 1. กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 2. ลดปริมำณกำรใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 3. ให้กำรศึกษำด้ำนสิ่งแวดล้อมแก่ประชำชน 4. กำหนดบทลงโทษอย่ำงจริงจังเกี่ยวกับกำรทำลำยสิ่งแวดล้อม 101. แรงโน้มถ่วงของโลกบริเวณใดมีค่ำมำกที่สุด 1. ที่ระดับน้ำทะเลสูงสุด 2. ที่ระดับน้ำทะเลปำนกลำง 3. ที่ระดับควำมสูง 50 เมตร 4. ที่ระดับควำมสูง 100 เมตร 102. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน 1. แรงลอยตัวเป็นแรงคู่กิริยำปฏิกิริยำกับแรงโน้มถ่วงของโลก 2. เมื่อไม่มีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว 3. เมื่อมีแรงคงที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว 4. แรงปฏิกิริยำจะมีทิศทำงตรงกันข้ำมกับแรงกิริยำ ซึ่งกระทำต่อวัตถุก้อนเดียวกัน
  • 19. 19 103. แรงลอยตัวของของเหลวจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด 1. ปริมำตรของของเหลว 2. ควำมหนำแน่นของของเหลว 3. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่จมในของเหลว 4. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่ลอยในของเหลว 104. คำนเบำที่มีควำมยำวสม่ำเสมอ 0.60 เมตร ปลำยด้ำนหนึ่งปักติดอยู่กับกำแพง ส่วนปลำยอีกด้ำนแขวน วัตถุมวล 9 กิโลกรัม จงหำโมเมนต์ของแรงที่กระทำต่อคำนดังกล่ำว 1. 0.54 นิตันเมตร 2. 5.40 นิตันเมตร 3. 5.04 นิตันเมตร 4. 54.0 นิตันเมตร 105. นำย ก ออกแรง 50 นิวตัน เข็นรถให้เคลื่อนที่เป็นระยะทำง 1 เมตร จงหำงำนที่นำย ก. ใช้ในกำรเข็นรถ 1. 20 นิวตันเมตร 2. 30 นิวตันเมตร 3. 40 นิวตันเมตร 4. 50 นิวตันเมตร 106. นำย ก ขับรถขึ้นภูเขำ 50 กิโลเมตร เมื่อถึงยอดเขำจึงปล่อยให้รถไถลลงมำถึงเชิงเขำ ข้อใดสำมำรถ อธิบำยกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของรถยนต์คันนี้ได้ถูกต้องที่สุด 1. พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์ 2. พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์ 3. พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์ 4. พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์ พลังงำนจลน์ 107. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1 ตัน แล่นด้วยควำมเร็ว 10 เมตรต่อวินำที จงหำพลังงำนจลน์ของรถยนต์คันนี้ 1. 10,000 จูล 2. 30,000 จูล 3. 50,000 จูล 4. 100,000 จูล 108. ข้อใดแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงำนและพลังงำน 1. งำน = พลังงำนศักย์– พลังงำนจลน์ 2. งำน = พลังงำนจลน์ + พลังงำนศักย์ 3. งำน = ผลบวกของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป 4. งำน = ผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป 109. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ 1. ไหลจำกที่สูงลงสู่ที่ต่ำ 2. ไหลจำกขั้วลบไปยังขั้วบวก 3. ไหลจำกแรงดันต่ำไปยังแรงดันสูง 4. ไหลจำกศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังศักย์ไฟฟ้ำต่ำ
  • 20. 20 110. หลอดไฟฟ้ำ 220 V 80 W ถ้ำใช้นำน 20 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำกี่ยูนิต 1. 0.8 ยูนิต 2. 1.6 ยูนิต 3. 2.4 ยูนิต 4. 3.2 ยูนิต 111. วงจรไฟฟ้ำวงจรหนึ่งมีควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 12 กิโลโอห์ม มีกระแสไฟฟ้ำ 30 มิลลิแอมแปร์ จงคำนวณหำค่ำควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 1. 36 มิลลิโวลต์ 2. 36 กิโลโวลต์ 3. 0.36 มิลลิโวลด์ 4. 360 โวลต์ 112. ข้อใดกล่ำวถึงกฎของโอห์มได้ถูกต้อง 1. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 2. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 3. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 4. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 113. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1. อุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้ำ 2. อุปกรณ์ที่ควบคุมกำรไหลของประจุ 3. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน 4. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ 114. ตัวต้ำนทำนดังกล่ำวมีค่ำควำมต้ำนทำนกี่กิโลโอห์ม 1. 10 2. 100 3. 1,000 4. 10,000 115. อุปกรณ์ใดเป็นกำรใช้ประโยชน์จำกไดโอดเปล่งแสง 1. พัดลมไฟฟ้ำ 2. จอโทรทัศน์แอลซีดี 3. หน้ำจอคอมพิวเตอร์ 4. หลอดฟลูออเรสเซนต์
  • 21. 21 116. อุปกรณ์ใดมีกำรใช้ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้ 1. ตู้เย็น 2. สวิตช์หรี่ไฟ 3. โทรศัพท์มือถือ 4. จอโทรทัศน์แอลอีดี 117. ดำวเครำะห์ดวงใดมีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ 1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์ 3. ดำวพลูโต 4. ดำวอังคำร 118. นักวิทยำศำสตร์ทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกสิ่งใด 1. ดำวหำง 2. ดวงอำทิตย์ 3. ดำวเครำะห์บำงดวง 4. อุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก 119. สีของดำวฤกษ์ในข้อใดมีอุณหภูมิสูงที่สุด 1. แดง 2. ขำว 3. เหลือง 4. ส้มแดง 120. กำรใช้กล้องโทรทรรศน์ติดตั้งบนโลก ส่องดูดำวบนท้องฟ้ำจะรับได้เพียงคลื่นไมโครเวฟ และแสงสี ที่มองเห็นได้เท่ำนั้น เพรำะเหตุใด 1. รังสีอื่นๆ จะสะท้อนกลับหมด 2. รังสีอื่นๆ ถูกบรรยำกำศของโลกดูดไว้ 3. กล้องโทรทรรศน์มีสมบัติไม่ดีพอที่จะรับคลื่นอื่นๆ ได้ 4. รังสีจำกดวงดำวมีเพียงคลื่นไมโครเวฟและแสงสีเท่ำนั้น
  • 22. 22 เฉลยข้อสอบ ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 1. 1 กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ ในกำรดูภำพครั้งแรกต้องใช้เลนส์ใกล้วัตถุ ที่มีกำลังขยำยต่ำสุดก่อน ซึ่งเมื่อเห็นภำพแล้วจึงค่อยๆ ปรับให้มีกำลังขยำยสูงขึ้น 2. 4 ออร์แกเนลล์ที่ทำหน้ำที่สร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ คือ ไมโทคอนเดรีย ส่วนนิวเครียส เป็นแหล่งข้อมูลทำงพันธุกรรม คลอโรพลำสต์มีหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำร สังเครำะห์ด้วยแสง และแวคิวโอลทำหน้ำที่ขับถ่ำยของเสียออกจำกเซลล์ 3. 2 ออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์พืชเท่ำนั้น ได้แก่ ผนังเซลล์ และคลอโรพลำสต์ ส่วนออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์สัตว์เท่ำนั้น ได้แก่ เซนทริโอล 4. 3 ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืช คือ ผนังเซลล์ ส่วนของเซลล์สัตว์คือ เยื่อหุ้มเซลล์ 5. 4 ไมโทคอนเดรียทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ แวคิวโอลทำหน้ำที่เป็น ที่เก็บ หลั่ง และถ่ำยเทของเหลวภำยในเซลล์ เซนทริโอลทำหน้ำที่ช่วยในกำร เคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ และช่วยในกำรเคลื่อนที่ของเซลล์ บำงชนิด ร่ำงแหเอนโดพลำซึมทำหน้ำที่สังเครำะห์โปรตีนและเอนไซม์ กอลจิบอดี ทำหน้ำที่เก็บสำรที่ร่ำงแหเอนโดพลำซึมสร้ำงขึ้น ร่ำงแหเอนโดพลำซึมและกอลจิบอดี จึงมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด 6. 2 กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ และกำรเคลื่อนที่ของ แร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรแพร่ เพรำะโมเลกุลของสำรเคลื่อนที่จำก บริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรน้อย ส่วน กำรเคลื่อนที่ของน้ำข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรออสโมซิส เพรำะน้ำเคลื่อนที่ จำกบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมำกไปยังบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำน้อย 7. 1 พืชชนิดที่ 1 และ 3 เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เนื่องจำกลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัว กระจัดกระจำย และที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ ส่วนพืช ชนิดที่ 2 และ 4 เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เนื่องจำกที่ลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็น ระเบียบ ส่วนที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉก โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
  • 23. 23 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 8. 4 กำรลำเลียงน้ำเข้ำสู่รำกพืชจะใช้กระบวนกำรออสโมซิส โดยลำเลียงจำกบริเวณที่มี น้ำมำกไปยังบริเวณที่มีน้ำน้อย ส่วนกำรลำเลียงแร่ธำตุจะใช้กำรแพร่ โดยลำเลียง จำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุ น้อย 9. 2 จำกสมกำรที่กำหนดให้เป็นปฏิกิริยำของกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง ซึ่งจะมี คำร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นสำรตั้งต้น มีแสงและคลอโรฟิลล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ โดยจะได้น้ำตำลกลูโคส ออกซิเจน และน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ ดั้งนั้น A คือ ออกซิเจน 10. 2 กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนกำรสร้ำงอำหำรของพืช ซึ่งอำหำรนั้น จะทำให้พืชเจริญเติบโต และสะสมไว้ตำมเนื้อเยื่อต่ำงๆ ของพืช เมื่อสัตว์มำกินพืช ก็จะได้รับกำรถ่ำยทอดพลังงำนกันไปเป็นทอดๆ ตำมโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร 11. 3 โครงสร้ำงที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ คือ ดอก ซึ่งภำยในจะประกอบ ไปด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย 12. 4 กำรปฏิสนธิของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของ เซลล์ไข่ ซึ่งหลังจำกปฏิสนธิแล้ว กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้จะล่วงหล่นไป รังไข่จะพัฒนำเป็นเปลือกและเนื้อของผล และออวุลจะพัฒนำเป็นเมล็ด 13. 1 กำรที่ดอกทำนตะวันหันไปทำงดวงอำทิตตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนอง ต่อแสง 14. 2 รำกต้นถั่วจะงอกไปตำมทิศทำงของแรงโน้มถ่วง (กำรตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วง) หมีจะจำศีลในช่วงฤดูหนำว (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ดอกคุณนำยตื่นสำยจะบำน เมื่อได้รับแสงแดด (กำรตอบสนองต่อแสง) นกจะบินกลับรังในเวลำพลบค่ำ (กำรตอบสนองต่อแสง) ใบของต้นกำบหอยแครงจะหุบลงเมื่อได้รับกำรสัมผัสจำก แมลง (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)ควำยจะลงไปแช่ในแอ่งน้ำเพื่อระบำยควำมร้อน (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ใบของต้นตะบองเพชรจะลดรูปเป็นหนำม เพื่อป้ องกัน กำรสูญเสียน้ำ (กำรตอบสนองต่อควำมชื้น) อึ่งอ่ำงจะพองตัวเมื่อถูกสัมผัส (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส) 15. 4 กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นกำรขยำยพันธุ์พืชที่นิยมใช้กับพืชที่เป็นพืชเศรษฐกิจ และ พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะทำให้ได้พืชจำนวนมำกในเวลำอัน รวดเร็ว และพืชที่ได้จะทนทำนต่อสภำพแวดล้อม แมลงศัตรูพืช และวัชพืชต่ำงๆ ได้ ดั้งนั้น พืชที่เหมำะสำหรับนำมำเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ พืช A C และ D ส่วนพืช B นั้น สำมำรถเจริญเติบโตได้ในสภำพอำกำศของประเทศไทยอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้อง ขยำยพันธุ์โดยกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
  • 24. 24 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 16. 3 เนื่องจำก ข้อ 1. กำว โฟม และเยลลี เป็นคอลลอยด์ ข้อ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เป็นธำตุ ข้อ 3. น้ำนมเป็นคอลลอยด์ น้ำส้มสำยชูเป็นสำรละลำย และน้ำคลองเป็น สำรแขวนลอย ข้อ 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม และแอลกอฮอล์ล้ำงแผล เป็นสำรละลำย 17. 3 เนื่องจำก - น้ำส้มสำยชู มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีกรดแอซีติกเป็นตัวละลำย - น้ำเกลือ มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีเกลือแกงเป็นตัวละลำย - น้ำเชื่อม มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีน้ำตำลทรำยเป็นตัวละลำย - แอลกอฮอล์ล้ำงแผล มีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลำย และมีน้ำเป็นตัวละลำย 18. 2 ทองเป็นสำรเนื้อเดียวที่เป็นธำตุ ส่วนนำก อำกำศ และน้ำเกลือเป็นสำรเนื้อเดียวที่ เป็นสำรละลำย 19. 1 อิมัลซิไฟเออร์ คือ สำรที่ทำหน้ำที่เป็นตัวประสำนให้อนุภำคของเหลว 2 ชนิดที่ ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน สำมำรถรวมตัวกันได้ในน้ำนมจะมีโปรตีนเคซีนทำหน้ำที่ เป็นอิมัลไฟเออร์ ในน้ำสลัดจะมีไข่แดงทำหน้ำที่เป็นอิมัลไฟเออร์ ส่วนในกำร ชำระล้ำงสิ่งสกปรกจะมีสบู่หรือผงซักฟอกทำหน้ำที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์ 20. 4 ผงฟู ผงซักฟอก น้ำปูนใส น้ำยำเช็ดกระจก และยำสระผม มีสมบัติเป็นเบส เบียร์ น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ และน้ำส้มสำยชู มีสมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือแกง น้ำตำลทรำย และผงชูรส มีสมบัติเป็นกลำง 21. 2 แรงจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนรูปร่ำงได้แต่แรงไม่สำมำรถทำให้ วัตถุเปลี่ยนสถำนะได้ 22. 3 กำรตักน้ำต้องใช้แรงดึง กำรปำเป้ ำต้องใช้แรงดัน กำรนวดแป้ งต้องใช้แรงกดและ แรงบีบ ส่วนกำรโยนลูกบอลต้องใช้แรงดัน 23. 4 จำกสูตร อัตรำเร็ว = ระยะทำง เวลำ แทนค่ำ 2 m/s = ระยะทำง เวลำ ระยะทำง = 2 m/s x 60 s = 120 m 24. 3 ควำมเร็วมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินำที (m/s) หรือกิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)
  • 25. 25 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 25. 1 อัตรำเร็ว คือ ระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลำ ดังนั้น หำกต้องกำร หำอัตรำเร็ว จะต้องทรำบค่ำระยะทำงและเวลำที่ใช้ในกำรเคลื่อนที่ 26. 4 จำกสูตร = แทนค่ำ = F = (6 x 9) + 32 = 86 27. 4 กำรพำควำมร้อน เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนจำกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ โดยตัวกลำงนั้นจะเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งตัวกลำงใน กำรพำควำมร้อน ได้แก่ ของเหลวและแก๊ส แต่แก๊สสำมำรถพำควำมร้อนได้ดีกว่ำ ของเหลว เนื่องจำกโมเลกุลของแก๊สสำมำรถเคลื่อนที่ได้ดีกว่ำของเหลว 28. 2 เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ เนื่องจำกมีลมเป็นตัวกลำงในกำรพำควำมร้อนมำสู่ร่ำงกำย 29. 1 วัตถุสีเข้มจะดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุสีอ่อน วัตถุที่มีพื้นที่ผิวมำกจะ ดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีพื้นที่ผิวน้อย วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ำ อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะดูดกลืนควำมร้อนได้เร็วกว่ำ แต่คำยควำมร้อนได้ช้ำกว่ำวัตถุ ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ำอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม และวัตถุที่มีเนื้อหยำบหรือผิวด้ำนจะดูดกลืน และคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีเนื้อละเอียดหรือผิวเป็นมัน 30. 2 กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติกเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรนำควำมร้อนมำใช้ ประโยชน์ กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำวเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรพำ ควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดดเป็นกำรนำควำมรู้ เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ 31. 4 ชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ต่อโลกหลำยประกำร เช่น ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้ เหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยไม่ให้ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน ไม่ เย็นเกินไปในเวลำกลำงคืน ช่วยป้ องกันอันตรำยจำกรังสีต่ำงๆ และอนุภำคต่ำงๆ เป็นต้น 32. 3 บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะเป็นบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรำย ซึ่งดูดกลืนควำมร้อน จำกดวงอำทิตย์ได้ดี และในเวลำกลำงวันอำกำศจะร้อนกว่ำเวลำกลำงคืน 33. 4 บริเวณที่มีควำมชื้นในอำกำศสูงจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ มีปริมำณไอน้ำใน อำกำศมำก และสำมำรถรับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
  • 26. 26 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 34. 1 ควำมกดอำกำศจะขึ้นอยู่กับระดับควำมสูงของพื้นที่ อุณหภูมิ และควำมชื้นของ อำกำศ โดยควำมกดอำกำศจะมีค่ำน้อยเมื่อสถำนที่นั้นอยู่สูงขึ้นไปจำกระดับน้ำทะเล มีอุณหภูมิต่ำ และมีควำมชื้นในอำกำศมำก 35. 4 ควำมชื้นสัมพัทธ์ที่มีค่ำพอเหมำะที่จะทำให้เรำรู้สึกสบำยตัว คือ มีค่ำประมำณ 60-70% ซึ่งหำกควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำสูง อำกำศจะชื้น ร้อนอบอ้ำว รู้สึกเหนียวตัว เสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งช้ำ แต่ถ้ำควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำต่ำ อำกำศจะแห้ง ผิวหนัง ของเรำจะแตกแห้ง และเสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งเร็ว 36. 4 หยำดน้ำฟ้ำ คือ ไอน้ำในบรรยำกำศที่ควบแน่นกลำยเป็นหยดน้ำหรือน้ำแข็งแล้วตก ลงมำสู่พื้นโลก ได้แก่ ฝน ลูกเห็บ และหิมะ ส่วนหมอก น้ำค้ำง และน้ำค้ำงแข็ง ไม่ได้ ตกลงมำจำกฟ้ำ จึงไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ 37. 3 ลมเกิดจำกอำกำศในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่อำกำศในบริเวณ ใกล้เคียงที่อุณหภูมิต่ำกว่ำจะเคลื่อนตัวเข้ำมำแทนที่ โดยควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิ ทั้ง 2 บริเวณนั้นเกิดจำกอำกำศทั้ง 2 บริเวณได้รับควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไม่เท่ำกัน 38. 4 ศรลมเป็นอุปกรณ์ตรวจสอบควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่ กว่ำหัวลูกศร มำตรวัดควำมเร็วลม หรือแอนีมอมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์วัดควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นกรวยโลหะ 3 – 4 อัน ติดอยู่ที่ปลำยก้ำน ส่วนแอโรเวนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ตรวจสอบทิศทำงลมและวัดควำมเร็วลม มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก 39. 3 กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรคำดหมำยสภำวะลมฟ้ำอำกำศ รวมทั้งปรำกฏกำรณ์ ทำงธรรมชำติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ โดยใช้ข้อมูลจำกแผ่นที่อำกำศช่วย ในกำรพยำกรณ์ ซึ่งกำรพยำกรณ์อำกำศจะมีประโยชน์ในหลำยด้ำน เช่น เมื่อทรำบ สภำพอำกำศล่วงหน้ำจะทำให้สำมำรถกำหนดและปรับเปลี่ยนเส้นทำงคมนำคม เพื่อควำมปลอดภัยได้ 40. 4 กำรปลูกป่ำทดแทน หรือกำรฟื้นฟูสภำพป่ำไม้กำรลดปริมำณขยะ และกำรใช้ พลังงำนหมุนเวียน จัดเป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน แต่กำรใช้ถุงพลำสติกแม้เพียง ใบเดียวก็นับว่ำไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน 41. 3 หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลให้ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ ซึ่งทำให้ไม่สำมำรถดำรงชีวิตอยู่ได้ 42. 2 อำหำรที่เหลือจำกกำรย่อยและอำหำรที่ย่อยไม่ได้นั้นจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ โดย ลำไส้ใหญ่จะทำหน้ำที่ดูดน้ำและแร่ธำตุกลับคืนสู่ร่ำงกำย ส่วนที่เป็นกำกอำหำรจะ เคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลำยของลำไส้ใหญ่ เพื่อรอขับถ่ำยออกทำงทวำรหนัก หำก ลำไส้ใหญ่ทำงำนผิดปกติจะทำให้มีอำกำรท้องผูก
  • 27. 27 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 43. 2 หัวใจห้องล่ำงมีกล้ำมเนื้อที่หนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน เนื่องจำกเป็นกล้ำมเนื้อที่ ทำหน้ำที่บีบตัว เพื่อดันเลือดให้ออกจำกหัวใจไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำยและไปยัง ปอด จึงจำเป็นต้องมีกล้ำมเนื้อที่มีควำมแข็งแรงและหนำ ส่วนหัวใจห้องบน ทำหน้ำที่รับและเก็บเลือดเพื่อส่งต่อมำยังหัวใจห้องล่ำงเท่ำนั้น ดังนั้น จึงมีกล้ำมเนื้อ ไม่หนำมำกนัก 44. 2 เนื่องจำกแก๊สออกซิเจนในน้ำมีปริมำณน้อยกว่ำในอำกำศ กำรที่เหงือกของปลำมี ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่ำงน้ำกับเซลล์ของ เหงือก 45. 4 ในขณะหำยใจเข้ำ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมำตร ช่องอกมีมำกขึ้น ควำมดันอำกำศลดต่ำลง อำกำศภำยนอกร่ำงกำยจะผ่ำนเข้ำสู่ปอด ซึ่งหำกเป็นกำรหำยใจออกจะมีลักษณะตรงข้ำมกัน 46. 3 ไตมีหน้ำที่กรองของเสียที่ร่ำงกำยไม่ต้องกำรออกจำกเลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลำย เป็นน้ำปัสสำวะ แล้ถูกขับออกนอกร่ำงกำย ดังนั้นหำกไตทำงำนผิดปกติ จะทำให้ กำรปัสสำวะเกิดควำมผิดปกติ หรือน้ำปัสสำวะมีองค์ประกอบเปลี่ยนแปลงไป 47. 3 รังไข่มีหน้ำที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมพัฒนำกำรทำงเพศของ เพศหญิง หำกรังไข่ผิดปกติ จะทำให้มีพัฒนำกำรทำงเพศปกติ 48. 2 แฝดอิน-จัน เกิดจำกแฝดร่วมไข่ ซึ่งกำรที่มีบำงส่วนในร่ำงกำนติดกันอยู่ เนื่องจำก เมื่อไข่ได้รับกำรผสมแล้วเกิดกำรแบ่งเซลล์จำก 1 เป็น 2 เซลล์ โดยเซลล์ทั้งสอง แยกตัวจำกกันไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ตัวอ่อนที่เจริญเติบโตนั้นมีบำงส่วนในร่ำงกำย ติดกันอยู่ 49. 4 พฤติกรรม เป็นกำรแสดงออกที่เกิดขึ้นจำกกำรทำงำนร่วมกันของพันธุกรรมและ สภำพแวดล้อม ซึ่งกำรแสดงพฤติกรรมต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้นล้วนเพื่อกำรอยู่รอด และดำรงเผ่ำพันธุ์ 50. 2 เทคโนโลยีชีวภำพทำให้สำมำรถขยำยพันธุ์สัตว์ได้อย่ำงรวดเร็ว ได้สัตว์ที่มี คุณสมบัติตรงตำมต้องกำร แต่ยังมีข้อเสีย คือ มีค่ำใช้จ่ำยมำก และต้องใช้ผู้ที่มีควำมรู้ ควำมเชี่ยวชำญ 51. 2 พลังงำนที่ร่ำงกำยต้องกำรจะขึ้นอยู่กับเพศ วัย และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งในกิจกรรม เดียวกันนั้น เพศชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำเพศหญิง และผู้ที่มีน้ำหนักมำกจะใช้ พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักน้อย
  • 28. 28 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 52. 1 วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังมีกำรเจริญเติบโตทำงร่ำงกำยอย่ำงมำก และต้องใช้พลังงำนมำก ในกำรทำกิจกรรมต่ำงๆ จึงควรบริโภคอำหำรที่ให้เพลังงำนและช่วยเสริมสร้ำงกำร เจริญเติบโต ซึ่งได้แก่ อำหำรในกลุ่มคำร์โบไฮเดรตและโปรตีน 53. 4 เด็กในวัยเรียนอำจยังขำดควำมรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรบริโภคอำหำรเพื่อสุขภำพ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทำนอำหำรที่ตนเองชอบ ไม่รับประทำนอำหำรให้ ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทำให้ร่ำงกำยขำดสำรอำหำรบำงชนิด 54. 3 จำกอำหำรที่กำหนดให้ มีสำรอำหำร ดังนี้ อาหาร สารอาหาร ขนมครก คำร์โบไฮเดรต ไขมัน ปำท่องโก๋ คำร์โบไฮเดรต ไขมัน กล้วยบวชชี คำร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตำมิน นมถั่วเหลือง โปรตีน ดังนั้น ควรเลือกรับประทำนกล้วยบวชชี เพรำะมีสำรอำหำรมำกที่สุด 55. 4 กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีที่ให้ผลน่ำเชื่อถือมำกที่สุด คือ กำรตรวจ เลือดและปัสสำวะ ซึ่งเป็นวิธีกำรตรวจหำสำรเสพติดในร่ำงกำยผู้เสพ 56. 4 ธำตุเป็นสำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน ในทำงเคมีจึงไม่สำมำรถ แยกสลำยเป็นสำรอื่นได้ซึ่งธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่ำงกัน สำมำรถแบ่งธำตุ ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ 57. 2 เนื่องจำกสมบัติของสำรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. สมบัติทำงกำยภำพ คือ สมบัติที่สังเกตเห็นได้หรือทดลองด้วยวิธีง่ำยๆ ได้เช่น สี กลิ่น รส จุดเดือด จุดหลอมเหลว สถำนะ กำรนำไฟฟ้ำ ควำมแข็ง เป็นต้น 2. สมบัติทำงเคมี คือ สมบัติที่ทรำบได้เมื่อมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี หรือก็คือ สมบัติเฉพำะตัวของสำรที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี เช่น ควำมเป็นกรด-เบส กำรลุกติดไฟ กำรสลำยตัวให้สำรใหม่ เป็นต้น 58. 3 เนื่องจำกโลหะมีสมบัติในกำรนำควำมร้อนได้ดี ช่วยทำให้อำหำรสุกเร็ว ภำชนะ หุงต้มจึงมักทำจำกโลหะ 59. 2 กำรกลั่นแบบไอน้ำ เป็นวิธีกำรแยกสำรที่เป็นของเหลวระเหยง่ำย (จุดเดือดต่ำ) และ ไม่ละลำยน้ำ โดยใช้ควำมดันจำกไอน้ำทำให้สำรที่ระเหยง่ำยเดือดกลำยเป็นไอแล้ว ถูกกลั่นออกมำพร้อมกับน้ำ